วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บางครั้งเหมือนว่าใจไม่รู้สึก

๏ บางครั้งเหมือนว่าใจไม่รู้สึก
แต่ลึกลึกหัวใจก็ไหวอ่อน
บางครั้งก็เหมือนว่าไม่อาวรณ์
แต่ทุกครั้งยังแอบซ่อนความอ่อนใจ

๏ ฝนเหงาเหงาโปรยมาสักคราหนึ่ง
ภาพคนเคยซึ้งเคยชิดใกล้
ค่อยกลับย้อนตอนอำลาเคยอาลัย
เคยทุกข์ทนหม่นไหม้ในวันลา

๏ หัวใจมิใช่หินแกร่ง
อาจแสร้งแข็งใจไม่ห่วงหา
แต่เพียงลมร้าวรานพัดผ่านมา
บ่อน้ำตาก็ครืนคลั่งพังทลาย

๏ เก็บกลืนเสียงสะอื้นไว้ในอก
เคยสะทกก็กลบเกลื่อนเลือนหาย
ทั้งที่ใจหนาวเหน็บเจ็บเจียนตาย
แสร้งยิ้มคล้ายว่าฉันไม่หวั่นใจ

๏ บางครั้งเหมือนว่าใจไม่รู้สึก
แต่ลึกลึกใจฉันก็หวั่นไหว
บางครั้งดูเหมือนว่าไม่อาลัย
แต่กอดหมอนนอนร้องไห้ทุกคืน ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๙/๐๖/๒๕๕๔

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บางห้วงคำนึงถึงกากี

วาติ จายํ ตโต คนฺโธ
ยตฺถ เม วสตี ปิยา
ทูเร อิโต หิ กากาติ
ยตฺถ เม นิรโต นโม ฯ

นางผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่ใด
กลิ่นนี้ฟุ้งมาจากที่นั้นแน่
ใจของข้าพเจ้าผู้ผูกสมัครรักใคร่ในนางคนใด
นางนั้นชื่อว่า กากาติ อยู่ไกลจากที่นี้แล

กถํ สมุทฺทานิ
กถํ อตริ เกปุกํ
กถํ สตฺต สมุทฺททานิ
กถํ สิมฺพลิมารุหิ ฯ

ท่านข้ามมหาสมุทรไปได้อย่างไร
ท่านข้ามแม่น้ำเกปุกะไปได้อย่างไร
ท่านข้ามมหาสมุทรทั้งเจ็ดไปได้อย่างไร
ท่านขึ้นต้นงิ้วได้อย่างไร

ตยา สมุทฺทมตรึ
ตยา อตริ เกปุกํ
ตยา สตฺต สมุทฺทานิ
ตยา สิมฺพลิมารุหิ ฯ

ข้าพเจ้าข้ามมหาสมุทรไปได้เพราะท่าน
ข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำเกปุกะไปได้เพราะท่าน
ข้าพเจ้าข้ามมหาสมุทรทั้งเจ็ดไปได้เพราะท่าน
ข้าพเจ้าขึ้นต้นงิ้วไปได้เพราะท่าน

ธิรตฺถุ มํ มหากายํ    
ธิรตฺถุ มํ อเจตนํ
ยตฺถุ ชายายหํ ชารํ
อาวหามิ วหามิ จาติ ฯ

น่าติเตียนตัวเราผู้มีร่างกายใหญ่โต
น่าติเตียนตัวเราผู้ไม่มีความคิด
เพราะว่าเราพามาและพาไป
ซึ่งชายผู้เป็นชู้กับภรรยาตนเอง

.........................

"กลิ่นหอม ยังวนเวียนไม่เคยจางหายไป
กลิ่นนี้ เป็นของเธอในคืนนั้น ยังฝังใจ..."

"เธอทำให้ใจฉันร้อนรนร้อนรุ่มรุนแรง เกินกว่าฉันจะห้ามไหว
เธอทำให้ใจฉันปั่นป่วนคลั่งไคล้ตัวเธอ
แต่สุดท้ายก็ไป..."

"กลับมาสักที กลับมา, ไม่ว่าจะอยู่กับใคร
กลับมาสักที กลับมา, อย่าหนีไป
ฉันเฝ้ารอแต่เธอ
กลับมาสักที กลับมาสักที, อยากจะเจอ
กลับมาสักที คนดี, ฉันรักเธอ
คิดถึงเธอ, คิดถึงเธอเหลือเกิน..."

"เธอได้ยินบ้างไหม, เธอรู้ตัวบ้างไหม
ว่าคิดถึงเธอ, คิดถึงเธอเหลือเกิน"


วุฒินันท์ ชัยศรี
26 มิถุนายน 2554

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทบันทึกระหว่างการเดินทางสู่อดีตที่ไม่เคยไปถึง

เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
มนุษย์อาจเดินทางไปยังอนาคตที่อยู่ไม่ไกลได้
แต่ไม่มีทฤษฎีใดบอกมนุษย์ถึงวิธีการเดินทางย้อนไปสู่อดีต
นอกเสียจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของความเร็วแสง
ซึ่งทำให้เราดำรงสถานะเทียบเท่าพลังงาน
เพื่อก้าวข้ามไปอีกยังมิติเวลาหนึ่งที่ทับซ้อนกันอยู่
ซึ่งไม่แน่ว่าอีกมิติหนึ่งของเราเป็นอดีตหรืออนาคต
แต่เมื่อแสงแดดไม่อาจเปลี่ยนกลับมาเป็นก้อนกรวด
แล้วเราที่กลายเป็นพลังงานไปแล้วจะกลับมาเป็นเราได้ล่ะหรือ?

แม้แต่พลังแห่งจินตนาการก็พาเรากลับไปไม่ถึงอดีตอย่างสมบูรณ์
อาจเก็บเกี่ยวได้เพียงบางเศษเสี้ยว แต่ไม่มีทางได้ชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ครบทั้งหมด
ใครจำได้บ้างตอนที่พูดคำว่าแม่เป็นครั้งแรก สมองเรามีจินตภาพถึงแม่จริงหรือเปล่า หรือเหตุผลมีแค่คำนี้เป็นคำที่ออกเสียงง่ายที่สุด
มีคนบอกว่า สมองมนุษย์จะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในซอกมุมหนึ่ง รอเวลาที่จะมีอะไรกระตุ้น แล้วความทรงจำจะพรั่งพรูออกมาเอง
เช่นนั้น, ฉันหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบสร้างอนุสาวรีย์
นอกเสียจากว่ามนุษย์นั้นมักจะลืมสิ่งสำคัญเสมอ

เพียงถอนลมหายใจครั้งเดียว เวลาก็ผ่านไปแล้วยี่สิบปี
จำไม่ได้เลยว่าตอนสี่ขวบมีกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละวัน
แม้แต่ภาพคุ้นตาที่มองเห็นเป็นประจำก็ไม่อาจเรียกได้ว่าภาพคุ้นตา
เพราะมันเลือนหายไปเร็วพอ ๆ กับการซ่อนโฆษณาไว้ในเฟรมที่ 24
เรามักจะรู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของอดีตเมื่อสายไปแล้ว
เช่นเดียวกับการหันกลับมามองสายลมที่พัดผ่านไปไกลแสนไกล

การตัดต่อพันธุกรรมคือการล่วงล้ำเข้าไปในขอบเขตอำนาจของพระเจ้า
ความเหิมเกริมของมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น, เป็นเช่นนั้นตลอดมา
แต่การที่มนุษย์ยังไม่มีแม้แต่ทฤษฎีที่จะนำตัวเองกลับไปสู่อดีตนั้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่ามนุษย์ยังไม่ฉลาดมากพอ
หรือการกลับไปสู่อดีตนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้
เพราะมันเป็นกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา หรืออยู่เหนือกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้

เราได้แต่หันกลับมามองสายลมแห่งอดีตที่พัดเลยผ่านไปอีกครั้ง, และอีกครั้ง
ความเหิมเกริมของมนุษย์ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออดีตเริ่มเคลื่อนไหว
เราจึงตระหนักรู้ว่าแท้จริงมนุษย์นั้นช่างเปราะบาง
และวาระสุดท้ายคือจมจ่อมอยู่ในห้วงความทุกข์ทรมานอันเป็นนิรันดร์ของอนาคต


วุฒินันท์ ชัยศรี
25 มิถุนายน 2554

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร (ในหมู่คนจัญไร)

๏ ไม่มีซึ่งมิตรแท้
และศัตรูผู้ถาวร
การเมืองเน่าเฟะฟอน
เพราะเหล่าหนอนมันบ่อนใน

๏ วันก่อนเคยก่นด่า
พอลับตาจูบกันได้
อภิปรายก็เห่าไป
ร่วมจิบไวน์หลังเลิกประชุม

๏ การเมืองคือคอกสัตว์
เอาเสือสิงห์มากองสุม
เอาแร้งแก่มากลุ้มรุม
ทึ้งศพไทยให้ย่อยยับ

๏ แบ่งเค้กดังใจหมาย
ถ่มน้ำลายก็เลียกลับ
จับมือแล้วอือรับ
กอดคอเกลอใช่คนไกล

๏ งาช้างฤาหดคืน
คำคนฝืนคำจริงได้
มีแต่คำจัญไร
ของเล่ห์ลิ้นเหล่าทรชน

๏ สันดานลิ้นสองแฉก
คอยจะแด- ซากศพคน
หวังเพียงประโยชน์ตน
กลับคำได้ไม่อายใคร

๏ เดินเบี้ยก็เสียเบี้ย
เหยียบหัวเบี้ยมาเป็นใหญ่
สมสู่เสร็จสมใจ
ก็จับมือมุ่งปรองดอง

๏ ตั้งไว้กี่ข้อหา
ถึงเวลาก็ถอนฟ้อง
รับคำตามทำนอง
เข้าใจผิด-ขออภัย

๏ ฝนตกเสียงซู่ซู่
แล้วขี้หมูก็เริ่มไหล
ปรองดองสบายใจ
เพราะจัญไรพอพอกัน! ๚ะ๛


แด่... การถอนฟ้องคดีพิพาทของแกนนำสองสี

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ห้วงคำนึงสุดท้ายของราวณะ


"...บุตรแห่งท้าววิสราวัส หลานแห่งท้าวพลสัตย์ เหลนแห่งพรหมเทพ ทศกัณฐ์ผู้สืบเชื้อสายวงศ์พรหม ทศกัณฐ์ผู้ครอบครองชัยชนะทั้งสามโลก เนิ่นนานจนปวงเทพมิอาจจดจำ บัดนี้ทศกัณฐ์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือไตรภพถึงกับนอนแน่นิ่ง ลมปราณขาดห้วงภายใต้ศรรามและบ่วงกรรมที่มันก่อ

"ขณะดวงตาลุกโพลงแดงก่ำค่อย ๆ มอดดับ พลยักษ์และพลลิงต่างเข้ามารุมล้อมจ้องมองพญามารด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป หากสิ่งหนึ่งที่พวกมันเห็นแน่ชัด ริมฝีปากพญายักษ์ขยับเคลื่อนไหว พวกมันพยายามช่วยกันอ่านวาจาจากปากทศกัณฐ์ ลืมเลือนไปชั่วขณะว่าต่างเคยเป็นศัตรู ราพณาสูรกำลังกล่าวนามสตรีนางหนึ่ง อันเป็นนามซึ่งนำมรณะมาสู่มัน แม้ในวินาทีสุดท้ายก่อนวิญญาณลาจากร่าง ดวงหน้างดงามของนางยังปรากฏเป็นภาพสุดท้ายในภวังค์ของทศกัณฐ์

"เมื่อนามสีดาหลุดจากปาก ทุกสิ่งจึงหยุดสนิทแน่นิ่ง ชีวิตได้ลาจากร่างราพณาสูรแล้วตลอดกาล..."

The Ramayana: A Modern Retelling of the Great Indian Epic / Ramesh Menon
แปลเป็นภาษาไทย: วรวดี วงศ์สง่า
ภาพประกอบจาก krsna-art.com

สิ้นหวัง

๏ แล้วเก็บซากละอองใจในอากาศ
เอามาวาดเป็นวิมานอันหวานชื่น
รู้ทั้งรู้ว่าความหวังจักพังครืน
ด้วยแรงคลื่นแห่งความจริงอันนิ่งงัน

๏ ในห้วงมหรรณพแห่งความเศร้า
คนหนึ่งเฝ้าเติมฝันให้เต็มฝัน
แม้ห้วงกาลจะนานเนิ่นเกินจำนรรจ์
และเต็มตื้นหฤหรรษ์แห่งน้ำตา

๏ เจ้ากระจกวิเศษเอยใครเคยบอก
เคยแต่หลอกให้ฉันฝันเองว่า
ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลสุดปลายฟ้า
จักหวนคืนกลับมามอบหัวใจ

๏ เพราะความจริงสายน้ำไม่ไหลกลับ
หัวใจที่ลาลับย่อมหลับใหล
และจะฟื้นกลับมาเมื่อดวงฤทัย
ของใครอีกคนค้นพบ

๏ หนึ่งวิญญาณจึงลอยคว้างระหว่างอนันต์
และความฝันก็ค้างอยู่ไม่รู้จบ
เศษสังขารความเศร้าเซาซบ
ถูกฝังกลบในหมอกหนาวอันยาวนาน

๏ ไม่เหลือซากละอองใจในอากาศ
ไม่พอวาดวิมานฝันอันแสนหวาน
สุดท้ายเศษเสี้ยวหวังพังแหลกลาญ
เหลือแต่ห้วงนิรันดร์กาลความปวดร้าว ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๒/๐๖/๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องสั้น "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน"


เป็นเรื่องน่ายินดีที่เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 994 ประจำวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554 (และจะต่อด้วยฉบับที่ 995 เพราะแบ่งเป็นสองฉบับจบ) ให้โอกาสนักอยากเขียนอย่างข้าพเจ้าได้ลงตีพิมพ์เรื่องสั้น "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" หลังจากข้าพเจ้าหายหน้าไปจากสนามเรื่องสั้นของเนชั่นฯ เกือบสองปี

เพียงแค่เรื่องสั้นได้ตีพิมพ์คงไม่มากพอที่ข้าพเจ้าจะหยิบมาเขียนเป็นบันทึก หากแต่เรื่องสั้นนี้เต็มไปด้วยที่มาและความหลังมากมายเป็นพิเศษกว่าเรื่องสั้นอื่น ๆ จึงต้องบันทึกไว้เป็นอนุทินเตือนสติตนเองว่า เรื่องสั้นนี้หาใช่เกิดจากข้าพเจ้าเพียงคนเดียว แต่สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากหลายท่านและหลายสิ่ง

เรื่องสั้นแนว "บาดแผล" ฉบับเฮฮาปาร์ตี้ ยุคหลังสหายออกจากป่ากลับมาเป็นใหญ่เป็นโตเรื่องนี้ เดิมทีเป็นเพียงประเด็นสนทนาขำขำของข้าพเจ้ากับรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเมืองเลยแม้แต่น้อย เรื่องก็มีแค่ว่ามีอาจารย์คนหนึ่งที่เราทั้งสองคนเคารพรักทำบางสิ่งบางอย่างที่ชวนให้รุ่นน้องข้าพเจ้าเจ็บปวดเป็นแผลเล็ก ๆ ในใจ ประโยคซ่อนความนัยนี้จึงเกิดขึ้นระหว่างการสนทนาของเรา

"ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน"

ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นชมรมวรรณศิลป์ที่ศิลปากรจัดประกวดเรื่องสั้น ข้าพเจ้าจึงยุยงส่งเสริมให้เธอนำเรื่องราวและบาดแผลที่เกิดขึ้นไปเขียนเป็นเรื่องสั้น แม้ว่าเรื่องสั้นนี้จะไม่ได้รับรางวัล แต่ข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้อ่าน เธอเขียนได้ดีทีเดียวสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าเห็นพลังบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่หลังเรื่องราวสนุก ๆ ของเธอ ที่หากนำมาแต่งแต้มสีสันในแบบของตัวเองก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องราวสนุก ๆ ขึ้นอีกเรื่อง หลังจากนั้นจึงได้คุยกับเธอว่าจะขออนุญาตนำมาเขียนในแบบของตัวเอง แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ข้าพเจ้าก็ลืมเลือนไป

เวลาผ่านมาจนถึงการประกวด Young Thai Artist Award 2010 ข้าพเจ้าคิดจะทำรวมเรื่องสั้นชุด "เรื่องไม่ประหลาด" ว่าด้วยเรื่องสั้นการเมืองและมิติของเรื่องเล่า ในนั้นจะมีเรื่องการเมืองซีเครียสอยู่สักครึ่งหนึ่ง และเรื่องการเมืองแบบหยิกแกมหยอกแกล้งอำให้ขำอีกครึ่งหนึ่งสลับกันไป เรื่องซีเครียสพอจะมีแล้ว แต่เรื่องหยิกแกมหยอกนี่สิยังขาดไปอีกเรื่อง นาทีนั้นข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่อง "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" ที่เคยคุยไว้ ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะนำมา Remake (ขออภัยที่ใช้ภาษาต่างประเทศ เนื่องจากนึกคำไทยที่เหมาะใจใช้แทนคำนี้ไม่ได้ คำที่ใกล้เคียงที่สุดที่นึกออกคือ "เขียนขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง" ซึ่งก็ยังฟังดูแล้วแปลก ๆ พิกล) ข้าพเจ้ายังคงเค้าโครงเรื่องและแก่นเรื่องเดิม แต่ตัวละครและเหตุการณ์ทั้งหลายนั้นข้าพเจ้าใส่สีตีไข่ใหม่หมด "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" สำนวนบาดแผลฉบับเฮฮาปาร์ตี้จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นอันว่ารวมเรื่องสั้น "เรื่องไม่ประหลาด" ครบสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์

แต่ก็แน่ล่ะ, มันยังไม่ดีพอ งานชิ้นนี้จึงตกรอบไป

ข้าพเจ้าไม่ได้หวังว่าเรื่องสั้นชิ้นนี้ดีพอจะได้ตีพิมพ์ที่สนามไหน ๆ จึงนำมารวมเล่มในหนังสือมือทำเนื่องในวันวาเลนไทน์อันลือลั่นของหนุ่มอักษรฯ "ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก" เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องสั้นที่ว่าด้วยความรัก เข้ากับคอนเซปต์เล่มเป๊ะ!

จนเมื่อน้องแป๊บ นักเขียนกัลยาณมิตรของข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่านแล้วบอกว่า เรื่องนี้น่าจะดีพอที่จะได้ตีพิมพ์ ข้าพเจ้าจึงเริ่มหวั่นไหวราวกับดรุณีน้อยแรกรุ่นถูกป้อนคำหวานจากชายหนุ่มนักรัก แม้ว่าน้องแป๊บจะอ่อนอาวุโสกว่าข้าพเจ้าหลายปี แต่เรื่องประสบการณ์เขียน - อ่าน นับว่านำหน้าข้าพเจ้าไปหลายขั้น ถ้าแป๊บบอกว่าผ่าน มันก็น่าจะผ่านได้

หลังกลับมาจากค่ายนักเขียน ข้าพเจ้าจึงหยิบเรื่องนี้มาอ่านอีกรอบ แล้วแก้ไข-ตัดทอน-เพิ่มรายละเอียดที่ตกหล่น จากนั้นจึงทำใจกล้า ๆ ส่งไปที่เนชั่นสุดสัปดาห์ สนามเรื่องสั้นอีกไม่กี่แห่งที่ยังพอหลงเหลืออยู่ในประเทศไทย

จากการเดินทางอันแสนยาวนาน, ในที่สุดเรื่องนี้จึงได้ปรากฏสู่บรรณพิภพ ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีแก่ข้าพเจ้า และความชุ่มชื้นในกระเป๋าเงินที่ชักจะร่อยหรอ

ข้าพเจ้ายังไม่มีโอกาสออกไปซื้อเนชั่นสุดสัปดาห์ จึงไม่รู้ว่าบรรณาธิการเขียนความคิดเห็นเกี่ยวแก่เรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง แต่หากเป็นคำชม/คุณความดีประการใด ข้าพเจ้าขอยกทั้งหมดให้แก่น้องทั้งสองของข้าพเจ้า, คนแรก น้องเอ๋ย เชษฐกิดา ตระกูลกาญจน์ เจ้าของเรื่อง "ความรักทำให้คนพกมือถือและเดินสยามพารากอน" ฉบับ Original ที่กรุณาให้ยืมพล็อตเรื่องมา Remake เป็นอีกสำนวนหนึ่งโดยไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์, คนที่สอง น้องแป๊บ เสฏฐวุฒิ อุดาการ ที่ช่วยให้กำลังใจจนข้าพเจ้าเกิดความใจกล้าหน้ามึนส่งไปให้บรรณาธิการพิจารณาตีพิมพ์

แน่นอน, ข้าพเจ้ายกให้น้องเฉพาะคุณความดีเท่านั้น ส่วนค่าเรื่องข้าพเจ้าของุบงิบเข้ากระเป๋าตังค์แต่เพียงผู้เดียว ฮาฮา

วุฒินันท์ ชัยศรี
18 มิถุนายน 2554

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กวีรักเดียงสา หมายเลข ๑: ไร้เดียงสา

"จริง ๆ นะ"
"คิดว่าโตพอแล้วจริง ๆ นะ"
"คิดจริง ๆ นะ"
"คิดว่าเรียนรู้แง่มุมความรักมามากพอแล้วจริง ๆ นะ"
"คิดอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
"คิดว่าผ่านประสบการณ์ความรักมามากพอแล้วจริง ๆ นะ"
"คิดว่าอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
"แต่ทำไมวันนี้"
"วันนี้ถึงยัง"
"เจ็บ"

เปลวไฟกลืนกินปรัชญาชีวิตฉบับพิมพ์ครั้งหลังสุด
สายพิณ เหล้าองุ่น ขนมปัง และเสาวิหารมาช้าเกินกว่าพันปี
พิธีทรมานตนยังวนเวียนเหมือนฝูงแร้งรอซากล้ม
รอยมีดเล็ก ๆ สะกิดเปิดปากแผลเบา ๆ
เลือดทะลักเหมือนมีดกรีดแผลช้ำ
หัวใจไม่ใช่กล้ามเนื้อใช้ซ้ำ
ใช้บ่อยใช่แข็งแรงขึ้น
แท้จริงเยื่อบุหัวใจคือหนังกลอง
ยิ่งตีแรง
ยิ่งทุบแรง
น่วมช้ำ
ซ้ำไปมา
รอวันฉีกขาด

วันกลองตาย
แล้วเสียงระรัวก็อันตรธานไปจากกลอง

"จริง ๆ นะ"
แท้หัวใจคือเปล่ากลวง
"คิดจริง ๆ นะ"
คำสาปแห่งพันธะประดังมาไม่หยุดหย่อน
"คิดอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
เพียงแสวงหาใครสักคนที่ไม่เคยมีอยู่จริง
"คิดว่าอย่างนั้นจริง ๆ นะ"
ตีกลอง
เสียงทุ้มต่ำแต่แน่นเต็ม

มิใช่เยื่อบุบาง
เสียงก้อง
ว่างเปล่า


๑๑/๐๖/๒๕๕๔

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขอโทษนะ... ถ้าทำให้ลำบากใจ (๒)

ลมหายใจบางเบาลงทุกที
ความคิดถึงก่อตัวเป็นรูปร่าง
หยิบมาปั้นเป็นรูปทรง
แล้วค่อย ๆ บีบให้เล็กลง
เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เหลือชิ้นเล็ก ๆ
เพียงชิ้นเล็ก ๆ
มวลสารความคิดถึงอัดแน่นอยู่อย่างนั้น
ขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย
ไม่มีช่องว่างอื่นใด
แล้วโยนทิ้งไว้ในถังขยะที่ปลายเท้า
ซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องเช็ดหรอกน้ำตา

ขอโทษ...
คำนี้สั้นเกินไป ไร้ค่าเกินไป เมื่อออกจากปากของฉัน
ฉัน, คนที่ทำให้เธอลำบากใจไม่หยุดหย่อน
เคยคิดว่าความคิดถึงคือน้ำช่วยปลอบประโลมใจ
แต่ที่จริงความคิดถึงคือไฟ
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยต้องการมัน

ไม่ต้องกังวลนะ
ฉันโยนความคิดถึงทิ้งไว้ในถังขยะแล้ว
อาจมีบางชิ้นล้นออกมานอกถังขยะ, ฉันจะกวาดไปทิ้งนอกห้อง
จะไม่ให้เธอระคายเท้า
นอนหลับเถอะนะ, นอนหลับให้สบาย
ไม่ต้องเช็ดหรอกน้ำตา
มันก็แค่... น้ำตาของฉันเอง

กระซิบบอกตัวเองในใจ
อย่าส่งเสียงนะ
อย่าสะอื้นนะ
หายใจแรง ๆ ก็ไม่ได้
แม้แต่หยดน้ำตาที่กำลังจะร่วงหล่น
ต้องคว้าไว้ก่อนที่มันจะตกถึงพื้น
ขอให้ครั้งนี้เป็นการร้องไห้ที่เงียบงันที่สุดในชีวิต
เธอกำลังนอนหลับสบาย
น้ำตาของฉันมีค่าน้อยเกินกว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเธอ
แม้เพียงเสี้ยววินาที

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รูปถ่ายรูปนั้น, จากเธอคนที่รู้จักฉันมากที่สุดในโลก

มีรูปถ่ายรูปหนึ่ง
มันไม่มีตัวตนในโลกสามมิติ
เป็นเพียงการประสานกันของเลขฐานสองในเครื่องมือดิจิตอล
เศษเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าฉัน
เธอถ่ายมันเอาไว้ในวันวาน

เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าฉัน
ฉันกลับพบว่าเธอเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในตัวฉันได้ครบถ้วน
ร่างกาย หัวใจ ความคิด ความรู้สึก
กระทั่งทุกอณูแห่งจิตวิญญาณ
หรือตัวตนในโลกสามมิติ และอีกหลายตัวตนในมิติที่สี่

แล้วฉันก็คิดว่าเธอเป็นคนที่รู้จักฉันมากที่สุดในโลก
จากรูปถ่ายรูปนั้น
เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าฉันที่เธอถ่ายเก็บไว้
เธอรู้จักทุกแง่มุมของชีวิตฉัน
รู้จักทุกความรัก ความเศร้า ความเจ็บปวด และหยดน้ำตาที่ฉันมี

แต่กาลเวลาผันผ่านนานเกินไป
รูปนั้นชำรุดเลือนรางในความทรงจำ
มากพอ ๆ กับความรู้สึกที่เธอมีต่อฉัน
เวลาอาจไม่ใช่ยา แต่การเยียวยาต้องใช้เวลา
เธอใช้มันไปหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เริ่มต้น

มีรูปถ่ายรูปหนึ่งจากเธอ, คนที่รู้จักฉันมากที่สุดในโลก
อย่างน้อยฉันก็เชื่อเช่นนั้นตลอดมา
รูปนั้นอาจยังคงอยู่ หรือถูกทำลายทิ้งไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
หวังเพียงว่า, รูปถ่ายรูปนั้นจะไม่ใช่การประสานกันของเลขฐานสองในเครื่องมือดิจิตอล
ที่เธอถ่ายเอาไว้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น