วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คนน่ารัก (2)

๏ เธอน่ารักเหมือนเดิม
เหมือนแรกเริ่มเมื่อรู้จัก
ยิ่งมองยิ่งน่ารัก
อยากทายทักสักครั้งนึง

๏ สบตานัยน์ตาหวาน
เหมือนล้านดาวมาดูดดึง
ยิ้มหวานยิ่งหวานซึ้ง
ยิ่งน่ารักอยากทักทาย

๏ เวลาผ่านมานานปี
ก็รู้ดีว่าไม่ง่าย
ฉันคนนี้น่ะขี้อาย
เป็นโรคคล้ายขอมดำดิน

๏ ต่อหน้าคนน่ารัก
มักถูกสาปให้เป็นหิน
ใบ้บ้าเป็นอาจิณ
หมดสิ้นคำจะจำนรรจ์

๏ ทั้งที่ความคิดถึง
ห้วงคะนึงในความฝัน
พร่ำเพ้อถึงเธอนั้น
ทุกคืนวันแทบวางวาย

๏ อายครูบ่รู้วิชา
คนน่ารักหากเขินอาย
ไร้คู่คงเสียดาย
ในภายหลังนั่งเสียใจ

๏ โรคแพ้คนน่ารัก
หวังสักวันเลิกหวั่นไหว
ความรักหนักฤทัย
คงได้เอ่ยเผยสักที ๚ะ๛


๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แรงดึงดูด

"แม่ครับ ทำไมน้ำถึงตกจากข้างบนลงมาข้างล่างล่ะครับ"
"เพราะโลกมีแรงดึงดูดไงจ๊ะ"
"แล้วที่มีคนมาเที่ยวเยอะ ๆ แบบนี้ก็เพราะแรงดึงดูดใช่มั้ยครับ"
"ใช่จ้ะ" เธอหัวเราะกับความช่างคิดของลูกชาย "น้ำตกที่นี่สวยมาก ก็เลยดึงดูดให้คนมาเที่ยวเยอะแยะ"
"ที่พ่อกำลังเดินไปทางนั้นก็เพราะแรงดึงดูดใช่มั้ยครับ"
เธอมองไปทางที่ลูกชายชี้นิ้ว สามีของเธอกำลังเดินตามสาวฝรั่งหุ่นสบึมส์ต้อย ๆ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สะโพกดินระเบิดของเจ้าหล่อนไม่วางตา
"คุณคะ!"


๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รอยเปื้อน

เสื้อเชิ้ตไม่ว่าจะสีไหนยี่ห้อใดเมื่อถูกกาแฟหกใส่ก็ต้องมีรอยเปื้อน สิ่งที่สั่นสะเทือนหัวใจผมมากกว่าปกติก็คือมันเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแบรนด์เนมราคาเท่าต้นฉบับเรื่องสั้นหนึ่งเรื่อง เสื้อเชิ้ตสุภาพอาจไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่จำเป็นสำหรับนักเขียนไส้แห้ง แต่มันจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องสวมทับวิญญาณอหังการ์เพื่อกลายร่างเป็นคนธรรมดาที่ยอมกราบกรานแทบเท้างอนง้อขอความเมตตากรุณาจากนายจ้างเพื่อให้รับเข้าทำงาน แฟนของผม-ซึ่งก็คือคนที่เพิ่งจะทำกาแฟหกรดเสื้อของผม-เป็นคนแนะนำให้ผมหาซื้อเสื้อตัวนี้มาใส่เพื่อ 'บุคลิกภาพที่ดี' หลังจากอดรนทนไม่ไหวที่เห็นผมตกงานมาหลายปี

เธอละล่ำละลักขอโทษในความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจ แล้วรีบเอาเสื้อไปทำความสะอาด อาจจะป้ายน้ำยาล้างคราบ หรือแช่น้ำยาซักผ้าขาว- ผมไม่รู้กรรมวิธีทำความสะอาดของเธอเลยแม้แต่น้อย หลักฐานก็คือบรรดาเสื้อยืดตัวเก่งที่ผ่านฝีมือซักของผมล้วนเต็มไปด้วยรอยเลอะเทอะเป็นด่างดวงเหมือนลูกหมาตกน้ำ ดูคล้ายกับชีวิตผมก่อนที่จะได้พบกับเธอ นับตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในชีวิตผม เธอก็ช่วยจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ชีวิตผมเข้ารูปเข้ารอยเหมือนคนอื่นเขาบ้าง รวมถึงงานประจำที่ผมกำลังจะไปสัมภาษณ์เข้าทำงานในวันพรุ่งนี้

เพียงไม่นาน คราบกาแฟก็หายไปสิ้น เธอรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวสวยของผมเสียจนกลีบเสื้อคมกริบ เธอบอกว่าผมจะต้องดูดีมากเมื่อใส่ไปสัมภาษณ์งานพรุ่งนี้ เมื่อเห็นผมก้มหน้าก้มตาไม่สนใจเธอจึงดึงปากกาออกจากมือผม บอกว่าดึกแล้วต้องรีบนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปสาย เรื่องสั้นที่แต่งค้างไว้ครึ่งเรื่องนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะอย่างนั้น ผมหยิบเสื้อเชิ้ตแสนสุภาพมาทาบตัว ดูไม่เข้ากันเลยกับหนวดเครารุงรังบนใบหน้า พรุ่งนี้โกนทิ้งให้หมดคงเข้าที ผมนึกในใจพลางมองหารอยเปื้อนบนเสื้อแต่หาไม่พบ แฟนผมทำงานได้สมบูรณ์แบบเหมือนทุกครั้ง แต่กระนั้นผมกลับเกิดความมั่นใจแปลก ๆ ว่าคงจะต้องมีรอยเปื้อนหลงเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่งบนเสื้อตัวนี้

วุฒินันท์ ชัยศรี

๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The Dark Knight Rises [to normal Hero]

หมายเหตุก่อนอ่าน

- เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนของภาพยนตร์ The Dark Knight Rises

- บทความนี้ไม่ใช่บทวิจารณ์ แค่เป็นบทบันทึกความรู้สึกบางประการที่มีต่อภาพยนตร์

ไม่รู้ว่าคริสโตเฟอร์ โนแลน คิดอย่างไรในการปิดฉากไตรภาคมนุษย์ค้างคาวใน The Dark Knight Rises ด้วยการถอยกลับไปเล่าเรื่องสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่แบบ Batman Begins ครั้นจะบอกว่าผู้กำกับอยากจะลดความซับซ้อนของภาคสองให้เข้าใจง่ายขึ้น หนังจะได้ขายง่ายขึ้นก็คงไม่ใช่ เพราะความสำเร็จมากมายมหาศาลจาก The Dark Knight ที่กวาดรายได้ไปกว่าพันล้านเหรียญ และได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ย่อมเป็นเครื่องการันตีว่าบทหนังที่เข้มข้นและซับซ้อนต่างหากที่สำคัญเสียยิ่งกว่าเอฟเฟคตูมตามระทึกใจที่เห็นกันเกลื่อนในหนังซูเปอร์ฮีโร่ธรรมดา เอาเฉพาะรายได้สิบวันแรกก็นับว่าภาคสามเก็บไปได้น้อยกว่าภาคสองเสียด้วยซ้ำ (อาจจะเพราะข่าวยิงกราดในโรงหนัง แต่มันก็คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งนะ)

อาจจะด้วยความที่อินกับภาคสองมาก และตั้งความหวังปนสงสัยไว้เยอะว่า โนแลนจะทำแบทแมนภาคสามนี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าภาคสองได้อย่างไร เมื่อหนังเรื่องนี้ทำออกมาทำนองว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ จึงทำให้ผิดหวังนิด ๆ กับหนังที่ออกมา แต่อย่างไรเสียเรื่องราวในภาคนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนักเมื่อเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น คงพอจะเรียกได้ว่าไม่ใช่หนังฮีโร่ดาด ๆ

ภาคนี้ไม่ได้พูดถึงเส้นแบ่งอันเลือนรางของความดีกับความชั่วเหมือนในภาคสองที่ใส่ไดอะล็อกการถกเถียงกันของแบทแมนกับโจ๊กเกอร์ การใส่ฉากระเบิดเรือเฟอร์รี่ การใส่ฉากแบทแมนตีหัวหมอ คว่ำหน่วยสวาท บลา ๆ ๆ ฯลฯ แต่ภาคนี้แค่เปิดฉากมาก็รู้เลยว่าไอ้เบนนี่มันร้ายจริง ร้ายระดับผู้ก่อการร้ายเสียด้วย โจ๊กเกอร์ในภาคก่อนอาจจะร้ายในแบบที่เล่นกับจิตวิทยาของมนุษย์ พยายามสลายเส้นแบ่งทางศีลธรรมหรือความดีงามอะไรก็แล้วแต่ แต่เจ้าเบนนี่ไม่ต้องล่งต้องเล่นอะไรแล้ว มึงไม่ต้องวิเคราะห์ให้มากความ กูมาเพื่อปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติโว้ย ไอ้แบทแมนคนดีมาฉะกันเลย อะไรทำนองนั้น

ความงุนงงของภาคต่อและคำพูดสุดเชยจากหนังซูเปอร์ฮีโร่

สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดกับหนังภาคนี้มีอยู่สองประการ ประการแรกคือความงุนงงที่เกิดจากการจำเนื้อหาของภาคสองได้ ภาคนั้น ลูเชียส ฟ็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของเวย์น เอ็นเตอร์ไพรส์ และนักประดิษฐ์อาวุธของแบทแมนกล่าวไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำในตอนที่แบทแมนขอร้องให้เขาหาตัวโจ๊กเกอร์จากเครื่องรับส่งสัญญาณที่ผิดกฎหมาย เขาบอกว่า "I'll help you this one time. But consider this my resignation"

ตอนนี้ทำให้เห็นว่าแบทแมนทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหาตัวโจ๊กเกอร์จริง ๆ โดยยอมสูญเสียทุกอย่างแม้แต่การสูญเสียบุคลากรทรงค่าอย่างฟ๊อกซ์จากเวย์น เอ็นเตอร์ไพรส์ ก่อนจะดูภาคนี้ผมยังนึกอยู่ว่าแบทแมนจะเอาอะไรกลับมาผงาดเมื่อเขาสูญเสียแทบทุกอย่างจากการทุ่มเทจับโจ๊กเกอร์แล้ว แต่แล้วมาภาคนี้ฟ๊อกซ์ก็ยังคงอยู่ในบริษัทเวย์นอย่างสบายอารมณ์ (?) เฮ้ย แล้วที่แกบอกจะลาออกในภาคที่แล้วล่ะเฟร้ย!

แล้วพอแบทแมนจะกลับมา ฟ็อกซ์ก็พาเข้าไปในฝ่ายวิจัย โชว์อาวุธมหาศาลอย่างกะจะสะสมไว้ก่อสงคราม และสาเหตุที่มีอาวุธเยอะแยะก็กล่าวว่า "เพื่อไม่ให้อาวุธพวกนี้ตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่เหมาะสม" เฮ้ย แล้วแบทแมนเหมาะสมกับอาวุธเยอะแยะพวกนี้ตรงไหนฟระ เฮียแกก็ไม่ได้ใช้อาวุธพร่ำเพรื่อนา เห็นมีแต่หมัดเข่าศอก

ความเจ็บปวดประการที่สองคือคำพูดเชย ๆ ที่แบทแมนพูดกับหมวดกอร์ดอนตอนท้าย ๆ เรื่อง ทำนองว่า

"ทุกคนก็เป็นฮีโร่ได้ แม้แต่คนที่ถอดเสื้อคลุมเพื่อปลอบใจเด็กคนหนึ่งให้เขารู้ว่าโลกทั้งใบยังไม่ได้ถล่มทลาย"

หรืออะไรทำนองนี้แหละ ฟังจบแล้วอยากจะเอาหัวโขกเบาะคนข้างหน้าสักสองสามครั้ง ก็แบทแมนไม่ใช่เหรอที่พูดไว้ในภาคก่อนตอนที่มีคนพยายามเลียนแบบแบทแมน

"What gives you the right? What's difference between you and me?"

"I'm not wearing hockey pads."

ไอ้คำว่า "ฉันไม่ได้ใส่เสื้อเกราะฮอกกี้" ฟังดูเหมือนคำพูดทีเล่นทีจริง แต่นี่ไม่ใช่เหรอที่เป็นการบอกว่าไม่ใช่ใครก็เป็นฮีโร่ได้ ไม่ใช่ใครนึกอยากเป็นฮีโร่ก็สวมเกราะฮอกกี้ออกมาล่าอาชญากรได้

แน่นอนว่าเนื้อในของแบทแมนกับคนที่เลียนแบบแบทแมน แท้จริงไม่แตกต่าง เมื่อถอดเกราะออกมาแล้วก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน แบทแมนเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่ฮีโร่ที่เกิดมิวแตนท์ยีนผิดปกติ โดนแมงมุมกัด หรือมาจากต่างดาว ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างระหว่างแบทแมนกับคนธรรมดาจึงไม่ใช่แค่เรื่องชุดเกราะ แต่เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมรับความเจ็บปวดจากการต้องเสียสละ และการอุทิศตนต่อการเสียสละนั้นอย่างถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นการตั้งตนเป็นฮีโร่ก็แค่ศาลเตี้ย เหมือนที่อัลเฟรดพูดไว้ในภาคก่อนว่า

"...even if everyone hates him for it. That's the sacrifice he's making. He's not being a hero. He's being something more."

นั่นคือความหมายของซูเปอร์ฮีโร่ที่โนแลนบอกเล่าไว้ในภาคก่อน "...you either die a hero or you live long enough to see yourself become the villain" การเป็นฮีโร่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ทำไมภาคนี้ถึงเป็นกันง่ายจังเลยวุ้ย หรือว่าต้องการส่งไม้ต่อให้โรบินแบบง่าย ๆ หน่อย

กลับสู่การเล่าเรื่องแบบภาคแรก

เรื่องราวในภาคสามกลับสู่การเล่าเรื่องเหมือนภาคแรก Batman Begins ซึ่งมีเนื้อเรื่องประมาณว่า บรู๊ซ เวย์นคือมนุษย์ผู้มีความกลัว โดยรูปธรรมเขากลัวค้างคาว โดยนามธรรมเขากลัวแรงผลักดันของความโกรธเกลียดที่อยู่ในใจซึ่งจะย้อนกลับมาทำลายทุกคนรอบตัว เขาจึงออกสู่การเดินทางเพื่อเอาชนะความกลัวและที่สุดก็กลายเป็นแบทแมน

เขาเอาชนะความกลัวโดยรูปธรรมคือเขากลายเป็นค้างคาวเสียเอง ส่วนนามธรรมก็คือเขาเอาชนะความโกรธเกลียดที่มุ่งทำลายล้างโดยการอุทิศตนและการเสียสละเพื่อปกป้องเมืองก็อธแธม บ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง การเล่าเรื่องนามธรรมคือการเอาชนะความโกรธเกลียดในจิตใจออกมาเป็นรูปธรรมคือการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนนี้ได้นำมาใช้ในภาคสามอีกครั้ง

เรื่องราวเริ่มขึ้นที่การยกย่องฮาร์วี่ เดนท์ เป็นฮีโร่แห่งก็อธแธม พร้อมกับการหายตัวไปของแบทแมนซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สังหารเดนท์ เมืองทั้งเมืองดูสงบสุขจากกฎหมายปราบปรามอาชญากร หรือกฎหมายเดนท์ แต่แท้จริงแล้วความพินาศกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ

แบทแมน หรือบรู๊ซ เวย์น ปรากฏตัวฉากแรกของภาคนี้ในสภาพชายแก่อิดโรย หมดราศีของฮีโร่ไปเสียแล้ว น้องที่นั่งข้าง ๆ กระซิบว่า "เฮียแกจะยังสู้ใครได้รึเปล่าเนี่ย"

ไม่เพียงแต่ความเข้มแข็งของร่างกาย บรู๊ซ เวย์น สูญสิ้นหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นศรัทธาต่อความดีงาม หรือการอุทิศตนเพื่อความถูกต้อง เขาเพียงแค่เสียใจและสำนึกผิดจากสิ่งที่ใบหน้าซึ่งสวมหน้ากากได้เสียสละลงไป จนทำให้เขาสูญเสียคนที่รักมากที่สุดอย่างเรเชลไป แม้จะอ้างว่าเขาแบกรับความผิดของฮาร์วี่ เดนท์ เพื่อให้เดนท์เป็นวีรบุรุษของก็อธแธมก็ตาม บรู๊ซยึดติดกับหน้ากากแบทแมนจนเกินไป เขาหลงลืมคำพูดตัวเองที่เคยด่าคนที่เลียนแบบแบทแมนด้วยการสวมเกราะฮอกกี้ แต่ตอนนี้เขาเองนั่นแหละที่กำลังสวมชุดเกราะฮอกกี้ และยึดติดตัวเองไว้กับความเสียใจและสำนึกผิดเพียงคนเดียว โดยหลงลืมการอุทิศตนและเสียสละในรูปแบบอื่น รวมทั้งเงินบริจาคให้สถานรับเลี้ยงเด็กจากเวย์น เอ็นเตอร์ไพรส์ จนทำให้เด็กที่อายุเกินอยู่ที่สถานรับเลี้ยงต่อไม่ได้และกลายเป็นกองกำลังของเบน ตัวร้ายของภาคนี้

เขาสูญเสียศรัทธา หลงลืมการอุทิศตน จิตวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับความเจ็บปวดจากการเสียสละ และถูกผลักดันด้วยความโกรธเกลียดเหมือนตอนก่อนที่จะเป็นแบทแมน การกลับมาสวมหน้ากากแบทแมนเพื่อปราบเบนจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากจะโดนหลอกไปให้เบนหักหลังเล่น

การตกลงไปในคุกซึ่งเปรียบเสมือนนรกหลุมที่ลึกที่สุด แท้จริงจึงเป็นการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนเหมือนในภาคแรก แต่คราวนี้เป็นการดำดิ่งลงไปในจิตใจของเขาเอง เพื่อค้นหาคำตอบว่าเขาเป็นแบทแมนเพื่ออะไร?

ค้นหาความหมายใต้หน้ากากอีกครั้ง

แน่นอนว่าเขาอาจถูกผลักดันด้วยความโกรธเกลียด เหมือนที่ตอนแรกในคุกเขาพยายามฝึกร่างกายให้เข้มแข็งอย่างหักโหม บอกหมอว่าเขากำลังโกรธและต้องการกลับไปจัดการเบนที่กำลังทำลายก็อธแธม แต่ที่สุดแล้วความโกรธไม่ใช่คำตอบ ความโกรธไม่ช่วยให้เขาออกไปจากคุก (โดยรูปธรรม) และออกไปจากวังวนของจิตใจที่อยู่กับความโกรธแค้น ความเสียใจ ความสำนึกผิดต่อความอ่อนแอของตน (โดยนามธรรม)

ที่สุดเขาจึงได้เรียนรู้ความจริงจากคำพูดของอัลเฟรดที่พูดไว้ในภาคก่อนว่า They'll hate you for it, but that's the point of Batman. He can be the outcast. He can make the choice that no one else can make, the right choice. เขาเป็นแบทแมนไม่ใช่เพื่อการเป็นฮีโร่ เขาสวมหน้ากากไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันการที่คนใกล้ตัวจะถูกแก้แค้น แต่คือการอุทิศจิตวิญญาณเพื่อความถูกต้อง และต้องยินยอมรับความเจ็บปวดอันเกิดจากการเสียสละนั้นด้วย หน้ากากจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้กับวังวนของจิตใจตนเอง ฉากสุดท้ายที่บรู๊ซปีนขึ้นมาจากคุกได้ เขาจึงปฏิเสธที่จะสวมเชือก เพราะนั่นคือหน้ากากในความหมายที่จะพันธนาการเขาไว้กับวังวนแห่งความเสียใจและสำนึกผิดในจิตใจ

การเดินทางขึ้นจากคุกจึงเป็นการเดินทางโดยรูปธรรมที่สะท้อนการเดินทางโดยนามธรรมเหมือนใน Batman Begins เขาได้ก้าวข้ามคำว่าแบทแมนในฐานะฮีโร่มาสู่ something more หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในนาทีที่เขาขึ้นมาจากคุกนั้นได้ จากนั้นเรื่องราวก็เป็นตามสูตรของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ทำนองว่าแบทแมนกลับมาช่วยกอบกู้ก็อธแธม โดยยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิต จนเขาได้กลายเป็นฮีโร่ เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีของก็อธแธมอย่างแท้จริง รายละเอียดมากกว่านี้ก็หาอ่านได้ทั่วไปตามเว็บสปอยล์

ส่งไม้ต่อให้ฮีโร่รุ่นต่อไป?

อย่างที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรก ๆ ไอ้คำพูดเชย ๆ ที่ว่า "ไม่ว่าใครก็เป็นฮีโร่ได้" ก็อาจเป็นการส่งไม้ต่อให้ฮีโร่รุ่นต่อไปเพื่อเป็นการปิดฉากการ "ผงาด" ของแบทแมน เพราะในภาคแรกบรู๊ซเองก็กล่าวไว้ว่าเขาต้องการเป็นแบทแมนเพราะหากทำความดีในนามบรู๊ซ เวย์น เขาอาจเสื่อมสลายไปได้เหมือนพ่อของเขา แต่หากเป็นความดีในนามแบทแมนจะไม่มีทางเสื่อมสลาย เขาต้องการให้แบทแมนเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ และโดยสัญลักษณ์นั้น แบทแมนไม่มีวันตาย

ที่สุดแล้วเรื่องราวไตรภาคก็ย้อนกลับมาจบที่คำพูดในภาคแรก แบทแมนกลับกลายจาก "ไอ้โม่งนอกกฎหมาย" เป็นอนุสาวรีย์แห่งความดีในก็อธแธม และเกิด "โรบิน" เพื่อสานต่ออุดมการณ์ของแบทแมนต่อไป ตอนจบบรู๊ซอาจจะตาย (ที่อัลเฟรดเห็นเป็นแค่ภาพจินตนาการ) หรืออาจจะไม่ตาย (แก้ไขระบบออโต้ไพลอตแล้วนี่ ขอจบแบบแฮปปี้หน่อยเถอะ) แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่อทุกคนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า Hero แล้ว แม้ภาคจบมันจะกระเดียดไปทางฮีโร่ธรรมดา ๆ ก็ตามที

วุฒินันท์ ชัยศรี

๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คิดถึง (๒)


๏ ความคิดถึงที่ส่งไปไกลสุดฟ้า
ไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่ถึง
ใครอาจหักใจห้ามความคำนึง
ใจลึกซึ้งถูกส่งไปไร้ผู้รับ

๏ ค่อยฟื้นภาพความคำนึงเคยซึ้งซาบ
ค่อยฟื้นภาพเธออยู่มิรู้หลับ
สุดแสนเวทนาใจอาภัพ
คนจากไกลไม่เคยกลับไม่รับรู้

๏ เมื่อความคิดถึงเริ่มก่อร่าง
หนทางสู่หัวใจเคยไปสู่
กลับรกร้างสิ้นไร้ใครเหลียวดู
กุญแจผ่านดาลประตูอยู่หนใด

๏ ความคิดถึงยังเร้นร่างอยู่อย่างนั้น
วอนเธอช่วยรับมันบ้างได้ไหม
แล้วค่อยทิ้งมิเหลียวแลแล้วแต่ใจ
แค่มีเธอ, มันจะได้ไม่เคว้งคว้าง

๏ ขอให้ความคิดถึงที่ส่งไป
อยู่เป็นเพื่อนใจให้เธอบ้าง
วันที่เธอเผลอหวั่นไหวใจอ้างว้าง
ขอเป็นเพื่อนร่วมทางอย่างเจียมใจ

๏ ไม่เคยหวังจะให้ใครคิดถึงกลับ
ไม่ว่าเธอจะได้รับหรือไม่
ขอแค่ส่งความคิดถึงและห่วงใย
ให้เธอรู้ว่ามีใคร... คิดถึงเธอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๓/๐๘/๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รักนิรันดร์

๏ ความรักชั่วนิรันดร์...
ย่อมเปี่ยมด้วยความฝันเมื่อคิดถึง
ทุกทุกลมหายใจในห้วงคะนึง
คือน้ำผึ้งแสนหวานซ่านซึ้งใจ

๏ ความรักอาจหวานซึ้งและแสนสุข
หรืออาจทุกข์ร้อนรนหม่นไหม้
บางคราต้องห่มคลุมความเจ็บไว้
แต่ฤทัยก็ยังพร้อมจะยอมพลี

๏ เพราะรักคือพลังอันยิ่งใหญ่
เป็นทุกแรงบันดาลใจในทุกที่
ลมหายใจจึงเปี่ยมค่าทุกนาที
ขอแค่มีเธอเคียงข้างไม่ห่างตา

๏ ชีวิตอาจไม่มีชั่วนิรันดร์
เพียงผูกพันใจสองดวงด้วยห่วงหา
ให้ความรักลึกซึ้งถึงวิญญาณ์
รักจักข้ามห้วงเวลาชั่วนิรันดร์ ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕

(วันแต่งงานพี่โบ)

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน (๒)

๏ ไม่อยากเป็นเพียงแค่คนห่างไกล
หรือว่าเป็นคนที่ใจเธอใฝ่ถึง
มิต้องอยู่ในทุกห้วงความห่วงคะนึง
แค่ครั้งหนึ่งคิดถึงบ้างในบางเวลา

๏ ไม่อยากเป็นอันดับหนึ่งในหัวใจ
ขอแค่เสี้ยวความห่วงใยในห่วงหา
บางครั้งคราวก็ขอพบเพียงสบตา
ไม่เกินกว่าเพียงเท่านี้ที่เราเป็น

๏ อยากจะควงแขนใครฉันไม่ว่า
ขอเพียงอย่าห่างเหินเกินมองเห็น
ในทุกความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน
อย่าหลบเร้นหนีหน้าลาจากไป

๏ ไม่อยากเป็นเพียงแค่คนรู้จัก
และไม่อยากเป็นคนรักเหมือนคนไหน
แค่คนหนึ่งซึ่งรับรู้อยู่ว่าใคร
เกิดมาเพื่อเติมเต็มใจ-เพื่อให้รัก ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข้าวแยกกับข้าว

บางครั้งฉันก็อยากสั่งข้าวแยกกับข้าวต่างหาก
ทั้งที่มันไม่ได้ต่างกันเลยกับการลงไปผสมเป็นเนื้อเดียวกันในกระเพาะ
ฉันเพียงอยากจะแย่งตักกับข้าวกับใครสักคน
บางคราวแย่งชิ้นเนื้อที่ใหญ่กว่า บางคราสวมบทสุภาพบุรุษตักชิ้นเนื้อให้คนตรงข้าม
พร้อมกับเสียงหัวเราะหยอกล้อ คลุกเคล้าเรื่องราวต่าง ๆ นานา
มิใช่เพียงพริกน้ำปลาที่ตักเติมเพิ่มรสแปร่งปร่า

วันนั้นฉันสั่งข้าวแยกกับข้าว
เจ้าของร้านบอกว่ามันมากเกินจะกินคนเดียว
ฉันตอบไปว่า ทำแค่ให้พอกินคนเดียว เพียงแยกจานได้ไหม
สำหรับลูกค้าประจำไม่ยากอะไรเลย
เพียงแค่เพิ่มจานอีกสองจาน สำหรับกะเพราไก่และไข่ดาว
หนึ่งข้าวเปล่าวางตรงหน้า มือขยับไปมาระหว่างสามจาน
เป็นเช่นนั้นหนึ่งอาทิตย์ โดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
นอกเสียจากคำบ่นเบื่อของเจ้าของร้านที่ต้องล้างจานเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

แล้วฉันก็เลิกสั่งข้าวแยกกับข้าว
ข้าวราดกับข้าวหนึ่งจาน
ช้อนส้อมซ้ายขวา
เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับชีวิต--ลำพัง


๒ สิงหาคม ๒๕๕๕