วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปิดตาธิปไตย

๏ คือประชาธิปไตยแบบปิดตา
คือพวกข้าฯ ทำอะไรก็ไม่ผิด
เอากฎหมู่ขู่กฎหมายให้สิ้นฤทธิ์
เราล้วนแต่มิ่งมิตรไม่ผิดแท้

๏ ลืมตาเพียงหนึ่งข้างพอให้เห็น
ความผิดอีกฝ่ายเน้นเป็นของแน่
ฟาดฟันอีกฝั่งฝ่ายเฝ้าเล็งแล
แต่ตัวข้าฯ หาได้ผิดสักนิดเลย

๏ ดูสิมันจัญไรไปทุกสิ่ง
พวกเราสิดีจริงนะเพื่อนเอ๋ย
เรื่องริยำอันใดเราไม่เคย
(เพียงปิดตาแล้วทำเฉยไม่เคยมี)

๏ คือประชาธิปไตยแบบปิดตา
คือปิดกั้นใจว่ามึงต่างสี
คือปิดหูไม่ยอมฟังความหวังดี
ตีตราว่าเป็นอำมาตย์-ทุนสามานย์!

๏ เถิดเร่งเปิดตาก่อนจะสาย
เปิดให้เห็นคนร้ายรอประหาร
ทั้งนายทุน-ทั้งศักดินาผู้สาธารณ์
อย่ามองผ่านหากเขาผิดแม้มิตรเรา

๏ เลิกประชาธิปไตยแบบปิดตา
ก่อนเกิดการเข่นฆ่าอย่างขลาดเขลา
ก้าวให้พ้นความเกลียดกลัวมัวเมา
ร่วมโค่นล้มรากเหง้าความชั่วช้า!

๏ หยุดปิดตาธิปไตย-กูไม่ผิด
หยุดการเมืองแบบหลงมิตรคิดเข่นฆ่า
เริ่มต้นกันเถิดเพียงเปิดตา
สร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ๚ะ๛

มิถุนายน ๒๕๕๗

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทำทานให้หมา


ระหว่างขากลับจากทำธุระ ผมและพ่อขับรถมาทางถนนชัยภูมิ-ตาดโตน บริเวณตำบลนาฝาย ผมและพ่อพบด่านตรวจเล็กๆ ผมนึกโล่งใจที่ขณะนั้นพ่อเป็นคนขับอยู่ หาไม่แล้วหากผมขับคงต้องโดนปรับเพราะไม่มีใบขับขี่เป็นแน่ ทว่านายตำรวจคนนั้นก็ยังเรียกให้จอดรถ แต่สำหรับพลเมืองดีผู้ปฏิบัติตามกฎจราจรทุกประการ ภาษีรถก็เสียทุกปีครบถ้วนไม่ขาด ไม่มีสิ่งผิดกฎหมายอันใดให้ต้องกลัวเลย นายตำรวจหยิบใบขับขี่ของพ่อมาดูพลางเดินสำรวจรอบรถ กระทั่งมาหยุดที่กันชนหน้ารถ ก่อนจะกวักมือเรียกเราทั้งคู่ออกไปดู

“กันชนเบี้ยวนะครับ มันบังทะเบียนรถเห็นไหม“

ผมพยายามทิ้งขว้างอคติที่มีมาแต่เดิมกับสัมมาชีพที่เรียกว่าตำรวจ พยายามมองด้วยใจเป็นกลางอย่างที่สุด แน่ล่ะกันชนรถผมเบี้ยวไปนิดนึงเนื่องจากสัปดาห์ก่อนเผอิญขับชนสุนัขด้วยความเร็วพอสมควร แต่มันก็ไม่เบี้ยวถึงขนาดบังป้ายทะเบียน แต่ตำรวจนายนั้นก็ยืนยันว่านี่คืออาชญากรรมบนท้องถนนที่มีราคาค่าปรับสองร้อยบาท ประชาชนผู้เลวทรามอย่างผมพยายามเถียงผู้พิทักษ์กฎหมายว่า เฮ้ย มันผิดได้ไง ผิด พ.ร.บ. ขนส่งข้อไหน ถ้าคุณเขียนใบสั่งผิดมาตราผมจะเอาไปฟ้องศาล พ่อข้าพเจ้าตัดบท กล่าวว่าเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าผิดก็ต้องยอมรับผิด จะตะแบงเอาแต่ใจไม่ได้ ใบสั่งถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือลวกๆ เหมือนว่าไม่อยากให้อ่านออก ก่อนจะส่งให้พลเมืองผู้กระทำอาชญากรรมบนท้องถนนให้สำนึก

ผมปิดประตูรถอย่างขุ่นเคือง พ่อว่าเป็นเพราะกันชนเบี้ยวจากการชนหมานั่นแหละ เงินที่จ่ายไปก็ถือว่าทำทานให้หมา พลันอารมณ์บูดหายเป็นปลิดทิ้ง ผมหัวเราะออกมาได้ นั่นสินะ---ทำทานให้หมา! นาทีนั้นผมนึกถึงสุนัขข้างถนนที่เราเผลอชนเพราะมันวิ่งตัดหน้า อย่างน้อยมันก็ตายอย่างสมชาติตระกูลหมาข้างถนน คือวิ่งมาตัดหน้าท้ายมบาลก่อนจะพลาดท่าสังเวยชีวิต ทิ้งรอยบิดเบี้ยวไว้บนกันชนให้คนระลึกถึงด้วยความสงสาร ต่างจากสุนัขข้างถนนหิวโซบางตัว หรือหลายตัวที่คอยกรรโชกแว้งกัดเพื่อเศษอาหารเล็กๆ น้อยๆ จากมือประชาชนพลเมืองดีเสียภาษีตรงเวลาที่คอยให้ข้าวให้น้ำแก่มัน สุนัขพวกนั้นช่างไม่มีศักดิ์ศรีแม้เพียงเสี้ยวกระผีก และผมเชื่อว่าสุนัขพรรค์นั้นถึงจะตายไปก็คงไม่มีใครนึกสงสารมันแม้แต่คนเดียว

(ภาพประกอบ: ห้วงขณะพลเมืองผู้ก่ออาชญากรรมบนท้องถนนนับสิบรายต้องจ่ายค่าปรับให้ตำรวจผู้รักษากฎหมายยิ่งชีพ)

๙ มิ.ย. ๕๗

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทศกัณฐ์

หากฉันมีสิบเศียรอย่างทศกัณฐ์
คงเปี่ยมด้วยโมหันธ์ความห่วงหา
ดวงตาก็จะช้ำยี่สิบตา
ด้วยพะวงแต่ดวงหน้าน่ารักนั้น

แม้ว่ายี่สิบกรจะร้อนไหม้
ขอเพียงได้ตระกองกอดก็เต็มฝัน
ศีรษะแหลกเป็นร้อยเสี่ยงสมโทษทัณฑ์
แลกการจับมือกันประคองกร*

หากฉันมีฤทธิ์ร้ายอย่างราวณะ
จะเปิดฉากมหาศึกชิงสายสมร
จะพลีชีพผลาญชาติราษฎร
เป็นกองฟอนสมค่าสีดางาม

เพราะฉันเป็นตัวร้ายเหมือนราวณะ
เธอจึงมองว่ากักขฬะน่าเหยียดหยาม
ฉันคงไม่ตายด้วยศรราม
แต่จะตายเพราะเธอห้ามความห่วงใย

หากฉันมีสิบเศียรอย่างทศกัณฐ์
คงเปี่ยมด้วยโมหันธ์ความหวั่นไหว
เถิดเมื่อเธอถือครองกล่องดวงใจ
ขยี้เสียสิ้นไปจึ่งสิ้นกรรม

๓ มิ.ย. ๕๗

-----------------
*ในเรื่องรามเกียรติ์ (ฉบับรัชกาลที่ ๑) ทศกัณฐ์แตะต้องนางสีดาไม่ได้เนื่องจากบารมีของนางสีดาซึ่งเป็นพระลักษมีแบ่งภาคมาเกิด ดังกลอนว่า "เดชะบารมีโฉมฉาย ให้บันดาลร้อนกายยักษา สิ้นแรงที่จะไปในเมฆา ก็ลงมายังพื้นสุธาธาร" และ "เดชะด้วยโพธิสมภาร พระมารดาโลกดวงสมร พญายักษ์เข้าใกล้บังอร ให้ร้อนฤทัยดังไฟกัลป์"


ส่วนในรามายณะของอินเดีย ราวณะแตะต้องสีดาไม่ได้เนื่องจากถูกสาปไว้ว่าหากขืนใจหญิงสาวโดยที่นางไม่ยินยอม ศีรษะทั้งสิบจะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ


แต่อันที่จริงอาการ "ศีรษะแตกเป็นเสี่ยงๆ" ก็มีปรากฏในรามเกียรติ์เช่นกัน ในเรื่องกล่าวว่าเป็นเพราะบารมีของพระนารายณ์ ดังกลอนว่า "สิบเศียรเพียงแตกทำลาย ด้วยเดชะพระนารายณ์รังสรรค์"