วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

อธิษฐาน

ย่ำรุ่งของวันเสาร์ อากาศฉ่ำเย็น ฝนรินสายบางเบาห่มคลุมกรุงเทพฯ เหมือนผืนผ้าแพรบางละมุน ใครกันจะอยากลุกขึ้นจากเตียง ในเมื่อภวังค์ฝันนั้นแสนสุขราวกับสวรรค์ชั้นโสฬส เว้นแต่ฉันซึ่งคุ้นเคยกับความหนาว เมื่อต้องเดินฝ่าห้วงหิมะเดือนเมษายนทุก ๆ ปี

เช้านี้ก็เหมือนทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอ ความคิดเรียบง่ายของฉันมักจะก่อตัวเป็นรูปร่างง่าย ๆ หากเธออยากจะนึกภาพตาม มันก็คงเป็นรูปทรงเช่นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ทรงกลม มันไม่เคยแปรเปลี่ยนรูปร่างของตัวเองให้ซับซ้อนไปกว่านี้ ฉันพบความจริงข้อหนึ่งว่า สิ่งใดก็ตามที่มีรูปร่างซับซ้อน สิ่งนั้นจะต้องเสียพลังงานส่วนหนึ่งให้แก่ความซับซ้อนนั้น ยิ่งซับซ้อนมาก สารัตถะดั้งเดิมของมันยิ่งต้องกระจายพลังงานให้แก่ความซับซ้อนที่เกิดขึ้น นั่นทำให้พลังงานดั้งเดิมของรูปทรงยิ่งกระจัดกระจาย ฉันจึงชอบที่ความคิดของฉันก่อตัวเป็นรูปร่างง่าย ๆ เพราะมันจะทำให้ทุกอณูในความคิดของฉันยังคงไว้ซึ่งพลังงานดั้งเดิมของมันที่ยังทรงพลังอยู่

แต่ก็นั่นแหละ, ความคิดเรียบง่ายของฉัน สุดท้ายมันก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปร่างของมันไปตามสภาพการณ์ในแต่ละช่วง ขึ้นอยู่กับวิธีจัดการของฉัน ตรรกะที่ฉันใช้ และเป้าหมายที่ความคิดนั้นจะต้องไปให้ถึง สามอย่างนี้คือตัวกำหนดความซับซ้อนของความคิดเรียบง่าย จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการติดฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์สักสิบวิธีการให้กับคำตอบศูนย์นั่นแหละ แม้เธอรู้ดีว่าคำตอบนั้นคือศูนย์ แต่สิ่งที่เธอสนใจคือวิธีการที่จะไปถึงศูนย์ นั่นแหละคือการกระจัดกระจายของพลังงาน คำตอบศูนย์นั้นแต่เดิมเรียบง่ายและทรงพลัง แต่เมื่อมันมีตัวกำหนดความซับซ้อนของความเรียบง่าย คนก็มุ่งเป้าไปที่ความซับซ้อนของมันจนลืมเลือนพลังงานดั้งเดิมของสารัตถะ จริงไหม

แม้ว่าฉันกลัวจะเสียพลังงานของความคิดเรียบง่ายดั้งเดิม แต่เธอก็รู้ ความซับซ้อนของความคิดเรียบง่ายเป็นเงื่อนไขสำคัญหนึ่งของการสื่อสาร, การสื่อสารที่ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางไปถึงเธอจริง ๆ แม้ฉันจะพยายามลดทอนความซับซ้อนลงให้น้อยที่สุด แต่ในระหว่างการเดินทางของการสื่อสารมันก็มีความซับซ้อนอยู่ในตัวของมันเองไม่รู้สิ้น เธอก็รู้ Saussure ก็พูดไว้ สัญญะนั้นซับซ้อนและมีแต่ความเป็นยถากรรม นั่นทำให้ความคิดเรียบง่ายดั้งเดิมของฉันไม่มีวันเดินทางไปถึงเธอได้จริง ๆ

หากความคิดเรียบง่ายของคนกลุ่มหนึ่งคือศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า เธอก็จะเห็นพวกเขารวมตัวกันที่โบสถ์ สวดมนต์และร้องเพลงเพื่อสื่อสารให้พระองค์ทรงทราบถึงความศรัทธา ความคิดเรียบง่ายดั้งเดิมของพวกเขาแปรเปลี่ยนสัญญะทางภาษาและดนตรี และพัฒนาความซับซ้อนมาเป็นบทเพลงและท่วงทำนองอันแสนไพเราะเพื่อส่งต่อไปถึงฟากฟ้า ไม่รู้ว่าเมื่อบทเพลงเหล่านั้นลอยขึ้นไป พระองค์จะทรงรับทราบความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระองค์หรือไม่ แต่อย่างไรเสีย ฉันว่าพระองค์ทรงทราบ เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญู ทรงรู้แจ้งทุกอย่างไม่ว่าจะส่งผ่านสื่อสัญญะหรือไม่ ดังนั้นเรื่องของเราจึงกลับมาที่ความจริงข้อหนึ่งว่า ฉันและเธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ๆ เท่านั้น

ฉันบอกเธอไปแล้วนี่นะว่าทุกวันของฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอ ใช่แล้วล่ะ บางครั้งฉันพยายามรักษาสภาพดั้งเดิมของมันให้คงอยู่อย่างนั้น บางครั้งฉันจำเป็นต้องเพิ่มความซับซ้อนลงไปในความคิดเรียบง่ายเพื่อสื่อสาร มันอาจออกมาเป็นเครื่องมือสื่อสารความรู้สึกเช่นบทกวี บางครั้งออกมาในรูปแบบบันทึกถึงส่วนเสี้ยวของความคิดนั้น บางทีอาจออกมาในรูปแบบตัวอักษรที่ไม่มีแม้แต่การสื่อสารความคิดนั้นเลย แต่บรรจุความคิดนั้นอยู่เต็ม เพียงแต่มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้ มีแค่ฉันคนเดียวที่กำทั้ง signifier และ signified ไว้ในมือ นั่นเป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างพ้นจากการสื่อสารด้วยถ้อยคำได้

ฉันพบว่าความคิดเรียบง่ายนั้นถูกแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งต่าง ๆ มากมายที่แวดล้อมตัวมันอยู่ แม้ฉันจะพยายามลดทอนความซับซ้อนระหว่างกระบวนการถ่ายทอดความคิดเรียบง่ายให้มากที่สุดแล้วก็ตาม ก็อย่างที่ฉันพูดไปนั่นแหละ ในระหว่างการเดินทางของการสื่อสารมันก็มีความซับซ้อนอยู่ในตัวของมันเองไม่รู้สิ้น ฉันจึงพยายามคิดหาวิธีการที่จะทำให้ความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอเดินทางไปถึงเธอโดยให้มันยังคงสถานะเดิม หรือใกล้เคียงสถานะเดิมให้มากที่สุด

แล้วฉันก็พบวิธีนั้น, การอธิษฐาน

แม้ดูเป็นวิธีเลื่อนลอย แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยตัดตัวเชื่อมเกี่ยวแก่การสื่อสารของเราทิ้งไปทั้งหมด ซึ่งทำให้ความซับซ้อนระหว่างกระบวนการถ่ายทอดความคิดลดลงเหลือน้อยที่สุด แม้ว่าที่สุดแล้วมันจะต้องผ่านสื่อสัญญะในสมองของฉันออกมาก็ตามที แต่นั่นก็น่าจะทำให้ความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอยังคงพลังงานที่ใกล้เคียงสารัตถะดั้งเดิมของมันอยู่

ไม่มีสัญญะเพื่อนำพาความหมาย ไม่มีมวลสารจับต้องได้ ไม่มีการเตือนเมื่อมาถึง เธอจะต้องรับรู้เองเมื่อมันเกิดขึ้น และฉันเชื่อว่ามันยากเหลือเกิน ยากจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อคลื่นความคิดของเราไม่เคยสั่นไหวในจังหวะที่สัมพัทธ์กัน

แต่ฉันก็ยังคงทำเช่นนั้นเสมอมา, อธิษฐาน

ฉันยังหวังอยู่นะ, หวังว่าสักวันเธอจะได้ยิน

วุฒินันท์ ชัยศรี

๑๐ กันยายน ๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 6

The Silence of September (ความเงียบงันแห่งกันยาฯ)

(1.)

เดือนกันยายน ว่ากันว่าเป็นเดือนโหมโรงก่อนบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดินกำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคม

เดือนพรีลูดก่อนที่ซิมโฟนีแห่งทวยเทพจะขับขาน ใครบางคนทำประโยคนี้หล่นไว้ในซอกมุมหนึ่งของความทรงจำ คุ้น ๆ ว่าเป็นนักปฏิวัติสักคนที่ชอบฟังเพลงคลาสสิก ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกเพราะไม่ใช่คอเพลงคลาสสิก สำหรับผมแล้ว เดือนนี้เป็นเหมือนเสียงครวญครางดังอี้ยยยยอ๊ะของน้องจ๊ะ คันหู ก่อนที่เธอจะเริ่มร้องเพลงที่มีคนดูเก้าล้านคนในยูทูปมากกว่า

เร้าใจเสียงยิ่งกว่าสารัตถะที่ดำรงอยู่ ถ้าพูดกันด้วยคำวิชาการก็คงประมาณนี้

(2.)

อาจจะเป็นเพราะเป็นฤดูกาลใกล้สอบ ดีมานด์ด้านกำลังใจจึงมากพอ ๆ กับความสับสนและหวาดกลัวข้อสอบที่ยังมาไม่ถึง เสียงผ่านปลายสายว่า รักนะเด็กโง่ ตั้งใจทำงานนะคะ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะคะ (จากผู้ชายซึ่งมักใช้คำลงท้ายผิดเพศเพื่อเพิ่มดีกรีความน่ารักให้ตัวเอง ซึ่งร้อยทั้งร้อยเป็นผู้ชายเจ้าชู้) จึงดังระงมเหมือนเสียงอึ่งอ่างหลังฝนงวด เว้นแต่ผมซึ่งถือเป็นผู้ด้อยโอกาสในการฝากวจีรักหวานฉ่ำจับใจเหมือนน้ำผึ้งที่เก็บเกี่ยวโดยผึ้งที่กำลังมีความรัก

เดือนแห่งเสียงอี๊ยยยยอ๊ะอันเร้าใจของผม กลับก้าวเข้ามาพร้อมกับความว่างเปล่าเสียงยิ่งกว่าคำที่สะกดว่าว่างเปล่า

บ้าที่สุด! ผมกระแทกนิ้วลงไปบนโทรศัพท์ และหัวเสียยิ่งขึ้นเมื่อโทรศัพท์ผมดันมีแค่ปุ่มเดียว ให้ตายเถอะ ผมเกลียดสมาร์ทโฟน! การจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอไม่เคยสร้างความพึงพอใจให้ผมได้เท่ากับการลงน้ำหนักรัวลงบนปุ่มหลาย ๆ ปุ่ม โดยเฉพาะตอนที่โทสะมาถือครองเป็นเจ้าของในเรือนใจ

บุญชิต! รู้อย่างนี้ถอยกลับไปใช้ Nokia 3310 ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับแอพพลิเคชั่นล้านแปด ในเมื่อมรรคผลของมันไม่ต่างกันเลย

วางโทรศัพท์ที่ประจุแบตเตอรี่ไว้เต็ม แต่มีประโยชน์เท่ากับทุกเครื่องในโลกตอนแบตหมดลงที่เดิม ถอนหายใจยาว

ปลายฝนต้นหนาว หอบเอาความหนาวยะเยือกมาสู่ผม ทั้งจากอากาศและไม่ใช่อากาศ

(3.)

"ลูกสามพี่ก็ยังรัก"

ทิ้งคำนี้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าตัว ทำนองว่าเป็นคำพูดเลื่อนลอยพอ ๆ กับชาวเขาทำไร่

เธอคงจะลืมไปว่า เดี๋ยวนี้ชาวเขาเค้าปั๊ดตะนาแล้ว เช่นเดียวกับสัญญาณโทรศัพท์ที่ชัดเจนทั่วไทย ไร่เลื่อนลอยเป็นเพียงอดีตอันเลือนราง เหลือแต่รีสอร์ตศิวิไลซ์พักใจช้ำของคนเมือง ไม่เชื่อไปถามคนแถว ๆ ปายดูได้

ตัวอักษรของผมเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ หลายคนเชื่ออย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อคิดสะระตะเข้ากับการเรียนในคณะที่มีชื่อตรงตัวว่าคณะตัวหนังสือ มันใสซื่อน้อยกว่าถ้อยคำจากหนุ่มแพทย์ หนุ่มวิศวะ หรือหนุ่มคณะอื่นผู้ไม่เคยเคี่ยวกรำตัวอักษรให้เพริศแพร้วพริ้งพรายจนกล้ำกรายเส้นแบ่งระหว่างความจริงใจกับความเสแสร้ง

ก็อย่างว่าแหละ ใครมันจะเชื่อลมปากนักเขียน ผู้ซึ่งประดิดประดอยถ้อยคำจนคนเชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกได้ สาอะไรกับคำที่ต้องการความซื่อสัตย์มากที่สุดอย่างคำว่ารัก

แต่อันที่จริง การโกหกเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพระโพธิสัตว์ในพระชาติสุดท้าย และมันไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่เพื่อเอาตัวรอดจากราชสีห์

คำโกหก มาพร้อมกับคำรักซื่อ ๆ ได้เท่ากับความรักที่ประดิษฐ์เป็นบทกวีทำนองว่า จะขอเธอแต่งงานด้วยวงแหวนจากดาวเสาร์

(4.)

กันยายนของผม เดือนแห่งพรีลูดที่ว่างเปล่าราวกับซิมโฟนีที่ไม่มีโน้ตดนตรีแม้แต่ครึ่งตัว ไม่เช่นนั้นก็เป็นการฟังเพลงคันหูฉบับออริจินอลของประเทศที่เต็มไปด้วยศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม และอีกหลาย ๆ ธรรมอันดีงามทุกกระเบียด จนไม่ได้ยินคำร้องประโยคสุดท้ายที่ร้องเอื้อนด้วยความจงใจว่า "หูหนีคงหายคันนนน..." อย่างถนัดถนี่

เสียเวลาไปกับการประดิษฐ์ถ้อยคำที่มีคนเชื่อถือมากพอ ๆ กับฟังคำพูดของเด็กเลี้ยงแกะ ทั้งที่คำพูดนั้นอาจจะเป็นการพูดครั้งที่สี่

มีคนบอกว่ามันเป็นพันธกิจ บ้างก็ว่ามันเป็นคำสาป สำหรับผู้เลือกเดินทางในสายของ "นักรู้สึก"

พลิกดูสมุดจดวิชาทฤษฎีวรรณคดีตะวันออก ประโยคหนึ่งลอยเด่นอยู่บนหน้ากระดาษ

"มีก็แต่ผู้ที่ผิดหวังในความรักเท่านั้นจึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของศฤงคารรส" เส้นยึกยือเส้นหนึ่งลากยาวไปหาอีกประโยค "กวีต้องแสวงหาความรักที่ผิดหวังอยู่เสมอ เพราะความผิดหวังมักเป็นแรงบันดาลใจที่ทรงพลังมากกว่าความสมหวัง" กำกับชื่อกวีโนเนมไว้ท้ายประโยค เขาคงคิดว่าประโยคนี้คมคายเสียเต็มประดา ถุยชีวิต!

ปิดสมุด โยนไปอีกมุมห้อง ก่อนจะปล่อยให้ความว่างเปล่าบนเพดานครอบครองทัศนวิสัยทั้งหมดของสายตาและความคิด จมอยู่ในห้วงเวลาที่ไหลเอื่อยผ่านร่างอย่างแช่มช้าเหมือนน้ำกรดเดือดในกระทะทองแดงที่ยมทูตค่อย ๆ คนไปมาอย่างเบามือ

ถอนหายใจให้เดือนนี้ และเผื่อยาวไปจนถึงเดือนหน้า บทโหมโรงที่จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มมหากาพย์ ได้แต่กำปากกาไว้มั่นพร้อมกับท่องวาทะของนักรบผู้มีความรักว่า หากไม่กุมดาบ ก็ปกป้องเธอไม่ได้ แต่หากกุมดาบแล้ว ก็คงกอดเธอไม่ได้

(5.)
โทรศัพท์ร้องเตือนขึ้นเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด ถึงเวลาที่ต้องประจุแบตเตอรี่อีกครั้ง ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดปุ่มที่มีเพียงปุ่มเดียวอย่างไร้จุดหมาย มีเพียงแสงเรืองขึ้นจากหน้าจอมืดดำเพื่อบอกวันที่และเวลา นอกจากนั้นมันไม่ตอบสนองอะไรอีก ผมต้องปลดล็อกหน้าจอก่อนจึงจะเริ่มทำอะไรอย่างอื่นได้

แต่ถึงผมจะปลดล็อกหน้าจอ ผมจะเริ่มอะไรได้?



วุฒินันท์ ชัยศรี
8 กันยายน 2554

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

คนไม่มีสิทธิ์

๏ ไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำว่าช้ำหนัก
ไม่มีสิทธิ์ขอความรักจากคนไหน
ไม่มีสิทธิ์งอนง้อต่อรองใคร
แม้แต่สิทธิ์จะร้องไห้ยังไม่มี

๏ เพราะมิใช่คนพิเศษจึงไร้สิทธิ์
หนทางปิดทุกทางไปไร้ทางหนี
ได้แต่กล้ำกลืนฝืนฤดี
ตีหน้าพาทีมิรู้ร้อน

๏ มิได้เกิดมาพิเศษจึงหมดสิทธิ์
เป็นความผิดความพ่ายแพ้แต่กาลก่อน
หมดสิทธิ์แม้จะพร่ำคำอาวรณ์
ทำได้แค่ทอดถอนดวงฤทัย

๏ ไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำว่าช้ำรัก
แม้จะเจ็บช้ำหนักมาจากไหน
ต้องก้มหน้ายิ้มฝืนยืนสู้ไป
แม้ยินเสียงในใจ-ไม่ไหวแล้ว! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๕/๐๙/๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

เธอบอกให้ลืม

๏ เธอบอกให้ลืม...
ทั้งที่ใจยังคงปลื้มอยู่เต็มฝัน
ทั้งที่รักเกินจะพร่ำคำรำพัน
เธอบอกฉันให้เลิกรักเธอสักที

๏ จะให้ลืม...
ทั้งที่รักยังดูดดื่มอยู่เต็มที่
ฤาทิ้งฝันให้เร่ร้างอยู่อย่างนี้
ดวงฤดีก็ปล่อยไปไม่นำพา

๏ เลิกเถอะ, เลิกฝัน...
เรื่องที่ผ่านมานั้นล้วนไร้ค่า
เป็นเพียงภาพจำแสนธรรมดา
เหลือก็แต่น้ำตาและซากใจ

๏ ขอโทษ...
ขอเธออย่าโกรธฉันได้ไหม
หากวันนี้ยังมีเธอเต็มฤทัย
ฉันจะค่อยลืมเธอไปในรอยน้ำตา

๏ ตัดใจ, ไม่รัก...
แลกกับรอยแผลหนักเกินรักษา
เพราะรักเธอเกินเอ่ยคำจำนรรจา
และมากเกินจะบอกลาด้วยคำเดียว ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๒/๐๙/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยนิทานเรื่องนายทหารกับเจ้าหญิง

"ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระราชาได้จัดงานเลี้ยงสำหรับคัดเลือกเจ้าหญิงที่โฉมงามที่สุดในอาณาจักร ตอนนั้น มีนายทหารนายหนึ่งมีหน้าที่ยืนเฝ้ายาม เขาเห็นพระราชธิดาของพระราชา เขาเห็นว่าเธอเป็นสิ่งที่สวยงามกว่าทุกสิ่ง และเขาก็ตกหลุมรักเธออย่างมากด้วย

"แต่เขาเป็นเพียงนายทหารธรรมดาคนนึง แต่เธอเป็นถึงพระราชธิดา แต่แล้วในที่สุด เขาก็ทำสำเร็จในการได้พบกับเจ้าหญิง เขาบอกกับเธอว่า เขาไม่สามารถอยู่ได้หากปราศจากเธอ

"เจ้าหญิงรับรู้ และก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่ลึก ๆ ในความรู้สึกของเขา ดังนั้นเจ้าหญิงจึงตรัสว่า "ถ้าท่านรอคอยได้เป็นเวลา 100 วัน และ 100 คืนที่ใต้ระเบียงห้องฉัน ถ้าทำได้ฉันก็จะเป็นของท่าน"---

"เมื่อได้ฟังดังนั้น ทหารนายนั้นก็ไป แล้วเขาก็รอคอย ผ่านไป 1 วัน 2 วัน แล้วก็ 10 วัน จากนั้นก็ 20 วัน--- ทุก ๆ เย็นเจ้าหญิงก็จะมองออกไปและพบว่าเขาไม่ได้ขยับเลยแม้ว่ามีลมฝนลมหนาว แม้แต่พายุหิมะ เขาก็ยังยืนอยู่ที่นั่น แม้นกจะขี้ใส่หัวเขา ผึ้งมาต่อยเขา เขาก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย เขายังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

"ในที่สุด คืนวันที่ 90 ร่างกายของเขาผอมแห้งและก็ซีดเซียว น้ำตาเริ่มไหลลงมาจากดวงตาของเขา เขาไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้ เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะหลับตาและขยับร่างกาย ตลอดเวลาเจ้าหญิงยังคอยดูเขาอยู่

"และเมื่อถึงวันสุดท้าย คือคืนวันที่ 99 นายทหารคนนั้นก็เดินจากไป---"

นิทานเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินเมื่อตอนเด็ก ๆ เป็นเรื่องเดียวกับที่อัลเฟรโดเล่าให้โตโตฟังในเรื่อง Cinema Paradiso ขณะที่ชายหนุ่มกำลังอยู่ในห้วงรัก แต่เมื่อเล่าจบ อัลเฟรโดไม่มีบทสรุปให้โตโต้

"และอย่าถามว่ามันหมายถึงอะไร เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน---"

เมื่อความรักไม่สมหวัง โตโต้จึงคิดว่าเขาเข้าใจนิทานที่อัลเฟรโดเล่า

"คุณจำเรื่องทหารและเจ้าหญิงได้ไหม--- ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมทหารถึงได้จากไปในตอนจบ ใช่---อีกแค่คืนเดียวเจ้าหญิงก็จะเป็นของเขาตลอดกาลแล้ว แต่เธอก็ไม่อาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้ นั่นเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป มันอาจฆ่าเขา---

"อย่างน้อยที่สุดของคืนที่ 99 เขาแค่จดจำว่าเธอควรเป็นของเขา---"

----------

แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว---ไม่ใช่หรอก โตโต้เข้าใจผิดด้วยความเยาว์วัย

ความจริงของนิทานเรื่องนี้---ความจริงของนายทหาร---เรียบง่ายและโหดร้ายกว่านั้นมาก

แต่อย่าถามข้าพเจ้าว่ามันหมายถึงอะไร เพราะข้าพเจ้าไม่มีคำตอบให้--- คำตอบนั้นอยู่พ้นที่จะอธิบายด้วยถ้อยคำ มีเพียงความรู้สึกอย่างนายทหารผู้นั้นเท่านั้นที่จะตอบได้ว่าเหตุใดนายทหารผู้นั้นจึงเดินจากไปในคืนที่ 99

อันที่จริงเขา---นายทหารคนนั้นน่าจะรู้แล้วตั้งแต่วันที่เขาหลั่งน้ำตาในคืนวันที่ 90 แต่เขาต้องใช้เวลาอีกถึง 9 วันเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขารู้นั้นเป็นเรื่องจริง ก่อนจะตัดสินใจ---

นี่คือนิทานที่บอกเล่าความจริงของความรัก---และความรู้สึกอันหนักหนาสาหัสมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรู้สึกได้


วุฒินันท์ ชัยศรี
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Bangkok Traffic Love Stories

1.

วันก่อน ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง อย่าไปสนเลยในรายละเอียดของเรื่อง เพราะเรื่องที่ผมจะพูดถึงมีแค่พาหนะในเรื่องที่ชวนให้ผมนึกถึงคำว่า ไทม์แมชชีน นั่นคือ รถเมล์

ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำฉากรถเมล์นั้นมีหลายเรื่อง บ้างก็เอามาเป็นการดำเนินเรื่องหลักเลยก็เช่น เมล์นรก หมวยยกล้อ เป็นต้น ส่วนเรื่องที่ผมได้ชมนี้ รถเมล์ปรากฎเป็นฉากยาวพอสมควร น่าแปลกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำมานานแล้ว ผ่านมายี่สิบกว่าปี รถเมล์เคยเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง (มีเพียงการขับเร็วขึ้น กระเป๋าหยาบคายขึ้น ไม่ค่อยสนใจจะจอดให้ตรงป้าย ขี่แซงปาดเลนเหมือนรถมอเตอร์ไซค์ - เท่านั้นที่เปลี่ยนไป)

น่ายินดีที่ประเทศไทยยังคงอนุรักษ์พาหนะนี้ไว้ในรูปแบบเดิมที่สุด หากใครคิดจะทำหนังแนวพีเรียดย้อนยุคไปสักสิบยี่สิบปี มาถ่ายทำในรถเมล์น่าจะเหมาะ คงได้บรรยากาศเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน

นี่คือไทม์แมชชีนของความรู้สึก (รุ่นย้อนเวลาได้อย่างเดียว) นวัตกรรมที่ชาวไทยจะต้องภูมิใจ

2.

ป้ายนั้นเป็นภาพนักธุรกิจใส่สูท ใส่หมวกกันน็อค สะพายเป้ ปั่นจักรยาน โปรยด้วยคำชวนเชื่อว่า หันมาปั่นจักรยาน ลดการใช้พลังงาน ลดโลกร้อน พร้อมแปะตรากรุงเทพมหานคร

สวนทางกับภาพรถติดยาวเหยียดบนท้องถนน ไฟแดงจากท้ายรถนับหมื่นตลอดถนนรามคำแหงวาวโรจน์เหมือนดวงตาของยักษ์ที่กำลังโกรธเคือง ผมมองลอดเข้าไปในรถ แต่ละคันบรรจุคนไว้คันละคน ทิ้งที่ว่างของคนนั่งข้าง ๆ และคนนั่งข้างหลังไว้ให้กลวงเปล่าพอ ๆ กับหัวใจ

ยักไหล่ ปั่นจักรยานต่อ อาจจะมีผมเพียงคนเดียวในย่านนี้ที่ปั่นจักรยานจากลำสาลีไปทำธุระที่หน้ารามฯ โดยลัดเลาะไปตามฟุตบาท ระยะทางนั้นอาจไกล แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะปั่นไปได้ ระยะทางไกลที่สุดที่ผมทำไว้คือจากจุฬาฯ มาที่รามคำแหง เพราะจักรยานใหญ่เกินกว่าจะใช้รถขนมาได้ จึงต้องปั่นมาเองเมื่อต้องย้ายหอพัก

หันไปยิ้มให้กับป้ายนักธุรกิจใส่สูทปั่นจักรยาน ความฝันอันแสนหวานของคนกรุงเทพฯ ขณะที่โลกความจริง กรุงเทพฯ ไม่มีพื้นที่ไว้สำหรับจักรยานแม้แต่มิลลิเมตรเดียว และบางจุดบนฟุตบาทก็เป็นพื้นที่สำหรับแม่ค้าไว้เรียกร้องสิทธิในการขายของโดยอ้างคำว่าเป็นคนจน และเพิกเฉยต่อสิทธิในการเดินของประชาชน ยังไม่รวมถึงอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างตีนผี และรถเมล์หรือแท็กซี่ที่เร่งร้อนจะไปส่งรถ ซึ่งมักจะเหยียบคันเร่งเหมือนกำลังแข่งกับรถเก็บศพของปอเต็กตึ้ง

มีก็แต่คนที่รักชีวิตเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นแหละที่เอาจริงเอาจังกับการเดินทางด้วยจักรยานในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร

3.

ข่าวว่าภาษีรถคันแรกจะลดลงเป็นแสน น่าจะเป็นข่าวดีของประชาชนคนไทยที่นิยมซื้อรถมาขับราวกับเป็นประเทศที่ผลิตรถและกลั่นน้ำมันเองได้ แถมด้วยข่าวน้ำมันลดราคา ช่างเป็นความฝันอันแสนหวานสำหรับคนที่อยากได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิตโดยขับรถโก้หรูกลับไปอวดญาติที่บ้านนอก แม้ว่าชีวิตในกรุงเทพฯ จะต้องนั่งแช่อยู่บนถนนนานกว่าครึ่งชีวิต โดยไม่เกี่ยวว่าถนนนั้นจะชื่อว่าทางด่วนหรือไม่ด่วน ไม่เคยมีทางด่วนไหนทำหน้าที่ของมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อมันถูกบรรจุด้วยปริมาณรถมากพอ ๆ กับถนนธรรมดา

ไทม์แมชชีนของความรู้สึกที่ชื่อรถเมล์ บรรจุคนไว้จนไม่เหลือที่ว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว กลิ่นตัวของนักวิ่งและนักบอลเพิ่งเลิกเล่นที่ขึ้นรถกันมาเป็นทีมชวนให้คลื่นเหียนจวนเจียนจะเป็นลม เพลงหมอลำเพลงโปรดของคนขับที่เปิดเสียงเบา ๆ ระดับหูแตกยิ่งชวนให้ใครหลายคนที่ไม่ซาบซึ้งกับวัฒนธรรมอีสานรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ รถเมล์คันนั้นรายล้อมด้วยรถเก๋งหลากสีสันที่บรรจุคนไว้คันละคน ไม่น่าแปลกที่ใครก็แห่ไปซื้อรถ อย่างน้อยมันก็ส่วนตัว สบาย เปิดฟังเพลงที่ชอบได้ในโลกส่วนตัวเล็ก ๆ นี้

ไทม์แมชชีนของความรู้สึก (รุ่นย้อนเวลาได้อย่างเดียว) ยี่สิบปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น แถมยังห่วยกว่าเดิมเรื่อย ๆ

แต่จะโทษเขาได้ล่ะหรือ ผมเคยฟังคนขับบ่นกับกระเป๋ารถเมล์ ในเมื่อรถเยอะขึ้นทุกวัน รถจึงติด ส่งรถไม่ทัน ขาดทุน วิ่งได้วันละรอบก็บุญโข รอบวิ่งก็น้อยลง รถขาด แต่ละรอบจึงต้องยัดคนเยอะ ๆ เข้าไว้ คนเยอะก็ยิ่งน่าอึดอัด อากาศก็ร้อน รถก็มาติดหนักกว่าเดิมอีก แล้วจะสำมะหาอันใดกับการบริการ (วะ)

รถเยอะ-รถติด-รถเมล์ห่วย-คนหันไปซื้อรถ-รถเยอะ-รถติด-รถเมล์ห่วย-คนหันไปซื้อรถ-รถเยอะ-รถติด-ฯลฯ

4.

ไม่น่าเชื่อว่า ถนนสุขุมวิท โดยเฉพาะสี่แยกหน้าสยามพารากอน จะเป็นถนนที่รถติดที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นอีกหนึ่งอะเมซิ่งไทยแลนด์ที่ควรภาคภูมิใจ ข่าวนี้มาพร้อมกับข่าวว่าแอร์พอร์ตลิ้งค์กำลังขาดทุนหนัก เนื่องจากมีผู้โดยสารน้อยมากในแต่ละวัน

ข่าวว่าในประเทศที่เจริญแล้ว ระบบขนส่งมวลชนนั้นทันสมัย ไม่มีการอนุรักษ์ไทม์แมชชีนเหมือนบ้านเรา และยังสนับสนุนให้ประชาชนเดินทางโดยใช้จักรยานมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น จีน เยอรมัน โดยจะมีรถไฟเชื่อมต่อในแต่ละเมือง และในรถไฟก็จะมีโบกี้เก็บจักรยานโดยเฉพาะ เมื่อพาจักรยานมาถึงรถไฟ ก็แค่เอาไปเก็บไว้ในโบกี้ เมื่อเดินทางถึงเมืองจุดหมายก็นำจักรยานออกมาปั่นต่อไปจนถึงจุดหมาย

จักรยานของผมไม่ใช่จักรยานพับได้ จึงนำเข้าไปในแอร์พอร์ตลิ้งค์ หรือ MRT ไม่ได้ มีก็แต่ BTS เท่านั้นที่นำไปด้วยได้ แต่ก็ต้องถูกเขม่นจากผู้โดยสารคนอื่นว่าเกะกะชะมัด

หลายเรื่องประดังประเดเวียนวนอยู่ในสมองผม ลดภาษีรถคันแรก, ลดราคาน้ำมัน, ค่านิยมมีรถขับเท่ากับประสบความสำเร็จ, รถเพิ่มปริมาณ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาจราจร, ระบบขนส่งมวลชนเหมือนไทม์แมชชีนรุ่นย้อนเวลาได้อย่างเดียว แถมยังห่วยแตก, คนหันไปซื้อรถ, ลดภาษีรถคันแรก, ลดราคาน้ำมัน, ค่านิยมมีรถขับเท่ากับประสบความสำเร็จ, รถเพิ่มปริมาณ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาจราจร ฯลฯ ขณะที่กำลังคร่อมอยู่บนอานรอไฟเขียวกลางสี่แยก ผมอาจเหม่อลอยไปหน่อย เมื่อไฟเขียวมาจึงยังไม่ปั่นออกไป จนรถข้างหลังต้องบีบแตรยาวเตือนสติ

เมื่อปั่นขึ้นไปบนฟุตบาท พ้นอันตรายจากบรรดารถใจร้อนทั้งหลาย จึงบ่นกับตัวเองเบา ๆ "ก็บอกแล้ว มีก็แต่คนที่รักชีวิตเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นแหละที่เอาจริงเอาจังกับการเดินทางด้วยจักรยานในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร"

5.

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ แล้วยังไม่โดนรถชนตายโหง ขณะปั่นเข้าซอยอย่างเงียบ ๆ จู่ ๆ รู้สึกรักชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองขึ้นมาซะเฉย ๆ

เอาล่ะ ช่างกรุงเทพฯ เถอะ ไม่ใช่บ้านผมสักหน่อย ผมจะเพิ่มมลพิษใส่อากาศในกรุงเทพฯ อีกคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ไหน ๆ เขาก็ลดภาษีรถคันแรกแล้ว แถมน้ำมันยังถูกลงเยอะ หากผมทำงานมีเงินเดือนเมื่อไหร่ ผมจะต้องออกรถมาขับสักคันบ้างเสียแล้ว


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๗/๐๘/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พูดตรงตรง

๏ พูดตรงตรงคงเจ็บน้อยกว่า
พูดเถอะ, พูดมาว่ารักเขา
บอกกัน, บอกกันเพียงเบาเบา
อย่ายื้อคำว่าเราให้ร้าวใจ

๏ "คนที่ดี" "คนที่รัก" นั้นต่างกัน
หนึ่งคนเท่านั้นร่วมฝันได้
จะโกหกให้เจ็บช้ำทำไม
"คนที่ใช่", เธอก็รู้อยู่เต็มฤดี

๏ บอกเถอะ, บอกมาว่ารักเขา
แล้วเราก็จบลงตรงนี้
หากยื้อให้นานเนิ่นเกินนาที
น้ำตาที่ฉันมีคงมากมาย

๏ พูดตรงตรงคงเจ็บน้อยกว่า
อาจต้องเสียน้ำตา, เดี๋ยวก็หาย
ดีกว่าเจ็บปวดใจจนเจียนตาย
เมื่อสุดท้าย "รัก" ที่บอก, แค่หลอกกัน

๏ เมื่อพบคนที่ใช่...
เถิดจงตามหัวใจไปตามฝัน
อย่าห่วงใครที่เคยคุ้นเคยผูกพัน
รอยน้ำตาบนแก้มฉัน, จะเช็ดเอง ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓/๐๘/๒๕๕๔
*แรงบันดาลใจจากเพลง "โกหกไม่ลง พูดตรง ๆ ไม่ได้" ของ ปนัดดา เรืองวุฒิ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขอให้เหมือนเดิม

๏ ก็ไม่อยากบอกรัก
แต่หักใจไม่ได้
อยากจะเก็บให้เงียบหาย
ตายไปพร้อมกับฉัน

๏ ไม่อยากบอกว่ารักใคร
อยากเก็บไว้แค่ในฝัน
ก็เพราะกลัวเธอนั้น
ลำบากใจไม่อยากฟัง

๏ หมุนเวลาย้อนกลับไป
ย้อนกลับไปแต่หนหลัง
คำรักเคยบอกดังดัง
อุดหูไว้อย่าไปสน

๏ ก็แค่คำคำหนึ่ง
คำของใครแค่หนึ่งคน
หากคำ 'รัก' มันหนักล้น
ก็แค่วาง, แค่ปล่อยวาง

๏ ยังรออยู่นะรอยยิ้ม
เคยส่งให้เมื่อไกลห่าง
วันนี้ยิ้มกลับจืดจาง
เพราะช่องว่างจากหนึ่งคำ

๏ ถอดคำนั้นทิ้งไป
คำที่ใจเคยถลำ
ถอดจากความทรงจำ
แล้วเหมือนเดิม, เป็นเหมือนเดิม
...
ทิ้งรักไว้ในความทรงจำ
คืนที่เดิม, เราเหมือนเดิม ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๐/๐๘/๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วย "การยกระดับ" และ "บาดแผล"

"คนนั้นเค้าไม่น่ารักจริงเหรอ" เธอถามถึงหญิงสาวอีกคนที่เธอคิดว่าหน้าตาสาวเจ้าก็จัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง
"อืม... ไม่รู้สิ ก็คงน่ารักกระมัง ถ้าพี่เจอเค้าที่ศิลปากร อาจจะรู้สึกว่าน่ารักกว่านี้" ผมตอบไปตามที่รู้สึก
"ทำไมล่ะ"
"รู้จักคำว่า 'ยกระดับ' ไหม"
"อย่างไร"
"เหมือนแต่แรกเริ่มเรากินแต่กาแฟผง ซองละ 10 บาท กินมันทุกวัน ๆ ก็นึกว่ามันอร่อย วันดีคืนดีเราไปกินกาแฟสด เราก็ เฮ้ย กาแฟมันต้องแบบนี้สิ! แล้วพอเรากลับไปกินกาแฟผงก็รู้สึกเฉย ๆ ไปเลย แล้ววันดีคืนดีอีก เราได้กินกาแฟสตาร์บั๊คส์ มันก็ยกระดับกาแฟเราไปอีกขั้นหนึ่ง เฮ้ย! นี่สิวะกาแฟ! เรากลับไปกินกาแฟสดก็เฉย ๆ ละ แล้วยิ่งกาแฟผงนี่กินไม่ได้เลย"
"แล้ว?"
"ตอนพี่อยู่ชั้นมัธยมฯ พี่เห็นบางคนน่ารักก็เออ นี่แหละวะน่ารักสุดล่ะ พอมาอยู่ศิลปากร ก็เหมือนอยู่ขั้นกินกาแฟสดน่ะ คนที่น่ารักสมัยอยู่มัธยมฯ ก็เป็นเฉย ๆ ไป ถ้าพี่เห็นเค้าตอนอยู่ศิลปากรก็คงจะรู้สึกว่าเค้าน่ารัก แต่พี่มาเห็นตอนนี้มันเลยเฉย ๆ"
"พี่อยู่ระดับกินกาแฟสตาร์บั๊คส์แล้ว?" เธอทำเสียงประหลาดใจ
"ก็ตอนนี้พี่เดินสวนทางกับนางฟ้าที่คณะทุกวัน ๆ ให้ตายเถอะ ถ้าอากาศไม่ร้อนพี่คงคิดว่าเดินอยู่บนสวรรค์ คิดดูสิ สาวเดินมาสิบ สวยสิบเอ็ดคน"
"หืม?"
"อีกคนเป็นผู้ชาย แต่ก็สวยไร้ที่ติ" ผมได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย
"แบบนี้คนนั้นของพี่ก็ไม่สวยแล้วสิ" เธอหมายถึงใครคนหนึ่งที่ผมมีใจให้ในขณะนี้
"ไม่ ไม่ ไม่เหมือนกัน"
"เค้าอยู่ระดับไหน กาแฟผง กาแฟสด หรือสตาร์บั๊คส์"
"พี่จัดระดับเค้าไม่ได้"
"ทำไม"
"เค้าเป็นบาดแผลในใจพี่"
"หืม?"
"เค้าเป็นความทรงจำที่พี่สลัดไม่หลุด ไม่เคยลืมได้ เค้าอยู่อีกมิติหนึ่ง คนละมิติกับกาแฟ คนละมิติกับการบอกว่าอยู่ระดับไหน บอกว่าเค้าเป็นอย่างไร สวย ไม่สวย น่ารัก ไม่น่ารัก เหมาะ ไม่เหมาะ อยากจีบ ไม่อยากจีบ"
"หมายความว่า?"
"สำหรับเค้า พี่ไม่มีทางเลือกเลย พี่เลือกไม่ได้เลยว่าจะรักหรือไม่รักเค้า เพราะพี่รักเค้า"


๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขอเป็นโหรซีไรต์บ้าง Vol.2

*หมายเหตุก่อนอ่าน

สามเล่มนี้ ผมใช้วิธีการอ่านแบบนักอ่านยากจน คือไปยืนอ่านในร้านหนังสือจนจบเล่ม ดังนั้นจึงอาจเข้าใจเรื่องทั้งหมดในเล่มแบบยังไม่ผ่านการตกตะกอนเหมือนสองเล่มก่อนหน้านี้ที่มีเวลานั่งอ่านอย่างพินิจพิจารณามากกว่า หากพูดถึงแค่ภาพรวมกว้าง ๆ หรือยกบางเรื่องมาอ้างโดยชื่อเรื่องผิด ต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

----------------------------------------------

๓. ๒๔ เรื่องสั้นของฟ้า / ฟ้า พูลวรลักษณ์

หลังจากซีไรต์ครั้งที่แล้ว ฟ้าทำให้ผมเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ไปกับ "โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก" เมื่อต้องรีดเค้นประเด็นและแนวคิดของนวนิยายออกมาเป็นรายงานวิชาการ ซึ่งกินความตั้งแต่ความหมายของการหายใจเข้าออกไปจนถึงทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ การพบกันครั้งใหม่นี้ผมจึงต้องทำใจอยู่สักพักก่อนจะเปิดหนังสืออ่าน

แต่ก็นั่นแหละ, ฟ้ายังคงเป็นฟ้า เขายังกลับมาพร้อมกับการค้นหาความหมายบางอย่าง หรือหลายอย่างในชีวิตผ่านเรื่องสั้นทั้ง ๒๔ เรื่อง (ไม่รู้ว่าคราวนี้เขารวมเล่มประชดรางวัลซีไรต์หรือเปล่า หลังจากครั้งหนึ่ง "๗ เรื่องสั้นของฟ้า" ตกรอบซีไรต์ด้วยเหตุผลว่า มีเรื่องสั้นไม่ถึง ๘ เรื่อง อันเป็นกติกาพื้นฐาน คราวนี้เลยกลับมาด้วยจำนวนเรื่องเป็น ๓ เท่าของขั้นต่ำ)

หากมองในแง่รางวัล ในเล่มนี้ยังมีเรื่องสั้นหลายเรื่องที่ดูเหมือนว่าความคิดยังไม่ตกผลึกดี (หรือผมยังเข้าไม่ถึงเองก็ไม่ทราบได้) เมื่อมันอยู่ในเล่มจึงทำให้พลังของเล่มดรอปลงพอสมควร จึงอาจทำให้ชวดรางวัลได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องสั้นกว่า ๘๐% ของเล่มก็นับว่ามีประเด็นเกี่ยวแก่การค้นหาความหมายของชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย และดูเหมือนจะตกผลึกมาจากผลงานก่อนหน้าอย่าง ๗ เรื่องสั้นของฟ้า และโรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก หากฟ้าไม่ต้องการกล่อง ก็ถือว่ารวมเรื่องสั้นชุดนี้ยังคงความเป็นฟ้าได้อย่างเต็มเปี่ยม ในฐานะนักเขียนเรื่องความคิดและปรัชญาอันแหลมคมให้ผู้คนครุ่นคำนึงตามไม่รู้จบ อันเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยพบเห็นสำหรับนักเขียนไทย

ฟ้า พูลวรลักษณ์ เป็นนักเขียนอีกคนที่ผมยังคงเชียร์อยู่ ในฐานะที่เป็นมือแคนโต้ระดับพระกาฬที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมได้เสมอ และผมยังเคยให้ซีไรต์เรตแก่ "โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก" สูงถึง 90% แต่สำหรับปีนี้ความโดดเด่นของฟ้าอาจจะน้อยลงไปบ้าง เพราะหลายเล่มที่เข้ารอบก็แปลก ๆ ทั้งนั้น

S.E.A. Write Rate 80%

----------------------------------------------

๔. ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต / จักรพันธุ์ กังวาฬ

หากถอดถอนกฎที่ว่า จะต้องมีเรื่องสั้นไม่ต่ำกว่า ๘ เรื่องในเล่มออกไป ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต อาจมีพลังมากกว่านี้ เพราะเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นใหม่ที่ระบุว่า ตีพิมพ์ครั้งแรกในเล่ม มักจะเป็นเรื่องสั้นที่ผมไม่ค่อยชอบนัก อาจเป็นเพราะเมื่อนำไปเทียบกับเรื่องสั้นที่ผ่านการตีพิมพ์จากนิตยสารอื่นจะเห็นพลังที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นเรื่อง "สารคดีที่ผู้เขียนไม่รู้ตอนจบ" เป็นเรื่องเล่าที่ทรงพลัง แต่เมื่ออยู่คู่กับ "เรื่องสั้นที่ผู้เขียนไม่รู้ตอนจบ" เรื่องหลังกลับดึงอีกเรื่องที่อยู่คู่กันให้เสียหลักไปดื้อ ๆ เหมือนว่าผู้เขียนเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมารวมเพื่อให้ครบ ๘ เรื่องเท่านั้น ผมคิดว่ามีสัก ๕-๖ เรื่องในเล่มก็น่าจะ "อิ่ม" มากพอแล้วสำหรับการเล่นกับระยะห่างของการเล่าเรื่อง หากมีมากไปโดยคุมไม่อยู่ จะเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อไปเปล่า ๆ

การทดลองวิธีการเล่าเรื่องหลากหลายรูปแบบ บางครั้งอาจเป็นเรื่องน่าติดตาม แต่หากติดกับดักในกลวิธีการเล่าเรื่องมากไปก็จะกลายเป็นเรื่องสั้นที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ภาพลวงของการเล่าเรื่อง (หากเรายังคงเชื่ออยู่ว่าเรื่องสั้นคือการเล่าอะไรบางอย่าง)

หากมองแค่บางเรื่อง ถือว่าผู้เขียนก้าวหน้าขึ้นมามากในฐานะนักเขียนเรื่องสั้น มีหลายเรื่องที่ถือว่า "แน่น" จริง ๆ แต่โดยภาพรวม ผมยังชอบ "นักเดินทางสู่ห้องเก็บของใต้บันได" รวมเรื่องสั้นชุดก่อนหน้าของเขามากกว่า หากท่วงทำนองเสียดเย้ยจากเล่มก่อนหน้ามาผสานกับวิธีการเล่าเรื่องที่ลงตัวในบางเรื่องของเล่มนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีปรากฏการณ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นในวงการเรื่องสั้นไทยก็เป็นได้

S.E.A. Write Rate 60%

----------------------------------------------

๕. เรื่องของเรื่อง / พิเชษฐศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์


ผู้เขียนเคยมีชื่อในการเขียนบทกวีมาก่อน และผมเคยเห็นเรื่องสั้นหลายเรื่องผ่านตาในเวที "ช่อการะเกด" จัดเป็นนักเขียนที่น่าจับตามองคนหนึ่ง แต่พูดกันตรง ๆ ผมเห็นเหมือนที่รุ่นน้องคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตไว้ คือเล่มนี้ดูเหมือนจะธรรมดามากกว่าเล่มอื่น ๆ ที่เข้ารอบเจ็ดเล่มสุดท้าย ในยุคที่เรื่องสั้นแข่งกันหวือหวาด้านกลวิธีการเล่าเรื่อง "เรื่องของเรื่อง" กลับมาพร้อมกับกลวิธีแบบธรรมดา ๆ หรือถ้าจะมีหวือหวาก็เพียงเล็กน้อย

แต่ก็นั่นแหละ บางเรื่องซึ่งผมเห็นว่าธรรมด๊าธรรมดา อย่างเช่นเรื่อง "มันอยู่ในนั้น" ที่ลงตีพิมพ์ในช่อการะเกด ฉบับที่ 54 ก็กลับเป็นเรื่องที่ได้รับการประดับช่อการะเกดจากสุชาติ สวัสดิ์ศรี ดังนั้นไม่แน่ว่า เรื่องธรรมดาเรียบง่ายในสายตาผมและรุ่นน้อง อาจมีอะไรลึกล้ำซ่อนอยู่ที่คนอ่านระดับธรรมดาอย่างเรา ๆ ยังเข้าไม่ถึงก็เป็นได้

(แม้ผมจะให้ซีไรต์เรตไว้น้อย แต่ก็นั่นแหละ, "ความสุขของกะทิ" ก็ได้เรตเท่านี้เหมือนกัน สุดท้ายกลับกลายเป็นวรรณกรรมซีไรต์ที่ขายดีที่สุดจนถึงปัจจุบัน)

S.E.A. Write Rate 40%

----------------------------------------------
*อนึ่ง S.E.A. Write Rate เป็นการให้เรตว่าเล่มนี้มีเปอร์เซ็นต์น่าจะได้แค่ไหนจากการคาดเดาความคิดของกรรมการรอบสุดท้าย จากความสมบูรณ์ของเล่ม ความหนักแน่นของธีม ความเข้ากันระหว่างเนื้อหากับกลวิธีที่ใช้ ฯลฯ ไม่เกี่ยวกับความชอบส่วนตัวแต่อย่างใด


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กวีรักเดียงสา หมายเลข ๒: รู้เดียงสา

"จะไปรับผิดชอบหัวใจใครได้
แผลใจตัวเองยังรักษาไม่เคยหายเลย"
เสียงสัจธรรมแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง
ระงมเหมือนจิ้งหรีดกรีดกราวในรัตติกาล
อาจซุกซ่อนอยู่ในป่ารกชัฏของสำนึกสามานย์
หรือวางเด่นบนทุ่งโล่งของกระแสธารความสงัด

ไม่มี
ไม่เห็น
อื่นใดนอกจากความจริง

เรื่องน่าเศร้าในตอนต้นของนิทานที่ไม่มีใครเคยเล่า
โบราณอาจจะลืมกันไปหมดแล้ว, เว้นแต่เพียง "กาลครั้งหนึ่ง"
นั่นทำให้มายาคติทบซ้อนเป็นปราการนานกว่าหมื่นปี
ตัวตลกน่าหัวร่อนับตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเรียกขาน
แต่ทันทีที่ตัวตลกเผลอหัวเราะเสียเอง มันก็มีชื่อเรียก

หนึ่งหยดน้ำกระเซ็นซ่าน
ร้อนเหมือนไฟ
น้ำตา

ตราบเท่าที่ตนเองยังไม่พบความรุงรังในชื่อเรียก
อวัยวะสามสิบเอ็ดส่วนก็จะหายสาบสูญในโลกแสนเศร้า
ใครเลยจะรู้ว่าชิ้นที่สามสิบสองของบางคนสูบฉีดความรักมากกว่าเลือด
แม้แต่กระจกวิเศษในนิทานก็ไม่เคยบอกได้
เพราะจุมพิตของเจ้าชายต่างหากที่ปลุกเจ้าหญิงให้ฟื้น
มิใช่ความห่วงใยของคนแคระ

เวลาน้อยเกินไปเสมอ
สำหรับ
สิ่งสำคัญ

พร่ำบ่นคำตถตาไม่หยุดปาก
แต่เด็กน้อยใจบาปโง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจแม้แต่สูตรคูณ
อาจต้องใช้ตรรกะมากกว่าหมื่นชุดเพื่อเข้าใจหนึ่งคำ
ใครบางคนสร้างกรงนกเพื่อที่จะปล่อยนก
พ้นเกินตรรกะกว่าหมื่นล้านชุดของนักรู้เดียงสาอย่างฉัน


๑๒/๐๖/๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจ้าหมาขาเป๋

เจ้าหมาขาเป๋อยู่ในกระบะหลังร้าน เจ้าของร้านคงเก็บไว้เป็นของแถม หรือรอคนใจบุญรับไปเลี้ยง เพราะมันขาเป๋ เวลาเดินต้องลากขาไปมา ดูไม่น่ารัก คงขายไม่ได้ ซ้ำยังเปลืองอาหาร ไม่เหมือนหมาน้อยหลายตัวหน้าร้าน พวกมันขาไม่เป๋ พวกมันจึงน่ารัก และคงขายได้ราคางาม

เจ้าหมาขาเป๋อยู่ในกระบะหลังร้าน เจ้าของร้านคงรอคนใจบุญรับไปเลี้ยง เขาคงยินดีมอบให้หากฉันเอ่ยปากขอ แต่ฉันไม่อยากขอ ฉันคิดจะซื้อในราคาเท่ากันกับหมาตัวอื่น แต่มีเงินไม่พอ พ่อบอกว่าจะซื้อของที่ฉันอยากได้ให้หากฉันสอบได้ที่หนึ่ง แต่ฉันไม่เคยได้ที่หนึ่ง เงินฉันจึงไม่เคยพอแม้แต่จะซื้อเจ้าหมาขาเป๋

เจ้าหมาขาเป๋ครางหงิง ๆ ส่งสายตาออดอ้อน ฉันตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ฉันไม่อยากขอเจ้าของร้าน หยิบเงินในกระเป๋ามานับอีกที เงินไม่พอ ได้แต่หวังว่าสักวันฉันคงมีเงินพอมาซื้อเจ้าหมาขาเป๋

ฉันมองเจ้าหมาขาเป๋เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินลากขาออกไปจากร้าน

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขอเป็นโหรซีไรต์บ้าง Vol.1

สืบเนื่องจากวันก่อน ทะนาคาน มิตรสหายร่วมวงการน้ำหมึก ได้มาชักชวนให้ข้าพเจ้าสวมวิญญาณโหรซีไรต์ทายว่าปีนี้หวยจะออกที่เล่มไหน ข้าพเจ้าได้แต่บอกปัดเพราะไม่เคยทายถูกเลยแม้แต่ปีเดียว หากข้าพเจ้าเป็นโหร ก็นับเป็นโหรตาถั่วใช่ตาทิพย์พอ ๆ กับเปเล่ ไม่สมควรทำนายทายทักอะไรอีก เพราะความซวยจะตกอยู่ที่เล่มที่ข้าพเจ้าเก็ง อีกประการหนึ่ง เล่มที่เดาว่าจะเข้าเจ็ดเล่มก็หลุดไปหมดแล้ว เว้นแต่ นิมิตต์วิกาล ของ อ.ต้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเกิดความห่อเหี่ยวอย่างมากในการที่จะเดาเจ็ดเล่มนี้

อย่างไรก็ตาม วันก่อนข้าพเจ้าโดนกระทุ้งมาจากรุ่นน้องคนหนึ่งอีกทีว่าให้ลองทายดู เนื่องจากเสียงกระทุ้งนั้นเป็นเสียงหวาน ๆ ซึ่งชวนให้หัวใจครึกครื้น ไม่ใช่เสียงของนักเขียนหนุ่มอย่างทะนาคานซึ่งชวนให้ห่อเหี่ยวใจ (ฮาฮา) จึงคิดว่า เอาน่า ทายเล่น ๆ ละกัน แต่การทายครั้งนี้ก็มีอุปสรรคอยู่ เพราะข้าพเจ้าเพิ่งได้อ่านไปแค่ ๒ ใน ๗ เล่ม บวกกับบางเรื่องของจเด็จและพิเชษฐศักดิ์ที่ได้ลงในช่อการะเกด จึงกล่าวถึงในตอนนี้ได้แค่ ๒ เล่มเท่านั้น

-------------------------------------------

๑. นิมิตต์วิกาล / อนุสรณ์ ติปยานนท์

ว่ากันตามจริง ผมชอบ "เคหวัตถุ" ผลงานเล่มก่อนหน้าของ อ.ต้นมากกว่า (แล้วก็เชียร์ให้ได้ในปีนั้น สุดท้ายก็ปิ๋ว) เพราะเล่มนั้นมีเรื่องเล่าทรงพลังระดับทัดเทียมกันทั้งเล่ม และเกาะเกี่ยวธีมเล่มอย่างเป็นเอกภาพมากกว่า ขณะที่เรื่องราวใน "นิมิตต์วิกาล" ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจมารวมกันให้ธีมของเล่มเป็นเอกภาพ (หรือผมเข้าไม่ถึงเองก็ขออภัย)

นิมิตต์วิกาล เล่าถึงเรื่องราวความเว้าแหว่งของมนุษย์ การค้นหาความหมายของบางสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริง เรื่องราวร่วมสมัยเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยการเล่าเรื่องที่ไม่อาจนิยามได้ เช่นเดียวกับเรื่อง นิมิตต์วิกาล เรื่องสั้นชื่อเดียวกับเล่มที่พูดถึงเส้นแบ่งเขตแดนที่ไม่มีอยู่จริงไม่ว่าจะเป็นดินแดนของสองประเทศ ดินแดนความจริง-ลวง ดินแดนความเป็น-ตาย ความสว่าง-มืด ความดี-เลว และคู่ตรงข้ามทั้งหลายในโลกที่ไม่มีพรมแดนอยู่จริง โดยนัยนี้ เรื่องเล่าทั้งหมดในนิมิตต์วิกาลจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่าง นิยาย/เรื่องสั้น/บทกวี/สารคดี/เรื่องจริง/เรื่องแต่ง/ความจริง/ความลวง จนคล้ายกับการถอยกลับไปสู่ "การเล่าเรื่อง" แบบโบราณกาลในยุคที่มนุษย์ยังไม่มีชื่อเรียกสิ่งต่าง ๆ ผ่านปากคำของคนร่วมสมัย ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าชมเชยของนักเขียนไทยที่น้อยคนนักจะทำได้ขนาดนี้

สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับเล่มนี้คือ ขณะที่ "น้ำตากวาง" "นิมิตต์วิกาล" และ "มรณสักขี" เป็นเรื่องเล่าที่ทรงพลังเอามาก ๆ ส่วน "เงาแห่งฝน" และ "ปัตตาเวีย" แม้จะทรงพลังน้อยกว่า แต่ก็อยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน เรื่องที่ข้าพเจ้าคิดว่าหลุดระดับลงมาคือ "สัตว์ประหลาด" ซึ่งทำให้พลังของเล่มตกไปอย่างน่าเสียดาย ส่วน "รักแรก" และ "เรือรักที่จมลงในถ้วยกาแฟ" ดูเหมือนจะเป็นอารมณ์ที่ต่างจากเรื่องอื่นในเล่ม ชวนให้นึกถึงการตามหาบางสิ่งที่สูญหายแบบมูราคามิมากกว่า

หากจะพูดถึงการได้ซีไรต์ เล่มนี้น่าจะเป็นการ "วัดดวง" ทำนองเดียวกับ "ทะเลน้ำนม" นวนิยายของชัชวาลย์ โคตรสงคราม ที่ข้าพเจ้าเชียร์เมื่อปีก่อนหน้า เนื่องจากลักษณะทั้งหมดของเล่มค่อนข้างจะหลุดออกไปจากกรอบที่เรา ๆ คุ้นเคย อย่างไรก็ดี ด้วยความที่คนเขียนหน้าตาดี (ไม่เกี่ยว ฮาฮา) และเป็นหนึ่งในเล่มที่ข้าพเจ้าเชียร์มาแต่แรก ก็คิดว่าคงจะเชียร์กันต่อไปจนกว่าผลจะออกมา

S.E.A. Write Rate 70%

---------------

๒. กระดูกของความลวง / เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

ขณะที่นักเขียนท่านอื่นมาพร้อมกับชุดความคิดอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่องและกลวิธีการเล่าอันซับซ้อน เรวัตร์กลับเขียนเรื่องสั้นชุดนี้เพื่อให้ "รู้สึก" มากกว่า "เข้าใจ" แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักสำหรับผู้เขียนซึ่งเป็นกวี ผู้รู้อำนาจของเสียงและถ้อยคำที่จะสั่นสะเทือนความรู้สึกของผู้อ่าน อย่าไปสนเลยว่ามันเป็นแมจิคอลหรืออะไร เพราะจุดเด่นของเล่มนี้คือเรวัตร์หยิบเอาเสียงและถ้อยคำมาวางไว้ในจุดที่เหมาะสมของฉันทลักษณ์ในแบบ "เรื่องสั้น" จึงไม่แปลกที่เมื่ออ่านจบ สิ่งแรกที่ผุดวาบมาในความคิดไม่ใช่ความเข้าใจหรือชุดความคิดในเรื่อง แต่เป็นก้อนความรู้สึกที่สั่นสะเทือนให้หัวใจไหวหวั่น

สิบสองเรื่องที่บรรณาธิการกล่าวว่าอิงอ้อมอยู่กับปีนักษัตรอย่างหลวม ๆ แท้จริงแล้วมันก็คือวงจรชีวิตไม่รู้จบของมนุษย์อย่างที่ผู้เขียนโปรยไว้ว่าเป็น "เรื่องสั้นไม่รู้สิ้น" ไม่มีความคิดอะไรใหม่ในสิบสองเรื่องนี้ มีก็แต่เพียงการคว้านควักเข้าไปในความรู้สึกของผู้อ่านอย่างถึงแก่น และตระหนักว่าชีวิตก็ไม่ต่างอะไรกับตัวอักษรที่จัดวางอยู่บนหน้ากระดาษ เพราะมันคือการประกอบสร้างกันโดยไร้แก่นสารเท่านั้น

หากอัศศิริ ธรรมโชติ "เขียนเรื่องสั้นโดยใช้ภาษากวี" รวมเรื่องสั้นชุดนี้ก็คงเป็นการทดลอง "เขียนบทกวีในรูปแบบเรื่องสั้น" ที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ (มากกว่าอีกเรื่องสั้นชุดหนึ่งของผู้เขียนอีกคนซึ่งกล่าวอ้างวิธีการนี้ แต่ทำได้ไม่ถึง) ซึ่งเป็นอีกวิธีการเล่าเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามอง

หากเล่มนี้จะได้ซีไรต์ก็ถือว่าไม่น่าเกลียด เพราะมีความบริบูรณ์ทั้งเนื้อหา ภาษา ธีมเล่ม ชื่อชั้นคนเขียน อย่างน้อยที่สุดเวลาเขียนคำประกาศก็คงจะเขียนได้ง่ายและครบถ้วนกว่าเล่มอื่น ๆ

S.E.A. Write Rate 80%

----------------------------------------------

*อนึ่ง S.E.A. Write Rate เป็นการให้เรตว่าเล่มนี้มีเปอร์เซ็นต์น่าจะได้แค่ไหนจากการคาดเดาความคิดของกรรมการรอบสุดท้าย จากความสมบูรณ์ของเล่ม ความหนักแน่นของธีม ความเข้ากันระหว่างเนื้อหากับกลวิธีที่ใช้ ฯลฯ ไม่เกี่ยวกับความชอบส่วนตัวแต่อย่างใด เช่น นิมิตต์วิกาลอาจจะได้ซีไรต์เรตน้อยกว่ากระดูกของความลวง แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ผมก็ยังชอบนิมิตต์วิกาลมากกว่า เป็นต้น

ถ้าได้อ่านเพิ่มเติมก่อนประกาศผล อาจจะมาเขียนต่อ Vol.2 นะคร้าบ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๓ สิงหาคม ๒๕๕๔

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บางบทบันทึกในมิตรภาพของเจ้าชายน้อย

"What must I do, to tame you?" asked the little prince.
"You must be very patient," replied the fox.
"First you will sit down at a little distance from me -like that- inthe grass.
I shall look at you out of the corner of my eye, and you will say nothing.
Words are the source of Misunderstandings.
But you will sit a little closer to me, everyday..."

The Little Prince
By Antoine de Saint-Exupery

"ฉันต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เธอเชื่อง" เจ้าชายน้อยถาม
"เธอต้องใช้ความอดทนอย่างมาก" สุนัขจิ้งจอกตอบ
"แรกเริ่ม เธอต้องนั่งบนผืนหญ้าให้ห่างฉันเล็กน้อยโดยไม่ต้องพูดอะไร
คำพูดเป็นที่มาของความเข้าใจผิด
แล้วเธอก็ค่อย ๆ ขยับเข้ามานั่งใกล้ฉันทีละน้อย ทีละน้อย
ใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน..."

เจ้าชายน้อย
ผู้เขียน อองตวน เดอ แซงแต็กซูเปรี
๒ สิงหาคม ๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ

ในวันที่ฉันข้ามเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ
ฉันรู้อยู่แก่ใจว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว
มันพ้นจากมิติสถานที่ เวลา ความสัมพันธ์ และความสัมพัทธ์ทั้งมวล
ไม่อนุญาตแม้เพียงหันหลังกลับมามองรอยเท้า

แล้วฉันก็เลือกที่จะหยิบกลุ่มก้อนความรู้สึกติดมือไป
แม้ว่าลมหายใจจะเริ่มเบาบางจนจับต้องไม่ได้
ได้แต่หวังว่า มันจะเป็นบางสิ่งที่มีความหมายสำหรับฉัน
แม้สุดท้ายมันจะกลายเป็นความว่างเปล่าเมื่อเดินไปจนสุดเขตแดน

พ้นจากจุดเริ่มต้นเขตแดนอย่างไร้ทิศทาง
พันธนาการที่ผูกไว้กลับกลายเป็นกับดัก
ได้แต่คิดว่า บนเส้นแบ่งระหว่างเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ
ฉันน่าจะฝังกลบทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนั้น

แต่ฉันทำไม่ได้หรอก, มันสายเกินไป
เขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับไม่อนุญาตแม้เพียงหันหลังกลับมามองรอยเท้า
บางสิ่งที่มีความหมายกลายเป็นสัมภาระหนักสำหรับความเปราะบาง
บนเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับอันกว้างไกลไม่สิ้นสุด

เพราะมนุษย์ไม่มีแม้แต่ทฤษฎีที่เป็นไปได้สำหรับการย้อนเวลา
และการเช็ดน้ำตานั้นง่ายกว่ามาก
นั่นคือตรรกะ, หลายคนจึงเลือกอย่างหลัง
แม้จะต้องเช็ดน้ำตาไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

ในวันที่ฉันข้ามเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ
ฉันรู้อยู่แก่ใจว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว
นอกเสียจากการเดินทางไปไกลกว่านิรันดร
หรือทิ้งเศษซากวิญญาณอันเปล่ากลวงไว้ที่ใดที่หนึ่งในเขตแดนนี้

๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว

นั่นสินะ
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
ไม่มีเวลามากพอจะค้นหา
ไม่มีเวลามากพอจะพินิจพิจารณา
ไม่มีเวลามากพอจะลองผิดลองถูก
ไม่มีเวลามากพอสำหรับสิ่งสำคัญ

เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
อาจจะมีแต่ฉันที่ยังหลงอยู่ในเนเวอร์แลนด์
ค้นหาบางสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริง
พิจารณาบางสิ่งที่ไม่มีความหมาย
ลองผิดลองถูกบางสิ่งซึ่งไม่มีคุณค่าพอ
ให้คุณค่าบางสิ่งที่ไร้สาระเป็นสิ่งสำคัญ

เธอบอกฉันว่า กลับมาเถอะนะ
ไม่มีใครจะอยู่ในเนเวอร์แลนด์ได้ตลอดทั้งชีวิตของเขา
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
ทันทีที่ตื่น ดินแดนแห่งนั้นจะสูญสลาย
ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ความจริงก็จะรุกไล่ทำร้าย
เธอกระซิบบอกฉันในวันที่ฉันยังหลับตา

นั่นสินะ
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
ฉันลืมตาแล้วแลกเปลี่ยนบทสนทนา
นั่นสินะ
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
เราควรจะ...
เราควรจะ...
เธอนิ่งรอฟังคำพูดต่อไปของฉัน
คำพูดที่ถูกฝังอยู่ในหลุมดำแห่งความเงียบงัน
ฉันพยายามจะเอ่ยเอื้อน แต่ดูเหมือนบางสิ่งกำลังพังทลาย
แล้วฉันก็ลืมตาขึ้น

แท้จริงแล้ว กระทั่งการกระซิบของเธอ
ยังเป็นเพียงความฝันเพ้อของฉันเอง
ทันทีที่ลืมตา
เนเวอร์แลนด์วูบวับสูญสลาย
และเธอ
ไม่มีอยู่จริง


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๒/๐๗/๒๕๕๔

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทบันทึกของคนเสพติดความเหงาถึงหญิงสาวตึกตรงข้าม

(1.)

จักรวาลของคนเหงา อาจกว้างเท่าหนึ่งห้องนอน ฉันเคยได้ยินคำนี้มาจากไหนก็จำไม่ได้ แต่รู้สึกว่ามันจริงเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะกับคนที่เติบโตมาด้วยการอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ เพียงคนเดียวเกือบสิบปี

จักรวาลของฉันไม่ต้องการพื้นที่มากเลย เพียงแค่พื้นที่วางเตียงมุมหนึ่ง วางโต๊ะคอมฯ มุมหนึ่ง และเดินอีกสามก้าวก็จะถึงห้องน้ำ มีกองหนังสือวางอยู่กลางห้อง และแน่นอนกองหนังสือนั้นจะแยกตัวไปตามมุมต่าง ๆ ของห้อง ทั้งเตียง โต๊ะคอม และห้องน้ำ เมื่อทำหน้าที่เสร็จสิ้นมันจะลอยกลับมากองที่กลางห้องดังเดิม

ฉันพอใจในพื้นที่ของจักรวาลนี้เสมอ ไม่ว่าฉันจะย้ายห้องไปอยู่ที่ไหน ฉันก็จะจัดห้องในลักษณะนี้ เป็นสามเหลี่ยมทางสถาปัตยกรรมที่กำหนดวงจรซ้ำซากของชีวิตผู้เสพติดความเหงาได้ดีนัก

(2.)

ฉันเดาเอาเองว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพราะฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องเล็ก ๆ ห้องนั้น

ฉันพบเธอครั้งแรกเมื่อปรับนาฬิกาชีวิตให้ตรงข้ามกับคนปกติ คือนอนตอนกลางวัน และตื่นตอนกลางคืน ฉันรักตอนกลางคืนเพราะความสงัดของรัตติกาลมักมีกำนัลมามอบแด่ฉันเสมอ อักขระอันงดงามสำหรับฉันมักมาพร้อมเสียงจิ้งหรีดเรไรกรีดปีกในราตรีมากกว่าเสียงนกจิ๊บแจ๊วยามอรุณรุ่ง

ฉันไม่รู้ว่าค่ำคืนของเธอน่าอภิรมย์สักเพียงใด รู้แค่ว่าไฟดวงนั้นจะเปิดพรึ่บตอนประมาณตีสามหรือตีสี่ ผ้าม่านสีเขียวอ่อนถูกเธอรูดเปิดออก เธอกลับมาพร้อมเสื้อผ้าน้อยชิ้น โยนกระเป๋าไปอีกทางหนึ่งของห้องอย่างไม่อินังขังขอบ บางครั้งเธอเริ่มถอดเสื้อผ้า

น่าแปลกใจจัง ทำไมฉันไม่เห็นเธอตอนแต่งตัวเพื่อเตรียมออกไปที่ไหนสักที่ ทุกครั้งที่ฉันเห็นคือตอนที่เธอกลับมา ทำไมเธอถึงต้องเปิดผ้าม่านออกทุกครั้งที่เธอกลับมา บางครั้งเธอกล้าถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ชุดชั้นในตรงหน้ากระจก อาจเป็นเพราะเธอเห็นว่าไฟทุกดวงของตึกฝั่งตรงข้ามดับหมดแล้ว อาจจะจริง เพราะตึกที่ฉันอยู่ส่วนมากเป็นคนวัยทำงาน ไม่มีใครอยู่ดึกดื่นเกินตีสองตีสาม ห้องฉันนั้นเล่าก็ปิดไฟมืดสนิท เหลือแต่ไฟหัวเตียงที่สว่างพอสำหรับหนังสือดี ๆ สักเล่มเท่านั้น

(3.)

เปล่านะ, ฉันไม่ได้เป็นพวกถ้ำมอง เพียงแค่เราอยู่ตึกตรงข้ามกัน และห้องของเธอก็บังเอิญอยู่ตรงกับห้องฉัน เพียงแค่ฉันเพ่งมองตรง ๆ จากระเบียง ก็มองเห็นความเคลื่อนไหวของเธอผ่านกระจกใสบานใหญ่หลังห้องนั้น

ฉันเดาเอาเองว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพราะฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องนั้น แต่ฉันอาจเดาผิดก็ได้ อาจมีใครอีกคนนอนหลับอยู่ที่เตียงซึ่งฉันไม่เห็น นอกจากจะคาดเดาถึงเพื่อนร่วมห้อง ฉันยังคาดเดาถึงชีวิตของเธอ งานที่เธอทำ ลักษณะนิสัยใจคอ บางครั้งฉันคาดเดาขนาดที่ว่าเธอใช้สบู่ยี่ห้ออะไร กลิ่นแบบไหน แต่นั่นแหละ ทั้งหมดมันก็แค่จินตนาการฟุ้งฝันที่วางอยู่บนฐานการคาดเดาอย่างไร้สาระของฉันเอง

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันรับเอาเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจเป็นเพราะทุกครั้งที่ฉันต้องเขียนงานยาก ๆ ซึ่งต้องการสมาธิและความเงียบสงัดจนต้องหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับด้าน ฉันมักจะพบชีวิตของเธอเคลื่อนไหวอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ฉันจำได้ ไฟเปิดพรึ่บ รูดม่านสีเขียว โยนกระเป๋า ถอดเสื้อผ้า แล้วเดินหายไปครู่ใหญ่ บางครั้งก็เวียนมาทำอะไรจุกจิกหน้ากระจกบ้างพร้อมกับผ้าขนหนูคาดอก เมื่อถึงเวลาประมาณตีห้าหรือแสงอรุณรำไรเริ่มถักทอ ไฟดวงนั้นก็จะดับพรึ่บลง ม่านสีเขียวรูดปิดสนิท เป็นเช่นนี้เสมอ ๆ

เราจากกันเมื่อฉันหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับมาเป็นปกติ แล้วเราก็พบกันอีกเมื่อฉันหมุนเข็มนาฬิกากลับด้าน

(4.)

ความอยากรู้อยากเห็นคาดคั้นเค้นความกับฉันหลายต่อหลายครั้งว่าเธอเป็นใคร ขณะที่ความเหงาพยายามบ่ายเบี่ยงคำถามด้วยคำตอบว่า ไม่ต้องสนใจหรอก เธอเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่เราต่างก็เป็นคนเหงาเหมือนกัน

ฉันเดาเอาเองว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพราะฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องนั้น บางครั้งฉันเหมือนคนบ้าที่พยายามจับผิดว่ามีใครอีกคนในห้องหรือเปล่าด้วยการมองหาเสื้อผ้าผู้ชายที่แขวนไว้ตรงระเบียง แต่ก็เหมือนเดิม มีแต่เสื้อผ้าผู้หญิงที่แขวนรอแสงอาทิตย์มาอบให้แห้ง แต่เธอก็อาจไม่ได้อยู่คนเดียว เธออาจมีเพื่อนผู้หญิงอยู่ในห้องนั้น แต่ก็นั่นแหละ ฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องนั้น จึงนำมาสู่ข้อสรุปง่าย ๆ ในใจของฉันว่า เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว

ส่วนข้อสรุปว่า เราต่างก็เป็นคนเหงาเหมือนกัน ฉันสรุปเอาเองโดยไม่มีสมมติฐานที่น่าเชื่อถือ มันเป็นเพียงความรู้สึก ความรู้สึกอย่างที่คนเสพติดความเหงาจะรู้สึกร่วมกัน แต่อันที่จริงฉันก็พอมีสมมติฐานอยู่บ้าง บางค่ำคืนของวันอังคารและพฤหัสช่วงปลายเดือน บางคืนเธอไม่ได้ออกไปไหน เธอจะอยู่ที่ห้อง ม่านสีเขียวถูกเปิดออกแม้จะยังไม่ถึงตีสาม ขณะที่ห้องอื่นเปิดไฟสว่างโร่ ห้องของเธอกลับปิดไฟมืด มีเพียงแสงสีเงินยวงจากโทรทัศน์เท่านั้นที่ห่มคลุมร่างของเธออยู่เบาบาง

เพียงเท่านั้นแหละ สมมติฐานที่นำมาสู่ข้อสรุปว่าเธอเองก็เป็นคนเหงา

บางทีเธออาจจะแค่อยากประหยัดไฟ บางทีเธออาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย แค่อยากดูโทรทัศน์ในที่มืด ๆ แต่สำหรับฉันแล้ว มีก็แต่คนเหงาเท่านั้นที่รู้ว่าแสงสีเงินเช่นนี้อบอุ่นเพียงใด มันเป็นแสงที่ดูเย็นชา แต่ทว่าเมื่อได้ฝังร่างลงไป คนเหงากลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกว่าแสงสีอื่น

(5.)

วันนี้เป็นอีกวันที่เธอห่มคลุมแสงสีเงินมาตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีสาม

วันอังคาร ปลายเดือน เธออาจจะมีเหตุอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ไปไหน ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ฉันหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับด้าน เราจึงได้พบกัน

ตีสาม ฉันเริ่มเหนื่อยกับงาน ปิดไฟโต๊ะคอม ปิดจอคอม เดินออกมาที่ระเบียง สูดอากาศยามราตรี เย็นเยือกแต่อุ่นอวลด้วยร่องรอยความสงัด แสงสีเงินห่มคลุมร่างเธอนิ่งนาน สักพักเธอลุกขึ้น แสงสีเงินดับลง เธอคงกำลังจะนอน แต่ผ้าม่านยังไม่ปิด

กระจกหลังห้องเปิดออก เธอเดินออกมาที่ระเบียงพร้อมกระป๋องเครื่องดื่มในมือ ยืนนิ่ง เปิดกระป๋อง จิบเครื่องดื่มเบา ๆ แล้วทอดสายตา

เราสบตากัน

ระยะทางนั้นห่างไกลเกินกว่าจะแน่ใจว่าสายตาของเธอกำลังจ้องมองมาที่ฉัน แต่หากจะหยั่งวัดกันที่ความรู้สึกนั้น ฉันคิดว่าใช่

ไม่รู้ว่าเธอมองมาด้วยความยินดีหรือยินร้าย เช่นเดียวกับฉันที่บอกไม่ได้ว่ารู้สึกยินร้ายหรือยินดี เธอจิบเครื่องดื่มเข้าไปอีกอึก แล้วเราสองคนก็นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานราวกับนิรันดร์กาล

ความคิดร้อยแปดอย่างวิ่งเข้ามาในสมองฉัน บ้างก็ว่าอยากให้ฉันโบกมือทักทาย บ้างก็ว่าอยากให้ฉันตะโกนคุยข้ามตึก บ้างก็ว่าอยากให้ฉันบอกเธอว่ารออยู่ตรงนั้นนะ แล้วปั่นจักรยานไปยังตึกนั้นทันทีทันใด แต่ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือ ส่งรอยยิ้มเบา ๆ ในความมืด ซึ่งไม่รู้ว่าจะเดินทางไปถึงอีกฟากฝั่งหรือเปล่า

เธอจิบเครื่องดื่มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังหับห้อง ปิดผ้าม่าน แล้วดำเนินชีวิตพ้นจากการเฝ้ามองของฉันในค่ำคืนนี้

(6.)

ปิดคอม ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดไฟหัวเตียง หยิบหนังสือหนึ่งเล่มขึ้นมาอ่าน แต่ใจฉันวันนี้กลับไม่สงบเหมือนเคย ใจกระหวัดถึงหญิงสาวตึกตรงข้าม แต่ด้วยความรู้สึกใดฉันก็ไม่รู้ได้ ทิ้งหนังสือลงกลางห้อง จากพรุ่งนี้ไปเข็มนาฬิกาชีวิตของฉันจะหมุนกลับเป็นปกติ นั่นหมายความว่าเราอาจไม่พบกันจนกว่าเข็มจะเปลี่ยนทาง แต่จะสำคัญอย่างไรเล่า เพราะไม่ว่าเข็มนาฬิกาจะหมุนในลักษณาการไหน จักรวาลของคนเหงาก็ยังกว้างเท่าหนึ่งห้องนอนเหมือนเดิม

ปิดไฟหัวเตียง หลับตา เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าพื้นที่ในจักรวาลของฉันแคบลงไปถนัดใจ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๐/๐๗/๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การตามหาหญิงสาวในคืนฝนตก (2)

"ที่เค้าเลิกกับพี่ ไม่ใช่เพราะเค้าหมดรักพี่หรอก แต่เป็นเพราะเค้าไม่เคยรักพี่มากกว่า"
เธอพูดราวกับหยั่งลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจผมเรียบร้อยแล้ว หรือผมกำลังคุยกับจิตใต้สำนึก-แน่นอน, ไม่มีใครควบคุมจิตใต้สำนึกได้
"แล้ว-ทำไม..."
"เค้าก็อาจจะแค่สงสารพี่ แค่เห็นใจพี่ หรือแค่เหงา แค่ไม่มีใคร แค่รอเวลาให้คนที่ดีกว่าผ่านเข้ามา"
"แค่นั้นเองหรือ"
"แล้วพี่ล่ะ พี่รักเค้าเพราะอะไร"
"พี่ไม่เคยรักเค้า..."


บางคนเมื่อตกหลุมรัก จะรู้สึกหวิวไหวเหมือนตกจากที่สูง บางคนรู้สึกใจเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นกระดอนออกมาจากอก แต่สำหรับผม คล้ายกับไม่รู้สึกอะไรเลย ความที่ไม่รู้สึกนั้นอาจเรียกว่าเป็นความไม่แน่ใจ-ไม่แน่ใจว่านี่คือความรักหรือเปล่า ความรู้สึกนั้นสดใหม่และแปลกต่างเกินที่จะรู้จักหากไม่เคยมาก่อน มันไม่มีตรรกะ เหตุผล หรือทฤษฎีวิเคราะห์อันใดพ่วงท้าย เป็นเพียงกลุ่มก้อนของความรู้สึกที่ทรงพลังมากจนมิอาจต้านทาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่ได้กลับมาพบคนที่ตกหลุมรักอีกครั้ง ความรู้สึกก็คือหัวใจนั้นเปล่าโหวงเคว้งคว้างเหมือนอยู่ท่ามกลางโลกไร้แรงดึงดูด และเมื่อได้อยู่ใกล้ใครคนนั้น ความคิดและห้วงคำนึงทุกอณูเป็นสีขาวโพลน
ปรารถนาประการเดียวคือเติมเต็มในสิ่งที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
อาจจะเคยพูด หรืออาจจะไม่เคยพูด แต่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะบางครั้งความเงียบนั้นทำงานได้ดีกว่าคำพูดนับร้อยล้านคำ ท่ามกลางบทสนทนาว่าด้วยเรื่องราวร้อยแปด ตรรกะพันชุด และทฤษฎีวิเคราะห์นับหมื่น เรากลับไม่เคยมองเห็นเสี้ยววินาทีของช่องว่างที่อยู่ระหว่างลมหายใจ
เธอไม่เคยถามคำถามสำคัญคำถามหนึ่ง-คำถามที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

"เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอคะ"
"ฮื่อ"
"แล้วพี่คิดยังไง"
"เธอก็รู้อยู่แล้วนี่"
"ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้?"
"พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโชคชะตาก็เหมือนเด็กซน ๆ ที่ชอบแกล้งเขี่ยมดให้แตกแถวเล่น ๆ"
"พี่จะบอกว่าเธอคนนั้นตายไปแล้ว?"
"เธอยังไม่ตาย เธอแค่เคยมีอยู่จริง"
"แล้วตอนนี้เธอหายไปไหน"


น่าใจหายที่ใครบางคนพร้อมที่จะหายไปจากใครอีกคนได้ง่าย ๆ เพียงแค่ความบิดผันเพียงนิดเดียวของโชคชะตา หรือบางทีอาจเป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเนิ่นจนโชคชะตามีโอกาสบิดผัน
การบอกว่าเวลาหรือโอกาสไม่อำนวยนั้นอาจเป็นเพียงคำแก้ตัวของคนขลาดเขลาเท่านั้น
หรือบางทีการเป็นคนขลาดเขลาอาจจะดีกว่า?

"ฉันมีความสุขที่ได้เห็นคุณอีกครั้ง...แต่ฉันไม่แน่ใจว่าการมาพบคุณจะเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า บางทีอาจจะดีกว่าสำหรับเราทั้งสองคนถ้าเราไม่ได้พบกัน บางทีแค่ได้รู้ว่าคุณมีความสุขดีก็น่าจะพอแล้ว..."
"แต่พอฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ก็ดูเหมือนถ้าไม่มาพบคุณสักครั้งจะเป็นการเสียเปล่าไป ฉันจึงมาที่นี่ ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วคอยเฝ้าดูคุณ ถ้าเขาจำฉันไม่ได้ ฉันคิด บางทีฉันก็อาจจากไปโดยไม่ทักทาย แต่ฉันทนไม่ได้ ความทรงจำเก่าหวนคืนมามากมายเหลือเกิน ฉันต้องทักคุณ"
(การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก)

ชิมาโมโตะมาปรากฏตัวต่อหน้าฮาจิเมะเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วเธอก็หายตัวไปตลอดกาล
ใครคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผมในลักษณาการนั้น

"เธอไม่ได้หายไป เธอแค่เคยมีอยู่จริง"
"ตอนนี้เธอไม่ใช่ความจริง?"
"เธอเป็นความจริงสำหรับบางคนในบางสภาวะ แต่สำหรับพี่, เธอเพียงแค่เคยมีอยู่จริงเท่านั้น"
"แล้วความรักของพี่เป็นอย่างนั้นไหม"
"อย่างไร"
"เคยมีอยู่จริง"
"ไม่, ความรักของพี่เป็นความจริงเสมอ มันทั้งเคยมีอยู่ มีอยู่ในตอนนี้ และจะมีอยู่ตลอดไป"
เหมือนจู่ ๆ เธอนึกคำถามที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้
"แล้วพี่รักใคร"

เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ได้ตอบคำถามของเธอ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๘/๐๗/๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การตามหาหญิงสาวในคืนฝนตก

"พี่คิดว่า คนเราอาจไม่ได้มีความรักเพียงครั้งเดียว แต่จะมีคนเดียวเท่านั้นที่เราพร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เพียงเพื่อได้อยู่กับคน ๆ นั้น"
"พี่กำลังพูดถึง South of the Border, West of the Sun เหรอคะ?"


ส่วนหนึ่งจากบทสนทนากับใครคนหนึ่งซึ่งทุกครั้งที่ผมคุยกับเธอ ผมรู้สึกว่ากำลังเล่นเกมคุยกับตัวเอง แต่เป็นตัวเองที่ผมไม่อาจคาดเดา ไม่อาจจินตนาการถึงความซับซ้อน ความไม่ซับซ้อน ความสมบูรณ์แบบ ความไม่สมบูรณ์แบบของเธอได้ครบถ้วน

บางครั้งความรักก็เป็นเพียงการเริงระบำของจินตนาการ เหมือนทิศใต้ของพรมแดนที่ไม่มีอะไรอยู่ ทั้งที่เราคิดถึงบางสิ่งที่สวยงาม ใหญ่ และอ่อนนุ่ม

มนุษย์ทุกคนมีจุดอ่อนซ่อนอยู่ในส่วนที่เปราะบางที่สุดของหัวใจ ใครหลายคนไม่รู้ เพราะไม่มีเวลามากพอจะค้นหา นั่นเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เขาไม่ต้องมาสนใจในรายละเอียดยิบย่อย นั่นทำให้ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างปรกติสุข

แต่สำหรับใครบางคนที่มีผัสสะละเอียดอ่อน สิ่งนี้จะกลับกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่วูบไหวเข้ามาในห้วงคำนึง การถูกโบยตีด้วยจุดอ่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ แต่บางคนก็ยอมให้เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาจะได้ค้นหาบางสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริงมาเติมเต็ม

ในระหว่างจำนวนจริงมีค่าอนันต์ซ่อนอยู่ ในมิติของหัวใจเองก็มีมิติความไม่สมบูรณ์ อาจเรียกว่าเป็นมิติเศษส่วน

อะไรที่ทำให้มิตินี้เกิดขึ้น?

อาจเป็นความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์แบบ หรือตะกอนความทรงจำของบางเหตุการณ์หรือบางคนที่ตกค้างในใจ บางเศษเสี้ยวอาจเลือนหายเมื่อเวลาผันผ่าน แต่จะมีเพียงแก่นแกนของความบกพร่องเท่านั้นที่จะยังคงติดแน่นในใจโดยไม่รู้เหตุผล แล้วในที่สุดมันจะพัฒนามาเป็นมิติเศษส่วนที่ไม่มีวันเต็ม มิติเศษส่วนมักซ่อนอยู่ในจุดที่เปราะบางที่สุดในใจ แต่เราก็จะเผลอลืมมันไปหมดสิ้น จนกว่าวันหนึ่งบางสิ่งบางอย่างในตัวจะตายจากไป เราจึงจะรู้สึกถึงมิติเศษส่วนนั้น

"พี่เจอเธอหรือยังล่ะ"
"อาจจะ"
"แล้วพี่ทำยังไง"
"พี่รอ"
"รออะไร"
"รอบางสิ่งที่ไม่มีจะวันเกิดขึ้น"
"พี่รอนานแค่ไหน"
"รอจนบางสิ่งบางอย่างในใจพี่ตายลง"
"แล้วพี่ทำยังไงต่อ"
"พี่ออกเดินทางไปยังทิศตะวันตก"


จุดอ่อนในส่วนที่เปราะบางที่สุดในหัวใจของใครคนหนึ่งจะถูกเขย่าได้ด้วยวิธีใดบ้าง? มันไม่ต้องการความซับซ้อนใด ๆ เลย เพียงแค่สัมผัสถึงบรรยากาศที่จะทำให้มิติของตัวเองแปรเปลี่ยนไปฉับพลันเท่านั้น

แต่การตระหนักในจุดอ่อนไม่ได้แปลว่าจุดอ่อนนั้นจะจางหายไป มิติเศษส่วนเรียกร้องให้เราแสวงหาบางสิ่งมาเติมเต็มทั้งที่เรารู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่มีอยู่จริง

การหาเศษส่วนมาเติมเศษส่วน ยิ่งทำให้ระดับเศษส่วนซับซ้อนทวีคูณ เว้นแต่การหาเศษส่วนเพียงหนึ่งเดียวที่สอดคล้องกันทั้งเศษและส่วนที่จะทำให้เศษส่วนกลายเป็นจำนวนเต็ม ซึ่งครั้งหนึ่งอาจเคยมีอยู่ แต่มันจากไปในวันที่เราไม่ได้เตรียมพร้อม เราไม่มีวันค้นหาเศษส่วนนั้นพบในสภาพเดิม เพราะทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีใครกดปุ่มหยุดเวลาชีวิตไว้ที่ช่วงอายุหนึ่งได้

ใครบางคนล้มลงบนพื้นแล้วตายลงเงียบ ๆ

"พี่เจออะไรที่นั่นบ้าง"
"ไม่รู้สิ... พี่อาจจะแค่อยากออกเดิน แต่บางทีพี่อาจจะคิดผิดก็ได้"
"พี่อยากจะหาอะไรบางอย่างที่อยู่ฟากฝั่งนั้นไม่ใช่เหรอ"
"พี่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มี ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
"แล้วพี่จะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้ไหม"
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น



วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๖/๐๗/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนยิ้มหวาน

๏ ยิ้มยิ้มเริงร่านัยน์ตาพริ้ม
ยิ้มยิ้มชวนให้ใจใครฟุ้งซ่าน
ยิ้มนิดนิดจิตแจ่มใสใจชื่นบาน
คนอะไร, ยิ้มหวานน้ำตาลแพ้

๏ รอยยิ้มเป็นศรรักพุ่งปักใจ
ถูกพิษรอยยิ้มใสไร้ยาแก้
พิษรักแสนหวานซ่านดวงแด
ต้องรีบหลบไม่กล้าแล, ฉันแพ้ทาง

๏ ยิ้มใสใสเหมือนตะวันอันสดใส
คงต้องแอบซ่อนใจไว้ห่างห่าง
กลัวจะตกหลุมรักเธอดักพราง
ด้วยรอยยิ้มไม่เคยจางอยู่กลางใจ

๏ ช่วยเพลายิ้มลงหน่อยอย่าบ่อยนัก
ฉันหลงรักยิ้มงามห้ามไม่ไหว
ทุกรอยยิ้มอุ่นซ่านหวานฤทัย
แอบมองทีไรใจทรมาน

๏ ยิ้มยิ้มเริงร่านัยน์ตาพริ้ม
ดูสิยิ้มใครกันชวนฝันหวาน
เห็นเธอยิ้มแล้วหายโศกโลกเบิกบาน
อย่ายิ้มนาน, ใจละลายหายหมดแล้ว! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๒/๐๗/๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บางบทสนทนาของสุนัขกับผีเสื้อ

"ผีเสื้อ, เธอสวยจัง ฉันอิจฉาเธอ"

"เธอจะอิจฉาฉันทำไม, เจ้าหมา, อยู่ได้อีกไม่ถึงวันฉันก็จะต้องลาโลกนี้ไปเสียแล้ว"

"แม้วัยเยาว์ในชีวิตของเธอจะเป็นหนอนน่ารังเกียจ กระนั้นปลายทางของชีวิตเธอก็เต็มไปด้วยความสวยงาม ใครเห็นก็นึกชื่นชม ใครเห็นก็ปันความรักให้

"ต่างจากฉัน ฉันเกิดมาเป็นหมาน้อยน่ารัก ใครเห็นก็เอ็นดู แต่ดูฉันในตอนนี้สิ กาลเวลาเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นหมาแก่ ๆ เนื้อหนังเหี่ยวแห้งไม่น่ากอดน่าสัมผัสอีกต่อไป ปลายทางของฉันมีแต่ความร่วงโรย เหลือเพียงเศษซากสังขารผุพัง เจ้านายที่เลี้ยงฉันมาแต่อ้อนแต่ออกก็ทิ้งฉันเสียแล้ว เหตุเพราะเขามีหมาตัวใหม่ที่อ่อนเยาว์กว่า น่ารักกว่า

"ฉันอยากจะเป็นอย่างเธอ, ผีเสื้อ, ฉันจะได้ลาจากโลกนี้ไปด้วยอุ่นไอแห่งความรักที่ยังมิทันจางหาย"

"แต่เธอก็ได้ลิ้มรสความรักมาตั้งแต่เยาว์วัยมิใช่หรือ, เจ้าหมา, อย่างน้อยความทรงจำของความรักอันแสนหวานที่ยังตกค้างอยู่ในใจคงช่วยให้เธอมีความสุขในบั้นปลายแห่งชีวิต

"ต่างจากฉัน ฉันเกิดมาพร้อมกับความทรมาน ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ กว่าที่ฉันจะได้โอบกอดและดื่มด่ำกับความรักของมวลบุปผาก็ล่วงเลยมาถึงวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว ฉันอยากมีเวลาให้ความรักได้ตกตะกอนจนอิ่มเต็มในใจบ้าง แต่เธอก็รู้, เวลาของฉันน้อยเกินไปเสมอสำหรับสิ่งสำคัญ

"ฉันอยากจะเป็นอย่างเธอ, เจ้าหมา, ฉันจะได้ลาจากโลกนี้ไปด้วยตะกอนความทรงจำของความรักที่อิ่มเต็ม"

"เธอไม่เข้าใจ, ผีเสื้อ, ที่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความรักจากไป แต่เพราะความรักยังคงอยู่ต่างหาก"

"ฉันไม่เข้าใจ, เจ้าหมา, อย่างน้อยความรักก็เป็นสิ่งทรงค่าที่สุดที่เราจะต้องดื่มด่ำในทุกวินาทีของชีวิต แม้มันจะเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดก็ตามทีมิใช่หรือ"

"คงเป็นเพราะเวลาของสองเราน้อยเกินไปที่จะได้เรียนรู้ทุกแง่มุมของความรัก"

"ถ้าเช่นนั้น หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความรักอีก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใด"

"คงมีสักวันที่เราจะได้เรียนรู้และเข้าใจความรัก"

"ขอให้มีสักวัน"

"จะต้องมีสักวัน"

"ถึงเวลาที่ฉันต้องเดินทางแล้ว, เจ้าหมา, เธอจะเดินทางไปกับฉันไหม"

"เราทุกคนต่างก็ต้องเดินทาง ฉันดีใจที่ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่ระหว่างการเดินทางร่วมกับเธอ, ผีเสื้อ, เราไปกันเถอะ"

วุฒินันท์ ชัยศรี

๐๗/๐๗/๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทบันทึกถึงปริมณฑลความเศร้าและก้าวย่างที่ไม่อาจหวนคืน

หากมีดาวเหนือ เรือก็ยังพอจะกำหนดทิศทาง
แต่ในเมื่อเวิ้งฟ้ามืดมิดพอ ๆ กับก้นทะเล
เรือบางลำที่เคว้งอยู่กลางมหาสมุทรก็มิอาจไปต่อ

บางคลื่นความถี่ อาจไม่สัมพัทธ์กับแรงเต้นของหัวใจ
ทันทีที่เผยร่าง ณ ปลายทาง
จึงเหลือเพียงอักขระเปล่ากลวงไร้ความหมาย

การเปิดเปลือยไพ่ในมือทั้งหมด
มิใช่วิสัยของนักเล่นพนันผู้ชำนาญ
ทั้งที่คิดว่าสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิตเป็นข้อยกเว้น

หัวเราะให้กับความดีงามจอมปลอมของตนเอง
เช่นเดียวกับสีสันสดใสที่ห่มคลุมซากไม้ผุพัง
ถูกกัดกร่อนจากข้างใน รอจนกว่าจะยืนต้นไม่ไหว

เช่นเดียวกับสายตามองตัวตลก
แท้จริงคือสายตามองกระจก
สัจธรรมเป็นเช่นนั้น แต่หลายครั้งเราแสร้งมองไม่เห็น

อีกมุมหนึ่งจึงพร่ำบ่นกับตัวเองซ้ำไปมาไม่รู้จบ
"เป็นเช่นนี้แหละ"
"เป็นเช่นนี้แหละ..."


วุฒินันท์ ชัยศรี
๐๔/๐๗/๒๕๕๔

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บางครั้งเหมือนว่าใจไม่รู้สึก

๏ บางครั้งเหมือนว่าใจไม่รู้สึก
แต่ลึกลึกหัวใจก็ไหวอ่อน
บางครั้งก็เหมือนว่าไม่อาวรณ์
แต่ทุกครั้งยังแอบซ่อนความอ่อนใจ

๏ ฝนเหงาเหงาโปรยมาสักคราหนึ่ง
ภาพคนเคยซึ้งเคยชิดใกล้
ค่อยกลับย้อนตอนอำลาเคยอาลัย
เคยทุกข์ทนหม่นไหม้ในวันลา

๏ หัวใจมิใช่หินแกร่ง
อาจแสร้งแข็งใจไม่ห่วงหา
แต่เพียงลมร้าวรานพัดผ่านมา
บ่อน้ำตาก็ครืนคลั่งพังทลาย

๏ เก็บกลืนเสียงสะอื้นไว้ในอก
เคยสะทกก็กลบเกลื่อนเลือนหาย
ทั้งที่ใจหนาวเหน็บเจ็บเจียนตาย
แสร้งยิ้มคล้ายว่าฉันไม่หวั่นใจ

๏ บางครั้งเหมือนว่าใจไม่รู้สึก
แต่ลึกลึกใจฉันก็หวั่นไหว
บางครั้งดูเหมือนว่าไม่อาลัย
แต่กอดหมอนนอนร้องไห้ทุกคืน ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๙/๐๖/๒๕๕๔

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บางห้วงคำนึงถึงกากี

วาติ จายํ ตโต คนฺโธ
ยตฺถ เม วสตี ปิยา
ทูเร อิโต หิ กากาติ
ยตฺถ เม นิรโต นโม ฯ

นางผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่ใด
กลิ่นนี้ฟุ้งมาจากที่นั้นแน่
ใจของข้าพเจ้าผู้ผูกสมัครรักใคร่ในนางคนใด
นางนั้นชื่อว่า กากาติ อยู่ไกลจากที่นี้แล

กถํ สมุทฺทานิ
กถํ อตริ เกปุกํ
กถํ สตฺต สมุทฺททานิ
กถํ สิมฺพลิมารุหิ ฯ

ท่านข้ามมหาสมุทรไปได้อย่างไร
ท่านข้ามแม่น้ำเกปุกะไปได้อย่างไร
ท่านข้ามมหาสมุทรทั้งเจ็ดไปได้อย่างไร
ท่านขึ้นต้นงิ้วได้อย่างไร

ตยา สมุทฺทมตรึ
ตยา อตริ เกปุกํ
ตยา สตฺต สมุทฺทานิ
ตยา สิมฺพลิมารุหิ ฯ

ข้าพเจ้าข้ามมหาสมุทรไปได้เพราะท่าน
ข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำเกปุกะไปได้เพราะท่าน
ข้าพเจ้าข้ามมหาสมุทรทั้งเจ็ดไปได้เพราะท่าน
ข้าพเจ้าขึ้นต้นงิ้วไปได้เพราะท่าน

ธิรตฺถุ มํ มหากายํ    
ธิรตฺถุ มํ อเจตนํ
ยตฺถุ ชายายหํ ชารํ
อาวหามิ วหามิ จาติ ฯ

น่าติเตียนตัวเราผู้มีร่างกายใหญ่โต
น่าติเตียนตัวเราผู้ไม่มีความคิด
เพราะว่าเราพามาและพาไป
ซึ่งชายผู้เป็นชู้กับภรรยาตนเอง

.........................

"กลิ่นหอม ยังวนเวียนไม่เคยจางหายไป
กลิ่นนี้ เป็นของเธอในคืนนั้น ยังฝังใจ..."

"เธอทำให้ใจฉันร้อนรนร้อนรุ่มรุนแรง เกินกว่าฉันจะห้ามไหว
เธอทำให้ใจฉันปั่นป่วนคลั่งไคล้ตัวเธอ
แต่สุดท้ายก็ไป..."

"กลับมาสักที กลับมา, ไม่ว่าจะอยู่กับใคร
กลับมาสักที กลับมา, อย่าหนีไป
ฉันเฝ้ารอแต่เธอ
กลับมาสักที กลับมาสักที, อยากจะเจอ
กลับมาสักที คนดี, ฉันรักเธอ
คิดถึงเธอ, คิดถึงเธอเหลือเกิน..."

"เธอได้ยินบ้างไหม, เธอรู้ตัวบ้างไหม
ว่าคิดถึงเธอ, คิดถึงเธอเหลือเกิน"


วุฒินันท์ ชัยศรี
26 มิถุนายน 2554

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทบันทึกระหว่างการเดินทางสู่อดีตที่ไม่เคยไปถึง

เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
มนุษย์อาจเดินทางไปยังอนาคตที่อยู่ไม่ไกลได้
แต่ไม่มีทฤษฎีใดบอกมนุษย์ถึงวิธีการเดินทางย้อนไปสู่อดีต
นอกเสียจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของความเร็วแสง
ซึ่งทำให้เราดำรงสถานะเทียบเท่าพลังงาน
เพื่อก้าวข้ามไปอีกยังมิติเวลาหนึ่งที่ทับซ้อนกันอยู่
ซึ่งไม่แน่ว่าอีกมิติหนึ่งของเราเป็นอดีตหรืออนาคต
แต่เมื่อแสงแดดไม่อาจเปลี่ยนกลับมาเป็นก้อนกรวด
แล้วเราที่กลายเป็นพลังงานไปแล้วจะกลับมาเป็นเราได้ล่ะหรือ?

แม้แต่พลังแห่งจินตนาการก็พาเรากลับไปไม่ถึงอดีตอย่างสมบูรณ์
อาจเก็บเกี่ยวได้เพียงบางเศษเสี้ยว แต่ไม่มีทางได้ชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ครบทั้งหมด
ใครจำได้บ้างตอนที่พูดคำว่าแม่เป็นครั้งแรก สมองเรามีจินตภาพถึงแม่จริงหรือเปล่า หรือเหตุผลมีแค่คำนี้เป็นคำที่ออกเสียงง่ายที่สุด
มีคนบอกว่า สมองมนุษย์จะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในซอกมุมหนึ่ง รอเวลาที่จะมีอะไรกระตุ้น แล้วความทรงจำจะพรั่งพรูออกมาเอง
เช่นนั้น, ฉันหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบสร้างอนุสาวรีย์
นอกเสียจากว่ามนุษย์นั้นมักจะลืมสิ่งสำคัญเสมอ

เพียงถอนลมหายใจครั้งเดียว เวลาก็ผ่านไปแล้วยี่สิบปี
จำไม่ได้เลยว่าตอนสี่ขวบมีกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละวัน
แม้แต่ภาพคุ้นตาที่มองเห็นเป็นประจำก็ไม่อาจเรียกได้ว่าภาพคุ้นตา
เพราะมันเลือนหายไปเร็วพอ ๆ กับการซ่อนโฆษณาไว้ในเฟรมที่ 24
เรามักจะรู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของอดีตเมื่อสายไปแล้ว
เช่นเดียวกับการหันกลับมามองสายลมที่พัดผ่านไปไกลแสนไกล

การตัดต่อพันธุกรรมคือการล่วงล้ำเข้าไปในขอบเขตอำนาจของพระเจ้า
ความเหิมเกริมของมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น, เป็นเช่นนั้นตลอดมา
แต่การที่มนุษย์ยังไม่มีแม้แต่ทฤษฎีที่จะนำตัวเองกลับไปสู่อดีตนั้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่ามนุษย์ยังไม่ฉลาดมากพอ
หรือการกลับไปสู่อดีตนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้
เพราะมันเป็นกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา หรืออยู่เหนือกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้

เราได้แต่หันกลับมามองสายลมแห่งอดีตที่พัดเลยผ่านไปอีกครั้ง, และอีกครั้ง
ความเหิมเกริมของมนุษย์ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออดีตเริ่มเคลื่อนไหว
เราจึงตระหนักรู้ว่าแท้จริงมนุษย์นั้นช่างเปราะบาง
และวาระสุดท้ายคือจมจ่อมอยู่ในห้วงความทุกข์ทรมานอันเป็นนิรันดร์ของอนาคต


วุฒินันท์ ชัยศรี
25 มิถุนายน 2554

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร (ในหมู่คนจัญไร)

๏ ไม่มีซึ่งมิตรแท้
และศัตรูผู้ถาวร
การเมืองเน่าเฟะฟอน
เพราะเหล่าหนอนมันบ่อนใน

๏ วันก่อนเคยก่นด่า
พอลับตาจูบกันได้
อภิปรายก็เห่าไป
ร่วมจิบไวน์หลังเลิกประชุม

๏ การเมืองคือคอกสัตว์
เอาเสือสิงห์มากองสุม
เอาแร้งแก่มากลุ้มรุม
ทึ้งศพไทยให้ย่อยยับ

๏ แบ่งเค้กดังใจหมาย
ถ่มน้ำลายก็เลียกลับ
จับมือแล้วอือรับ
กอดคอเกลอใช่คนไกล

๏ งาช้างฤาหดคืน
คำคนฝืนคำจริงได้
มีแต่คำจัญไร
ของเล่ห์ลิ้นเหล่าทรชน

๏ สันดานลิ้นสองแฉก
คอยจะแด- ซากศพคน
หวังเพียงประโยชน์ตน
กลับคำได้ไม่อายใคร

๏ เดินเบี้ยก็เสียเบี้ย
เหยียบหัวเบี้ยมาเป็นใหญ่
สมสู่เสร็จสมใจ
ก็จับมือมุ่งปรองดอง

๏ ตั้งไว้กี่ข้อหา
ถึงเวลาก็ถอนฟ้อง
รับคำตามทำนอง
เข้าใจผิด-ขออภัย

๏ ฝนตกเสียงซู่ซู่
แล้วขี้หมูก็เริ่มไหล
ปรองดองสบายใจ
เพราะจัญไรพอพอกัน! ๚ะ๛


แด่... การถอนฟ้องคดีพิพาทของแกนนำสองสี

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ห้วงคำนึงสุดท้ายของราวณะ


"...บุตรแห่งท้าววิสราวัส หลานแห่งท้าวพลสัตย์ เหลนแห่งพรหมเทพ ทศกัณฐ์ผู้สืบเชื้อสายวงศ์พรหม ทศกัณฐ์ผู้ครอบครองชัยชนะทั้งสามโลก เนิ่นนานจนปวงเทพมิอาจจดจำ บัดนี้ทศกัณฐ์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือไตรภพถึงกับนอนแน่นิ่ง ลมปราณขาดห้วงภายใต้ศรรามและบ่วงกรรมที่มันก่อ

"ขณะดวงตาลุกโพลงแดงก่ำค่อย ๆ มอดดับ พลยักษ์และพลลิงต่างเข้ามารุมล้อมจ้องมองพญามารด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป หากสิ่งหนึ่งที่พวกมันเห็นแน่ชัด ริมฝีปากพญายักษ์ขยับเคลื่อนไหว พวกมันพยายามช่วยกันอ่านวาจาจากปากทศกัณฐ์ ลืมเลือนไปชั่วขณะว่าต่างเคยเป็นศัตรู ราพณาสูรกำลังกล่าวนามสตรีนางหนึ่ง อันเป็นนามซึ่งนำมรณะมาสู่มัน แม้ในวินาทีสุดท้ายก่อนวิญญาณลาจากร่าง ดวงหน้างดงามของนางยังปรากฏเป็นภาพสุดท้ายในภวังค์ของทศกัณฐ์

"เมื่อนามสีดาหลุดจากปาก ทุกสิ่งจึงหยุดสนิทแน่นิ่ง ชีวิตได้ลาจากร่างราพณาสูรแล้วตลอดกาล..."

The Ramayana: A Modern Retelling of the Great Indian Epic / Ramesh Menon
แปลเป็นภาษาไทย: วรวดี วงศ์สง่า
ภาพประกอบจาก krsna-art.com

สิ้นหวัง

๏ แล้วเก็บซากละอองใจในอากาศ
เอามาวาดเป็นวิมานอันหวานชื่น
รู้ทั้งรู้ว่าความหวังจักพังครืน
ด้วยแรงคลื่นแห่งความจริงอันนิ่งงัน

๏ ในห้วงมหรรณพแห่งความเศร้า
คนหนึ่งเฝ้าเติมฝันให้เต็มฝัน
แม้ห้วงกาลจะนานเนิ่นเกินจำนรรจ์
และเต็มตื้นหฤหรรษ์แห่งน้ำตา

๏ เจ้ากระจกวิเศษเอยใครเคยบอก
เคยแต่หลอกให้ฉันฝันเองว่า
ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลสุดปลายฟ้า
จักหวนคืนกลับมามอบหัวใจ

๏ เพราะความจริงสายน้ำไม่ไหลกลับ
หัวใจที่ลาลับย่อมหลับใหล
และจะฟื้นกลับมาเมื่อดวงฤทัย
ของใครอีกคนค้นพบ

๏ หนึ่งวิญญาณจึงลอยคว้างระหว่างอนันต์
และความฝันก็ค้างอยู่ไม่รู้จบ
เศษสังขารความเศร้าเซาซบ
ถูกฝังกลบในหมอกหนาวอันยาวนาน

๏ ไม่เหลือซากละอองใจในอากาศ
ไม่พอวาดวิมานฝันอันแสนหวาน
สุดท้ายเศษเสี้ยวหวังพังแหลกลาญ
เหลือแต่ห้วงนิรันดร์กาลความปวดร้าว ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๒/๐๖/๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องสั้น "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน"


เป็นเรื่องน่ายินดีที่เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 994 ประจำวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554 (และจะต่อด้วยฉบับที่ 995 เพราะแบ่งเป็นสองฉบับจบ) ให้โอกาสนักอยากเขียนอย่างข้าพเจ้าได้ลงตีพิมพ์เรื่องสั้น "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" หลังจากข้าพเจ้าหายหน้าไปจากสนามเรื่องสั้นของเนชั่นฯ เกือบสองปี

เพียงแค่เรื่องสั้นได้ตีพิมพ์คงไม่มากพอที่ข้าพเจ้าจะหยิบมาเขียนเป็นบันทึก หากแต่เรื่องสั้นนี้เต็มไปด้วยที่มาและความหลังมากมายเป็นพิเศษกว่าเรื่องสั้นอื่น ๆ จึงต้องบันทึกไว้เป็นอนุทินเตือนสติตนเองว่า เรื่องสั้นนี้หาใช่เกิดจากข้าพเจ้าเพียงคนเดียว แต่สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากหลายท่านและหลายสิ่ง

เรื่องสั้นแนว "บาดแผล" ฉบับเฮฮาปาร์ตี้ ยุคหลังสหายออกจากป่ากลับมาเป็นใหญ่เป็นโตเรื่องนี้ เดิมทีเป็นเพียงประเด็นสนทนาขำขำของข้าพเจ้ากับรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเมืองเลยแม้แต่น้อย เรื่องก็มีแค่ว่ามีอาจารย์คนหนึ่งที่เราทั้งสองคนเคารพรักทำบางสิ่งบางอย่างที่ชวนให้รุ่นน้องข้าพเจ้าเจ็บปวดเป็นแผลเล็ก ๆ ในใจ ประโยคซ่อนความนัยนี้จึงเกิดขึ้นระหว่างการสนทนาของเรา

"ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน"

ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นชมรมวรรณศิลป์ที่ศิลปากรจัดประกวดเรื่องสั้น ข้าพเจ้าจึงยุยงส่งเสริมให้เธอนำเรื่องราวและบาดแผลที่เกิดขึ้นไปเขียนเป็นเรื่องสั้น แม้ว่าเรื่องสั้นนี้จะไม่ได้รับรางวัล แต่ข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้อ่าน เธอเขียนได้ดีทีเดียวสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าเห็นพลังบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่หลังเรื่องราวสนุก ๆ ของเธอ ที่หากนำมาแต่งแต้มสีสันในแบบของตัวเองก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องราวสนุก ๆ ขึ้นอีกเรื่อง หลังจากนั้นจึงได้คุยกับเธอว่าจะขออนุญาตนำมาเขียนในแบบของตัวเอง แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ข้าพเจ้าก็ลืมเลือนไป

เวลาผ่านมาจนถึงการประกวด Young Thai Artist Award 2010 ข้าพเจ้าคิดจะทำรวมเรื่องสั้นชุด "เรื่องไม่ประหลาด" ว่าด้วยเรื่องสั้นการเมืองและมิติของเรื่องเล่า ในนั้นจะมีเรื่องการเมืองซีเครียสอยู่สักครึ่งหนึ่ง และเรื่องการเมืองแบบหยิกแกมหยอกแกล้งอำให้ขำอีกครึ่งหนึ่งสลับกันไป เรื่องซีเครียสพอจะมีแล้ว แต่เรื่องหยิกแกมหยอกนี่สิยังขาดไปอีกเรื่อง นาทีนั้นข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่อง "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" ที่เคยคุยไว้ ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะนำมา Remake (ขออภัยที่ใช้ภาษาต่างประเทศ เนื่องจากนึกคำไทยที่เหมาะใจใช้แทนคำนี้ไม่ได้ คำที่ใกล้เคียงที่สุดที่นึกออกคือ "เขียนขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง" ซึ่งก็ยังฟังดูแล้วแปลก ๆ พิกล) ข้าพเจ้ายังคงเค้าโครงเรื่องและแก่นเรื่องเดิม แต่ตัวละครและเหตุการณ์ทั้งหลายนั้นข้าพเจ้าใส่สีตีไข่ใหม่หมด "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" สำนวนบาดแผลฉบับเฮฮาปาร์ตี้จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นอันว่ารวมเรื่องสั้น "เรื่องไม่ประหลาด" ครบสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์

แต่ก็แน่ล่ะ, มันยังไม่ดีพอ งานชิ้นนี้จึงตกรอบไป

ข้าพเจ้าไม่ได้หวังว่าเรื่องสั้นชิ้นนี้ดีพอจะได้ตีพิมพ์ที่สนามไหน ๆ จึงนำมารวมเล่มในหนังสือมือทำเนื่องในวันวาเลนไทน์อันลือลั่นของหนุ่มอักษรฯ "ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก" เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องสั้นที่ว่าด้วยความรัก เข้ากับคอนเซปต์เล่มเป๊ะ!

จนเมื่อน้องแป๊บ นักเขียนกัลยาณมิตรของข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่านแล้วบอกว่า เรื่องนี้น่าจะดีพอที่จะได้ตีพิมพ์ ข้าพเจ้าจึงเริ่มหวั่นไหวราวกับดรุณีน้อยแรกรุ่นถูกป้อนคำหวานจากชายหนุ่มนักรัก แม้ว่าน้องแป๊บจะอ่อนอาวุโสกว่าข้าพเจ้าหลายปี แต่เรื่องประสบการณ์เขียน - อ่าน นับว่านำหน้าข้าพเจ้าไปหลายขั้น ถ้าแป๊บบอกว่าผ่าน มันก็น่าจะผ่านได้

หลังกลับมาจากค่ายนักเขียน ข้าพเจ้าจึงหยิบเรื่องนี้มาอ่านอีกรอบ แล้วแก้ไข-ตัดทอน-เพิ่มรายละเอียดที่ตกหล่น จากนั้นจึงทำใจกล้า ๆ ส่งไปที่เนชั่นสุดสัปดาห์ สนามเรื่องสั้นอีกไม่กี่แห่งที่ยังพอหลงเหลืออยู่ในประเทศไทย

จากการเดินทางอันแสนยาวนาน, ในที่สุดเรื่องนี้จึงได้ปรากฏสู่บรรณพิภพ ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีแก่ข้าพเจ้า และความชุ่มชื้นในกระเป๋าเงินที่ชักจะร่อยหรอ

ข้าพเจ้ายังไม่มีโอกาสออกไปซื้อเนชั่นสุดสัปดาห์ จึงไม่รู้ว่าบรรณาธิการเขียนความคิดเห็นเกี่ยวแก่เรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง แต่หากเป็นคำชม/คุณความดีประการใด ข้าพเจ้าขอยกทั้งหมดให้แก่น้องทั้งสองของข้าพเจ้า, คนแรก น้องเอ๋ย เชษฐกิดา ตระกูลกาญจน์ เจ้าของเรื่อง "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" ฉบับ Original ที่กรุณาให้ยืมพล็อตเรื่องมา Remake เป็นอีกสำนวนหนึ่งโดยไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์, คนที่สอง น้องแป๊บ เสฏฐวุฒิ อุดาการ ที่ช่วยให้กำลังใจจนข้าพเจ้าเกิดความใจกล้าหน้ามึนส่งไปให้บรรณาธิการพิจารณาตีพิมพ์

แน่นอน, ข้าพเจ้ายกให้น้องเฉพาะคุณความดีเท่านั้น ส่วนค่าเรื่องข้าพเจ้าของุบงิบเข้ากระเป๋าตังค์แต่เพียงผู้เดียว ฮาฮา

วุฒินันท์ ชัยศรี
18 มิถุนายน 2554

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กวีรักเดียงสา หมายเลข ๑: ไร้เดียงสา

"จริง ๆ นะ"
"คิดว่าโตพอแล้วจริง ๆ นะ"
"คิดจริง ๆ นะ"
"คิดว่าเรียนรู้แง่มุมความรักมามากพอแล้วจริง ๆ นะ"
"คิดอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
"คิดว่าผ่านประสบการณ์ความรักมามากพอแล้วจริง ๆ นะ"
"คิดว่าอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
"แต่ทำไมวันนี้"
"วันนี้ถึงยัง"
"เจ็บ"

เปลวไฟกลืนกินปรัชญาชีวิตฉบับพิมพ์ครั้งหลังสุด
สายพิณ เหล้าองุ่น ขนมปัง และเสาวิหารมาช้าเกินกว่าพันปี
พิธีทรมานตนยังวนเวียนเหมือนฝูงแร้งรอซากล้ม
รอยมีดเล็ก ๆ สะกิดเปิดปากแผลเบา ๆ
เลือดทะลักเหมือนมีดกรีดแผลช้ำ
หัวใจไม่ใช่กล้ามเนื้อใช้ซ้ำ
ใช้บ่อยใช่แข็งแรงขึ้น
แท้จริงเยื่อบุหัวใจคือหนังกลอง
ยิ่งตีแรง
ยิ่งทุบแรง
น่วมช้ำ
ซ้ำไปมา
รอวันฉีกขาด

วันกลองตาย
แล้วเสียงระรัวก็อันตรธานไปจากกลอง

"จริง ๆ นะ"
แท้หัวใจคือเปล่ากลวง
"คิดจริง ๆ นะ"
คำสาปแห่งพันธะประดังมาไม่หยุดหย่อน
"คิดอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
เพียงแสวงหาใครสักคนที่ไม่เคยมีอยู่จริง
"คิดว่าอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
ตีกลอง
เสียงทุ้มต่ำแต่แน่นเต็ม

มิใช่เยื่อบุบาง
เสียงก้อง
ว่างเปล่า


๑๑/๐๖/๒๕๕๔

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขอโทษนะ... ถ้าทำให้ลำบากใจ (๒)

ลมหายใจบางเบาลงทุกที
ความคิดถึงก่อตัวเป็นรูปร่าง
หยิบมาปั้นเป็นรูปทรง
แล้วค่อย ๆ บีบให้เล็กลง
เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เหลือชิ้นเล็ก ๆ
เพียงชิ้นเล็ก ๆ
มวลสารความคิดถึงอัดแน่นอยู่อย่างนั้น
ขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย
ไม่มีช่องว่างอื่นใด
แล้วโยนทิ้งไว้ในถังขยะที่ปลายเท้า
ซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องเช็ดหรอกน้ำตา

ขอโทษ...
คำนี้สั้นเกินไป ไร้ค่าเกินไป เมื่อออกจากปากของฉัน
ฉัน, คนที่ทำให้เธอลำบากใจไม่หยุดหย่อน
เคยคิดว่าความคิดถึงคือน้ำช่วยปลอบประโลมใจ
แต่ที่จริงความคิดถึงคือไฟ
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยต้องการมัน

ไม่ต้องกังวลนะ
ฉันโยนความคิดถึงทิ้งไว้ในถังขยะแล้ว
อาจมีบางชิ้นล้นออกมานอกถังขยะ, ฉันจะกวาดไปทิ้งนอกห้อง
จะไม่ให้เธอระคายเท้า
นอนหลับเถอะนะ, นอนหลับให้สบาย
ไม่ต้องเช็ดหรอกน้ำตา
มันก็แค่... น้ำตาของฉันเอง

กระซิบบอกตัวเองในใจ
อย่าส่งเสียงนะ
อย่าสะอื้นนะ
หายใจแรง ๆ ก็ไม่ได้
แม้แต่หยดน้ำตาที่กำลังจะร่วงหล่น
ต้องคว้าไว้ก่อนที่มันจะตกถึงพื้น
ขอให้ครั้งนี้เป็นการร้องไห้ที่เงียบงันที่สุดในชีวิต
เธอกำลังนอนหลับสบาย
น้ำตาของฉันมีค่าน้อยเกินกว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเธอ
แม้เพียงเสี้ยววินาที

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รูปถ่ายรูปนั้น, จากเธอคนที่รู้จักฉันมากที่สุดในโลก

มีรูปถ่ายรูปหนึ่ง
มันไม่มีตัวตนในโลกสามมิติ
เป็นเพียงการประสานกันของเลขฐานสองในเครื่องมือดิจิตอล
เศษเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าฉัน
เธอถ่ายมันเอาไว้ในวันวาน

เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าฉัน
ฉันกลับพบว่าเธอเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในตัวฉันได้ครบถ้วน
ร่างกาย หัวใจ ความคิด ความรู้สึก
กระทั่งทุกอณูแห่งจิตวิญญาณ
หรือตัวตนในโลกสามมิติ และอีกหลายตัวตนในมิติที่สี่

แล้วฉันก็คิดว่าเธอเป็นคนที่รู้จักฉันมากที่สุดในโลก
จากรูปถ่ายรูปนั้น
เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าฉันที่เธอถ่ายเก็บไว้
เธอรู้จักทุกแง่มุมของชีวิตฉัน
รู้จักทุกความรัก ความเศร้า ความเจ็บปวด และหยดน้ำตาที่ฉันมี

แต่กาลเวลาผันผ่านนานเกินไป
รูปนั้นชำรุดเลือนรางในความทรงจำ
มากพอ ๆ กับความรู้สึกที่เธอมีต่อฉัน
เวลาอาจไม่ใช่ยา แต่การเยียวยาต้องใช้เวลา
เธอใช้มันไปหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เริ่มต้น

มีรูปถ่ายรูปหนึ่งจากเธอ, คนที่รู้จักฉันมากที่สุดในโลก
อย่างน้อยฉันก็เชื่อเช่นนั้นตลอดมา
รูปนั้นอาจยังคงอยู่ หรือถูกทำลายทิ้งไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
หวังเพียงว่า, รูปถ่ายรูปนั้นจะไม่ใช่การประสานกันของเลขฐานสองในเครื่องมือดิจิตอล
ที่เธอถ่ายเอาไว้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 5

๑. ความดี-ความเลว

อ่านเรื่องราวเส้นแบ่งทางศีลธรรมของคุณ ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ระดับตำนาน Batman the Dark Knight ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่กำกับหนังอะไรเป็นดังค้างฟ้าไปหมด

ผู้กำกับคนนี้ชอบเล่นกับเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่ง รวมถึงเส้นแบ่งความดี-ความเลวของศีลธรรม ไล่มาตั้งแต่ Following, Memento, Batman Begins, The Prestige.

(จากบรรทัดนี้ไปเป็นการสปอยล์ The Dark Knight ท่านที่ยังไม่ดูและอยากดูก่อนจะอ่านกรุณาข้ามไปจนกว่าจะจบข้อ ๑.)

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเล่นกับประเด็นนี้ชัดที่สุดใน The Dark Knight ตั้งแต่การปูพื้นฐานของซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Batman ว่าเป็น "Outlaw vigilante" (ไอ้โม่งนอกกฎหมาย) เพราะแบทแมนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมของประชาชน แถมบางครั้งเขายังยอมทำผิดกฎหมายเพื่อรักษาความยุติธรรม เช่นว่า ใช้นักค้าของเถื่อนเป็นนักบิน บุกไปจับตัวอาชญากรชาวจีน ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศของจีนที่จะไม่ส่งอาชญากรข้ามชาติไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่ก็เป็นแบทแมนผู้นี้มิใช่หรือที่หิ้วคออาชญากรมาส่งตำรวจเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ดูตามตัวอักษรแล้ว อาจพูดไม่ได้เต็มปากว่าแบทแมนเป็นคนดี

มาที่ซูเปอร์วายร้าย คู่ชกที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง The Joker ที่ทำเอาแบทแมนเปิดตำรามารับมือไม่ถูก ประสบการณ์จากการเรียนรู้จิตใจเหล่าอาชญากรกว่าสิบปีของ Bruce Wanye ไม่ช่วยให้เข้าใจ The Joker ได้เลย เพราะโจ๊กเกอร์ไม่ได้ต้องการเงินทอง สิ่งของ หรืออะไรทั้งนั้น เขาทำเรื่องราวร้าย ๆ เพื่อจุดประสงค์อันใดไม่มีใครรู้ เหมือนไพ่ Joker ที่อยู่ในสำรับแต่ไม่มีใครเคยเอามาเล่นไม่ว่าจะเกมใด ๆ แต่ใครเลยจะปฏิเสธว่าไพ่ Joker ไม่มีอยู่จริง

ตอกย้ำด้วยฉากที่ดูลักลั่นอย่างแบทแมนอัดฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นคนดีอย่างตำรวจหน่วยสวาทและหมอ แล้วเข้าช่วยเหลือบรรดาตัวตลก เพราะอันที่จริงตัวตลกต่างหากคือตัวประกัน หมอคือคนร้าย แต่แบทแมนไม่มีเวลาพอจะอธิบาย

แล้วอะไรคือดี? อะไรคือเลว?

เส้นแบ่งของคำว่าศีลธรรมพร่าเลือนลงไปทุกที

แล้ว Nolan ก็จับเรื่องนี้มาเล่นให้เห็นชัดที่สุดในฉากไคลแม็กซ์อย่างฉากระเบิดเรือเฟอร์รี่

ลำหนึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ลำหนึ่งเป็นบรรดานักโทษคดีอุกฉกรรจ์ลอยเท้งเต้งกลางแม่น้ำ โจ๊กเกอร์ยื่นคำขาดว่าคนในเรือลำใดลำหนึ่งต้องระเบิดเรืออีกลำก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นโจ๊กเกอร์จะระเบิดทิ้งทั้งสองลำ

หากเป็นเรื่องราวในภาคก่อน ๆ เรื่องอาจจะดำเนินไปทำนองว่า ทุกคนเชื่อมั่นซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาว่าจะมาช่วยได้ทันเวลา แต่ตอนนี้ไม่ใช่! ทุกคนรู้แล้วว่าแบทแมนช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลยตลอดทั้งเรื่อง แม้แต่อธิบดีกรมตำรวจอย่างจิม กอร์ดอน ผู้ร่วมมือกับแบทแมนมาตลอดยังไม่ไว้ใจเขา จากนี้ไปทุกคนต้องช่วยตัวเอง

เรือผู้บริสุทธิ์กับเรืออาชญากร? คำตอบมันชัดอยู่แล้วว่าเรือลำไหนสมควรอยู่ ลำไหนสมควรระเบิด

หน้ากากศีลธรรม (ตามที่เข้าใจกัน) ถูกนำมาใช้ก่อนที่เรือผู้บริสุทธิ์

"We don't all have to die. Those men had their chance." (เราไม่ควรต้องตาย พวกนั้นเลือกเป็นโจรเอง)

ชัดเจนจนชวนให้นึกถึงตรรกะบางข้อที่ฝ่ายการเมืองบางฝ่ายชอบเลือกมาใช้ จะว่าไปมันก็สอดคล้องในตรรกะของผู้บริสุทธิ์อย่างเรา ๆ ดีแท้ แต่เมื่อคิดให้ดี มันก็คือเหตุผลเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการฆ่าฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง

"Let's put it to vote" (เรามาโหวตกันดีกว่า) อีกคนร้องขึ้นเพื่อใช้ช่องทาง "ประชาธิปไตย" แสวงหาความชอบธรรมมากยิ่งขึ้นในการระเบิดเรืออีกลำ

ขณะที่เรือโจรเต็มไปด้วยความโกลาหล พี่เบิ้มหัวหน้าโจรคนหนึ่งลุกขึ้น กล่อมคนคุมเรือด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

"You don't wanna die... but you don't know how to take a life." (คุณไม่อยากตาย แต่คุณไม่รู้ว่าจะฆ่าคนอื่นยังไง)

"Give it to me, and I'll do what you should've did 10 minute ago." (ส่งมันมาให้ผม แล้วผมจะทำในสิ่งที่คุณควรทำเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว)

ไม่มีใครอยากตาย คนคุมเรือก็เช่นกัน เขาจึงส่งรีโมทจุดระเบิดให้นักโทษคนนั้น แต่ผิดคาด! นักโทษคนนั้นโยนตัวจุดระเบิดทิ้งทะเล...

คนเลวต้องคิดแต่เรื่องเลว ๆ และการเอาชีวิตรอดมิใช่หรือ?

ตัดกลับมาที่เรือผู้บริสุทธิ์ การลงมติทำให้เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน แน่นอนว่าผลโหวตออกมาดังที่คาด "เสียงข้างมาก" ลงมติว่าต้องระเบิดเรืออีกลำ แน่นอนเราจะไม่พูดว่ามันถูกหรือผิดศีลธรรม ประชาธิปไตยแบบไทย-ไทยสอนเราชัดเจนว่า แค่เป็นเสียงข้างมากมันก็ถูกต้องเพียงพอแล้วในความคิดของเรา

"We're still here. And that means they haven't Killed us yet either." (เรายังอยู่ตรงนี้ นั่นแปลว่าคนในเรือลำนั้นก็ยังไม่ฆ่าเราเหมือนกัน) ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

คำพูดสั้น ๆ ชวนให้ทุกคนในเรือผู้บริสุทธิ์ตระหนักถึงบางสิ่งที่พวกเขามองข้าม

แล้วชายผู้กล้าหาญแห่งเรือผู้บริสุทธิ์ก็ลุกขึ้นมาหยิบตัวจุดระเบิด ปากก็พร่ำเหตุผลเช่นเดิมว่า "Those men on that boat? They made their choices. They choose to murder and steal. It doesn't make any sense for us to have to die too. (คนพวกนั้นเลือกที่จะเป็นโจร พวกเขาเลือกที่จะปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ มันไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องไปตายด้วย)

เขาหยิบตัวจุดระเบิด แล้วมองนาฬิกา เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่พวกเรายังมีชีวิตอยู่... ทำไมโจรถึงไม่ฆ่าพวกเรา

มือเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง วางตัวจุดระเบิด แล้วจึงกลับไปนั่งนิ่ง ทุกคนก้มหน้านิ่งราวกับยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึงเที่ยงคืนโจ๊กเกอร์จะระเบิดทั้งสองลำ แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ ไม่มีใครกล้าระเบิดเรืออีกลำ

สิ่งนั้นคืออะไรที่ทำให้ไม่มีใครกล้าฆ่าคนฝั่งตรงข้าม?

โจ๊กเกอร์ได้แต่แปลกใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เสียงแบทแมนร้องขึ้น

"What were you trying to prove? That deep down, everyone's as ugly as you? You're alone." (แกพยายามจะพิสูจน์อะไร พิสูจน์ว่าลึก ๆ ทุกคนใจอัปลักษณ์เหมือนแกงั้นเรอะ แกคนเดียวที่ชั่ว)

แล้วแบทแมนก็แย่งตัวจุดระเบิดจากโจ๊กเกอร์มาได้ โศกนาฏกรรมไม่เกิดขึ้น

กลับมาที่คำถามเดิม อะไรคือความดี อะไรคือความเลว

ถ้าการฆ่าคนคือความเลว ถ้าเช่นนั้นการฆ่าคนที่ผ่านการลงมติแบบประชาธิปไตยเป็นความเลวหรือไม่? การฆ่าคนเลว ฆ่าโจรเป็นความดีหรือไม่? ในเมื่อพวกนั้นเลือกที่จะปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ ทำความเลวเอง, แล้วโจรที่ยอมทิ้งตัวจุดระเบิดเป็นความดีหรือไม่? ในเมื่อสถานะของพวกเขาคือโจร พวกเขาจะทำความดีได้หรือไม่?

เส้นแบ่งของศีลธรรมพร่าเลือนจนเราไม่อาจตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความเลว

แต่หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่- ความดีมีอยู่จริงหรือไม่

ผมตอบว่า มีอยู่จริง เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตอบคำถามนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

ความดีไม่อาจค้นหาได้ด้วยเส้นแบ่งทางศีลธรรม (โจร-ผู้บริสุทธิ์) กฎหมาย (โจรทำผิดกฎหมาย แปลว่าเลว ต้องตาย) ระบอบการปกครอง (การโหวตเพื่อหาความชอบธรรมในการฆ่าอีกฝ่าย) ฯลฯ อันเป็นหลักเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาทีหลัง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะค้นหาความดีจนพบ

สิ่งนั้นคือ ศรัทธา

คือความศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า พวกเขามีความดีซ่อนอยู่ในที่ไหนสักแห่ง คำพูดของแบทแมนเปิดเปลือยจุดประสงค์ของโจ๊กเกอร์ "What were you trying to prove? That deep down, everyone's as ugly as you?" แต่แท้จริงแล้วส่วนลึกที่สุดในจิตใจของมนุษย์ไม่ได้ Ugly เหมือนที่โจ๊กเกอร์พยายามพิสูจน์ แต่เราถูกบางสิ่งบางอย่างกีดกั้นความดีงามในจิตใจเอาไว้

เมื่อถึงที่สุด เมื่อค้นไปจนลึกสุดหัวใจ ผู้ถือตัวจุดระเบิดในมือจึงพบความจริงบางอย่างที่เรียกว่า "ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์" สุดท้ายไม่มีใครกล้าระเบิดเรืออีกลำ

ความดีมีอยู่จริง หากต้องใช้ศรัทธาเท่านั้นในการค้นหา

เช่นเดียวกับความรัก

๒. มิติที่มองไม่เห็น

ตัวตนในโลกสองมิติ ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวตนในโลกสามมิติได้ เช่นเดียวกัน ตัวตนในโลกสามมิติ ก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวตนในโลกสี่มิติได้

เราอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิตินั้นเลย จนกว่าจะได้เข้าไปอยู่ในมิติดังกล่าว

ผมจึงอยากจะแย้งคุณเรื่องความรักของพ่อแม่

แน่นอนเมื่อถึงนาทีนี้ ผมยังคิดเช่นเดียวกับประโยคนั้นของคุณ

"ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ แต่ผมมองว่า เกิดจากความห่วงใยที่ผูกมัดว่าชีวิตลูกนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตตน การเลี้ยงลูกโดยปล่อยให้เขาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง จึงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับแม่ที่จะไม่คาดหวังอะไรตอบแทน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกตัญญู"

แต่ความรักของพ่อแม่อาจเป็นตัวตนในมิติที่สี่ที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้จนกว่าจะได้อยู่ในมิตินั้น

คนรู้จักของผมคนหนึ่งเคยเป็นวัยรุ่นแหลวแหลกจนทำให้พ่อต้องเสียน้ำตาบ่อย ๆ จวบจนเมื่อวันหนึ่งเขาได้กลายเป็น "พ่อคน" เขาจึงเอาดอกไม้มากราบไหว้ขอขมาพ่อ คำหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุด

"รู้แล้วว่าพ่อรักผมมากเพียงใด"

พี่ชายผมกลายเป็นพ่อคนในช่วงวัยหนึ่งของชีวิต แม่ผมถามลูกชายว่า รู้หรือยังว่าพ่อรักมากเท่าไหร่

พี่ชายผมไม่ตอบตามสไตล์คนไม่พูดมาก แต่พยักหน้ากับแม่

ผมได้แต่นั่งมองอยู่วงนอก เสมือนหนึ่งความรักของพ่อ-แม่เป็นมิติที่สี่ที่ผมไม่อาจย่างกราย

หากแม่ถามผมด้วยคำถามเดียวกันในตอนนี้ ผมคงตอบเหมือนที่คุณคิดไว้

แต่หากวันหนึ่งผมกลายเป็นพ่อคน ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบของผมจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?

อีกเรื่องหนึ่ง-และอีกมิติหนึ่งที่เรา-หมายถึงผมกับคุณอาจยังมองไม่เห็น-บังเอิญว่าผมเองก็ได้ดูรายการของชาวนาสาวคนนั้นตอนจับแมลงเหมือนกัน (เราบังเอิญได้ดูรายการเดียวกันบ่อยนะ ฮาฮา) ก่อนหน้านี้ผมเคยมีโอกาสสัมภาษณ์ชาวนาสาวคนดังกล่าว เธอเป็นนักปฏิบัติธรรมผู้เคร่งครัดคนหนึ่ง หากการบรรลุธรรมมีระดับขั้นเหมือนวรยุทธ เธอคงบรรลุเคล็ดวิชาในระดับสูงพอสมควรแล้ว

เธอเล่าเหตุผลที่เธอกินมังสวิรัติว่า เป็นเพราะเมื่อเธอนั่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง เธอได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของเนื้อสัตว์ที่เธอกินเข้าไป!

เช่นเดียวกับ "แม่" ของเรา หมายถึงแม่กวนอิมบนตึกรัฐศาสตร์ที่พวกเรา-คุณกับผม-เคารพบูชา เคยกล่าวว่า เมื่อกินมังสวิรัติจนชิน จะทนกลิ่นเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย

เช่นเดียวกับนิทานโบราณเก่า ๆ ที่ผมเคยอ่าน พระเกจิอาจารย์ธุดงค์ที่เคร่งมาก ๆ บางองค์ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สัตว์ทิพย์เช่นนาคบางตัวที่เข้ามาสยบยอมแทบเท้าท่านเหล่านั้นกล่าวว่า "ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีกลิ่นของซากศพเน่าเหม็นหมักหมมในร่างเหมือนมนุษย์ทั่วไป" นาคหมายความถึงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ซึ่งก็คือซากศพดี ๆ นี่เอง

นี่อาจเป็นอีกมิติที่เรา-ผู้นิยมบริโภคเนื้อสัตว์-ไม่อาจล่วงรู้ว่าเป็นความดีหรือความเลว จนกว่าจะก้าวล่วงเข้าไปในมิตินั้นเช่นเดียวกับชาวนาสาว หรือแม่กวนอิมของเรา เราจึงอาจจะตัดสินได้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี

(แต่นั่นก็จะกลับมาสู่คำถามเดิมที่เราถามกันจนวกวนมาแต่ต้น อะไรเล่าคือเส้นแบ่งทางศีลธรรม? นอกเสียจากการทับซ้อนของชุดความคิดมากมายที่ต่างก็มีเหตุผลรองรับแนวทางของตัวเอง)

๓. ศรัทธา

ศรัทธาคือเครื่องมือเดียวที่จะใช้ค้นหาความดี เช่นเดียวกับความรัก

ตราบเท่าที่เพื่อนของคุณยังกระโจนเข้าหาอ้อมกอดลวงตาของความรักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ผมเชื่อว่าเขายังไม่หมดศรัทธาในความรักหรอก

เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้น

เราพร่ำบ่นว่าหมดศรัทธากับความรัก ทวงหาเหตุผลที่ความรักไม่จบลงอย่างสมหวังเหมือนในเทพนิยาย แต่เพราะความรักที่ไม่สมหวังนั่นมิใช่หรือที่ทำให้เรายังคงมีศรัทธาอยู่

อาจเป็นเพราะเราหวังลึก ๆ ว่าจะได้พบกับความรักสมหวังเหมือนในเทพนิยาย หรืออาจเป็นเพราะเราพยายามกีดกันความจริงอันแสนโหดร้ายไม่ให้ก้าวล่วงเข้ามาในจินตนาการหวานหอม, เราจึงยังคงมีศรัทธาอยู่

ศรัทธาในความรักคือสิ่งเติมเต็มความเปล่ากลวงในหัวใจที่ไร้หลักยึด, แม้ว่าความจริงจะทำร้ายเรามากเพียงใดก็ตามที

กลับมาที่ The Dark Knight (สปอยล์อีกแล้ว ท่านที่ไม่ประสงค์จะรู้เรื่องราวกรุณาข้ามไป) Rachel รักแรกและรักเดียวของแบทแมนฝากจดหมายทิ้งเอาไว้ก่อนตาย ในนั้นระบุว่า เธอรักและจะแต่งงานกับ Harvey Dent อัยการหนุ่มคนรัก ไม่ใช่ บรู๊ซ เวย์น บุรุษผู้สวมหน้ากากแบทแมน

มีก็แต่ Alfred คนรับใช้เท่านั้นที่รู้ข้อความในจดหมาย แบทแมนไม่รู้เรื่องนี้

ตอนเช้าหลังจากคืนที่เรเชลตาย บรู๊ซพูดกับอัลเฟรดว่า

"She was gonna wait for me, Alfred. Dent doesn't know. He can never know." (เธอจะแต่งงานกับผม, อัลเฟรด เด้นท์ไม่เคยรู้ เขาจะรู้ไม่ได้)

ตราบเท่าที่เขายังไม่รู้ความจริง บรู๊ซยังคงมีศรัทธาในความรักที่เขามีต่อเรเชล แม้ความจริงจะโหดร้ายเพียงใดก็ตามที

สุดท้ายอัลเฟรดจึงเก็บจดหมายของเรเชลไปเผาทิ้ง เก็บงำความลับให้ตายไปกับตนเอง ดีกว่าให้ความจริงทำลายศรัทธาที่มีต่อความรักของบรู๊ซ

กลับเป็นคำพูดของแบทแมนเองที่อธิบายสถานการณ์นี้

"Because sometimes... the truth isn't good enough. Sometimes people deserve more. Sometimes people deserve to have their faith rewarded." (เพราะว่าบางครั้ง ความจริงอย่างเดียวไม่พอ บางครั้งคนเราต้องการมากกว่านั้น บางครั้งคนเราต้องการรางวัลแห่งการมีศรัทธา)

ตราบเท่าที่มี faith reward ใครเลยจะสนใจความปวดร้าวจากความจริงอันแสนโหดร้าย แม้ศรัทธานั้นจะเกิดขึ้นจากการหลอกตัวเองก็ตามที แต่ก็เหมือนที่แบทแมนว่าไว้มีใช่หรือ? เพราะความจริงอย่างเดียวนั้น ไม่พอ

ผมจำชื่อเงื่อนหนึ่งของชาวประมงไม่ได้แน่ชัด ผมขอเรียกมันว่า เงื่อนตายสมบูรณ์แบบ ความหมายนั้นตามชื่อ คือเป็นเงื่อนหลายประเภทที่ทับซ้อนกันแน่นหนาไม่อาจแก้ปมออกมาได้ไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ เมื่อชาวประมงพบเงื่อนตายดังกล่าว ทางเลือกเดียวของเขาคือตัดเชือกนั้นทิ้งเสีย

แต่ก็มีชาวประมงจำนวนไม่น้อยที่นั่งลงแล้วพยายามแก้ปมเงื่อนของเชือกนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า สุดท้ายความอดทนของพวกเขาจะหมดลง และต้องหยิบมีดมาตัดเชือกทิ้ง

ไม่มีใครเคยจัดการกับเงื่อนตายสมบูรณ์แบบได้ แต่คนส่วนมากก็ยังอยากจะลองจัดการกับเงื่อนตายสมบูรณ์แบบนั้น

เงื่อนตายสมบูรณ์แบบก็เหมือนปมสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของความรัก ไม่ว่ามันจะเป็นเงื่อนปมของความเห็นแก่ตัว การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรืออะไรก็ตามที่ทับซ้อนกันอยู่, คนจำนวนไม่น้อยรู้ถึงความยอกย้อนซ่อนเงื่อนของมัน แต่ก็ยังพยายามพาตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปมสัมพันธ์ที่ดิ้นไม่หลุด จนสุดท้ายต้องเอาน้ำตาเป็นกรรไกรใช้ตัดเงื่อนปมนั้นทิ้ง เพียงเพื่อหวนกลับเข้าไปในปมสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับคน Sophisticated ไม่รู้จะแปลไทยว่าอย่างไร แปลเป็นว่า "แก่โลก" ก็แล้วกัน, ปมความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนตายสมบูรณ์แบบ หรือปมสัมพันธ์ในมิติโมเบียสล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ วิธีแก้ปมไม่ยากเลย เพียงแค่ถอยออกมาและมองให้เห็น "ความจริง" ที่ซุกซ่อนอยู่หลังฉาก ก่อนจะลงมีดสะบั้นทิ้ง

แต่นั่นเป็นเพราะความจริงอย่างเดียวไม่พอสำหรับคนที่ใช้หัวใจสูบฉีดความรักมากกว่าเลือด

ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร ความเชื่อมั่น ความศรัทธา หรือกระทั่งความโง่เขลา แต่มันก็เป็นพลังลึกลับที่ไม่เคยตายไปจากหัวใจของมนุษย์, พลังลึกลับที่ทำให้คนบางคนนั่งลงแก้เงื่อนตายสมบูรณ์แบบ แม้รู้ว่าไม่มีวันแก้ได้, พลังลึกลับที่ทำให้คนหลงเข้าไปพัวพันกับปมสัมพันธ์อันแสนซับซ้อน แม้รู้ว่าสุดท้ายต้องลงเอยด้วยน้ำตา

ความศรัทธา, ไม่ว่าจะในความดีหรือในความรัก, แม้สุดท้ายอาจเป็นภาพลวงตา

แต่นั่นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ลมหายใจของเราไม่เหลือค่าเพียงแค่ลมเข้าออก ทำให้ชีวิตเราไม่เหลือค่าเพียงแค่สสารที่บังเอิญมาประกอบกันอย่างไม่ตั้งใจ

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทัณฑ์เงียบ หมายเลข ๒: South of the Border, West of the Sun (สุดขอบแห่งห้วงคำนึงที่ไม่มีวันไปถึง)

(๑.)

๏ ทุกครั้งที่มองฟ้ากว้างกว่ากว้าง
จะพบระยะห่างระหว่างฝัน
คือกำแพงกีดขวางใจให้ไกลกัน
กำแพงนั้นฉันสร้างไว้กั้นใจตน

เพราะรู้เราห่างไกลเกินชิดใกล้
เพราะรู้ว่าหัวใจยังสับสน
เพราะรู้ว่ามีใครอีกหลายคน
ที่จะพาเธอผ่านพ้นวันพรุ่งนี้

เพราะรู้ตัว, ฉันมิใช่คนดีนัก
แม้ความรักจะข้นเข้มเต็มที่
เพราะรู้, มีแค่รักเต็มฤดี
นอกจากนี้ไม่มีจริงสักสิ่งอัน

๏ เพราะรักเธอ, รักมาก
เกินทนเห็นเธอลำบากเพราะฉัน
ขอโทษ, ที่หนีไปในวันนั้น
ก็สมแล้ว, ต้องรับทัณฑ์ในวันนี้

เพราะเพิ่งรู้ว่ารักใครไม่ได้อีก
แม้ร่างกายสยายปีกเพื่อหลีกหนี
บางสิ่งกลับติดแน่นในดวงฤดี
และหัวใจไม่มีวันลบเลือน

(๒.)

๏ ฉันเกลียดเด็กน้อยนามโชคชะตา
ที่เคยมาขีดเส้นความเป็นเพื่อน
เส้นแบ่งแห่งจริงฝันจึงฟั่นเฟือน
ย้ำเตือนช่องว่างระหว่างเรา

แล้วสุดท้าย, รักที่ใจเคยไถ่ถาม
ก็ซุกซ่อนอยู่ในนามของความเหงา
ท่ามกลางกำแพงฝันอันบางเบา
และม่านหมอกหม่นเศร้าลวงตา

เมื่อใจรู้ว่ารักใครไม่ได้อีก
เคยหลบหลีกเคยเรรวนจึงหวนหา
แต่ใครเล่าขอร้องให้กลับมา
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนเราไป, ไม่เหมือนเดิม

(๓.)

๏ ฉันไม่รู้, หากใครถามความคิดถึง
รู้แค่มันลึกซึ้งแต่แรกเริ่ม
ยิ่งทิ้งขว้างไปใจยิ่งเติม
ยิ่งพูนเพิ่มความห่วงใยในห้วงคะนึง

แต่คำ "รัก" ผิดที่ผิดเวลา
จึงสิ้นไร้คุณค่า, แค่คำหนึ่ง
แล้วใจต่อใจเคยไหวซึ้ง
ก็หมดสิ้นแล้วซึ่งความผูกพัน

แล้วจะโทษใครได้
ก็ใครเล่าใครเคยทิ้งฝัน
ก็ใครเล่าใครเคยทิ้งกัน
แล้วหวนคืนในวันรักวางวาย

กำแพงกั้นใจใครเคยตั้ง
กำแพงแห่งความหลังมิจางหาย
คำรักหนักแน่นแสนเปล่าดาย
สิ้นไร้ความหมายแล้ววันนี้

๏ แล้วความเงียบก็จู่จับรับความเหงา
ประคองความหม่นเศร้าในวิถี
ความเงียบงันค่อยกั้นขวางระหว่างฤดี
แล้วจึงทบทวีกลายเป็นทัณฑ์

ทัณฑ์เงียบคือทัณฑ์ที่กั้นขวาง
เป็นช่องว่างที่เติมฝันไม่เต็มฝัน
ความรักจึงอยู่กึ่งกลางระหว่างอนันต์
สายสัมพันธ์ค่อยลาร้างจางหายไป

(๔.)

๏ ฉันไม่รู้, หากใครถามเรื่องความเงียบ
รู้แค่มันเย็นเฉียบเกินทนไหว
ไม่มีสิทธิ์ขอร้องต่อรองใคร
หัวใจไม่อาจยื้อดื้อดึง

แล้วทัณฑ์เงียบก็ถึงวันทัณฑ์ชำระ
ชั่วขณะที่หัวใจไหวครั้งหนึ่ง
ปล่อยหัวใจไปสุดขอบห้วงคำนึง
ไม่มีวันไปถึง, ไม่มีทาง ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๗/๐๕/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บันทึกเรื่องตื่นเต้น (๗): ภารกิจหลั่งเลือด!

(๑.)

ไม่รู้ว่าลมอะไรถีบผมมาหล่นตุบลงที่โรงพยาบาลศิริราช รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดาเสียแล้ว

นึกย้อนไปไม่กี่นาทีก่อนหน้า ผมยังเดินโต๋เต๋อยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอยู่เลย ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกที การคุยงานสารคดีกับหอการค้าไทยเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้ เวลาที่เหลือจึงน่าจะเป็นเวลาออกเที่ยวสักหน่อย

ระหว่างที่รีรอ ๆ อยู่หน้านิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พลางพิจารณารูปปั้นยักษ์ ๒ ตนที่ยืนตระหง่านหน้าตึกว่าทศกัณฐ์คือตนไหน สหัสเดชะเล่าคือตนใด หรือมิใช่ทั้งคู่ ผมก็ถูกอารมณ์ติสต์หอบขึ้นรถเมล์ไปฉิบ

ท่านที่รู้จักผมดีคงไม่ต้องอธิบายถึงอารมณ์ชนิดนี้ ส่วนท่านที่ยังไม่รู้จักผมดีอาจจะต้องอธิบายสักหน่อยว่า หากไม่มีนัดหมายหรืองานเร่งร้อนคอขาดบาดตายรออยู่ ผมมักจะใช้ชีวิตแบบด้นสด คิดอยากไปไหนก็ไป แผนการในชีวิตคือกระดาษอันว่างเปล่าสำหรับผม และในวินาทีนั้น ผมถูกอารมณ์ติสต์นามว่า "อยากไปเดินเล่นแถวท่าพระจันทร์สักหน่อยน้า" เข้าครอบงำ

แต่วันนี้ท่าพระจันทร์ยามบ่ายแก่ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว ซ้ำคนยังเยอะเกินกว่าที่คาด เหลียวมองข้ามฟากฝั่งเจ้าพระยา ตึกของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศตั้งตระหง่าน สมัยที่ผมพักอยู่กับพี่ที่หอพักแถว ๆ เชิงสะพานปิ่นเกล้า ผมผ่านตึกนั้นบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าไปแวะเวียน โรงพยาบาลคงไม่ใช่สถานที่น่าพิสมัยสำหรับคนไม่ป่วย แต่วันนี้ผมกลับอยากลองไปเดินเล่นในนั้นสักครั้ง

หรือผมกำลังป่วย?

หรือเพราะลมแห่งความป่วยไข้นั่นเองที่ถีบผมมาหล่นตุบลงที่โรงพยาบาลแห่งนี้?

(๒.)

ไม่ว่ามันจะเป็นลมอันใด หรือ 'รมณ์ติสต์ที่ยากจะทำความเข้าใจ ผมก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดาแล้ว

บรรยากาศในโรงพยาบาลศิริราชต่างจากที่ผมเคยสร้างจินตภาพไว้พอสมควร, จินตภาพที่เกิดจากการเคยเห็นบรรยากาศในโรงพยาบาลมหาราชที่พี่สะใภ้ผมทำงานอยู่, ช่างวุ่นวายราวกับมีงานบวชผสมงานทอดกฐินและงานแต่งงานตลอดทั้งวัน

ศิริราชสงบเงียบ...

หรือบางทีความวุ่นวายอาจซ่อนตัวอยู่หลังตึกผู้ป่วยที่ผมมองไม่เห็น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร บรรยากาศตรงนี้ก็สงบมากพอที่ผมจะหย่อนอารมณ์ นั่งเสพความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะลองเดินออกสำรวจพื้นที่ในโรงพยาบาล

การเดินสำรวจแบบไม่มีแผนที่ประกอบนั้นไม่มากพอที่จะทำให้คนที่ชอบหลงทางสายชีวิตอย่างผมเข้าใจเส้นทางอย่างทะลุปรุโปร่ง อันที่จริงก็ต้องบอกว่าหลงทางไปไหนต่อไหน ก่อนจะบังเอิญเห็นป้ายสีแดง ๆ ที่เขียนว่า บริจาคเลือด

แล้วอารมณ์ติสต์ชื่อเดียวกันกับป้ายนั้นก็เข้าครอบงำผม

(๓.)

อารมณ์ติสต์บางอย่างก็เป็นเรื่องดี แต่สำหรับอารมณ์ติสต์แบบนี้ไม่น่าจะดีเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อเข้ารับภารกิจหลั่งเลือด

แต่เมื่อเผลอตัวเผลอใจให้อารมณ์ติสต์ปัจจุบันทันด่วนครอบงำ ก็ยากที่จะหักห้าม

หากจะเปรียบไป ผมก็เหมือนดรุณีน้อยวัยกำดัดผู้ไม่เคยสัมผัสมือหยาบกร้านของบุรุษเพศ บริสุทธิ์บอบบางราวดอกไม้แรกอรุณในวงการบริจาคเลือด หากคิดจะเข้าสู่ภารกิจหลั่งเลือด มือใหม่หัดเจาะอย่างผมคงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและช่ำชองระดับประดับเข็มแบบ "ท่านเซอร์" - ผมนึกถึง "เซอร์นก" หรือ นกบินเดี่ยว (บางเที่ยวก็บินคู่) เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาโทผู้เป็นกูรูด้านการหลั่งเลือดลงถุง

"สวัสดีครับนก ธีรวัฒน์ กล่าวเกลี้ยง เลี้ยงดู ยู้ฮู จุ๊กกรู ฯลฯ คือเรามีเรื่องอยากจะปรึกษานายในฐานะที่นายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนาน ระดับปรมาจารย์..."

"เข้าเรื่องเลยครับกอล์ฟ" นกหัวเราะ เขารู้จักผมดีพอว่าถ้าปล่อยให้ผมพูดต่อไป ผมจะสร้างประโยคความซ้อนต่อไปเรื่อย ๆ

ทันทีที่รู้ความประสงค์ นกก็ให้คำปรึกษาในฐานะรุ่นพี่ที่แสนใจดีกับรุ่นน้องตัวกลม ๆ

"ต้องนอนสัก ๘ ชั่วโมงนะ เลือดจะได้ไม่ลอย"

นับนิ้ว เมื่อคืนนอนตีสองครึ่ง ตื่นเก้าโมงครึ่ง เช็ด! เจ็ดชั่วโมงเอง จะพอไหม ถ้าจะรวมตอนที่ยังไม่หลับสนิทคงไม่พอ แถมวันก่อนไม่ได้นอนนี่หว่า แต่เมื่อวานก็นอนชดเชยไปซะ ๑๓ ชม. การนอนไม่เป็นเวลานี่ทำให้คำนวณยากจริง ๆ เลย แต่คงพอน่ะ

"ต้องอดข้าวไหม" เคยได้ยินว่าห้ามกินข้าวหลัง ๖ โมงเย็นถ้าจะตรวจอะไรเกี่ยวแก่เลือด

"ไม่ต้องขนาดนั้น นั่นเอาไว้ตรวจน้ำตาลในเลือด" โอเค เพราะเพิ่งกินข้าวเที่ยงมา

แล้วกูรูนกก็ให้คำแนะนำอื่น ๆ แต่ผมจำไม่ได้แล้ว เอาไว้ไปตายเอาดาบหน้าที่มุมบริจาคเลือดเลยละกัน

(๔.)

หนึ่งช่องของแบบฟอร์มบริจาคเลือดทำให้หัวใจพยศของวัยหนุ่มสะดุดกึก!

(เฉพาะสุภาพบุรุษ) เคยมีความสัมพันธ์กับเพศชาย -ใช่ -ไม่ใช่

!!!

(ถ้าจำคำผิดขออภัย)

นึกทบทวนความหลัง ความบริสุทธิ์ที่ถนอมกล่อมเกลี้ยงมากว่า ๒๔ ฤดูใบไม้ผลิ ผมยังไม่เคยเสียให้แก่หญิงใด...

แต่กับชายเล่า!

นึกทบทวนความหลังอย่างไตร่ตรอง อาจมีบางครั้งเคยนั่งร่วมวงสุรากับชายหนุ่ม แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่ขายสติให้น้ำเมาจนเผลอพลีร่างซบหนั่นเนื้อของบุรุษกำยำใต้ผ้าห่มร้อนเร่า

โอเค ไม่ใช่!

มือสั่นระริก แต่ก็ติ๊กอย่างมั่นใจ!

(๕.)




จริง ๆ ผมชอบดื่มน้ำเขียวครีมโซดามากกว่า แต่เมื่อมีน้ำแดงตรงหน้าจะพิรี้พิไรเพื่อเหตุอันใด

ตอนแรกคิดว่าไม่อยากดื่มน้ำแดงเพราะเพิ่งกรอกน้ำดับกระหายมาหนึ่งขวดเต็ม ๆ แต่ทั้งคนตรวจและบุรุษพยาบาลก็เน้นย้ำว่ากินนะ ๆ จะได้ไม่เป็นลม พูดหนักเข้าใจผมก็ชักหวั่น ๆ ทั้งที่จริงถ้าคนอย่างผมจะกลายเป็นธาตุอะไรไปสักอย่าง มันไม่น่าจะกลายเป็นลมที่มีน้ำหนักเบาหวิวเหลือทนหนอชีวิต อย่างไรก็ดี เมื่อถูกกระแซะเข้ามาก ๆ ความหนักแน่นก็เริ่มไหวเอน สุดท้ายผมจึงดูดน้ำแดงจ๊วบ ๆ อย่างไม่กลัวน้ำตาลในเลือดจะพุ่งปรี๊ด

"คุณวุฒินันท์ค่ะ..."

และแล้วก็ถึงเวลาหมูขึ้นเขียง!

ไม่กล้ากลับไปวัดความดันอีกครั้ง เพราะถ้าวัดตอนนี้ระดับความดันคงพุ่งสูงตามแรงเต้นของหัวใจ

(๖.)

แพทย์สาวตรงหน้าผมเอาแอลกอฮอล์เช็ด ๆ คลำ ๆ ดูเส้นเลือด ผมห่วงเหลือเกินว่าเธอจะหาไม่พบ เพราะผมมีเกราะกำบังชื่อไขมันกั้นไว้อย่างแน่นหนา แต่เธอก็หาเจอ โอเค เธอหยิบถุงมาแล้ว จากนั้นจึงค่อยเปิดตัวเข็มจิ้มหมู

มีคนเคยบอกว่า ถ้ากลัวเข็ม อย่าไปมองเข็มเจาะเลือด เพราะมันเกิดมาเพื่อสร้างความสยองขวัญสั่นประสาทคนกลัวเข็มโดยแท้

แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเสือชอบใส่เกือก จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบแล โดยลืมไปว่าตัวเองเป็นโรคหวาดกลัวของแหลมที่จะมาทิ่มแทงเข้าร่าง ทั้งเข็มแหลมและคำพูดบาดใจ

เจี๊ยก!!!!!!!

เข็มบ้าอะไรเล็กกว่าหลอดดูดยาคูลท์นิดเดียว!!

(ขออภัยสำหรับผู้ไม่เคยบริจาคเลือดที่จะจินตนาการไปตามความเปรียบอติพจน์ของผม ความเปรียบในใจที่หวาดกลัวนั้นมักจะเวอร์เกินจริงเสมอ)

ผมนึกภาพขวดยาคูลท์ทั้งหลายที่ผมเคยเอาหลอดทิ่มแล้วดูดนมเปรี้ยวในขวดจ๊วบ ๆ โธ่ เจ้ากรรมนายเวรยาคูลท์จะสนองดาบนั้นคืนแก่ผมเสียแล้วโดยการเอาเข็มยาคูลท์จิ้มผมแล้วดูดเลือดจ๊วบ ๆ อย่างเปรมปรีดิ์

"ฮึ้ยยย... กลัวคับ..." ผมเผลอครางหงิงราวกับชิวาวาตัวน้อยกำลังจะถูกฉีดยากันพิษสุนัขบ้า

คุณหมอแก้มแดงหัวเราะคิก, ลืมเล่าไปว่าวันนี้ผมโกนมาแค่หนวด ส่วนเครายังรกครึ้มราวกับเสือร้าย (แต่ดู ๆ ไปเหมือนหมูป่ามากกว่า) เธอคงขำที่หน้าตาอย่างมหาโจรอย่างผมทำท่าเหมือนเด็กสองขวบกลัวไม้เรียวหวดก้น

"ไม่เจ็บหรอกค่ะ เจ็บนิดเดียว" เอ้า ตกลงเจ็บหรือไม่เจ็บเนี่ยคับคุณหมอ

ผมได้แต่หลับตา ไม่อยากมองภาพสยดสยองตรงหน้า "อย่าเกร็งนะคะ เดี๋ยวเจ็บ"

น้ำตาผมตกใน เมื่อหมูขึ้นเขียงเสียแล้ว เข็มยาคูลท์ก็ต้องทิ่มแทงเข้ามาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โถ... อุตส่าห์ทะนุถนอมร่างกายอันแสนบอบบางผ่านร้อนผ่านฝนมากว่า ๒๔ ขวบปี ไม่คิดเลยว่าต้องมาเสียทีให้เจ้าเข็มยักษ์ได้ทิ่มแทงมาสูบเลือดหนุ่ม โอ... ลาก่อนวัยหนุ่มและฤดูใบไม้ผลิอันแสนหวาน โฮ... หม่ามี๊ Help me plz...

ฉึก!

@#$%&!!!

ยังไม่ทันที่ผมจะดื่มด่ำกับความหฤหรรษ์แห่งเจ็บปวด หมอสาวก็คลำเข็มกับเส้นเลือดผมเพื่อหาความผิดปกติ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวจี

"ว้า ขอโทษนะคะ เส้นเลือดมันพลิกออกจากเข็ม ขออนุญาตแทงอีกรอบ"

ไม่ทันฟังอีร้าค่าอีรม คุณหมอแก้มแดงก็ทิ่มแทงเข็มยักษ์ชำแรกเข้ามาในกายผมอีกรอบ แล้วเธอจึงคลำเข็มดูอีกครั้ง

"โอเคค่ะ มัวแต่กลัวคุณเจ็บเลยได้เจ็บสองรอบเลย บีบลูกบอลเรื่อย ๆ นะคะ"

แล้วเธอก็ผละจากผมไปดูแลผู้ใจบุญท่านอื่น ๆ ทิ้งให้คนบาปในคราบนักบุญอย่างผมนอนหายใจรวยรินอยู่บนเขียง เอ้ย เตียง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าโอเวอร์แอ็คติ้งให้หมอเป็นกังวล มิเช่นนั้นอาจโดนแทงสองรอบ!




(๗.)

อันที่จริงมันก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ ตอนแรกอาจจะรู้สึกปวดหนึบ ๆ อยู่บ้าง แต่สักพักก็เริ่มชิน ว่าแล้วผมก็เริ่มบีบลูกบอลอย่างมันมือพลางคิดว่า อยากซื้อลูกบอลแบบนี้มาบีบเล่นที่ห้อง ฮาฮา

เหลียวมองเตียงข้าง ๆ หญิงสาวใจบุญอายุอานามน่าจะน้อยกว่าผมสักสี่ห้าขวบปี แต่ใบหน้าเธอนิ่งราวกับเพิ่งสึกออกมาจากสำนักเซน แม้ขณะที่โดนแทงเข็ม สีหน้าเธอยังไม่เปลี่ยน มิน่าล่ะคุณหมอถึงเผลอขำผม

หันกลับมามองถุงเลือดอีกที โอ้ว มันกำลังโป่งพองขึ้นเรื่อย ๆ นี่ล่ะหรือเลือดของเรา ใยจึงสีเหมือนเลือดหมูเยี่ยงนั้น แล้วใยถุงนี้จึงพองขึ้นเรื่อย ๆ โอ เลือดเราไหลมากองในถุงนี้ล่ะหรือ เรากำลังเสียเลือดพรวด ๆ จวนจะหมดตัวแล้ว น่าสยดสยองยิ่งนัก เราจะตายไหมนี่...




(๘.)

แล้วเลือดก็เต็มถุงเร็วกว่าที่คิด กะว่าประมาณครึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น ชายวัยกลางคนจากเตียงอีกฟากหนึ่งทำภารกิจหลั่งเลือดเสร็จไล่เลี่ยกับผม เราจึงได้มานั่งตั้งวงน้ำแดงเปิดประเด็นสนทนากันสักพัก

"ผู้หญิงเขาได้ถ่ายเทเลือดเสียสร้างเลือดใหม่ทุกเดือน ๆ เราผู้ชายก็ต้องมาทำแบบนี้แหละ ถึงจะมีโอกาสสร้างเลือดใหม่ในร่างกายบ้าง"

เปรียบเปรยได้น่าสนใจ ถ้าเช่นนั้นผมควรมาหลั่งเลือดลงถุงทุกเดือน?

"ไม่ได้ ๆ ถ้าไม่ถึงสามเดือนเขาไม่ให้บริจาค ผมเคยมาก่อนถึงสามเดือน บอกเขาว่าร่างกายแข็งแรงดีแต่เขาก็ไม่ให้บริจาค เขากลัวว่าร่างกายจะยังสร้างเกล็ดเลือดไม่พอ"

จากนั้นเราก็เริ่มคุยเรื่องสัพเพเหระ ก่อนจะแยกย้ายกันไป เพราะวงน้ำแดงไม่ใช่วงน้ำเมา ใยจะดึงดูดชายหนุ่มสองคนให้สนทนาได้นานไปกว่านี้?

(๙.)

ดูเหมือนว่าผมจะวิตกจริตมากไปหน่อย เพราะหลังบริจาคเลือด ร่างกายผมก็ยังกระฉับกระเฉงดี ไม่มีเวียนหัวจะเป็นลมเหมือนที่บรรดาพยาบาลคอยกำชับ ไม่อยากบอกเลยว่าผมเดินพล่านยิ่งกว่าตอนก่อนบริจาคเสียอีก ย่างสู่ยามเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกมาให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมี พระองค์ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงดี คนบุญน้อยอย่างผมไม่กล้าชื่นชมพระบารมีนานเกินไปจึงเดินเรื่อยเปื่อยออกมาจากโรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีลมก็หอบผมไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่สวนนคราภิรมย์ ชมเรือวิ่งผ่านไปผ่านมา คลุกเคล้าอารมณ์ออกมาเป็นบทกวีไม่มีชื่อและไม่มีบันทึก ก่อนที่แสงสุดท้ายแห่งอรุณจะลากผมกลับสู่บ้านช่องห้องหอเสียที

โทรกลับบ้านถามไถ่ทุกข์สุข อาการตาของแม่หลังผ่าตัดดีขึ้นมาก ได้แต่หวังว่าผลบุญจากการบริจาคเลือดครั้งนี้จะช่วยให้ดวงตาของหม่ามี๊หายในเร็ววัน และถ้าเลือดผมไม่มีโรคอะไรเป็นของแถม หวังว่าอีกสามเดือนข้างหน้าคงได้มาทำภารกิจหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินอีกครั้ง!


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๔/๐๕/๒๕๕๔