วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

เกลียดเธอ

๏ ทั้งที่ฉันชิงชังใยยังรัก
ทั้งที่เกลียดเธอนักกลับคิดถึง
ยิ่งไกลห่างยิ่งเป็นห่วงในห้วงคะนึง
ยังหลงซึ้งคนใจร้ายคนหลายใจ

๏ เธอทำหัวใจฉันไหวอ่อน
ฝากรอยอาวรณ์อันอ่อนไหว
เป็นแผลช้ำซ้ำซากแล้วจากไป
แต่เพราะเหตุใดจึงไม่จำ

๏ ถามว่าเกลียดเธอไหม - ใช่, เกลียดนัก
เคยมอบรักหมดทั้งใจให้เหยียบย่ำ
ช่างใจร้ายเกินใคร, คนใจดำ
ฉันจึงเจ็บช้ำอยู่ร่ำไป

๏ บอกตัวเองทุกวันว่าเกลียดเธอ
ใจกลับพร่ำเพ้อเผลอไผล
คิดถึงเธอมากมายคนหลายใจ
น้ำตาไหลยังทนฝืนทุกคืนวัน

๏ กลับมาได้ไหมคนใจดำ
กลับมาทำให้เพ้อฝัน, แล้วตัดฝัน
กลับมารักกัน, แล้วทิ้งกัน
ทำให้ฉันอกหักอีกสักครั้ง! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๗/๐๓/๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 2

1. หัวใจของทุนนิยม และคอมมิวนิสต์มุมกลับ
ผมไม่เคยเชื่อว่า ทุนนิยมจะมีหัวใจ

ทุนนิยมที่มีหัวใจ เช่นว่า การรวมทุนเพื่อช่วยเหลือสังคม การมีรัฐสวัสดิการ หรือแม้กระทั่งนโยบายประชานิยม คือการโยนเศษเงินเพื่อประวิงเวลาก่อนที่การลุกฮือขึ้นปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะเกิดขึ้นตามคำทำนายของคาร์ล มากซ์

อันที่จริง เรื่องราวชวนฝันหวานอย่างการปฏิวัติ และคำพูดของ 'รงค์ ที่คุณยกมา ก็ชวนให้นึกถึงคำพูดที่คล้าย ๆ กันของ Louis Ferdinand Celine จากหนังสือ Journey to the end of the Night ว่า

"Mankind consists of two very different race, the rich and the poor." (มนุษยชาติประกอบด้วย 2 เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันอย่างยิ่ง คือ คนรวย และคนจน)

พูดภาษา "ซ้าย" ก็คือ นายทุน ผู้กอบกำทรัพยากรการผลิตเต็มมือ กับกรรมาชน ผู้ไม่มีทรัพยากรการผลิตอื่นใดนอกจากสองมือ

ตราบเท่าที่มีข้าวปลาอาหารประทังชีวิต มนุษย์ก็ยินดีทำงานเป็นเครื่องจักร ไม่หือไม่อือ ถ้าหือถ้าอือขึ้นมาก็เพิ่มค่าแรงซะ เพิ่มสวัสดิการซะ ให้รู้สึกว่าได้อะไรเพิ่มหน่อย แค่นี้มนุษย์ก็กลับมาทำงานเยี่ยงทาสเช่นเดิม (ตรรกะนี้คงเป็นตรรกะชุดเดียวกับที่ว่า นายกฯ โกงก็ได้ แต่ขอให้ทำงาน และโยนเศษเงินที่โกงไปกลับมาให้กินบ้าง) ทุนนิยมลิดรอนคุณค่าความเป็นมนุษย์จนเหลือเพียงฟันเฟืองของเครื่องจักรขนาดมหึมา ขณะที่ตัวมันเองอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ จากการสวาปามหยาดเหงื่อแรงงาน และทรัพยากรบนโลกใบนี้

ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า สังคมนิยมคอมมิวนิสต์จะเกิดขึ้นก่อน หรือโลกจะแตกไปเสียก่อนเพราะความพร่องแพร่งในสมดุลของโลกจากการกลืนกินอย่างไม่หยุดยั้งของทุนนิยมที่เป็นต้นตอแห่งความวิปริตของดินฟ้าอากาศเช่นทุกวันนี้

แต่อันที่จริง ต่อให้โลกคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจริง มันก็แค่ปฐมบทของมหากาพย์ทุนนิยมครั้งใหม่ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีความโลภติดแน่นอยู่ในกมลสันดาน

เหมือนตอนจบของการปฏิวัติในรัสเซียที่ถูกสหายสตาลินทรยศ

เหมือนตอนจบของคอมมิวนิสต์จีน กับคำพูดน่ารัก ๆ ของสหายเติ้งที่บ่อนเซาะการปฏิวัติปราสาททรายให้พังครืนเพียงปลายนิ้วสะกิดว่า "จะเป็นแมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ" พูดพลางหวดสุนัขที่เลี้ยงไว้ให้ออกไล่จับหนู

เหมือนตอนจบของ Animal Farm ที่เจ้าหมูนโปเลียนเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สัตว์อื่นในฟาร์มต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตอนที่มนุษย์เป็นเจ้าของหลายเท่า

สุดท้ายมนุษย์ก็จะกลับไปสู่สองเผ่าพันธุ์เช่นที่เป็นมา และเช่นที่จะเป็นไปในอนาคต เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนคำเรียก เปลี่ยนทฤษฎีการวิเคราะห์ แต่เนื้อในเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน

แต่เรา, หมายถึงตัวเราที่ปรากฎอยู่ในซอกหลืบของบรรทัด, จะก่นด่าทุนนิยมอย่างไร วัฏจักรของมันที่มาพร้อมกับความรื่นรมย์และโศกนาฏกรรมก็ยังดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง บางครั้งเราเผลอเติมคำว่าสามานย์ต่อท้าย ขณะที่ยังเคี้ยวไก่ทอดเคเอฟซีไทยแลนด์อยู่เต็มปาก (ผลิตจากไก่ซีพี, เราประหัตประหารไก่กว่าล้านชีวิตเพื่อคุณทุกวัน รับประกันความสดอร่อย!) เช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรกับฝุ่นผงที่แอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบของฟันเฟืองยักษ์ รอจนฟันเฟืองเริ่มหมุน ฝุ่งผงก็หลุดลอกล่อนหล่นหายไปอย่างง่ายดาย

ชีวิตนั้นแสนสั้น ไร้ค่าเกินกว่าจะเคลื่อนไหวเพื่อให้โลกขยับเขยื้อน และไร้ค่าเสียจนไม่พอจะเป็นเครื่องเล่นบันเทิงของหน้าประวัติศาสตร์ได้ด้วยซ้ำ

2. ของเล่นเด็ก

Roland Barthes อ่านเกมขาดมาตั้งแต่หนังสือ Mythology ว่าด้วยเรื่องของเล่นเด็ก

แท้จริงของเล่นเด็ก ก็คือโลกสมมติที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้นเพื่อกล่อมเกลาให้เด็กเติบโตขึ้นมาอาศัยในคุกของทุนนิยมอย่างสนุกสนาน รถเด็กเล่นนั้นเล่า ก็สมมติมาจากรถจริงในโลกผู้ใหญ่ คอยออดอ้อนให้เด็กหนุ่มวัยกลัดมันคอยสรรหาเจ้าพาหนะสี่ล้อรุ่นใหม่ล่าสุดจากงานมอเตอร์โชว์มาครอบครองเพื่อสัมพันธภาพที่ลื่นไหลในสังคม ตุ๊กตาบาร์บี้พร้อมชุดสวยงามนั้นเล่า ก็มิใช่ของเล่นพึงใจสำหรับเด็กหญิงผู้เติบโตมาเป็นเด็กสาวที่ใช้เวลาครึ่งค่อนวันเพื่อสรรหาประดาชุดมาประดับเรือนกายของตนดอกหรือ

วันดีคืนดี เราจึงพบว่า เราสนุกสนานกับโลกอันแสนโหดร้าย เช่นเดียวกับที่เราเคยเล่นของเล่นอย่างสนุกสนาน ซึ่งล้วนจำลองมาจากโลกอันแสนโหดร้าย

การกล่อมเกลาทางสังคม ไม่เคยแยกออกจากชีวิตได้เลย แม้แต่จินตนาการไร้สิ่งปนเปื้อนในวัยผ้าขาวบริสุทธิ์

โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว, เราจึงเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่วันวาน และโดยไม่รู้ตัว "ความเป็นผู้ใหญ่" ที่เคยเป็นมานั้น ยังคงหลบซ่อนอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของซอกหลืบหัวใจ รอเวลาเผยโฉมเต็มตัวในวันที่เสียงปฏิเสธของวัยต่อต้านอ่อนแรงลง เพื่อจะดึงเอาชีวิตสำเร็จรูปที่เคยได้รับการกล่อมเกลามาครอบร่างเป็นเจ้าเรือน ก่อนจะถีบหัวส่งจิตวิญญาณขบถลงไปมะงุมมะงาหราเป็นทาสในเรือนเบี้ยที่ก้นครัว

เช่นนี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจ, รู้เท่าทัน, รู้ทั้งรู้ ฯลฯ แต่เราจะหนีจากการกลืนกินของโลกอย่างไร

หรือเราจะปฏิเสธว่าเราไม่เคยเล่นของเล่นพวกนี้มาก่อน

3. การเป็นตัวของตัวเอง

"จงเป็นตัวของตัวเอง เพราะชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเป็นคนอื่น"

จะอ้างอิง ก็ดันจำไม่ได้ว่าหยิบมาจากภาพยนตร์ Step Up ภาคไหน

น่าสนใจที่คุณบอกว่า "หากแบ่งเป็นร้อยส่วน โชคชะตาถือหุ้นไปแล้ว 49% ส่วนที่เหลือเป็นชีวิตที่มีคนรัก ครอบครัว เพื่อนฝูงเป็นหุ้นส่วน ฯลฯ"

ผมกลับคิดว่า โชคชะตาเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยเพียง 10% ครอบครัว เพื่อนฝูง คนรอบข้าง และสังคมต่างหากที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

ผมไม่รู้ว่า เส้นทางกว่าจะเดินมาจนถึงทุกวันนี้ โชคชะตามีส่วนช่วยมากน้อยแค่ไหน แต่ที่รู้ก็คือ จุดที่ยืนอยู่บนส้นเท้าในปัจจุบัน มาจากการเสนอร่างญัตติ ประชุมสภา ออกความเห็นส่งเสริม คัดค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจ จากสภาสังคมครูอาจารย์เพื่อนฝูง และสุดท้ายคือการลงมติของครอบครัวโดยไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พูดตามหลักประชาธิปไตยก็สมเหตุสมผล, เสียงข้างน้อยเพียงหนึ่งเดียวของเราจะไปคัดง้างกับเสียงข้างมากจากสังคมได้อย่างไร

หลายคนเรียกมันว่า พันธะ, หลายคนเรียกมันว่า ความรับผิดชอบ

ชีวิตเราก็เหมือนเรือ ความรับผิดชอบก็เหมือนสมอ หากไม่โยนสมอถ่วงเอาไว้ ลมแห่งโชคชะตาก็คงพัดพาเราไปไหนต่อไหน เราอุ่นใจเมื่อมีสมอถ่วงเรือ เช่นเดียวกัน, เราอุ่นใจเมื่อมีพันธะ มีความรับผิดชอบคอยกำหนดทิศทางชีวิต นั่นเพราะเรากลัวว่า หากปล่อยให้ลมเพลมพัดไร้ทิศทาง เราจะหลงวนบนห้วงมหรรณพไร้สิ้นสุด

ใครเล่าจะกล้าไว้ใจโชคชะตาที่เหมือนหญิงสาวเจ้าอารมณ์ บางวันก็ดีใจหาย บางวันก็ร้ายราวแม่เลี้ยงสโนวไวท์ ถ้าโชคชะตาไม่พัดพานางเงือกมาหาพระอภัยมณี ป่านนี้พระอภัยมณีวัยหัวหงอกคงบ่นอุบอิบในถ้ำมืดมิดของนางยักษ์ว่า ไม่น่าเรียนวิชาปี่เลยตู

การปล่อยชีวิตให้เป็นตัวของตัวเองเต็มร้อย จำเป็นต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง เหมือนซื้อหวย ถ้าไม่รวยก็ถูกกินเรียบ

หลายคนจึงไม่กล้าเทขายหุ้นให้โชคชะตากว้านซื้อไปทั้งหมด แล้วปล่อยชีวิตให้เป็นตัวเอง ปราศจากพันธะ ความรับผิดชอบ ความคาดหวังจากคนอื่น

หลายคนจึงวางร่างกายของคนอื่นไว้ในโลงศพของตัวเอง แล้วปล่อยให้คนรอบข้างจัดการทุกเรื่องราวในชีวิตให้ แม้แต่การสวดส่งวิญญาณ

แต่อย่างน้อยที่สุด ศพเหล่านั้นบางศพก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก หรือมิใช่?

การเป็นคนอื่น บางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะเป็นคนอื่นก็จริง แต่เช่นเดียวกัน, มันสั้นเกินกว่าที่เราทั้งหลายจะตระหนักรู้ความจริงข้อนี้


วุฒินันท์ ชัยศรี
25/03/2011

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 1

---------------------------------

*หมายเหตุก่อนเขียน เพื่อความเข้าใจตรงกัน

สืบเนื่องจากธนาคาร จันทิมา นักเขียนหนุ่มผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาโทที่จุฬาฯ และเป็นเพื่อนร่วมเส้นทางการค้นหาความหมายของชีวิตท่ามกลางการเดินทางสั้น ๆ แต่เป็นนิรันดร์บนเส้นบรรทัด ชักชวนข้าพเจ้าให้มาร่วมค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ระหว่างรอยปริแตกของตัวอักษรที่ไม่อาจส่งผ่านเข้าไปในเรตินาของมนุษย์ผู้คร่ำเคร่งอยู่กับความฉาบฉวยของชีวิต, บางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นผ่านการเขียนโต้ตอบกัน อาจเป็นพุทธิปัญญา, ความตระหนักรู้, ความเปล่าโหวงของชีวิต, การออกกำลังกายยืดแข้งยืดขาของอักขระ, หรืออาจไม่มีอะไรเลยนอกจากความสิ้นเปลืองของน้ำหมึกและกระดาษ (เมื่อเขียนผ่านโลกไซเบอร์ สิ่งที่สูญเสียก็คือค่าไฟฟ้าและความสึกหรอของอุปกรณ์คณิตกรณ์)

แน่ล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของสองเราว่า การละเล่นครั้งนี้อาจจะกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวให้ตื่นขึ้น หรืออาจเป็นเพียงความเปล่ากลวงไร้สาระในระหว่างที่ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปสู่อีกหนึ่งวัยที่เราจะต้องกลับมาโอดครวญว่า เราทำบางสิ่งหล่นหายไปขณะที่เดินทาง แม้จะรู้อยู่เต็มอกและพยายามยื้อไว้สุดชีวิต

สุดท้ายนี้ หากมันทำประโยชน์อื่นใดแก่ผู้อื่นได้นอกจากที่กล่าวมา เราจะยินดีอย่างยิ่ง

---------------------------------

1. ที่เก็บเงิน

ธนาคาร น. นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย บริษัทจํากัด หรือ บริษัทมหาชนจํากัด ที่ใช้ชื่อหรือคําแสดงชื่อว่า ธนาคาร ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเงินและธุรกิจหลักทรัพย์. (ป. ธน + อคาร).

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้คำแปลชื่อของคุณไว้เช่นนั้น

ผมแปลสั้น ๆ ละกันว่า ที่เก็บเงิน

ชื่อจริง ธนาคาร ชื่อเล่น แบงค์ ดูเป็นชายหนุ่มทุนนิยมมาก น่าจะไปได้ดีกับการเรียนเกี่ยวแก่เงิน ๆ ทอง ๆ จบไปแล้วทำงานสถานที่เดียวกับชื่อ

ไม่รู้ว่าเกี่ยวแก่ความคาดหวังของใคร หรือบังเอิญตกฟากโชคงามยามดี คำว่า "ธนาคาร" จึงได้รับเลือกเป็นถ้อยคำแทนตัวของคุณ เอาล่ะ, ผมไม่ถามเรื่องนั้นหรอก เพียงแต่ชื่อของคุณมันชวนให้นึกถึงความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ใคร ๆ ก็คงอยากให้ลูกหลานของตนเองเป็น "ที่เก็บเงิน" โตขึ้นจะได้ไม่ลำบาก

ใคร ๆ ก็อยากมีเงิน เพราะเงินคือสิ่งเดียวที่จะบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างมาเติมเต็มชีวิตอันเว้าแหว่งของมนุษย์

ไม่รู้ว่าเจ้าธาตุเงิน, ธาตุที่ผมไม่เคยได้ยินว่าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ กลับมามีอิทธิพลเหนือชีวิตมนุษย์เมื่อใด, กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็ตกเป็นเหยื่อการดิ้นรนแสวงหามันเสียแล้ว ทั้งด้วยความเต็มใจและไม่เต็มใจ

2. รถยนต์

ตั้งแต่หัดนั่งยันคันถีบบนสองล้อแล้วไม่ล้ม ผมปั่นจักรยานมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม้จะโตจนบรรลุนิติภาวะไปสี่ปีแล้ว, แต่งงานโดยไม่ต้องปรึกษาพ่อแม่ได้แล้ว, ปล้ำผู้หญิงเมื่อไหร่ติดคุกแน่แล้ว, แต่สองเท้าผมยังยันคันถีบขึ้น - ลงเพื่อไปถึงที่หมายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ขณะที่เท้าของเพื่อนหลายต่อหลายคน ตอนนี้แช่อยู่ที่คันเร่ง เบรก คลัชท์, ใคร ๆ ก็มีรถยนต์เป็นสมบัติของตัวเอง

เปรียบเทียบย้อนกลับไปสมัยมัธยม, ขณะที่สองมือผมกำแน่นบนแฮนด์ สองมือของเพื่อนก็กำอยู่ที่แฮนด์เช่นกัน แต่เป็นแฮนด์ที่บิดเร่งความเร็วได้, ใคร ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์

เทียบพัฒนาการของผมกับมนุษย์ปกติทั่วไป

ผม --> ประถม จักรยาน - มัธยม จักรยาน - มหาวิทยาลัย จักรยาน - บรรลุนิติภาวะ จักรยาน

มนุษย์ปกติทั่วไป --> ประถม จักรยาน - มัธยม มอเตอร์ไซค์ - มหาวิทยาลัย มอเตอร์ไซค์ หรือ รถยนต์ - บรรลุนิติภาวะ รถยนต์

อย่างไรก็ดี สำหรับผม, มนุษย์ผู้ไม่สนใจโลกภายนอกเท่าใดนัก จึงไม่คิดจะสนใจเรื่องหยุมหยิมในสายตาตัวเอง แต่บางครั้ง เรื่องหยุมหยิมก็เป็นเรื่องหนักหนาเหลือเกินสำหรับคนข้างบ้าน และอาจจะส่งผลกระทบบางประการต่อครอบครัวผมเอง

วันที่เพิ่งกลับไปงานแต่งงานเพื่อนที่บ้านเกิด ผมกลับไปพร้อมพาหนะสี่ล้อของเพื่อนผู้ล่ำซำคนหนึ่ง รถเก๋งคันงามจอดเทียบหน้าประตูบ้าน คนข้างบ้านดูจะฮือฮาเมื่อเห็นผมเดินลงมาจากรถ นั่นแหละ, ผมเดินลงมา หยิบกระเป๋าจากท้ายรถ โบกมือลาเพื่อน แล้วพาหนะคันงามก็วิ่งหายไป, อาจจะทำให้ใครหลายคนที่คอยติดตามเรื่องชายหนุ่มผู้ไปหมกตัวอยู่กรุงเทพฯ เป็นแรมปีจนได้ดีมีรถเก๋งขับกลับมาผิดหวังไปบ้าง

ผม ครอบครัว และคนข้างบ้าน มานั่งคุยกันสนุก ๆ หลังจากที่ผมไม่ได้กลับบ้านมานาน หนึ่งในคำถามที่ไถ่ถามกันก็คงไม่พ้นรถคันงามที่มาส่งถึงบ้าน ตบท้ายด้วยคำถามเชิงหยอกเอินว่า เมื่อไหร่ผมจะซื้อรถกับเขาบ้างล่ะ ผมได้แต่ยิ้มไม่ตอบคำ พร้อมกับจ้องมองเข้าไปในแววตาของคนพูดอย่างเดาความคิดไม่ออก

จนกว่ามนุษย์เราจะหลุดพ้นจากการหมุนเหวี่ยงไปมาของโลก นั่นแหละเราจึงจะทำตามใจตัวเองได้อย่างแท้จริง

รุ่นน้องคนหนึ่งกล่าวกับผมอย่างติดตลกว่า

"ชีวิตก็แบบนี้แหละ รีบเรียนให้จบ หางาน ทำงาน หาเงิน ซื้อบ้าน ซื้อรถ เพื่อเอาใจคนข้างบ้าน"

ผมหัวเราะขื่น ๆ เมื่อตระหนักรู้ความเป็นไปของโลกอันแสนปวดร้าวจากคำพูดทีเล่นทีจริง

3. เกม

บางครั้งผมมองเด็ก ๆ เล่นเกมพ่อ แม่ ลูก หรือเกมเปิดร้านอาหารอย่างขบขัน

อาหารชื่อหรูหรารึก็มีแต่ดินกับหิน บางครั้งกรอกน้ำใส่จนเหลวเป๋วเป็นขี้โคลน เงินที่เอามาแลกนั้นเล่าก็เพียงใบไม้ที่ใครจะปลิดออกมาจากต้นไม้เท่าไหร่ก็ได้ แบบนี้จะชี้วัดอย่างไรว่าใครรวย ใครจน เพราะถ้าใครอยากได้อะไร ก็แค่ไปปลิดใบไม้ เผลอ ๆ คนทำอาหารขี้เกียจ ก็ไปปลิดใบไม้มา มีเงินใช้สบายแฮ

ด้วยสายตาเดียวกัน ผมมองผู้ใหญ่อย่างครุ่นคำนึง

บางทีโลกใบนี้ก็เหมือนเกมที่เด็ก ๆ เล่น เงินที่ใคร ๆ ปรารถนาจะมี ก็ทำมาจากกระดาษ สืบค้นต้นตอลงไปก็ทำมาจากไม้ สิ่งที่พวกเขาซื้อขายกันนั้นก็ล้วนทำมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันในสัดส่วนที่แตกต่างกันเท่านั้น คอนโดห้องเล็ก ๆ ราคาหลายล้านนั้นเล่าก็มาจากอิฐ ปูน ต้นตอก็คือหินจากภูเขา รถยนต์สุดหรูนั่นก็มาจากเหล็ก อาหารหรูหราโอชะก็มาจากดินและน้ำที่ทำให้เกิดพืช สัตว์ ฯลฯ

แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนกำลังเล่นเกมของเด็ก ๆ

ต่างกันแค่กรรมวิธีและกติกาที่ซับซ้อนขึ้น

ต่างกันที่เด็กเล่นกันด้วยเสียงหัวเราะ ไม่มีคนแพ้ชนะ จบเกมก็โยนใบไม้และดินหินทิ้งทั้งหมด ส่วนผู้ใหญ่ดิ้นรนสุดชีวิต ทนทุกข์ทรมาน ยอมสูญเสียน้ำตาหรือแม้กระทั่งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเช่นมิตรภาพและความรัก เพียงเพื่อเอาชนะคนอื่น มีมากกว่าคนอื่น แม้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยังกอดกำใบไม้และหินดินแนบแน่นในอก

แต่ผมจะสมเพชพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อหันกลับมามองตัวเอง ผมไม่พบว่าจะมีอะไรแตกต่างจากพวกเขา

บางครั้ง เกมอันไร้สาระนี้ เด็กเองก็รู้ว่าเล่นไปก็ไม่มีค่าอันใดนอกจากความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วคราว ส่วนเราก็เล่นไปโดยที่รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีค่าอันใดนอกจากความทุกข์ทรมานและหยดน้ำตา, แต่เราทั้งหลายก็ยังคงเล่นมันต่อไปเรื่อย ๆ

บางครั้ง การมองด้วยสายตาเท่าทัน ก็ไม่ได้ทำให้อะไรบนโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิดเดียว

วุฒินันท์ ชัยศรี
24/03/2011

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไม่ดีพอ

๏ ก็พอรู้, ว่าฉันมันไร้ค่า
คงไม่อยากเสียเวลากับฉัน
ใช้ข้ออ้างนับร้อยคอยบอกกัน
เพื่อให้ความสัมพันธ์สะบั้นลง

๏ เมื่อไม่ใช่, ก็บอกสิว่าไม่ใช่
เสร็จแล้วก็ขับไล่ไสส่ง
ฉันคนตรง, จึงชอบฟังคำตรงตรง
อย่าชักใบให้เรือหลงไม่ตรงประเด็น

๏ ฉันมันไม่ดีอย่างใครเขา
เพียงมือเปล่ากับหัวใจไม่ดีเด่น
ก็นี่แหละ, ที่ฉันเป็น-เช่นฉันเป็น
ถ้าเธอเห็นว่ามันแย่-แค่บอกมา

๏ ว่ารักไม่ได้-ไม่ดีพอ
ก็แค่นี้, อย่ารีรอ-บอกต่อหน้า
ฯลฯ อจิรวดี, สรภู, ยมุนา ฯลฯ
ชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่ออะไร

๏ ขอโทษนะกับคำรักที่เคยพร่ำ
เพิ่งรู้ว่ามันต่ำเกินทนไหว
ไม่มีค่า, แม้น้ำตาที่เสียไป
แค่ความรักที่จริงใจคงไม่พอ
.....
ขอเก็บคืนทั้งคำรักและหัวใจ
หวังว่าเธอจะพบใครที่ดีพอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๗/๐๓/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

คนไกล

๏ คนที่คอยมองหากลับไม่เห็น
ส่วนคนที่มองเห็นไม่ได้หา
ทั้งที่เคยคุ้นใจเคยใกล้ตา
พอเวลาห่างลับกลับหายไป

๏ เมื่อคนที่เคยใช่ไกลอ้อมกอด
ส่วนคนใกล้ในอ้อมกอดกลับไม่ใช่
กอดเคยอุ่นจึงอ้างว้างห่างไกล
และหักห้ามหัวใจไม่ได้เลย

๏ ใจหนอใจ...
เหตุไฉนเป็นเช่นนี้นะอกเอ๋ย
เฝ้าคิดถึงคนเคยคุ้นที่คุ้นเคย
คนที่เขาเฉยเมยมาแสนนาน

๏ ทั้งที่มีคนเห็นค่ามามอบรัก
ใจที่เคยเหนื่อยหนักชาด้าน
จึงกลับฟื้นคืนจากความทรมาน
ยังอาจหาญมาหาญหักทิ้งรักไป

๏ กอดคนใกล้ใกล้ไว้อย่างนั้น
แต่ยังแอบคิดฝันหวั่นไหว
บอกคนหนึ่งว่าคิดถึงหมดทั้งใจ
กลับพร่ำเพ้อถึงคนไกล-ใครอีกคน ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๘/๐๓/๒๕๕๔