วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ศฤงคารวสาน

พอดีกลับบ้าน ได้ไปจัดระเบียบหนังสือที่สะสมมาตลอดชีวิตให้เข้าที่ เลยมีโอกาสได้รื้นค้นหนังสือเก่า ๆ สมุดเก่า ๆ สมัยมัธยมมาอ่านเล่น จึงได้พบกลอนบทหนึ่ง อ่านแล้วฮามาก ไม่คิดว่าตัวเองจะเขียนกลอนอกหักได้ "แรง" ขนาดนี้ ดูจากวันที่เขียนคือ 18/05/2004 ประมาณห้าปีที่แล้ว...ก็คงไม่พ้นช่วงจะจบมัธยม เอ... ช่วงนั้นมีอะไรดลใจให้เขียนกลอนได้แบบนี้ ก็ลองไปสืบหาเองละกันนะ อิอิ เลยเอามาลงไว้เป็นที่ระลึก และระทึกครับ
ปล.1 ขออภัย "เธอ" คนนั้นที่กลอนนี้กล่าวถึง ตอนนี้ผมแก่แล้ว เรื่องเก่า ๆ ลืมไปหมดแล้ว จึงขอแสดงความยินดีกับเขาคนนั้นที่คบกันอยู่ด้วยความจริงใจอย่างที่สุดครับ
ปล.2 ถึงตอนนี้ผมจะกำลังอกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้กลอนบทนี้พาดพิงไปถึง "เธอ" คนปัจจุบัน (ที่เป็นอดีตไปแล้ว) ที่เอามาลงก็เพื่อเก็บกลอนไว้เป็นอนุสรณ์รักร้าว หากไม่สบายใจก็ขออภัยครับ
ปล.3 (บอกตัวเอง) ถ้ามรึงไม่สบายใจนักก็ไม่ต้องลงเดะ จะขออภัยไรมากมาย - เออน่ะ จะลง มีปัญหามะ เก็บไว้ในเครื่องเดี๋ยวหาย

ศฤงคารวสาน

๏ วิเวกหวีดหวิววางอ้างว้างนัก
พิไรรักรื่นรมย์ไม่สมสิ้น
ใจเจียนขาดอาจดับอับอาจินต์
หวังถวิลเวียนว่ายวายวิญญาณ์

๏ จำตัดใจจากจรเจ้ายากนัก
ตัดใจรักลาญลับอับจนกว่า
จำใจจนหม่นหมิ่นสิ้นชีวา
ว่ายวังวนวุ่นว้าว่ายังรัก

๏ เพียงหม่นหมองมองมืดใจจืดจด
ใครกำหนดชะตาต้องปองประจักษ์
เพียงเมียงมองม่านน้ำตามิพาพัก
ใจร้าวหนักรักแยกแตกตกตาม

๏ คำคนเคยข้างใจใสสดซื่อ
เพียงพลิกมือมืดหม่นคนคอยหยาม
ทำซื่อใสใจนุชแสนสุดทราม
เพียงทำห้ามหักห่อนผ่อนมารยา

๏ ถาม?มนุษย์มอบใจใดดลดิษฐ์
ฤาแค่คิดคอยคะนึงรำพึงหา
เพียงตัวตนตาต้อง-มองแต่ตา
มองวิญญาณ์อย่าหวังเพียงฟังยิน

๏ มธุรสปดเปื้อนที่เอื้อนเอ่ย
คอยเฉลยความเฉลียวเทียวถามสิ้น
แท้เพียงถ้อยเท็จลวงหลอกเล่นลิ้น
สมดังจินต์จึงผลักพี่พ้นทาง

๏ น้ำตารินไหลนองอาบสองแก้ม
ใจเจ้าแย้มยิ้มรับเขาเข้าเคียงข้าง
ใจพี่เจ็บจำจดไม่จืดจาง
เจ้าปล่อยร้างพี่ทุเรศดังเศษดิน

๏ ปวดปานปืนยืนจ้องมิป้องปัด
ไกลั่นซัดทรุดแสบแปลบใจสิ้น
เสียงหยามเหยียดเย้ยหยันยังแว่วยิน
เจ็บดวงจินต์เจียวขาดอาฆาตร้าย

๏ ขออวยพรอรอนงค์จงสมรัก
ชอบกันนักขอให้สมอารมณ์หมาย
เป็นนารีริหมิ่นรักศักดิ์ศรีชาย
จะไปตายที่ไหนก็ไป...เชิญ ๚ะ๛


"เศษแก้ว" (นามปากกาช่วงอกหัก) 18/05/2004

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เล่าสู่กันฟัง : ก่อนกลับบ้าน

อีกสักประมาณ 7 ชั่วโมงข้างหน้า ผมจะไปนั่งหน้าร้านรักบ้านเกิด แถว ๆ อำเภอพิมาย นั่นคือการกลับไปพบกับญาติ ๆ ครั้งแรกในรอบปี และอีกสองวันถัดไป ผมจึงจะได้กลับบ้าน

ผมเคยคิดว่าจะกลับบ้านทันทีที่ส่งงานชิ้นสุดท้ายของเทอมแรก ป.โท แต่ก็ยังไม่ได้กลับเพราะคิดว่าจะหาข้อมูลทำหัวข้อวิทยานิพนธ์ก่อน เพราะโปรแกรมต่อมาคือการเดินทางไปค่ายของ IBook 2009 ช่วง 12 - 15 ตุลาคม หลังจากนั้นจึงจะกลับบ้านยาวจนเปิดเทอม

แต่แล้วเคราะห์ก็ซ้ำ กรรมก็ซัด เมื่อ "งานเข้า" ในวันที่ 21 ตุลาคม ที่ต้องมาฟังคุณจ๋อ กฤษกร คอมเม้นต์งานที่เผาส่งไปเมื่อตะกี้ และวันที่ 25 ตุลาคมก็ต้องมาเขียนงานให้ TK Park

และจุฬาฯ ดันรีบเปิดในวันที่ 26 ตุลาคม จากที่ผมเคยคิดว่าคงเปิดสักต้นเดือน!

เวลาในการนอนตีพุงอยู่บ้าน จึงหดสั้นเหลือแค่ 19 ถึงวันที่ 21 ตอนเช้า นับเป็นการกลับบ้านที่สั้นที่สุดในรอบ 22 ปี และเป็นการกลับบ้านที่ไม่สบายใจมากนัก เนื่องด้วยมีภาระห้อยท้ายมากมายเป็นภูเขาเลากา

งานเขียนให้ TK Park และ IBook

งานวิจารณ์ในบล็อก YoungThai

หัวข้อ Thesis ที่ไม่ชัดเจนเสียที จึงยังไม่มีหน้าเข้าไปหาอาจารย์

อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ก็ยังต้องสู้ต่อไป ผมจึงขออนุญาตทุกท่าน ทั้งชาว TK กลุ่มกำลังก้าว กลุ่ม YoungThai ฯลฯ เพื่อลากลับบ้าน หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า กลับบ้านแล้วยังไงฟะ ต้องร่ำลาอย่างกับจะหายสาบสูญ ต้องขออนุญาตเรียนว่า การกลับบ้านในที่นี้ของผมเป็นการกลับแบบตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่าโทรศัพท์เข้าถึงแล้ว และจะใช้เน็ตฟรีขององค์การฯ ก็ได้ แต่คอมที่บ้านดันต่อเน็ตฟรีไม่เคยติด จึงจำต้องหายสาบสูญไปหลายวันด้วยประการฉะนี้

แล้วจะมาสานต่ออีกหลาย ๆ ภารกิจให้เสร็จสิ้นไปเมื่อกลับมาอีกครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เด็กน้อยที่อยากทำระเบิด

ฉันอยากทำระเบิดเป็น!

ฉันโตมากับเสียงระเบิด พ่อฉันบอกว่า แถวนี้มีคนวางระเบิดตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เป็นประจำ

ฉันได้ยินเสียงตูมตามแทบทุกวัน ฉันจำเสียงเหล่านั้นได้ มันเหมือนเสียงดอกไม้ไฟเวลามีงานเทศกาล ...ฟิ้ว! ตูม! แล้วดอกไม้ก็จะผลิบานชูช่อไสวบนท้องฟ้า ระเบิดเองก็คงเหมือนดอกไม้ไฟ คนถึงต้องวางไว้ตามสถานที่สำคัญ ๆ คงเพื่อเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง ไม่ต้องมีเสียง “ฟิ้ว” เพราะระเบิดไม่ต้องลอยไปไกลถึงฟากฟ้า แต่เมื่อ “ตูม” แล้ว ดอกไม้อันงดงามตระการตาก็คงจะปรากฏโฉมให้เห็นบนพื้นดิน

พ่อบอกว่าคนวางระเบิดเป็นคนไม่ดี ไม่จริงหรอก คนวางระเบิดก็เหมือนคนจุดดอกไม้ไฟ พวกเขาต่างก็ต้องการให้ทุกคนเห็นความงามหลังเสียงกัมปนาท แม้จะต้องบากบั่นสร้างดอกไม้ไฟหรือระเบิดหลายวันหลายเดือน จนอาจจะเป็นหลายปี เพียงเพื่อความงามเพียงเสี้ยววินาที

พ่อบอกให้ฉันเกลียดชังพวกวางระเบิด ฉันเกลียดพวกเขาไม่ลง เพราะเราทุกคนต่างก็มีเหตุผลและเป้าหมายของตนเองในการกระทำต่าง ๆ เสมอ อีกอย่างฉันจะเกลียดพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่มีเสียง “ตูม” ในใจฉันจะเต็มไปด้วยภาพดอกไม้ขนาดใหญ่บานสะพรั่งบนพื้นดินเสมอ

.............................................................

ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา พร้อมกันนั้นฉันได้ยินเสียงกรีดร้องโกลาหล เสียงคนวิ่งอพยพกระจัดกระจาย หลังจากทุกอย่างสงบลง พ่อบอกว่ามีคนตายเพราะระเบิดนับร้อยคน พ่อแช่งด่าคนทำระเบิดด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ นานา ฉันถามพ่อว่าระเบิดนั้นทำให้คนตายได้ด้วยหรือ เขาอาจจะตายด้วยเหตุผลอื่นในขณะที่ระเบิดกำลังฉายแสงแห่งความงาม พ่อส่ายหน้าและบอกฉันว่า ระเบิดนั้นคืออาวุธที่ใช้คร่าชีวิต ฉันไม่ถามอะไรพ่ออีก ฉันไม่ควรสงสัยอะไรเกี่ยวกับความตายหรือเหตุแห่งความตายเพราะความตายคือเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์ ความสงสัยของฉันมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะตาย พวกเขาเห็นดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ผลิบานเพียงเสี้ยววินาทีหรือไม่

...............................................................

เธออยากทำระเบิดเป็นหรือ

ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ

หน้าตาของเขาดูดุร้ายแต่เนื้อแท้คงเป็นคนใจดี ฉันรู้จักเขาเพียงไม่นานแต่ก็ไว้ใจเขาราวกับสนิทสนมกันมานานหลายปี เขาพาฉันไปรู้จักอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำระเบิด ฉันเรียนอย่างใคร่รู้และสนุกสนานอย่างที่สุด เขากำชับให้ระมัดระวังเพราะอาจจะเกิดระเบิดขึ้นมาได้ ฉันรู้ เขาคงไม่อยากให้ดอกไม้ผลิบานก่อนเวลาอันควร เพราะจะได้พบเห็นเพียงดอกเล็ก ๆ ไม่น่าประทับใจ
เมื่อเขาเห็นว่าฉันมีความรู้และความรักมากพอที่จะทำระเบิดได้แล้ว เขาก็ปล่อยให้ฉันสรรค์สร้างระเบิดตามจินตนาการเพียงลำพัง

ฉันประกอบนู่นนี่ตามที่เขาสอน ทำตามตำราเกือบทุกอย่าง ยกเว้นดินระเบิดที่ฉันอัดลงไปในระเบิดมากกว่าที่เขาสอนถึงสองเท่า เพราะฉันอยากให้ดอกไม้ของฉันเป็นดอกไม้ที่ใหญ่และสวยงามที่สุด

เมื่อถึงเวลาที่ดอกไม้ของฉันจะบาน ฉันตื่นเต้นที่สุด ฉันประคองระเบิดอย่างระมัดระวังไปที่สะพานของหมู่บ้าน อันที่จริงฉันอยากจะนำไปวางในสถานที่สำคัญกว่านี้ แต่ทุกที่ที่ฉันรู้จักก็ล้วนถูกวางระเบิดไปหมดแล้ว

ฉันจุดไฟ ก่อนจะถอยห่างออกมาเพื่อชื่นชมความงามของดอกไม้ เปลวไฟค่อย ๆ กินเส้นชนวนเข้าไปช้า ๆ หัวใจของฉันกลับเต้นเร็วแรงขึ้นทุกขณะ...
และเสี้ยววินาทีนั้น

ตูม!!

ดอกไม้ที่ใจฉันถวิลหามานานแสนนานปรากฏตรงหน้า

ฉันโอบกอดกลีบดอกไม้ด้วยความชื่นใจและอาลัยอาวรณ์ระคนกัน

...........................................................................

ฉันทำระเบิดเป็นแล้ว!

ฉันบอกถ้อยคำนี้กับพ่อซ้ำไปซ้ำมา พ่อได้แต่พยักหน้าอย่างแกน ๆ ทำหน้าเรียบเฉย จะยิ้มก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิง ทุกวันพ่อได้แต่มองสะพานของหมู่บ้านสลับกับใบหน้าของฉันก่อนจะถอนหายใจ พ่อคงเสียดายที่ไม่ได้เห็นระเบิดของฉัน –ระเบิดที่เนรมิตดอกไม้ให้เบ่งบานบนสะพานแห่งนั้น ไม่เป็นไรหรอก คราวหน้าฉันจะทำระเบิดที่ดีกว่าเดิม พ่อจะได้เห็นดอกไม้ที่งดงามกว่าเดิม แต่ฉันคงต้องเรียนรู้อีกมาก โดยเฉพาะวิธีใช้เท้าทำระเบิด

เพราะมือทั้งสองข้างของฉันอันตรธานไปพร้อมกับดอกไม้แล้ว



ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร ฅ คน ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ (เวทีทางบ้าน)