วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนแก้มยุ้ย

แก้มเยอะดูยุ้ยยุ้ย
น่าหยิกหยุยดังหยึบหยึบ
บิดแก้มให้หนึบหนึบ
คงหนุบหนับสนุกดี
คนอะไรแก้มเย๊อเยอะ
บิดให้ย้วยคงเข้าที
แน่ะมายิ้มทำยวนยี
ประเดี๋ยวตีแก้มแตกเยย
แก้มเยอะเพราะอะยัย
ยังสงสัยไหนช่วยเฉลย
น่ารักนักน้องเอย
เชยแก้มยุ้ยมาหยิกยล
พวงแก้มคนน่ารัก
หยิกสักครั้งคงสุขล้น
ใจพร้อมยอมจำนน
ด้วยหลงมนต์คนแก้มยุ้ย!


"หนุ่มอักษร...นอนตื่นสาย"
28 ธ.ค. 55

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

My December

ธันวาคม, ครุ่นคำนึง
ถึงใครคนหนึ่งท่ามกลางละอองหิมะ
อากาศหนาวเหน็บเมื่ออายุยี่สิบห้า
ทำให้ฉันกลัว---
I just wish that i didnt feel like there was something I missed,
I take back all the things I said to make you feel like that
แว่วเพลงโปรดของเธอในลมหนาว
ขณะอยู่ท่ามกลางเทศกาลคริสต์มาส
เธอสงสัยในท่าทีแปลกประหลาดของฉัน
ได้แต่ยิ้มให้โดยไม่มีคำตอบ
สองมือของฉันอ่อนแรงเกินจะเหนี่ยวรั้ง
I give you away and heal my pain.
ธันวาคม, ครุ่นคำนึง
ถึงใครคนหนึ่งท่ามกลางละอองหิมะ
มีเพียงรอยเท้าเดียวดายของฉัน
ออกตามหาใครสักคนไปจนสุดขอบฟ้า



๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เครื่องปรับอากาศ

อยากจะติดเครื่องปรับอากาศขนาดมหึมา
ให้อากาศเมืองหลวงเย็นสบายทั้งในห้างและนอกห้าง
เพื่อนทักท้วงว่าจะเอาไฟฟ้าจากไหนให้พอ
ไอร้อนจากเครื่องล่ะจะปล่อยทิ้งที่ใด
ฉันหัวเราะกับคำถามโง่เขลาเบาปัญญา
ปล่อยอากาศร้อนใส่ต่างจังหวัดสิเพื่อนเอ๋ย
ที่นั่นอากาศเย็นสบายมากพอ
แล้วสร้างเขื่อนยักษ์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยล้างป่าทิ้งสักห้าหกแห่ง
คงไม่มีอะไรเสียหายมากนักกระมัง


วุฒินันท์ ชัยศรี
20 ธ.ค. 2555

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้าวกล่องเวฟ

พริกในข้าวกล่องเวฟ มิได้ทำหน้าที่ของพริก
ใบกะเพราในข้าวกล่องเวฟ มิได้ทำหน้าที่ของใบกะเพรา
ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นรสใด ๆ แม้เพียงนิด
มีเพียงรสจัดจ้านแสบคอจากผงชูรสและเกลือมาชูโรง
พริกและใบกะเพราในข้าวกล่องเวฟ
ทำหน้าที่เพียงประดับให้ข้าวเวฟมีสีสรรพ์

เศษหมูในข้าวกล่องเวฟ เป็นเพียงสสารตายซาก
ฟันกรามของข้าพเจ้าบดเคี้ยวซากศพ
ซึ่งถูกขุนมาโดยไม่เคยได้รับความรัก

ข้าวในข้าวกล่องเวฟ เป็นเพียงก้อนแป้งสังเคราะห์
ห่มคลุมด้วยสารพิษทั่วร่าง
จนแม้แมลงไม่อยากสัมผัส
ไฉนข้าพเจ้าจึงกล้ากลืนลงคอ

วิญญาณของอาหารซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่แห่งหนใด
พริก ใบกะเพรา เศษหมู และข้าว ต่างไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง
นี่เป็นเพียงก้อนพลังงานขยะเพียงเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญ
แล้วจะนำวิญญาณจากใดเล่า
มาเติมลงสู่ร่างของมนุษย์
ผู้ถูกกัดกร่อนวิญญาณจนแหว่งวิ่นไม่เหลือชิ้นดี

อนิจจา, ข้าวกล่องเวฟ
ข้าพเจ้ากำลังกลืนกินความล่มสลายของโลกใบนี้ทีละคำ ๆ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก



(๑)

หัวใจผมหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่ได้ยินว่าเธอป่วยเป็นธาลัสซีเมีย (โรคโลหิตจาง)

"นี่เป็นโรคเดียวกับนางเอกหนังเกาหลีเรอะ" พูดพลางนึกภาพหญิงสาวจากทิศตะวันตกหน้าซีดนอนซมอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง ไอแค่ก ๆ พูดด้วยเสียงแหบแห้งฟังไม่ได้ศัพท์---

"นั่นมันลูคีเมียค่ะ" เธอตอบกลั้วหัวเราะ

แม้อาการจะไม่หนักหนาเท่าโรคนางเอกหนังเกาหลี แต่ผลข้างเคียงของโรคนี้ก็ทำให้ร่างกายเธออ่อนแอกว่าปกติ ป่วยเป็นโรคอะไรสักครั้งหนึ่งก็มักจะอาการหนักถึงขั้นนอนซมในโรงพยาบาล บางครั้งถึงกับต้องให้เลือด ผมฟังเรื่องของเธอแล้วนึกถึงแม่ซึ่งป่วยอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน

ผมเป็นคนค่อนข้างโชคดีที่เกิดมาโดยไม่พกโรคอะไรติดตัวมาด้วย โดยเฉพาะไอ้พวกลงท้ายด้วยคำว่าเอีย ๆ จะมีก็แต่นิสัยเอี้ย ๆ และอาการฮิสทีเรียซึ่งเป็นบ้างหายบ้าง นอกจากนั้นก็ยังมีอาการอยากได้มือถือโซนี่เอ็กซ์พีเรียรุ่นใหม่ล่าสุดไม่ก็โนเกียลูเมียอยู่เป็นพัก ๆ ซึ่งไม่เคยบำบัดได้เพราะไม่มีเงินซื้อ (อาจจะบำบัดได้หลังแต่งงานโดยการขอเิงินเมีย)

เราโบกมือลาจากกัน อาการป่วยของหญิงสาวจากทิศตะวันตกยังค้างคาอยู่ในใจ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เรียนหมอ ไม่เช่นนั้นจะเสนอตัวขอเป็นนายแพทย์ประจำตัวตลอดชีวิต รักษาฟรีทุกโรคจนกว่าผมจะตายจาก (แต่อาจไม่จำเป็นเพราะว่าเธอเองก็รวยอยู่แล้ว) จะมีอะไรที่ผมพอจะทำให้เธอได้ไหมนะ

มองร่างกายอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์เกินขนาดของตัวเองในกระจก แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้

(๒)

เกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยบริจาคเลือด ครั้งล่าสุดคงเป็นช่วงกลางปีหลังจากส่งวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ใช่ที่สภากาชาด พยายามค้นหาบัตรเก่าของตัวเองแต่หาไม่เจอ เข้าใจว่าทำหายไปเสียแล้ว แต่เมื่อสอบถามเพื่อนแล้วก็ได้ความว่าเริ่มบริจาคใหม่ได้เลยเพราะแต่ละที่ไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน ต้องเก็บประวัติใหม่อยู่แล้ว

แม้การบริจาคเลือดถือเป็นการทำบุญกุศล แต่หญิงสาวจากทิศตะวันตกก็คงรู้ว่าเมื่อก่อนการบริจาคเลือดของผมมีฮิดเด้นอาเจนด้า ไม่ได้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การทำกุศลกรรม ทว่าในครั้งนี้ผมมาสภากาชาดโดยมีเป้าหมายคืออยากสร้างบุญกุศลอย่างแท้จริง

เปล่า, ผมไม่ได้อยากจะขึ้นสวรรค์ สำหรับคนบาปหนาห่างไกลวัดอย่างผมแล้ว ด้วยกุศลกรรมเพียงเท่านี้จะให้ขึ้นสวรรค์คงยากเสียยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก (ซึ่งยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอย่างเทียบกันไม่ได้)

อาการป่วยของหญิงสาวจากทิศตะวันตก และข่าวว่าเลือดในคลังของสภากาชาดหมดแล้ว คือเหตุผลที่ผมกลับมาบริจาคเลือดอีกครั้ง แม้ว่าหากเธอป่วย เธอก็จะไม่ได้รับเลือดจากผมอยู่ดี เพราะเลือดเราคนละกรุ๊ปกัน (เธอรับเลือดจากกรุ๊ปผมไม่ได้) แต่อย่างน้อยก็ถือว่าคนบาปหนาอย่างผมได้มีโอกาสทำกุศลกรรมอยู่บ้าง และผมจะมอบทั้งหมดให้เธอ---

"ให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี
เท่าที่ชีพนี้จะมีได้
มีใจก็จะให้หัวใจ
ไม่มีก็จะให้เท่าที่มี"

ในเมื่อหัวใจทั้งดวง ผมให้เธอไปหมดแล้ว เหลือก็แต่เลือดเนื้อสังขารที่รอวันแตกดับ หากมันจะทำประโยชน์ให้เธอได้แม้เพียงน้อยนิดหรือในทางอ้อมแค่ไหนก็ตาม ผมก็ยินดีจะมอบให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี

(๓)

ตั้งใจไว้ว่าปีหน้าที่จะถึงนี้ ผมจะบริจาคเลือดให้ครบทั้ง ๔ ครั้ง และบริจาคเกล็ดเลือดหรือพลาสม่าบ้างในแต่ละเดือนหากมีโอกาส หรือร่างกายยังพอบริจาคไหว

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำรัสว่า

"ผู้บริจาคโลหิตทุกท่านเป็นผู้บำเพ็ญกุศลอันสูงยิ่ง เพราะได้ต่อชีวิตอันเป็นสิ่งที่รักและหวงแหนที่สุดของมนุษย์ โดยไม่คำนึงว่าผู้รับจะเป็นใคร และให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"

แต่ผมบริจาคโดยหวังสิ่งตอบแทนดังนี้---

ขอให้บุญกุศลนี้เป็นของขวัญอีกหนึ่งอย่างที่ผมจะมอบให้ผู้หญิงที่ผมรักทั้งสองคน --แม่ และหญิงสาวจากทิศตะวันตก-- ขอให้กุศลกรรมทั้งหมดที่ผมจะได้รับจากการบริจาคเลือดตลอดปีนี้ถึงปีหน้าส่งผลให้ทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรงตลอดปี ปีหน้าขอให้แม่ไม่มีโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน ปีหน้าขอให้เป็นปีที่หญิงสาวจากทิศตะวันตกไม่ป่วยเลยแม้เพียงครั้งเดียว

นี่คงจะเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ เท่าที่ผู้ชายตัวเล็ก ๆ อย่างผมจะทำให้คนที่ผมรักได้


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แสนแสบ

๏ มาเล่นเรือโล้คลื่นกลางเมืองกรุง
พวยพุ่งคลื่นดำสีคล้ำเขียว
มาเริงร่าท้าลมระทมเทียว
โชยกลิ่นเหม็นเปรี้ยวห่อเหี่ยวนัก

๏ เป็นความสุขแท้เทอญเชอญลองเล่น
น้ำเหม็นซัดหน้าอาการหนัก
หอมกลิ่นน้ำเต็มหน้ามิพาพัก
แล้วคุณจะหลงรักการนั่งเรือ

๏ เรือแสนแสบแสบแสนแม้นลองนั่ง
ประเดประดังคลื่นความสุขอยู่ทุกเมื่อ
แบคทีเรียแปดหมื่นอย่างไม่จางเจือ
เหลือเชื้อโรคชนิดใดยังไม่กลืน!

๏ โอ้คุณภาพแห่งชีวิตน่าอิจฉา
อยู่เมืองฟ้าเมืองสวรรค์มันสดชื่น
ล่องเรือหฤหรรษ์ทุกวันคืน
แสนแสบแสบแสนสะอื้นเริงรื่นระทม ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
17 ธ.ค. 55

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขุมนรก


๏ กลับคืนขุมนรกชื่อเมืองหลวง
คืนสู่ห้วงการจมปลักอัปลักษณ์สมัย
แม้อากาศยังแขวนป้าย-ขายเท่าไร
อวลไออันอบอ้าวร้าววิญญาณ์

๏ แสงแดดร้อนแรงใช่แสงแดด
คือแสงแผดเพลิงผลาญเพื่อเข่นฆ่า
หยาดเหงื่อก็หยดหยาดเพียงมายา
แท้ซุกซ่อนหยาดน้ำตาเหนื่อยล้าใจ

๏ โอ้ละหนอเจ้านกน้อยในกรงสนิม
เจ้าอดมากกว่าอิ่มหรือมิใช่
ยอมเขาผู้ขู่เข็ญเพื่อใคร
จะฝืนยิ้มนานแค่ไหนในกรงนี้

๏ ยินดีต้อนรับกลับสู่เมือง
เป็นฟันเฟืองเครื่องจักรสิ้นศักดิ์ศรี
ซื้อความสุขจอมปลอมประโลมฤดี
คือซากผีรับเงินเดือน, ลืมเลือนชีวิต! ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๖ ธ.ค. ๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเด็กอ้วนเอ่ยคำรัก (เสมือนหนึ่งนิทานในร่องรอยร้าวรานของกาลเวลา)

(๑.)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังแบนราบเหมือนแผ่นกระดาษ หากใครเดินไปถึงสุดขอบโลกก็อาจจะพลัดตกไปจากโลกเอาง่าย ๆ มีเด็กอ้วนคนหนึ่งในดินแดนอันไกลโพ้น เขาเป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับไขมันอัดแน่นอยู่ในทุกอณูเนื้อของร่างกาย มันมากเสียจนหัวใจของเขาถูกเบียดบังเหลือเพียงก้อนเนื้อเล็ก ๆ หลบซ่อนอยู่ในอกอวบ ๆ เด็กอ้วนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีหัวใจที่ใหญ่โต เพราะเรื่องที่เขาสนใจมีแค่เรื่องกินและเรื่องกินเท่านั้น ขอแค่มีฟันอันแข็งแรงไว้เคี้ยวอาหาร มีลิ้นที่พรั่งพร้อมด้วยประสาทรับรส และกระเพาะที่พร้อมจะย่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารับประทานเข้าไปให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของชีวิตครั้งที่สิบห้าเดินทางมาถึง เขาจึงเพิ่งจะรับรู้ว่า เพียงแค่อวัยวะย่อยอาหารนั้นไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับชีวิตเล็ก ๆ ของเด็กอ้วน

เด็กอ้วนหลงรักเด็กสาวหมู่บ้านข้าง ๆ

เด็กอ้วนพบเธอครั้งแรกขณะที่เธอมาร้องเพลงในงานรื่นเริงของหมู่บ้าน เด็กสาวร้องเพลงไพเราะจับใจ เสียงเธอหวานใสเหมือนระฆังแก้วจากสรวงสวรรค์ เด็กอ้วนนึกถึงเสียงนกกางเขนที่ชอบมาร้องเพลงข้างหน้าต่างห้องของเด็กอ้วนตอนเช้า ๆ เด็กอ้วนชอบฟังเพลงของนกกางเขนก็จริง แต่ความรู้สึกตอนที่ฟังนกกางเขนร้องเพลงกับฟังเสียงหวานใสของเด็กสาวนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คำว่าหลงรักลอยมาอัดแน่นในอกอวบ ๆ ของเขา คำว่าหลงรักเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของเด็กอ้วน เขาคิดว่าการหลงรักก็คล้าย ๆ เวลาที่เขาหิวและต้องการจะกินอาหารเพื่อเติมกระเพาะให้เต็ม แต่การหลงรักก็ไม่เหมือนความหิวอยู่ดี เพราะเขาไม่ได้อยากจะกินเด็กสาว เพียงแค่เขาได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะของเธอ ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาที่เคยบกพร่องหรือหล่นหายไปนั้นได้รับการเติมเต็ม เต็มจนล้นออกมาด้วยซ้ำ ล้นออกมาจนเด็กอ้วนอยากจะบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างแก่เด็กสาวเพื่อให้เธอได้รับการเติมเต็มเหมือนเด็กอ้วนบ้าง

แต่เด็กอ้วนจะบอกรักเธอได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเขามันเล็กเพียงนิดเดียว

(๒.)

เด็กอ้วนเก็บงำความลับไว้ในใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบรักเด็กสาวนอกจากนกกางเขนที่ชอบมาร้องเพลงข้างหน้าต่าง เด็กอ้วนคุยกับนกกางเขนถึงเรื่องของเด็กสาว นกกางเขนเสนอว่าถ้าเด็กอ้วนไม่อาจบอกรักได้ก็ควรร้องเพลงเพื่อสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกและความในใจที่มีต่อเด็กสาว เช่นเดียวกับที่เขาได้รับการเติมเต็มจากเสียงเพลงของเธอ เจ้านกกางเขนรับปากจะเป็นครูสอนร้องเพลงให้เด็กอ้วน เด็กอ้วนหวังว่าเมื่อเขาโตขึ้นมากกว่านี้ อวัยวะที่จำเป็นสำหรับการร้องเพลงจะใหญ่โตขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้โตมากพอที่จะร้องเพลงด้วยสำเนียงอันไพเราะสักครึ่งหนึ่งของเจ้านกกางเขน เมื่อถึงวันนั้นเขาจะร้องเพลงเพื่อสื่อความในใจให้เด็กสาวได้ฟัง

แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร เด็กอ้วนก็ร้องเพลงไม่ได้เรื่อง เพราะปอดของเขาก็เล็กพอ ๆ กับหัวใจ ซ้ำร้ายกว่านั้น ยิ่งเขาโตขึ้น ไขมันในร่างกายก็ยิ่งพอกพูน อวัยวะที่จำเป็นในการร้องเพลงรวมทั้งหัวใจก็ยิ่งเล็กลงไปอีก

เจ้านกกางเขนเพียรพยายามสอนเด็กอ้วนทุกวิถีทาง แต่เสียงของเด็กอ้วนก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย นอกจากเสียงจะแย่แล้ว เด็กอ้วนยังจดจำทำนองและจังหวะจะโคนของเพลงไม่ได้เลยสักนิด นานวันเข้านกกางเขนจึงหมดความอดทน และบอกเด็กอ้วนอย่างสิ้นหวังว่า เด็กอ้วนจะไม่มีทางร้องเพลงให้ไพเราะได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่อาจร้องเพลงเพื่อสื่อความในใจให้เด็กสาวฟังได้

แม้ว่าเด็กอ้วนยอมจำนนต่อความจริงที่เจ้านกกางเขนได้แจ้งต่อเขาแล้ว แต่เด็กอ้วนก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งเด็กสาวจะได้รับรู้ความในใจจากเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้ว่าความหวังของเขาจะริบหรี่เหมือนหิ่งห้อยอ่อนแสงในคืนเดือนมืด

ผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งนกกางเขนคาบข่าวร้ายมาบอก (นกกางเขนคิดว่าข่าวร้ายนี้ร้ายพอ ๆ กับความจริงที่ว่า เด็กอ้วนไม่มีวันร้องเพลงให้ไพเราะได้) นกกางเขนบอกว่า มีเด็กหนุ่มจากอีกหมู่บ้านหนึ่งมาติดพันเด็กสาว เขาเป็นคนที่หล่อเหลา มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี แต่นกกางเขนแอบกระซิบว่า อันที่จริงเขาเป็นคนใจร้าย เขาเคยปาก้อนหินใส่นกกางเขนเพราะรำคาญที่นกกางเขนไปร้องเพลงให้เขาฟัง เด็กอ้วนร้อนใจเพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะปาก้อนหินใส่เด็กสาวที่ตนรักเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงของเธอ

ทางเลือกสุดท้ายที่เด็กอ้วนจะทำได้คือทำให้หัวใจโตขึ้นเพื่อให้เขามีความกล้ามากพอจะบอกรักเด็กสาว เขาจึงออกเดินทางเพื่อหาวิธีทำให้หัวใจโตขึ้น เขาจะได้บอกรักเด็กสาวและคุ้มครองเธอก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะบอกรักเธอ

(๓.)
เด็กอ้วนดั้นด้นไปจนถึงบ้านของนักปราชญ์ผู้รอบรู้เพื่อถามถึงวิธีที่จะทำให้หัวใจโตขึ้น แรกเริ่มเดิมทีนักปราชญ์ไม่ยอมปริปาก แม้เด็กอ้วนจะขอร้องอย่างไรก็ทำทีอิดออดไม่ยอมพูดอะไร ราวกับว่าวิธีที่ทำให้หัวใจโตขึ้นนั้นเป็นความลับสำคัญที่สุดที่จะแพร่งพรายให้ใครรู้ไม่ได้ แต่ในที่สุดนักปราชญ์ก็ทนการรบเร้าจากเด็กอ้วนไม่ไหว เพราะเด็กอ้วนพูดทั้งน้ำตาว่า หากเขาไม่รู้วิธีทำให้หัวใจโตขึ้น จนไม่อาจบอกรักและคุ้มครองเด็กสาวได้ เมื่อนั้นหัวใจของเขาคงแหลกสลายเป็นผงธุลีเฉกเช่นเม็ดทรายริมหาด

นักปราชญ์จึงกระซิบกระซาบแก่เด็กอ้วนว่า ที่ท้ายหมู่บ้านมีแม่มดชราอาศัยอยู่ ขอให้เด็กอ้วนไปปรึกษานาง เด็กอ้วนแย้งขึ้นมาเพราะได้ยินมาว่านางเป็นคนไม่มีหัวใจ นักปราชญ์ชราจึงเปิดเผยความลับว่า ในสมัยที่แม่มดยังสาว เล่าลือกันว่านางเคยเป็นผู้ที่มีหัวใจดวงโตที่สุด แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมวันนี้แม่มดจึงกลับกลายเป็นคนไม่มีหัวใจ บางทีนางอาจมีวิธีช่วยให้หัวใจของเด็กอ้วนโตขึ้นเหมือนอย่างหัวใจนางในสมัยก่อน

เด็กอ้วนเดินทางไปหาแม่มดชรา นางนั่งยิ้มเย็นอยู่หน้ากระท่อมราวกับรอคอยเด็กอ้วนมาทั้งชีวิต ยังไม่ทันที่เด็กอ้วนจะเอ่ยปากถาม นางก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า---หากหัวใจพองโตถึงขีดสุด ตอนนั้นเจ้าจะสูญเสียหัวใจ เจ้ายังจะคิดเรื่องทำให้หัวใจพองโตอยู่อีกไหม เด็กอ้วนพยักหน้าไม่รีรอ พูดชัดถ้อยชัดคำ ขอเพียงให้หัวใจโตขึ้นมากพอที่จะบอกรักเด็กสาว เขายอมทำทุกอย่าง

แม่มดยิ้มเยาะ เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเหมือนประชดประชันอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้นมาลอย ๆ เหมือนไม่ได้พูดกับเด็กอ้วนว่า ที่สุดขอบโลกมีดอกไม้ประหลาด เพียงแค่สูดกลิ่นสักครั้ง หัวใจก็จะพองโตมากพอที่จะบอกรักใครสักคน เด็กอ้วนละล่ำละลักขอบคุณแม่มดชรา แล้วรีบวิ่งแจ้นไม่หยุดพักไปยังสุดขอบโลก

(๔.)

ผ่านไปเกือบปี ในที่สุดเด็กอ้วนก็เดินทางมาถึงสุดขอบโลก ที่นั่นมีหมอกหนาจัด แต่ท่ามกลางหมอกนั้น เขาเห็นดอกไม้เหี่ยวเฉาใกล้ตายดอกหนึ่งอยู่ริมหน้าผา นั่นน่าจะเป็นดอกไม้ที่แม่มดพูดถึง เด็กอ้วนรีบเข้าไปใกล้ดอกไม้แล้วสูดดมเต็มปอด มีเพียงกลิ่นกลีบใบที่เริ่มเน่าเท่านั้นที่ลอยเข้าจมูกเขา เด็กอ้วนเอามือลูบคลำหน้าอกที่เต็มไปด้วยไขมัน รู้สึกว่าหัวใจเขายังเล็กนิดเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เขาสูดลมหายใจซ้ำห้าหกครั้ง แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม

เด็กอ้วนไม่รู้ว่าต้องมีพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าในการสูดกลิ่นดอกไม้ประหลาด ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานไหมกว่าฤทธิ์ของดอกไม้ประหลาดจะทำให้หัวใจเขาพองโต เขาคิดจะกลับไปถามแม่มดชราแต่ก็กลัวจะสายเกินไป เขาจึงได้แต่รี ๆ รอ ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่สุดขอบโลกนานนับเดือน ความหวังที่เคยมีเต็มเปี่ยมเริ่มเหี่ยวเฉาเช่นเดียวกับดอกไม้ประหลาดที่เริ่มเหี่ยวแห้งลงทุกที ๆ เขาได้แต่รอปาฏิหาริย์อยู่ตรงนั้น รอจนกว่าจะถึงวันที่หัวใจของเขาพองโต

แล้วเด็กอ้วนก็เห็นเงาใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้

เขาหันกลับไปมอง แม้จะอยู่ในหมอกหนา แต่เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเด็กสาวคนที่เขาแอบรัก ไม่น่าเชื่อว่าเธอเองก็เดินทางมายังสุดขอบโลกเช่นกัน เด็กอ้วนไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาหรือไม่ แต่เธอก็โอภาปราศรัยกับเขาด้วยไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่เธอปฏิบัติต่อทุกคน เด็กอ้วนถามเธอว่าเธอเองก็มาตามหาดอกไม้ที่ทำให้หัวใจพองโตหรือ เธอยิ้มแย้มพลางพยักหน้า พูดด้วยเสียงหวานว่าเธอหลงรักเด็กหนุ่มหมู่บ้านข้าง ๆ ที่มาติดพันเธอ เขาเป็นคนที่หล่อเหลา มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี แต่หัวใจเธอไม่โตพอจะบอกรักเขา เธอจึงเดินทางมายังสุดขอบโลกเพื่อตามหาดอกไม้ประหลาดที่ทำให้หัวใจพองโตตามคำแนะนำของแม่มด

หัวใจที่เล็กนิดเดียวของเด็กอ้วนกลับยิ่งถูกบีบรัดให้เล็กลงไปอีกจากคำพูดเหล่านั้นของเด็กสาว

เมื่อเธอถามถึงดอกไม้ประหลาด เด็กอ้วนจึงผายมือไปยังดอกไม้ที่งอกอยู่ริมหน้าผานั้น เด็กสาวทำหน้าตื่นเต้นดีใจ หันมายิ้มหวานให้เด็กอ้วน วินาทีที่เด็กอ้วนเห็นรอยยิ้มหวานของเด็กสาว เขาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหน้าอกที่เต็มไปด้วยไขมัน เด็กอ้วนรู้สึกว่าหัวใจเขากำลังพองอย่างลูกโป่งที่ถูกเป่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลมอัดแน่นข้างในจวนปริแตก ร่างของเขาลอยขึ้นพ้นหน้าผาเหมือนบอลลูน ที่แท้ไม่ใช่ดอกไม้ประหลาดหรอกที่ทำให้หัวใจของเขาพองโต แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เขารักต่างหาก วินาทีนั้นเขาไม่ได้ยินคำขอบคุณของเด็กสาวด้วยซ้ำ เขารู้แค่ว่าจะต้องบอกคำ ๆ หนึ่งที่เขาเก็บงำไว้นานหลายปี

คำ ๆ นั้นคือคำว่า---ฉันรักเธอ

(๕.)

แล้วเด็กอ้วนก็รู้สึกเหมือนบางสิ่งวูบหายไปจากร่าง แวบนั้นเขานึกถึงคำพูดของแม่มด

---หากหัวใจพองโตถึงขีดสุด ตอนนั้นเจ้าจะสูญเสียหัวใจ---

หัวใจของเด็กอ้วนหลุดลอยไปพร้อมกับคำรักที่บอกเด็กสาวท่ามกลางหมอกหนา และแล้วหัวใจของเขาก็กลายเป็นสมบัติของเด็กสาวไปชั่วนิรันดร์ ร่างที่กำลังลอยอยู่ริมหน้าผาตกลงมาทันที เด็กอ้วนพลัดตกจากสุดขอบโลก เขาหล่นลงไปในโลกอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับโลกที่เขาเคยอยู่ โลกฝั่งนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมิดและเหน็บหนาว

จากวันนั้น เด็กอ้วนก็กลายเป็นคนที่ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้คือหัวใจของตนที่อยู่อีกฟากฝั่งของโลก หัวใจของเขาอยู่กับเด็กสาวคนที่เขาแอบรัก เด็กอ้วนรับรู้ได้ว่าหัวใจดวงนั้นพองโตด้วยความรักอยู่ตลอดเวลา ทุกวันเขาจะเดินตามร่องรอยของหัวใจตัวเองไปเรื่อย ๆ เมือรู้สึกว่าอยู่ใกล้ ๆ เด็กสาวในฟากฝั่งตรงข้ามของโลก เขาก็จะร้องเพลงเพียงเพื่อบอกเด็กสาวให้รู้ว่า เจ้าของหัวใจที่เด็กสาวครอบครองอยู่ยังคงมีลมหายใจ และยังคงรักเธอตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แม้จะอยู่ห่างไกลจนไม่มีวันได้พบพานกันอีกแล้วก็ตามที

(๖.)

เด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเด็กอ้วนจึงหายตัวไปท่ามกลางหมอกหนาทันทีที่เธอขอบคุณเขา อันที่จริงต้องบอกว่าเธอลืมเรื่องที่ได้พบเด็กอ้วนไปเสียสนิท เพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่สำคัญมากเท่าเรื่องที่เธอได้สูดดมกลิ่นดอกไม้ประหลาด แม้จะมีเพียงกลิ่นกลีบใบที่เริ่มเน่าเท่านั้นที่ลอยเข้าจมูกเธอ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าหัวใจเธอพองโตขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลมอัดแน่นข้างในจวนปริแตก คำว่ารักเอ่อล้นออกมาจากข้างในจนเธออดใจไม่ไหวอีกต่อไป เด็กสาวรีบวิ่งกลับไปบอกรักเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยหัวใจที่พองโต ทั้งสองตกลงหมั้นหมายกัน ผ่านไปไม่นาน งานแต่งงานระหว่างเขากับเธอก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

กาลเวลาหมุนผ่านไปหลายสิบปี เด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวผู้มีหน้ามีตาในสังคม สามีของเธอบันดาลความสุขให้ทุกอย่างในข้อแม้ที่ว่า ห้ามเธอร้องเพลงอีกต่อไป เพราะมันทำให้เขารำคาญ เธอห่างเหินจากการร้องเพลงนานมากจนกระทั่งว่าเธอรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินเสียงเพลงเช่นเดียวกับสามีของเธอ ทุกวันนี้เธอมีความสุขดี เว้นแต่บางคืนที่เธอรู้สึกรำคาญอยู่บ้างเมื่อเธอแว่วยินเสียงเพลงมาจากที่ไกล ๆ มันทำให้หัวใจที่พองโตด้วยความรักอยู่ตลอดเวลานั้นปวดตุบ ๆ เสียงเพลงที่เธอได้ยินนั้นโหยหวนแหบแห้งขัดหู ไม่มีจังหวะจะโคนเหมือนคนที่ร้องเพลงไม่เป็น เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้องเพลง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงนั้นชื่อเพลงอะไร สิ่งเดียวที่เธอรู้คือเพลงนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยของเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักโต


วุฒินันท์ ชัยศรี

13 ธันวาคม 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรก: คอลัมน์จุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555