วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนแก้มยุ้ย

แก้มเยอะดูยุ้ยยุ้ย
น่าหยิกหยุยดังหยึบหยึบ
บิดแก้มให้หนึบหนึบ
คงหนุบหนับสนุกดี
คนอะไรแก้มเย๊อเยอะ
บิดให้ย้วยคงเข้าที
แน่ะมายิ้มทำยวนยี
ประเดี๋ยวตีแก้มแตกเยย
แก้มเยอะเพราะอะยัย
ยังสงสัยไหนช่วยเฉลย
น่ารักนักน้องเอย
เชยแก้มยุ้ยมาหยิกยล
พวงแก้มคนน่ารัก
หยิกสักครั้งคงสุขล้น
ใจพร้อมยอมจำนน
ด้วยหลงมนต์คนแก้มยุ้ย!


"หนุ่มอักษร...นอนตื่นสาย"
28 ธ.ค. 55

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

My December

ธันวาคม, ครุ่นคำนึง
ถึงใครคนหนึ่งท่ามกลางละอองหิมะ
อากาศหนาวเหน็บเมื่ออายุยี่สิบห้า
ทำให้ฉันกลัว---
I just wish that i didnt feel like there was something I missed,
I take back all the things I said to make you feel like that
แว่วเพลงโปรดของเธอในลมหนาว
ขณะอยู่ท่ามกลางเทศกาลคริสต์มาส
เธอสงสัยในท่าทีแปลกประหลาดของฉัน
ได้แต่ยิ้มให้โดยไม่มีคำตอบ
สองมือของฉันอ่อนแรงเกินจะเหนี่ยวรั้ง
I give you away and heal my pain.
ธันวาคม, ครุ่นคำนึง
ถึงใครคนหนึ่งท่ามกลางละอองหิมะ
มีเพียงรอยเท้าเดียวดายของฉัน
ออกตามหาใครสักคนไปจนสุดขอบฟ้า



๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เครื่องปรับอากาศ

อยากจะติดเครื่องปรับอากาศขนาดมหึมา
ให้อากาศเมืองหลวงเย็นสบายทั้งในห้างและนอกห้าง
เพื่อนทักท้วงว่าจะเอาไฟฟ้าจากไหนให้พอ
ไอร้อนจากเครื่องล่ะจะปล่อยทิ้งที่ใด
ฉันหัวเราะกับคำถามโง่เขลาเบาปัญญา
ปล่อยอากาศร้อนใส่ต่างจังหวัดสิเพื่อนเอ๋ย
ที่นั่นอากาศเย็นสบายมากพอ
แล้วสร้างเขื่อนยักษ์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยล้างป่าทิ้งสักห้าหกแห่ง
คงไม่มีอะไรเสียหายมากนักกระมัง


วุฒินันท์ ชัยศรี
20 ธ.ค. 2555

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้าวกล่องเวฟ

พริกในข้าวกล่องเวฟ มิได้ทำหน้าที่ของพริก
ใบกะเพราในข้าวกล่องเวฟ มิได้ทำหน้าที่ของใบกะเพรา
ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นรสใด ๆ แม้เพียงนิด
มีเพียงรสจัดจ้านแสบคอจากผงชูรสและเกลือมาชูโรง
พริกและใบกะเพราในข้าวกล่องเวฟ
ทำหน้าที่เพียงประดับให้ข้าวเวฟมีสีสรรพ์

เศษหมูในข้าวกล่องเวฟ เป็นเพียงสสารตายซาก
ฟันกรามของข้าพเจ้าบดเคี้ยวซากศพ
ซึ่งถูกขุนมาโดยไม่เคยได้รับความรัก

ข้าวในข้าวกล่องเวฟ เป็นเพียงก้อนแป้งสังเคราะห์
ห่มคลุมด้วยสารพิษทั่วร่าง
จนแม้แมลงไม่อยากสัมผัส
ไฉนข้าพเจ้าจึงกล้ากลืนลงคอ

วิญญาณของอาหารซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่แห่งหนใด
พริก ใบกะเพรา เศษหมู และข้าว ต่างไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง
นี่เป็นเพียงก้อนพลังงานขยะเพียงเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญ
แล้วจะนำวิญญาณจากใดเล่า
มาเติมลงสู่ร่างของมนุษย์
ผู้ถูกกัดกร่อนวิญญาณจนแหว่งวิ่นไม่เหลือชิ้นดี

อนิจจา, ข้าวกล่องเวฟ
ข้าพเจ้ากำลังกลืนกินความล่มสลายของโลกใบนี้ทีละคำ ๆ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก



(๑)

หัวใจผมหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่ได้ยินว่าเธอป่วยเป็นธาลัสซีเมีย (โรคโลหิตจาง)

"นี่เป็นโรคเดียวกับนางเอกหนังเกาหลีเรอะ" พูดพลางนึกภาพหญิงสาวจากทิศตะวันตกหน้าซีดนอนซมอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง ไอแค่ก ๆ พูดด้วยเสียงแหบแห้งฟังไม่ได้ศัพท์---

"นั่นมันลูคีเมียค่ะ" เธอตอบกลั้วหัวเราะ

แม้อาการจะไม่หนักหนาเท่าโรคนางเอกหนังเกาหลี แต่ผลข้างเคียงของโรคนี้ก็ทำให้ร่างกายเธออ่อนแอกว่าปกติ ป่วยเป็นโรคอะไรสักครั้งหนึ่งก็มักจะอาการหนักถึงขั้นนอนซมในโรงพยาบาล บางครั้งถึงกับต้องให้เลือด ผมฟังเรื่องของเธอแล้วนึกถึงแม่ซึ่งป่วยอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน

ผมเป็นคนค่อนข้างโชคดีที่เกิดมาโดยไม่พกโรคอะไรติดตัวมาด้วย โดยเฉพาะไอ้พวกลงท้ายด้วยคำว่าเอีย ๆ จะมีก็แต่นิสัยเอี้ย ๆ และอาการฮิสทีเรียซึ่งเป็นบ้างหายบ้าง นอกจากนั้นก็ยังมีอาการอยากได้มือถือโซนี่เอ็กซ์พีเรียรุ่นใหม่ล่าสุดไม่ก็โนเกียลูเมียอยู่เป็นพัก ๆ ซึ่งไม่เคยบำบัดได้เพราะไม่มีเงินซื้อ (อาจจะบำบัดได้หลังแต่งงานโดยการขอเิงินเมีย)

เราโบกมือลาจากกัน อาการป่วยของหญิงสาวจากทิศตะวันตกยังค้างคาอยู่ในใจ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เรียนหมอ ไม่เช่นนั้นจะเสนอตัวขอเป็นนายแพทย์ประจำตัวตลอดชีวิต รักษาฟรีทุกโรคจนกว่าผมจะตายจาก (แต่อาจไม่จำเป็นเพราะว่าเธอเองก็รวยอยู่แล้ว) จะมีอะไรที่ผมพอจะทำให้เธอได้ไหมนะ

มองร่างกายอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์เกินขนาดของตัวเองในกระจก แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้

(๒)

เกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยบริจาคเลือด ครั้งล่าสุดคงเป็นช่วงกลางปีหลังจากส่งวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ใช่ที่สภากาชาด พยายามค้นหาบัตรเก่าของตัวเองแต่หาไม่เจอ เข้าใจว่าทำหายไปเสียแล้ว แต่เมื่อสอบถามเพื่อนแล้วก็ได้ความว่าเริ่มบริจาคใหม่ได้เลยเพราะแต่ละที่ไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน ต้องเก็บประวัติใหม่อยู่แล้ว

แม้การบริจาคเลือดถือเป็นการทำบุญกุศล แต่หญิงสาวจากทิศตะวันตกก็คงรู้ว่าเมื่อก่อนการบริจาคเลือดของผมมีฮิดเด้นอาเจนด้า ไม่ได้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การทำกุศลกรรม ทว่าในครั้งนี้ผมมาสภากาชาดโดยมีเป้าหมายคืออยากสร้างบุญกุศลอย่างแท้จริง

เปล่า, ผมไม่ได้อยากจะขึ้นสวรรค์ สำหรับคนบาปหนาห่างไกลวัดอย่างผมแล้ว ด้วยกุศลกรรมเพียงเท่านี้จะให้ขึ้นสวรรค์คงยากเสียยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก (ซึ่งยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอย่างเทียบกันไม่ได้)

อาการป่วยของหญิงสาวจากทิศตะวันตก และข่าวว่าเลือดในคลังของสภากาชาดหมดแล้ว คือเหตุผลที่ผมกลับมาบริจาคเลือดอีกครั้ง แม้ว่าหากเธอป่วย เธอก็จะไม่ได้รับเลือดจากผมอยู่ดี เพราะเลือดเราคนละกรุ๊ปกัน (เธอรับเลือดจากกรุ๊ปผมไม่ได้) แต่อย่างน้อยก็ถือว่าคนบาปหนาอย่างผมได้มีโอกาสทำกุศลกรรมอยู่บ้าง และผมจะมอบทั้งหมดให้เธอ---

"ให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี
เท่าที่ชีพนี้จะมีได้
มีใจก็จะให้หัวใจ
ไม่มีก็จะให้เท่าที่มี"

ในเมื่อหัวใจทั้งดวง ผมให้เธอไปหมดแล้ว เหลือก็แต่เลือดเนื้อสังขารที่รอวันแตกดับ หากมันจะทำประโยชน์ให้เธอได้แม้เพียงน้อยนิดหรือในทางอ้อมแค่ไหนก็ตาม ผมก็ยินดีจะมอบให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี

(๓)

ตั้งใจไว้ว่าปีหน้าที่จะถึงนี้ ผมจะบริจาคเลือดให้ครบทั้ง ๔ ครั้ง และบริจาคเกล็ดเลือดหรือพลาสม่าบ้างในแต่ละเดือนหากมีโอกาส หรือร่างกายยังพอบริจาคไหว

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำรัสว่า

"ผู้บริจาคโลหิตทุกท่านเป็นผู้บำเพ็ญกุศลอันสูงยิ่ง เพราะได้ต่อชีวิตอันเป็นสิ่งที่รักและหวงแหนที่สุดของมนุษย์ โดยไม่คำนึงว่าผู้รับจะเป็นใคร และให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"

แต่ผมบริจาคโดยหวังสิ่งตอบแทนดังนี้---

ขอให้บุญกุศลนี้เป็นของขวัญอีกหนึ่งอย่างที่ผมจะมอบให้ผู้หญิงที่ผมรักทั้งสองคน --แม่ และหญิงสาวจากทิศตะวันตก-- ขอให้กุศลกรรมทั้งหมดที่ผมจะได้รับจากการบริจาคเลือดตลอดปีนี้ถึงปีหน้าส่งผลให้ทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรงตลอดปี ปีหน้าขอให้แม่ไม่มีโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน ปีหน้าขอให้เป็นปีที่หญิงสาวจากทิศตะวันตกไม่ป่วยเลยแม้เพียงครั้งเดียว

นี่คงจะเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ เท่าที่ผู้ชายตัวเล็ก ๆ อย่างผมจะทำให้คนที่ผมรักได้


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แสนแสบ

๏ มาเล่นเรือโล้คลื่นกลางเมืองกรุง
พวยพุ่งคลื่นดำสีคล้ำเขียว
มาเริงร่าท้าลมระทมเทียว
โชยกลิ่นเหม็นเปรี้ยวห่อเหี่ยวนัก

๏ เป็นความสุขแท้เทอญเชอญลองเล่น
น้ำเหม็นซัดหน้าอาการหนัก
หอมกลิ่นน้ำเต็มหน้ามิพาพัก
แล้วคุณจะหลงรักการนั่งเรือ

๏ เรือแสนแสบแสบแสนแม้นลองนั่ง
ประเดประดังคลื่นความสุขอยู่ทุกเมื่อ
แบคทีเรียแปดหมื่นอย่างไม่จางเจือ
เหลือเชื้อโรคชนิดใดยังไม่กลืน!

๏ โอ้คุณภาพแห่งชีวิตน่าอิจฉา
อยู่เมืองฟ้าเมืองสวรรค์มันสดชื่น
ล่องเรือหฤหรรษ์ทุกวันคืน
แสนแสบแสบแสนสะอื้นเริงรื่นระทม ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
17 ธ.ค. 55

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขุมนรก


๏ กลับคืนขุมนรกชื่อเมืองหลวง
คืนสู่ห้วงการจมปลักอัปลักษณ์สมัย
แม้อากาศยังแขวนป้าย-ขายเท่าไร
อวลไออันอบอ้าวร้าววิญญาณ์

๏ แสงแดดร้อนแรงใช่แสงแดด
คือแสงแผดเพลิงผลาญเพื่อเข่นฆ่า
หยาดเหงื่อก็หยดหยาดเพียงมายา
แท้ซุกซ่อนหยาดน้ำตาเหนื่อยล้าใจ

๏ โอ้ละหนอเจ้านกน้อยในกรงสนิม
เจ้าอดมากกว่าอิ่มหรือมิใช่
ยอมเขาผู้ขู่เข็ญเพื่อใคร
จะฝืนยิ้มนานแค่ไหนในกรงนี้

๏ ยินดีต้อนรับกลับสู่เมือง
เป็นฟันเฟืองเครื่องจักรสิ้นศักดิ์ศรี
ซื้อความสุขจอมปลอมประโลมฤดี
คือซากผีรับเงินเดือน, ลืมเลือนชีวิต! ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๖ ธ.ค. ๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเด็กอ้วนเอ่ยคำรัก (เสมือนหนึ่งนิทานในร่องรอยร้าวรานของกาลเวลา)

(๑.)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังแบนราบเหมือนแผ่นกระดาษ หากใครเดินไปถึงสุดขอบโลกก็อาจจะพลัดตกไปจากโลกเอาง่าย ๆ มีเด็กอ้วนคนหนึ่งในดินแดนอันไกลโพ้น เขาเป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับไขมันอัดแน่นอยู่ในทุกอณูเนื้อของร่างกาย มันมากเสียจนหัวใจของเขาถูกเบียดบังเหลือเพียงก้อนเนื้อเล็ก ๆ หลบซ่อนอยู่ในอกอวบ ๆ เด็กอ้วนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีหัวใจที่ใหญ่โต เพราะเรื่องที่เขาสนใจมีแค่เรื่องกินและเรื่องกินเท่านั้น ขอแค่มีฟันอันแข็งแรงไว้เคี้ยวอาหาร มีลิ้นที่พรั่งพร้อมด้วยประสาทรับรส และกระเพาะที่พร้อมจะย่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารับประทานเข้าไปให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของชีวิตครั้งที่สิบห้าเดินทางมาถึง เขาจึงเพิ่งจะรับรู้ว่า เพียงแค่อวัยวะย่อยอาหารนั้นไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับชีวิตเล็ก ๆ ของเด็กอ้วน

เด็กอ้วนหลงรักเด็กสาวหมู่บ้านข้าง ๆ

เด็กอ้วนพบเธอครั้งแรกขณะที่เธอมาร้องเพลงในงานรื่นเริงของหมู่บ้าน เด็กสาวร้องเพลงไพเราะจับใจ เสียงเธอหวานใสเหมือนระฆังแก้วจากสรวงสวรรค์ เด็กอ้วนนึกถึงเสียงนกกางเขนที่ชอบมาร้องเพลงข้างหน้าต่างห้องของเด็กอ้วนตอนเช้า ๆ เด็กอ้วนชอบฟังเพลงของนกกางเขนก็จริง แต่ความรู้สึกตอนที่ฟังนกกางเขนร้องเพลงกับฟังเสียงหวานใสของเด็กสาวนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คำว่าหลงรักลอยมาอัดแน่นในอกอวบ ๆ ของเขา คำว่าหลงรักเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของเด็กอ้วน เขาคิดว่าการหลงรักก็คล้าย ๆ เวลาที่เขาหิวและต้องการจะกินอาหารเพื่อเติมกระเพาะให้เต็ม แต่การหลงรักก็ไม่เหมือนความหิวอยู่ดี เพราะเขาไม่ได้อยากจะกินเด็กสาว เพียงแค่เขาได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะของเธอ ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาที่เคยบกพร่องหรือหล่นหายไปนั้นได้รับการเติมเต็ม เต็มจนล้นออกมาด้วยซ้ำ ล้นออกมาจนเด็กอ้วนอยากจะบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างแก่เด็กสาวเพื่อให้เธอได้รับการเติมเต็มเหมือนเด็กอ้วนบ้าง

แต่เด็กอ้วนจะบอกรักเธอได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเขามันเล็กเพียงนิดเดียว

(๒.)

เด็กอ้วนเก็บงำความลับไว้ในใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบรักเด็กสาวนอกจากนกกางเขนที่ชอบมาร้องเพลงข้างหน้าต่าง เด็กอ้วนคุยกับนกกางเขนถึงเรื่องของเด็กสาว นกกางเขนเสนอว่าถ้าเด็กอ้วนไม่อาจบอกรักได้ก็ควรร้องเพลงเพื่อสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกและความในใจที่มีต่อเด็กสาว เช่นเดียวกับที่เขาได้รับการเติมเต็มจากเสียงเพลงของเธอ เจ้านกกางเขนรับปากจะเป็นครูสอนร้องเพลงให้เด็กอ้วน เด็กอ้วนหวังว่าเมื่อเขาโตขึ้นมากกว่านี้ อวัยวะที่จำเป็นสำหรับการร้องเพลงจะใหญ่โตขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้โตมากพอที่จะร้องเพลงด้วยสำเนียงอันไพเราะสักครึ่งหนึ่งของเจ้านกกางเขน เมื่อถึงวันนั้นเขาจะร้องเพลงเพื่อสื่อความในใจให้เด็กสาวได้ฟัง

แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร เด็กอ้วนก็ร้องเพลงไม่ได้เรื่อง เพราะปอดของเขาก็เล็กพอ ๆ กับหัวใจ ซ้ำร้ายกว่านั้น ยิ่งเขาโตขึ้น ไขมันในร่างกายก็ยิ่งพอกพูน อวัยวะที่จำเป็นในการร้องเพลงรวมทั้งหัวใจก็ยิ่งเล็กลงไปอีก

เจ้านกกางเขนเพียรพยายามสอนเด็กอ้วนทุกวิถีทาง แต่เสียงของเด็กอ้วนก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย นอกจากเสียงจะแย่แล้ว เด็กอ้วนยังจดจำทำนองและจังหวะจะโคนของเพลงไม่ได้เลยสักนิด นานวันเข้านกกางเขนจึงหมดความอดทน และบอกเด็กอ้วนอย่างสิ้นหวังว่า เด็กอ้วนจะไม่มีทางร้องเพลงให้ไพเราะได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่อาจร้องเพลงเพื่อสื่อความในใจให้เด็กสาวฟังได้

แม้ว่าเด็กอ้วนยอมจำนนต่อความจริงที่เจ้านกกางเขนได้แจ้งต่อเขาแล้ว แต่เด็กอ้วนก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งเด็กสาวจะได้รับรู้ความในใจจากเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้ว่าความหวังของเขาจะริบหรี่เหมือนหิ่งห้อยอ่อนแสงในคืนเดือนมืด

ผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งนกกางเขนคาบข่าวร้ายมาบอก (นกกางเขนคิดว่าข่าวร้ายนี้ร้ายพอ ๆ กับความจริงที่ว่า เด็กอ้วนไม่มีวันร้องเพลงให้ไพเราะได้) นกกางเขนบอกว่า มีเด็กหนุ่มจากอีกหมู่บ้านหนึ่งมาติดพันเด็กสาว เขาเป็นคนที่หล่อเหลา มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี แต่นกกางเขนแอบกระซิบว่า อันที่จริงเขาเป็นคนใจร้าย เขาเคยปาก้อนหินใส่นกกางเขนเพราะรำคาญที่นกกางเขนไปร้องเพลงให้เขาฟัง เด็กอ้วนร้อนใจเพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะปาก้อนหินใส่เด็กสาวที่ตนรักเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงของเธอ

ทางเลือกสุดท้ายที่เด็กอ้วนจะทำได้คือทำให้หัวใจโตขึ้นเพื่อให้เขามีความกล้ามากพอจะบอกรักเด็กสาว เขาจึงออกเดินทางเพื่อหาวิธีทำให้หัวใจโตขึ้น เขาจะได้บอกรักเด็กสาวและคุ้มครองเธอก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะบอกรักเธอ

(๓.)
เด็กอ้วนดั้นด้นไปจนถึงบ้านของนักปราชญ์ผู้รอบรู้เพื่อถามถึงวิธีที่จะทำให้หัวใจโตขึ้น แรกเริ่มเดิมทีนักปราชญ์ไม่ยอมปริปาก แม้เด็กอ้วนจะขอร้องอย่างไรก็ทำทีอิดออดไม่ยอมพูดอะไร ราวกับว่าวิธีที่ทำให้หัวใจโตขึ้นนั้นเป็นความลับสำคัญที่สุดที่จะแพร่งพรายให้ใครรู้ไม่ได้ แต่ในที่สุดนักปราชญ์ก็ทนการรบเร้าจากเด็กอ้วนไม่ไหว เพราะเด็กอ้วนพูดทั้งน้ำตาว่า หากเขาไม่รู้วิธีทำให้หัวใจโตขึ้น จนไม่อาจบอกรักและคุ้มครองเด็กสาวได้ เมื่อนั้นหัวใจของเขาคงแหลกสลายเป็นผงธุลีเฉกเช่นเม็ดทรายริมหาด

นักปราชญ์จึงกระซิบกระซาบแก่เด็กอ้วนว่า ที่ท้ายหมู่บ้านมีแม่มดชราอาศัยอยู่ ขอให้เด็กอ้วนไปปรึกษานาง เด็กอ้วนแย้งขึ้นมาเพราะได้ยินมาว่านางเป็นคนไม่มีหัวใจ นักปราชญ์ชราจึงเปิดเผยความลับว่า ในสมัยที่แม่มดยังสาว เล่าลือกันว่านางเคยเป็นผู้ที่มีหัวใจดวงโตที่สุด แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมวันนี้แม่มดจึงกลับกลายเป็นคนไม่มีหัวใจ บางทีนางอาจมีวิธีช่วยให้หัวใจของเด็กอ้วนโตขึ้นเหมือนอย่างหัวใจนางในสมัยก่อน

เด็กอ้วนเดินทางไปหาแม่มดชรา นางนั่งยิ้มเย็นอยู่หน้ากระท่อมราวกับรอคอยเด็กอ้วนมาทั้งชีวิต ยังไม่ทันที่เด็กอ้วนจะเอ่ยปากถาม นางก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า---หากหัวใจพองโตถึงขีดสุด ตอนนั้นเจ้าจะสูญเสียหัวใจ เจ้ายังจะคิดเรื่องทำให้หัวใจพองโตอยู่อีกไหม เด็กอ้วนพยักหน้าไม่รีรอ พูดชัดถ้อยชัดคำ ขอเพียงให้หัวใจโตขึ้นมากพอที่จะบอกรักเด็กสาว เขายอมทำทุกอย่าง

แม่มดยิ้มเยาะ เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเหมือนประชดประชันอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้นมาลอย ๆ เหมือนไม่ได้พูดกับเด็กอ้วนว่า ที่สุดขอบโลกมีดอกไม้ประหลาด เพียงแค่สูดกลิ่นสักครั้ง หัวใจก็จะพองโตมากพอที่จะบอกรักใครสักคน เด็กอ้วนละล่ำละลักขอบคุณแม่มดชรา แล้วรีบวิ่งแจ้นไม่หยุดพักไปยังสุดขอบโลก

(๔.)

ผ่านไปเกือบปี ในที่สุดเด็กอ้วนก็เดินทางมาถึงสุดขอบโลก ที่นั่นมีหมอกหนาจัด แต่ท่ามกลางหมอกนั้น เขาเห็นดอกไม้เหี่ยวเฉาใกล้ตายดอกหนึ่งอยู่ริมหน้าผา นั่นน่าจะเป็นดอกไม้ที่แม่มดพูดถึง เด็กอ้วนรีบเข้าไปใกล้ดอกไม้แล้วสูดดมเต็มปอด มีเพียงกลิ่นกลีบใบที่เริ่มเน่าเท่านั้นที่ลอยเข้าจมูกเขา เด็กอ้วนเอามือลูบคลำหน้าอกที่เต็มไปด้วยไขมัน รู้สึกว่าหัวใจเขายังเล็กนิดเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เขาสูดลมหายใจซ้ำห้าหกครั้ง แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม

เด็กอ้วนไม่รู้ว่าต้องมีพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าในการสูดกลิ่นดอกไม้ประหลาด ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานไหมกว่าฤทธิ์ของดอกไม้ประหลาดจะทำให้หัวใจเขาพองโต เขาคิดจะกลับไปถามแม่มดชราแต่ก็กลัวจะสายเกินไป เขาจึงได้แต่รี ๆ รอ ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่สุดขอบโลกนานนับเดือน ความหวังที่เคยมีเต็มเปี่ยมเริ่มเหี่ยวเฉาเช่นเดียวกับดอกไม้ประหลาดที่เริ่มเหี่ยวแห้งลงทุกที ๆ เขาได้แต่รอปาฏิหาริย์อยู่ตรงนั้น รอจนกว่าจะถึงวันที่หัวใจของเขาพองโต

แล้วเด็กอ้วนก็เห็นเงาใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้

เขาหันกลับไปมอง แม้จะอยู่ในหมอกหนา แต่เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเด็กสาวคนที่เขาแอบรัก ไม่น่าเชื่อว่าเธอเองก็เดินทางมายังสุดขอบโลกเช่นกัน เด็กอ้วนไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาหรือไม่ แต่เธอก็โอภาปราศรัยกับเขาด้วยไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่เธอปฏิบัติต่อทุกคน เด็กอ้วนถามเธอว่าเธอเองก็มาตามหาดอกไม้ที่ทำให้หัวใจพองโตหรือ เธอยิ้มแย้มพลางพยักหน้า พูดด้วยเสียงหวานว่าเธอหลงรักเด็กหนุ่มหมู่บ้านข้าง ๆ ที่มาติดพันเธอ เขาเป็นคนที่หล่อเหลา มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี แต่หัวใจเธอไม่โตพอจะบอกรักเขา เธอจึงเดินทางมายังสุดขอบโลกเพื่อตามหาดอกไม้ประหลาดที่ทำให้หัวใจพองโตตามคำแนะนำของแม่มด

หัวใจที่เล็กนิดเดียวของเด็กอ้วนกลับยิ่งถูกบีบรัดให้เล็กลงไปอีกจากคำพูดเหล่านั้นของเด็กสาว

เมื่อเธอถามถึงดอกไม้ประหลาด เด็กอ้วนจึงผายมือไปยังดอกไม้ที่งอกอยู่ริมหน้าผานั้น เด็กสาวทำหน้าตื่นเต้นดีใจ หันมายิ้มหวานให้เด็กอ้วน วินาทีที่เด็กอ้วนเห็นรอยยิ้มหวานของเด็กสาว เขาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหน้าอกที่เต็มไปด้วยไขมัน เด็กอ้วนรู้สึกว่าหัวใจเขากำลังพองอย่างลูกโป่งที่ถูกเป่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลมอัดแน่นข้างในจวนปริแตก ร่างของเขาลอยขึ้นพ้นหน้าผาเหมือนบอลลูน ที่แท้ไม่ใช่ดอกไม้ประหลาดหรอกที่ทำให้หัวใจของเขาพองโต แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เขารักต่างหาก วินาทีนั้นเขาไม่ได้ยินคำขอบคุณของเด็กสาวด้วยซ้ำ เขารู้แค่ว่าจะต้องบอกคำ ๆ หนึ่งที่เขาเก็บงำไว้นานหลายปี

คำ ๆ นั้นคือคำว่า---ฉันรักเธอ

(๕.)

แล้วเด็กอ้วนก็รู้สึกเหมือนบางสิ่งวูบหายไปจากร่าง แวบนั้นเขานึกถึงคำพูดของแม่มด

---หากหัวใจพองโตถึงขีดสุด ตอนนั้นเจ้าจะสูญเสียหัวใจ---

หัวใจของเด็กอ้วนหลุดลอยไปพร้อมกับคำรักที่บอกเด็กสาวท่ามกลางหมอกหนา และแล้วหัวใจของเขาก็กลายเป็นสมบัติของเด็กสาวไปชั่วนิรันดร์ ร่างที่กำลังลอยอยู่ริมหน้าผาตกลงมาทันที เด็กอ้วนพลัดตกจากสุดขอบโลก เขาหล่นลงไปในโลกอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับโลกที่เขาเคยอยู่ โลกฝั่งนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมิดและเหน็บหนาว

จากวันนั้น เด็กอ้วนก็กลายเป็นคนที่ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้คือหัวใจของตนที่อยู่อีกฟากฝั่งของโลก หัวใจของเขาอยู่กับเด็กสาวคนที่เขาแอบรัก เด็กอ้วนรับรู้ได้ว่าหัวใจดวงนั้นพองโตด้วยความรักอยู่ตลอดเวลา ทุกวันเขาจะเดินตามร่องรอยของหัวใจตัวเองไปเรื่อย ๆ เมือรู้สึกว่าอยู่ใกล้ ๆ เด็กสาวในฟากฝั่งตรงข้ามของโลก เขาก็จะร้องเพลงเพียงเพื่อบอกเด็กสาวให้รู้ว่า เจ้าของหัวใจที่เด็กสาวครอบครองอยู่ยังคงมีลมหายใจ และยังคงรักเธอตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แม้จะอยู่ห่างไกลจนไม่มีวันได้พบพานกันอีกแล้วก็ตามที

(๖.)

เด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเด็กอ้วนจึงหายตัวไปท่ามกลางหมอกหนาทันทีที่เธอขอบคุณเขา อันที่จริงต้องบอกว่าเธอลืมเรื่องที่ได้พบเด็กอ้วนไปเสียสนิท เพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่สำคัญมากเท่าเรื่องที่เธอได้สูดดมกลิ่นดอกไม้ประหลาด แม้จะมีเพียงกลิ่นกลีบใบที่เริ่มเน่าเท่านั้นที่ลอยเข้าจมูกเธอ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าหัวใจเธอพองโตขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลมอัดแน่นข้างในจวนปริแตก คำว่ารักเอ่อล้นออกมาจากข้างในจนเธออดใจไม่ไหวอีกต่อไป เด็กสาวรีบวิ่งกลับไปบอกรักเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยหัวใจที่พองโต ทั้งสองตกลงหมั้นหมายกัน ผ่านไปไม่นาน งานแต่งงานระหว่างเขากับเธอก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

กาลเวลาหมุนผ่านไปหลายสิบปี เด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวผู้มีหน้ามีตาในสังคม สามีของเธอบันดาลความสุขให้ทุกอย่างในข้อแม้ที่ว่า ห้ามเธอร้องเพลงอีกต่อไป เพราะมันทำให้เขารำคาญ เธอห่างเหินจากการร้องเพลงนานมากจนกระทั่งว่าเธอรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินเสียงเพลงเช่นเดียวกับสามีของเธอ ทุกวันนี้เธอมีความสุขดี เว้นแต่บางคืนที่เธอรู้สึกรำคาญอยู่บ้างเมื่อเธอแว่วยินเสียงเพลงมาจากที่ไกล ๆ มันทำให้หัวใจที่พองโตด้วยความรักอยู่ตลอดเวลานั้นปวดตุบ ๆ เสียงเพลงที่เธอได้ยินนั้นโหยหวนแหบแห้งขัดหู ไม่มีจังหวะจะโคนเหมือนคนที่ร้องเพลงไม่เป็น เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้องเพลง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงนั้นชื่อเพลงอะไร สิ่งเดียวที่เธอรู้คือเพลงนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยของเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักโต


วุฒินันท์ ชัยศรี

13 ธันวาคม 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรก: คอลัมน์จุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารกระป๋อง

เพียงแค่กระป๋องบุบบู้บี้ในการผลิต พวกเขาก็คัดมันออกเสียแล้ว ว่ากันว่ามันเป็นอาหารสำหรับขายให้คนรวย ดังนั้นต้องทำให้ดีที่สุด

นางนึกถึงชีวิตตนเองที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ร่างกายพิกลพิการ ซ้ำยังไม่มีโอกาสเรียน แต่กลับมีลูกน้อยให้ต้องเลี้ยงดู เถ้าแก่ก็ใจดีเหลือเกินที่ให้นางได้ทำงาน ซ้ำยังอนุญาตให้นางเอาอาหารกระป๋องที่ถูกคัดออกกลับบ้านได้ด้วย แม้ว่าจะได้ค่าแรงไม่ถึงร้อย นางก็ไม่เคยปริปากบ่น

วันนี้ได้อาหารกระป๋องที่บุบบู้บี้มามากทีเดียว รวมแล้วราคาแพงโข คงพอจะอิ่มท้องไปหลายวัน นางร้องเรียกลูก “มากินข้าวเถอะลูก วันนี้แม่มีทูน่ากระป๋องใส่เยลลี่แบบที่ลูกชอบมาด้วยนะ”

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ภาพยิ้ม (๒)

๏ อย่ามาทำจิ้มลิ้มยิ้มแบบนี้
ยิ้มแบบที่ใจฉันต้องหวั่นไหว
รอยยิ้มเบิกบานหวานเกินใคร
ยิ้มหวานหวานพาลให้ใจหลงไม่จำ

๏ อย่ามาปั้นหน้าตาดูน่ารัก
ใจฉันรับภาระหนักชักไม่ขำ
จะให้บอกอีกกี่ครั้งฟังกี่คำ
ภาพยิ้มเธอมันฉายซ้ำทุกค่ำคืน

๏ ผีหลอกยังหาพระมาแขวนได้
แต่ภาพยิ้มแสนสดใสใครจะฝืน
หักห้ามใจ, ใจก็ช้ำทนกล้ำกลืน
จะหลับตื่นหรือลืมตาก็มาเยือน

๏ อุตส่าห์ทำไม่สนใจ- ไม่สนแล้ว
แต่ตาแป๋วและยิ้มใสใครจะเหมือน
แน่ะ! ยังยิ้ม- แล้วเมื่อไหร่จะลืมเลือน
ต้องให้เตือนอีกกี่ครั้งถึงฟังกัน

๏ ขอสักที, ขอเถอะ, ฉันไหว้ล่ะ
ฉันขอนะ, อย่ายิ้มนวลให้ชวนฝัน
แค่นี้ใจก็ทุรนทนทุกวัน
อย่าเฆี่ยนมันด้วยยิ้มร่าน่ารักเอย ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๕/๑๑/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เพียงหมายเลขสิบหลักที่แปรเปลี่ยน

ง่ายดายเพียงนั้น
การสะบั้นสายสัมพันธ์ของสองเรา
เพียงหมายเลขสิบหลักที่แปรเปลี่ยน
ในเครือข่ายที่มองไม่เห็นด้วยสายตา
ตัดขาด---
เสียงที่เคยได้ยิน
ข้อความให้กำลังใจ
ผ่านเส้นใยเบาบาง
แม้มีเพียงฉันที่ถักทอ
และตัดขาด---
ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ที่จะเชื่อมต่อความรู้สึก
ให้เกินกว่าการส่งผ่านรหัสดิจิตอล
ซึ่งเธอไม่เคยรับรู้
หรืออันที่จริงเธอไม่อยากรับรู้

ควานหาสิ่งเชื่อมต่อซึ่งไม่เคยมีอยู่
เพราะฉันทำหล่นหาย
ในวันสารภาพรัก
ฉันต่างหากที่สะบั้นสายสัมพันธ์
ด้วยขวานแห่งความรู้สึกดี
ซึ่งไม่ควรมีอยู่ในระหว่างการเชื่อมต่อของเรา
ตัดขาด---
เสียงที่ควรได้ยิน
ข้อความที่ควรให้กำลังใจ
กลับกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม
ความหมายจึงมีเพียงแค่รหัสดิจิตอล
ซึ่งเธอไม่เคยรับรู้
และเธอไม่อยากรับรู้

ง่ายดายเหลือเกิน
การสะบั้นสายสัมพันธ์ของสองเรา
เพียงหมายเลขสิบหลักที่แปรเปลี่ยน
ในเครือข่ายที่มองไม่เห็นด้วยสายตา
จึงได้รู้สึก---
ภาพของใครคนหนึ่งซึ่งหายไปในงานเลี้ยงรุ่น
ทั้งที่เขาอยากมามากกว่าใครอื่น
เป็นความปวดร้าวเช่นใด

๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฟ้า

๏ มองเห็นเส้นขอบฟ้า
ดูเหมือนว่าอยู่ไม่ไกล
เพียงเอื้อมมือออกไป
ก็ไขว่คว้าถึงฟ้าคราม

๏ แต่ฟ้าก็คือฟ้า
และตัวข้าฯ ผู้ต่ำทราม
เพียงมองท้องฟ้างาม
ก็เกินค่าตาคู่นั้น

๏ หลับตาเพื่อหลบฟ้า
เราด้อยค่าเกินจำนรรจ์
คนใกล้แท้ไกลกัน
ฝันถึงฟ้า - อย่าคิดเลย ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๘/๑๑/๒๕๕๔
บนเครื่องบินสีชมพู ในนาทีที่อยู่ใกล้ท้องฟ้ามากที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หญิงสาวยิ้มเศร้า

ราวกับจันทร์เพ็ญที่เปล่งแสงสกาวเป็นครั้งสุดท้ายของรัตติกาล ก่อนที่อุษาสางจะเบิกเบื้องทวารบถ
ฤานี่คือจุมพิตสุดท้ายของเทวีอาร์เทมิสในห้วงฝันอันเลือนรางเพื่อเป็นกำนัลแก่มรรตัยชน
รอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุด เจือด้วยความทุกขเทวษนิรันดร์ในค่ำคืนสุดท้ายแห่งการพบพาน
จะมีก็แต่เอนดิเมียนและฉันเท่านั้นที่เคยเห็น

ชวนให้หัวใจที่ไม่เคยลิ้มรสรักได้คร่ำครวญหา
ชวนให้แผลของผู้ปวดร้าวในรักเหวอะหวะด้วยความเปรมปรีดิ์
รินหลั่งมวลอารมณ์จากหน้าต่างแห่งสุขสันต์และโศกศัลย์ของดวงฤทัย
แล้วกอดรัดด้วยเถาวัลย์แห่งชีวิตอันอ่อนไหวและเปราะบาง
สนธยาอ่อนหวานฝากรอยจุมพิตไว้ที่กลีบดอกทานตะวัน
เพียงเพื่อแหงนมองนวลจันทร์หรี่แสงเมื่อพลัดพรากจากความรัก

หญิงสาวยิ้มเศร้า...
ประกายแสงสุดท้ายของดอกไม้ไฟเลือนหายไปเมื่อเสี้ยววินาที, เว้นแต่ในใจฉัน
รอยยิ้มเธอก็ดุจเดียวกัน


๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
แด่... หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มอันแสนเศร้าเกินกว่าที่จินตนาการของฉันจะบันทึกไว้ได้

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภาพยิ้ม

ยิ้มอันอ่อนหวานไร้เดียงสา
พลังแห่งการชม้ายชายชำเลืองอย่างซื่อ ๆ
กระแสแห่งถ้อยคำอันมีเสน่ห์ด้วยคำพูดหลากหลายที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ
และท่าทีเยื้องกรายอันมีลีลาแห่งช่อใบไม้อ่อน
ในตัวหญิงดรุณีผู้มีตางามประหนึ่งนัยน์ตาลูกกวางน้อยนั้น
มีอะไรบ้างหนอที่ไม่งดงามชวนให้น่าหลงใหล

(จาก ศตกตระยัม ของ ภรรตฤหริ)

๏ แล้วรอยยิ้มก็เติมยิ้มให้ผลิแย้ม
แล้วดวงตาก็แต่งแต้มนัยน์ตาหวาน
แล้วความฝันก็เต็มฝันนิรันดร์กาล
เพียงพบเธอในห้วงธารกาลเวลา

๏ เธอจะมาจากไหนไม่เคยรู้
แต่จู่จู่ก็ประสบได้พบหน้า
แล้วดวงตาที่เผลอมองเต็มสองตา
ก็เลือนพร่าและวูบดับไปกับใจ

๏ สิ้นแล้วภาพงามอื่นให้ฝืนมอง
สิ้นแล้วภาพหม่นหมองหรือหม่นไหม้
เหลือแต่ภาพยิ้มเขินหวานเกินใคร
แล้วฤทัยก็พูดพร่ำแต่คำรัก

๏ ราวกับลมรำเพยมาเชยชื่น
ซากใจค่อยตื่นฟื้นตระหนัก
ราวกับลมรำเพยมาเชยชัก
ยิ้มหวานซ่านใจนักประจักษ์ตา

๏ ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน
ความคิดถึงชั่วกาลยาวนานกว่า
ถูกบ่วงห้วงฝันพันธนา
ถึงดวงหน้าหวานซึ้งตราตรึงใจ

๏ แล้วรอยยิ้มที่อ่อนไหวนัยน์ตาหวาน
ก็แผ่ซ่านอยู่เต็มฝันจนหวั่นไหว
เศษซากรักเคยสลายหายไป
ก็กลับรวมกันใหม่ในยิ้มเธอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๙/๑๐/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รำพึงถึงเพื่อนรัก

จู่ ๆ คิดถึงเพื่อนคนดีคนหนึ่งขึ้นมาจับใจ วันนี้อยากไปร่ำสุรากับมึงจนซอดแจ้งเลยว่ะ ในวาระของบางวันเวลาที่ความโศกเศร้าแม่งควรจะบดขยี้เราให้ตายให้พ้น ๆ จากโลกแห่งความปวดร้าวไปนานแล้ว ไม่ใช่ยังทนอยู่ในซากสังขารที่ปราศจากหัวใจเหมือนเช่นตอนนี้ เราทั้งสองแสร้งทำเป็นหัวเราะไม่ยี่หระต่อโลก แต่กูรู้ว่าหัวใจมึงแม่งเหลือแต่ผุยผงเหมือนกู เหี้ยเอ้ย! ขณะที่กูพร่ำรำพันถึงความร้าวรานในหัวใจอย่างยืดยาวกว่าสี่หมื่นแปดพันหน้ากระดาษเอสี่ จนใครบางคนแม่งห่วงว่ากูจะฆ่าตัวตาย มึงแม่งไม่ร้องสักแอะ! กูนับถือใจมึงจริง ๆ นรกเป็นพยานเถอะไอ้เพื่อนรัก! กูแค่อยากจะบอกว่ามึงไม่ผิดหรอก คนมีความรักน่ะไม่มีความผิด โดยเฉพาะคนที่มีหัวใจอันแสนอ่อนโยน แค่โลกนี้มันโหดร้ายเกินกว่าที่คนหัวใจอ่อนโยนอย่างมึงจะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีบาดแผล จริงอยู่ว่าสุราแม่งไม่ช่วยรักษาแผล แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราลืมเจ็บได้ชั่วคราว มันก็แค่ช่วยซื้อเวลาให้เรารักษาตัวเองได้อีกนิดหน่อย เวลาอาจไม่ใช่ยา แต่การเยียวยาต้องใช้เวลา เราซื้อเวลาไปวัน ๆ เพราะหวังว่าสักวันเราจะหายดี แต่ที่จริงมันไม่เคยมาถึง คำว่าสักวันคือวันที่ไม่เคยเดินทางมาถึง มึงรู้ กูรู้ ระยำเถอะ! เราแม่งควรจะลืมเรื่องทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ใช่ไหม แต่กูรู้ว่ามึงทำไม่ได้ เพราะกูก็ไม่เคยลืม ใครแม่งจะลืมลงวะกับความทรงจำที่สวยงามขนาดนั้น แม้สุดท้ายมันจะทำให้เราเจ็บปวดก็ตามที มึงกอดเกี่ยวกุหลาบไว้ในหัวใจ ก็ไม่พ้นหนามแหลมทิ่มแทง ถึงมึงไม่ยอมเปิดปาก แต่ถ้าหากมึงอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา กูจะฟัง ถึงเค้าไม่เห็นคุณค่าของน้ำตามึง แต่กูรู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหนสำหรับน้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งที่รักผู้หญิงเพียงคนเดียวมาตลอดหลายปี ไอ้เหี้ย! มึงแม่งเป็นพิพิธภัณฑ์รักแท้ในรูปทรงของมนุษย์ มึงแม่งควรจะสูญพันธุ์ไปแล้วในโลกหลอกลวงที่คนแม่งแสวงหารักแท้เหมือนเอ็มวีสามนาทีกว่า ๆ ถ้าสถาบันวิจัยรักแท้มีอยู่จริง กูแม่งจะเสนอชื่อมึงเป็นคนแรกและคนเดียวในโลกให้เค้าจับไปทำวิจัย ให้เค้าผ่าหัวใจมึงออกดูว่ามันประกอบขึ้นจากอะไรทำไมมันถึงมีรักมั่นคงได้ขนาดนั้น ไปตายเถอะ! กูไม่ได้ไล่ กูชวน เราสองคนแม่งต้องไปตาย โลกสมบูรณ์แบบของเค้าไม่อนุญาตให้สิ่งชำรุดอย่างเราสองคนมีชีวิตอยู่ นั่นแหละสิ่งดีที่สุดที่เราจะให้เค้าได้ คือการตายไปจากชีวิตของเค้าเสีย แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบความรู้สึกลึกล้ำที่เราสองคนมีต่อเค้าก็ตามที แต่ก็คงดีกว่าที่เราสองคนยังมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ทรมานให้เค้ารำคาญใจ วิญญูชนย่อมไม่สร้างความลำบากยากใจแก่ผู้คน เราแม่งเป็นวิญญาณชน คือมีสภาพเป็นวิญญาณในสายตาของเค้า ก็ไม่ควรทำให้เค้าลำบากใจ สิ่งที่เราทำได้ก็แค่นี้แหละ แค่ร่ำสุราปรับทุกข์ ราดรดแผลใจให้ลืม น้ำเมาแม่งอาจจะขมปาก แต่มันก็ไม่ขมเท่าน้ำคำที่ไม่เคยเอ่ยจากปาก โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่เคยลืม สุดท้ายมันก็จบลงที่ความทุกข์ทรมานสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่กับความทรงจำอย่างเราสองคน โกวเล้งแม่งยังเคยกล่าวไว้ "คิดอาศัยสุราราดรดทุกข์ ทุกข์กลับทับถมทวีคูณ รักยิ่งล้ำลึก ทุกข์ยิ่งเพิ่มทวี"

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เหมือนเดิม

"กะเพราไก่ไข่ดาว"

ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปาก ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งก็จัดแจงเมนูให้ผมเสียเสร็จสรรพ ก่อนถามย้ำว่า เหมือนเดิมใช่ไหม ใช่ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปจากเดิม ชีวิตของผมเป็นเช่นนั้นเสมอมา เสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนเดิม ร้านข้าวปากซอยเหมือนเดิม สั่งอาหารเมนูเดิม น้ำส้มไบร์เล่ย์หนึ่งขวดเหมือนเดิม ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ

วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีงานฉลอง ไม่มีของขวัญ สำหรับผมคนที่เหมือนเดิมทุกอย่าง ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวลวก ๆ เดินออกมากินข้าวร้านปากซอย หาหนังสืออ่านในร้านหนังสือหรือห้องสมุด นั่งริมแม่น้ำเหม่อมองทิวทัศน์ตอนเย็น ๆ แล้วกลับไปขังตัวเองในห้องเงียบเหงา ใช่ วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ หากจะมีความหมายอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครจำได้แล้ว เว้นแต่ผมคนที่ไม่เหมือนเดิมเท่านั้นที่ไม่เคยลืม วันนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดปีที่เราสองคนคบกัน หากเรายังคบกันอยู่

ใช่-หากเรายังคบกันอยู่ แต่เธอหายไปจากชีวิตผมมานานนับปีแล้ว

เรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนเหมือนความฝัน เธอผู้มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ และมีโลกใบใหม่ที่น่าตื่นเต้นเดินเข้ามาในโลกเดิม ๆ ของผม เสื้อยืดกางเกงยีนส์ของผมเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตในบางวัน และร้านข้าวที่เธอพาไปก็ไกลกว่าปากซอย คงมีก็แต่เมนูอาหารที่ยังไม่เปลี่ยน

"กินเหมือนเดิมอีกแล้ว" เธอว่า

"ไม่เหมือนเดิมหรอก" ผมยิ้ม "อร่อยกว่าเดิมตั้งเยอะ"

หกปีที่คบกัน นานเกินจะฝัน สั้นเกินจะตื่น เธอทำให้ผมพบโลกใบใหม่ ผมตื่นเต้นกับโลกของเธอในทุกเช้าที่ตื่นนอน แต่สำหรับเธอ เธอพบโลกใบเดียวของผมซ้ำซากทุกวัน ผมยังเป็นคนเดิม คุยแต่เรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ เธอไม่อยากเป็นเข็มนาฬิกา จึงเดินออกจากโลกที่มีขอบเขตแค่หน้าปัดเล็ก ๆ ไปหาคนอื่นที่มีโลกใบใหญ่ไม่ซ้ำซากจำเจ

"เหมือนเดิมใช่ไหม" ป้าเจ้าของร้านย้ำคำ

ผมตื่นจากภวังค์ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปาก ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าให้ อันที่จริงวันนี้ผมตั้งใจจะมาสั่งเมนูอื่น เมื่อวานเธอโทรมาหาผม เธอบอกให้ผมลองเปลี่ยนเมนูอาหารดูเสียบ้าง ถ้าไม่ลองเปลี่ยนเมนูจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรดีกว่าเดิมรออยู่หรือเปล่า เธอบอกผมอย่างนั้นหลังจากบอกข่าวสำคัญว่าเธอกำลังจะแต่งงาน สำหรับเธอวันนี้คือวันแต่งงานของเธอ เป็นวันพิเศษที่สุดในชีวิตของเธอ แต่สำหรับผมวันนี้ก็แค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างยังคงเป็นไปเหมือนเดิม เว้นก็แต่ความตั้งใจที่จะลองเปลี่ยนเมนูอาหาร แต่สุดท้ายก็จบลงที่เมนูเดิม ผมจะเปลี่ยนอะไรได้อย่างไรในเมื่อยังไม่กล้าพอแม้แต่จะดึงรูปถ่ายของใครคนหนึ่งออกจากหัวเตียง ใครคนนั้นที่มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ

อาหารเมนูเดิม น้ำไบร์เล่ย์วางบนโต๊ะเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่วันนี้รสชาติของมันขมปร่าสิ้นดี

๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

LOST IN THE ECHO


I can't fall back, I came too far
Hold myself up and love my scars
Let the bells ring wherever they are
Cause I was there saying...

In these promises broken, deep below
Each word gets lost in the echo
So one last lie, I can see through
This time I finally let you... Go...

ฉันมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับ
จำต้องรับบาดแผลความแพ้พ่าย
ตะโกนก้องกว่าจะสิ้นเสียงสุดท้าย
แม้ความหมายจะไม่มีจากนี้ไป

เพราะทุกคำสัญญานั้นอาสัตย์
ปรากฏชัดทุกภาพลวงเกินรับไหว
แว่วเสียงล่มสลายทั้งกายใจ
สะท้อนก้องในซากวิญญาณ์ ฯ

๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
แด่ค่ำคืนแห่งการล่มสลายทางจิตวิญญาณ

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอ

สิ่งดีที่สุดที่ฉันจะทำให้เธอได้
คือการตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอเสีย
ก่อนที่เขาจะทันได้รับรู้เรื่องราวระหว่างเรา
แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบล้างทุกความรู้สึกลึกล้ำที่ฉันมีต่อเธอ
ซึ่งซุกซ่อนอยู่ทุกวรรคตอนในบทกวีที่ฉันเขียน


๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
ด้วยความระลึกถึง

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

เธอ/ฉันฆ่าเธอ

ฉันลืมตามาเพื่อที่จะพบว่า มือฉันกำอยู่ที่มีดเล่มนั้น มันปักอกเธอแน่นจนขยับไม่ได้ เช่นเดียวกับเธอผู้ไร้ลมหายใจที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดฉัน
"ฉันฆ่าเธอ... ฉันฆ่าเธอ..." ครวญคร่ำอยู่เช่นนั้นราวกับคนเสียสติ กอดร่างเธอไว้แน่น
ปิดประตูดังปัง! เธอกลับมาพร้อมกับข้าวถุงใหญ่ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เธอจัดสำรับบนโต๊ะอาหาร ปล่อยให้ฉันร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
"ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว มากินข้าวกันเร็ว" เธอร้องเรียกด้วยเสียงแจ่มใสซ้ำอยู่สองสามครั้ง เมื่อเห็นฉันไม่ตอบรับ เธอจึงเดินมากอดฉันแน่น หอมแก้มฉันครั้งหนึ่ง
"เป็นอะไรไปฮึ มากินข้าวได้แล้ว" เสียงเธอยังหวานใสเช่นเคย ทั้งที่เธออยู่ในอ้อมกอดฉัน มีดปักอยู่อย่างนั้น ร่างจมกองเลือด "กับข้าววันนี้ซื้อมาจากร้านโปรดของเรา รีบมากินเถอะ เดี๋ยวกับข้าวเย็นชืดหมดนะ"
เมื่อเห็นฉันไม่ขยับ เธอจึงฉุดกระชากลากถูฉันมานั่งเก้าอี้ราวกับฉันเป็นเด็กดื้อที่ไม่ยอมมากินข้าวตามคำสั่งแม่
"ฉันจะกินข้าวได้อย่างไร ฉันฆ่าเธอไปแล้ว" ฉันร้องทั้งน้ำตา
"ฉันยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย" เธอส่งยิ้มให้ฉัน ตักข้าวเข้าปาก "กินข้าวได้ด้วย"
ฉันโผเข้าไปกอดเธอ "ฉันขอโทษ ฉันฆ่าเธอ ฉันฆ่าเธอ ฉันฆ่าเธอไปแล้ว ฉันขอโทษ..."
"ที่เธอฆ่าไปนั่นเป็นฉันจริง ๆ เหรอ?" เธอถามฉันก่อนจะหัวเราะ แต่เมื่อเห็นฉันเอาแต่ตื่นตะลึงจนไม่ได้ตอบคำถามนั้น เธอก็ยักไหล่ไม่รู้ร้อน "ฮื่อ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก รีบกินข้าวเถอะ"

๒๙/๐๙/๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

รับกวีไปเลี้ยงไว้สนไหมครับ!

คุณคนสวย...

๏ รับกวีไปเลี้ยงไว้สนไหมครับ
ใช้ประดับให้บ้านหรูดูไม่เหงา
เลี้ยงไว้กล่อมเพลงเห่เท่ไม่เบา
ด้วยราคาย่อมเยาเท่าเลี้ยงแมว

๏ เพียงข้าวคลุกปลาทูก็อยู่ได้
ช่วยงานบ้านดั่งใจเหมือนยัยแจ๋ว
แถมทำตัวไม่เหมือนใครคล้ายเด็กแนว
ได้เลี้ยงแล้วจะติดใจไม่ลืมเลือน

๏ ลองมีแฟนเป็นกวีสักทีไหม
จะเขียนกลอนอ้อนหัวใจหาใครเหมือน
จะกล่อมนอนด้วยเพลงดาวพราวแสงเดือน
ควงอวดเพื่อนไม่ต้องอายคล้ายดารา

๏ ถ้าช้าหมดอดนะรีบรีบหน่อย
หนุ่มกวีนั้นมีน้อยไม่คอยท่า
เข้าข่ายสูญพันธุ์แล้วนะแก้วตา
รีบจับจองเถิดหนาอย่างงงวย

๏ รับกวีไปเลี้ยงไว้เอาไหมครับ
ไว้ประดับบ้านหรูคู่คนสวย
เผื่อฟลุกได้ซีไรต์เมื่อไหร่, รวย!
คุณจะช่วยรับเลี้ยงไว้ได้ไหมครับ! ๚ะ๛


๒๗ กันยายน ๒๕๕๕

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

เขิน

๏ แน่ะ! เธอมาจากไหนไม่รู้ตัว
ใจเต้นรัวไปแล้วถึงไหนไหน
เธอพุ่งจู่โจมเข้ากลางใจ
จนฉันหลบไม่ได้รับไม่ทัน

๏ ขี้โกงเห็นเห็นเล่นทีเผลอ
จู่จู่เธอก็ยิ้มให้เหมือนในฝัน
ทั้งที่เราไม่รู้จักมักจี่กัน
ด้วยยิ้มนั้นฉันเกือบตาย, เธอร้ายนัก

๏ เพราะมิได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน
แก้มเลยร้อนผ่าวผ่าวเพราะเขินหนัก
ใจก็ลั่นเป็นกลองเพลไม่ยอมพัก
เถิดเลิกยิ้มน่ารัก, ขอสักที!

๏ ยิ้มใสใสแถมมองหน้าตาแป๋วแหว๋ว
ใจฉันติดปีกแล้วก็บินหนี
เกินจะตามกลับคืนแล้วคนดี
วันนี้ต้องปล่อยให้ใจละเมอ

๏ ฝากไว้ก่อนเถอะนะ, แค้นวันนี้
เธอจู่โจมตอนที่ฉันมัวเผลอ
วันหลังเถอะ, วันหลังถ้าได้เจอ
ประเดี๋ยวจะเขวี้ยงเธอด้วยเบอร์โทร! ๚ะ๛

"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๖ กันยายน ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

ดอกไม้

ดอกไม้ที่ฉันให้ ไม่จำเป็นว่าต้องไปปักแจกัน
แค่เหลียวมองมันบ้างเท่านั้น
และพรมน้ำบ้างเมื่อมันเริ่มเหี่ยวแห้ง
อาจดูมากเกินไปสำหรับคำร้องขอ

มันมิใช่ดอกไม้พลาสติก ที่คนสมัยนี้นิยมมอบให้แก่กัน
ดอกไม้พลาสติกไม่ต้องการปุ๋ยและน้ำเพื่อเติบโต
ดอกไม้ของฉันอาจต้องการ แต่ไม่ได้เรียกร้อง
ให้ไปแล้วก็สุดแท้แต่เธอจะปรานี
มันจะงอกงามหรือโรยราไปตามอายุขัย
ก็แล้วแต่เจ้าของ, ซึ่งไม่ใช่ฉันแล้ว

เรื่องเศร้าซึ่งไม่ใช่เรื่องของฉันกลับกลายเป็นว่า
ดอกไม้ที่โรยราลงต่อหน้าเธอ
นั่นคือดอกไม้ดอกสุดท้ายที่ฉันมี


๒๓/๐๙/๒๕๕๔

ก็ช่างเธอ

๏ เขามันเลวระยำ, เธอพร่ำบ่น
เขามันเลวเกินคน, เธอบอกฉัน
นับหมื่นร้อยที่คอยพร่ำคอยจำนรรจ์
ถึงความเลวของเขานั้นให้ฉันฟัง

๏ เขาโกหกจนติดเป็นนิสัย
เธอแกล้งลืมทุกเรื่องไว้แต่หนหลัง
เขาชอบผิดสัญญาทุกคราครั้ง
เธอก็ยังนิ่งเฉยไม่เคยจำ

๏ เขาตะคอกวันที่เธอเผลอร้องไห้
เธอทนได้แม้ต้องฝืนคอยกลืนกล้ำ
กี่ครั้งที่เขานอกใจให้เจ็บช้ำ
เธอก็ทำไม่สนใจไม่รู้ร้อน

๏ เขาทำเธอเสียน้ำตามากี่ครั้ง
เธอก็ยังให้อภัยเขาไปก่อน
เขาทำเหมือนไม่มีใจไม่อาทร
ใจเธอกลับอาวรณ์ทุกข์ร้อนฤดี

๏ จะให้ฉันทำอย่างไรได้อีกเล่า
เธอยังคงกอดเขาไม่เคยหนี
เธอบอกฉันให้ช่วยเธอ, ช่วยเธอที
จะเลิกรักคนอย่างนี้ได้อย่างไร

๏ ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอกคนดี
เมื่อเธอเป็นเช่นนี้จะทำไฉน
เขาแสนเลวเธอก็รัก, รักหมดใจ
(อยากจะรักคนจัญไร... ก็ช่างเธอ) ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓/๐๙/๒๕๕๔

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

ท้อเป็นถ่าน, ผ่านเป็นเพชร

๏ เชิญเหยียบย่ำเถิดหนาถ้าอยากย่ำ
จะเหยียบซ้ำเท่าไหร่ไม่สิ้นหวัง
ฉันมิเคยแค้นเคียดหรือเกลียดชัง
ตราบพลังแห่งหัวใจยังไม่ลด

๏ "นิ้วกระดิกกระเดี้ยได้พอให้เห็น
เรี่ยวแรงที่แฝงเร้นก็ปรากฏ
ยอดหญ้าแยงหินแยกหยัดระชด
เกียรติยศแห่งหญ้าก็ระยับ"
*

๏ เถิดหยุดลมหายใจข้าฯ, ถ้าอยากหยุด
มิอาจฉุดรั้งใจให้หวนกลับ
"หากชนะ, ราชบัลลังก์ยังรอรับ
หากชีพดับ, ประตูสวรรค์พลันเปิดรอ"
**

๏ ฉันจะก้าวเดินไปด้วยใจมั่น
จะดับฝันสักกี่ฝันจะไปต่อ
เมื่อความหวังยังเปล่งเสียงก็เพียงพอ
เพราะว่า "ท้อเป็นถ่าน, ผ่านเป็นเพชร!"*** ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๙ กันยายน ๒๕๕๕

______________
* จากบทกวี "เพียงความเคลื่อนไหว"
** ดัดแปลงจากโศลกบทหนึ่งในภควัทคีตา
"หากถูกฆ่า ท่านก็จะได้เสวยสวรรค์
ถ้าชนะก็จะได้ครองแผ่นดินโลก
ฉะนั้น จงลุกขึ้นทำความตกลงใจที่จะรบเถิด
กุนตีบุตร!"
(บทที่ ๓๗ อัธยายที่ ๒ สางขยะโยค จาก ศรีมัทภควัทคีตา ฉบับแปลของ ศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวิทูร)
*** จากชื่อหนังสือ "ท้อเป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร" ของสำนักพิมพ์เพื่อนใจ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องราวของฉันกับนักหยุดเวลาผู้ไม่เคยหยุดเวลา

(1.)

แล้วฉันก็พบบางสิ่งบางอย่างในลิ้นชักดิจิตอล

ใครบางคนหยุดเวลาของสองเราไว้ตรงนั้น

ฉันคิดว่าเธออาจจะจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เธอเชื่อไหม ฉันจำมันได้ทั้งหมด ทั้งอารมณ์ความรู้สึก ช่วงเวลาที่เกิดขึ้น บทสนทนาอันบางเบา ใครเป็นคนที่อยู่หลังกล้องนั้น

แต่ฉันไม่เคยบันทึกมันไว้, ไม่สิ ตอนนั้นฉันอาจไม่จำเป็นต้องบันทึกมัน เพราะฉันไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องสูญเสียเธอไป เปล่า, ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีทางสูญเสียเธอไป ฉันแค่รู้สึกว่าฉันจะไม่สูญเสีย อาจเป็นเพราะฉันวางระยะห่างของเราให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมเสมอ นับแต่แรกเริ่มและตลอดมา

ฉันไม่เคยใกล้เธอมากพอที่จะรู้ถึงบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

(2.)

ฉันดีใจนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รับรู้ว่าเธอเป็น "นักหยุดเวลา"

นักหยุดเวลาในความหมายของฉัน พวกเขามีพลังพิเศษที่จะหยุดเสี้ยวเวลาหนึ่งให้เป็นอมตะ เก็บเสี้ยววินาทีที่อาจไร้ค่า หรือเป็นเสี้ยววินาทีที่อาจจะไม่พบในเสี้ยววินาทีไหนอีกแล้ว

วินาทีที่เสียง "แชะ" ดังขึ้น เธอก็หยุดเสี้ยววินาทีหนึ่งของโลกใบนี้ไว้, วินาทีที่เสียง "แชะ" ดังขึ้น เธอก็หยุดเสี้ยววินาทีของรอยยิ้มใครคนหนึ่งไว้ยาวนานนับนิรันดร์ เสี้ยววินาทีนั้นยาวนานจนกว่าเธอเองปรารถนาจะลบเลือน

แน่นอน, ฉันดีใจที่เธอเป็นนักหยุดเวลา

แต่บางครั้ง, บางเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ฉันรู้สึกเสียใจ, เธอเป็นนักหยุดเวลาช้าเกินไป...

(3.)

ฉันไม่เคยเป็นนักหยุดเวลา

สิ่งดีที่สุดที่ฉันทำได้คือการสะกดห้วงเวลาให้อยู่นิ่ง ฉันไม่อาจหยุดเวลาได้อย่างสัมบูรณ์เช่นเธอ หากกรงสะกดเวลาของเธอคือเสี้ยววินาที กรงของฉันใหญ่กว่านั้นมาก

นั่นทำให้ฉันเก็บได้เพียงห้วงเวลาบางส่วน มันอาจเชื่อมโยงได้ในระยะเวลาที่สัมพัทธ์กัน แต่ที่สุดแล้ว แต่ละห้วงเวลาต่างก็เป็นเอกเทศต่อกัน

แม้ว่าทุกห้วงเวลา มีเรื่องราวของเธอบรรจุอยู่เต็ม แต่มันก็จะเป็นเพียงความทรงจำขาดวิ่นไม่ปะติดปะต่อ ยกเว้นแต่ฉันที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน ต่อเนื่องกัน และเป็นนิรันดร์ในใจฉัน

ฉันเสียใจที่ฉันไม่ใช่นักหยุดเวลา ทั้งที่ความคิดและความรู้สึกทั้งหมดของฉันหยุดอยู่ที่ตรงนั้น จุดที่กาลเวลาไม่อาจหวนกลับ หากฉันเป็นนักหยุดเวลา ฉันอาจจะสะกดเสี้ยววินาทีนั้นไว้ได้ ฉันอาจจะพบว่าในเสี้ยววินาทีนั้นฉันมีความรู้สึกมากเพียงใด

แต่ฉันไม่ใช่นักหยุดเวลา ดังนั้นห้วงเวลาที่ฉันพยายามสะกดไว้ มันกลับค่อย ๆ ขยายขึ้น และความรู้สึกก็ทบทวีรุนแรง บางครั้งเวลาที่ฉันคิดถึงห้วงเวลานั้น ฉันเสียน้ำตา

(4.)

เธอเป็นนักหยุดเวลาในวันที่เสี้ยววินาทีนั้นเลยผ่านไปนานแล้ว มันจึงไม่มีหลักฐานในเสี้ยววินาทีนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา

เฉพาะเรื่องของเราสองคน เวลาสำหรับเธอจึงเดินไปข้างหน้า เธอมีภาระที่ต้องหยุดเวลารออยู่ข้างหน้ามากมาย สำหรับนักหยุดเวลา เสี้ยววินาทีที่รออยู่ข้างหน้ามีความหมายกว่าการหวนกลับไปบันทึกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปแล้ว เพราะมันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

มีก็แต่นักสะกดห้วงเวลาอย่างฉันที่ยังจมจ่อมอยู่กับเรื่องเก่า ๆ นักสะกดห้วงเวลาอย่างฉันยังคงเขียนถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านไปแล้ว มันอาจออกมาเป็นบทกวีนับร้อยบท เรื่องสั้นนับพันเรื่อง หรือนวนิยายนับหมื่นเล่ม เพียงเพราะฉันหยุดเวลาเสี้ยววินาทีนั้นไม่ได้

(5.)

อีกครั้งที่ฉันมองบางสิ่งในลิ้นชักดิจิตอล

ใครบางคนหยุดเวลาของสองเราไว้ตรงนั้น

มีเพียงเราสองคน, ฉันยิ้ม, เธอยิ้ม, ใครบางคนหยุดเวลานั้นไว้ ใครบางคนที่ไม่รู้ว่าเสี้ยววินาทีที่เขาหยุดเวลานั้นไว้ เมื่อผ่านมาห้าปี มันจะทำให้หนึ่งในสองคนในภาพต้องเสียน้ำตา

เราสองคนนั่งห่างกันพอสมควร นั่นแหละ, ฉันวางระยะห่างของเราให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมเสมอ ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าฉันจะสูญเสียเธอ นับตั้งแต่เสี้ยววินาทีนั้นจนถึงวินาทีนี้ แต่ฉันก็หาเหตุผลไม่ได้เลยว่า ทำไมวันนี้ฉันต้องมีน้ำตา

หรือเป็นเพราะครั้งหนึ่ง, เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ฉันสูญเสียระยะห่างนั้นอย่างไม่ตั้งใจ จึงทำให้ฉันรับรู้ถึงบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต นึกย้อนกลับไปยังเสี้ยววินาทีที่ใครบางคนหยุดเวลาของสองเราไว้ตรงนั้น บางทีเสี้ยววินาทีที่ไม่อาจหวนกลับ ฉันอาจจะคิดผิด เสี้ยววินาทีนั้นอาจเป็นเสี้ยววินาทีที่มีความหมายที่สุดในชีวิตฉัน เพียงแค่ฉันขยับเข้าใกล้เธออีกเพียงนิดเดียว

ใกล้เธอมากพอที่จะรับรู้เสียงของหัวใจตนเองว่า นอกจากเธอ, นักหยุดเวลาผู้ไม่เคยหยุดเวลาของสองเรา, ฉันรักใครมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว


วุฒินันท์ ชัยศรี
11 กันยายน 2554

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

บางบทบันทึกถึงเจ้าแมวสีฟ้า

1. เจ้าแมวสีฟ้า

น่าแปลกที่เมื่อวานฉันฝันถึงนาย-เจ้าแมวสีฟ้า มีคนบอกมาว่าอันที่จริงตัวนายไม่ใช่สีฟ้า เดิมทีนายเป็นเจ้าแมวสีเหลือง แต่นายกลายเป็นสีฟ้าด้วยความโศกเศร้าหดหู่ เช่นนั้นนายก็เป็นแมวแห่งความเศร้า ในบางขณะฉันก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้-นายเป็นแมวแห่งความเศร้า แต่นั่นไม่ใช่ตอนที่ฉันเริ่มรู้จักนาย

เมื่อแรกเริ่มรู้จักนาย ฉันเรียกนายว่าแมวแห่งความฝัน จะไม่ให้ฉันเรียกอย่างนั้นได้อย่างไร ก็นายเล่นโผล่ออกมาจากลิ้นชัก บอกฉันว่านายเป็นหุ่นยนต์แมวจากอนาคต พร้อมทั้งนำเอาของวิเศษมากมายออกมาจากกระเป๋าใบเล็ก ๆ นายควักเอาอัลบั้มรูปถ่ายในอนาคตของเด็กชายไม่ได้เรื่องคนนั้นออกมาให้เขาดู บอกเขาว่านายจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กชายคนนั้น แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เด็กชายคนนั้นก็ยังเป็นเด็กชายที่ไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม แต่ฉันก็ยังอิจฉาเด็กชายไม่ได้เรื่องคนนั้น ไม่ใช่ว่าเพราะเขาได้ใช้งานของวิเศษมากมายของนายหรอกนะ แต่ฉันอิจฉาเพราะเด็กชายไม่ได้เรื่องคนนั้นมีเพื่อนที่แสนดีอย่างนาย

แม้นายไม่มีตัวตนให้ฉันจับต้องได้ แต่นายก็มีชีวิตอยู่ในความฝันของฉันเสมอ-เจ้าแมวสีฟ้า ในความฝันนายพาฉันไปไกลถึงสุดขอบฟ้า บางคราดำดิ่งลงสู่มหาสมุทร บางครั้งย้อนเวลาไปยังยุคโบราณ ฉันขำทุกครั้งเมื่อถึงคราวจวนตัว นายดูพึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย (ฉันสงสัยมานานแล้วว่านายเอาของจำพวกถ้วยถังกาละมังหม้อใส่ไว้ในกระเป๋ามิติที่สี่ทำไม เห็นนายคว้าออกมาจากกระเป๋าตอนลนลานอยู่เสมอ) แต่สุดท้ายนายก็พาพวกเราผ่านเรื่องร้ายมาได้เสมอ

แต่แล้ววันหนึ่งนายก็หายไปจากชีวิตฉัน

ฉันไม่รู้เหตุผลที่นายหายไป นายไม่มีแม้คำร่ำลาบอกกล่าว หรืออันที่จริงเป็นฉันต่างหากที่หายไปจากชีวิตนาย ฉันไม่รู้เลยว่าใครเป็นฝ่ายหายไปจากใคร พอรู้ตัวอีกทีนายก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉันอีกแล้ว นายไม่มีตัวตนแม้แต่ในความฝันของฉันเอง บางครั้งฉันสงสัยว่าของวิเศษแบบนี้จะมีไหมนะ-เครื่องริบสิทธิ์ที่จะฝันถึงนาย-แล้วนายเผลอแบ่งให้พวกผู้ใหญ่ใช้หรือเปล่านะ

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ฉันรับเอานายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนเมื่อนายหายไป ฉันจึงรู้สึกว่าหัวใจของฉันมีรูโหว่ขนาดใหญ่ที่ไม่มีวันถมเต็ม แม้ว่าฉันจะพยายามดิ้นรนเท่าไหร่ แต่นายก็ไม่เคยกลับมาในความฝัน นับจากวันนั้นวัยเด็กของฉันจึงพลัดหลงไปพร้อมกับการเลิกฝันถึงนาย และเป็นวันเดียวกับที่ฉันเรียกนายว่า-แมวแห่งความเศร้า

2. ไฟฉายย่อส่วน

เมื่อก่อนโลกที่ฉันอยู่ดูกว้างใหญ่ไพศาล โรงเรียนของฉันอาจไม่มีภูเขาหลังโรงเรียนเหมือนเด็กชายไม่ได้เรื่องคนนั้น แต่ฉันก็มีบ่อน้ำหลังโรงเรียนที่เป็นเสมือนพื้นที่ผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของฉัน นายเคยเห็นไหมเล่า มันมีทั้งบ่อน้ำและป่ารกชัฏอันแสนลึกลับกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บางทีคงต้องขอยืมคอปเตอร์ไม้ไผ่ของนายมาบินสำรวจถึงจะรู้ทางทั้งหมด ฉันเคยฝันว่าจะให้นายพามาสำรวจที่นี่ แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่เคยมาผจญภัยที่นี่ด้วยกันเลย

วันที่ฉันเลิกฝันถึงนาย ฉันกลับไปที่โรงเรียน กลับไปสำรวจพื้นที่ผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของฉัน กลับพบเพียงแค่บ่อน้ำเล็ก ๆ และป่ารกนั่นก็เดินเพียงชั่วอึดใจก็ทะลุถึงถนนใหญ่ ไม่รู้ว่าใครลักพาเอาพื้นที่อันไพศาลของฉันหนีไป เช่นเดียวกับที่ฉันได้รู้ว่าโลกใบที่กำลังยืนอยู่นี้เล็กลงเรื่อย ๆ ทำไมทุกสิ่งไม่ยิ่งใหญ่เหมือนโลกที่นายเคยพาฉันไปผจญภัย ทำไมพื้นที่ผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของฉันถูกกำหนดไว้ในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ซึ่งกางกั้นอาณาเขตไว้แค่หลังอาคารเรียนจนถึงสุดขอบถนน

และนายก็อยู่แต่ในกระดาษซึ่งบางหน้าก็ขาดวิ่น

ก่อนหน้านี้ฉันสงสารเด็กชายไม่ได้เรื่องคนนั้น เขาช่างเป็นคนที่ล้มเหลวในทุก ๆ ด้าน เว้นแต่การยิงปืนและพันด้ายซึ่งดูไร้สาระเสียเต็มประดา แต่นายรู้ไหม นับจากวันที่ฉันเลิกฝันถึงนาย นับตั้งแต่ที่นายหายไปจากชีวิตของฉัน ฉันกลับกลายเป็นเด็กชายไม่ได้เรื่องคนนั้น ฉันกลายเป็นคนที่ล้มเหลวในทุก ๆ ด้าน และเพ้อฝันถึงแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้แต่พื้นที่แห่งการผจญภัยในวัยเด็กก็ถูกย่อส่วนลงเหลือเป็นเพียงความฝันอันกลวงเปล่า

ผิดกันแต่ว่าในวันที่ฉันสิ้นไร้หนทาง ไม่มีนายโผล่ออกมาจากลิ้นชักเพื่อช่วยประคับประคองชีวิตฉัน

จากวันที่ฉันเลิกฝันถึงนาย ตอนนี้ฉันโตขึ้นมาเป็นคนธรรมดาซึ่งมีคำพูดติดปากว่า "เป็นไปไม่ได้หรอก" -คนแบบที่ฉันเกลียดนักเกลียดหนาในวัยเด็ก คนที่ถูกกักขังในกรงซึ่งเอื้อมไม่ถึงจินตนาการ บางทีฉันนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน หรือจะมีไฟฉายซึ่งจะย่อส่วนความฝันอันยิ่งใหญ่ให้เหลือเพียงเศษธุลี

นายก็รู้ว่าดวงตาของฉันก็เป็นดวงตาดวงเดิม แต่พื้นที่ผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของฉันกลับไม่เหมือนเดิม ฉันอยากรู้แค่เพียงว่านายใช้ไฟฉายย่อส่วนของนายฉายเข้ามาที่บ่อน้ำหลังโรงเรียน หรือในใจฉันกันแน่

3. ไทม์แมชชีน

หากฉันได้รับอนุญาตให้ใช้ไทม์แมชชีนเพียงหนึ่งครั้ง ฉันอาจต้องเลือกระหว่างการย้อนเวลากลับไปในวัยเด็ก เพื่อไม่ให้ฉันตอนเด็กรู้จักนาย-เจ้าแมวแห่งความฝัน หรือการเดินทางไปในอนาคตอีกหนึ่งร้อยปีเพื่อที่จะรู้ความจริงว่านายเกิดวันนี้จริงหรือไม่ ซึ่งอันที่จริงฉันอาจจะไม่กล้าพอที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง หรือปฏิเสธทั้งสองทาง

หากฉันไม่รู้จักนายตอนเด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรเล่าหากเด็กคนหนึ่งไม่เชื่อว่าไม้ไผ่ชิ้นเล็ก ๆ จะทำให้คนเราบินบนท้องฟ้า และพื้นที่ผจญภัยอันกว้างใหญ่ก็เป็นแค่ภาพลวงตาในหน้ากระดาษ หรือหากฉันเดินทางไปในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไรหากฉันพบว่าเจ้าแมวสีฟ้าที่มีตัวตนอยู่ในความฝันของฉันเสมอมาไม่มีอยู่จริง

มันจะทำให้ฉันบินไม่ได้ด้วยไม้ไผ่ชิ้นเล็ก ๆ ผ้าคลุมนั้นก็มิอาจย้อนเวลาให้ของเก่ากลับดูใหม่ ดินสอคอมพิวเตอร์ก็กลายเป็นดินสอธรรมดาซึ่งนำพาศูนย์คะแนนมาให้คนที่ไม่ยอมอ่านหนังสืออย่างฉัน การพูดภาษาอื่นเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันหลายปีไม่ใช่แค่กินวุ้น และประตูไปไหนก็ได้ของฉันคงต้องปิดตายนิรันดร์

ไทม์แมชชีนอาจทำให้ฉันเดินทางย้อนเวลาหรือไปในอนาคตอันห่างไกล กระนั้นไม่ว่าเวลาจะย้อนคืนหรือเดินทางไปข้างหน้า มีแต่ความจริงเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยน-ความจริงซึ่งฉันไม่เคยรักมันเลย แต่มันกลับอยู่ข้าง ๆ ฉันแทนที่จะเป็นนาย นับแต่วันที่ฉันเลิกฝันถึงนาย

นายอยู่ที่ไหนนะเจ้าแมวสีฟ้า ทำไมนายไม่เคยกลับมาหาฉันอีกเลย นายลืมเจ้าเด็กไม่ได้เรื่องที่นายต้องดูแลไปแล้วหรือ ฉันซึ่งเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องในโลกที่ถูกย่อส่วนนี่เล่า นายก็ไม่เคยมาคอยปลอบโยนในความฝันเหมือนที่เคยทำมา นายหายตัวไปจากความฝันของฉัน และโลกความจริงที่ฉันอาศัยอยู่ก็เชื่อมโยงไม่ถึงโลกซึ่งนายเคยมีตัวตน หากฉันมีอายุยืนยาวนับจากนี้อีกร้อยปี ฉันจะได้พบนายบนโลกใบเดียวกันไหม

4. แมวแห่งความฝัน

ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าเมื่อวานฉันฝันถึงนาย-เจ้าแมวสีฟ้า ทันทีที่ลืมตาตื่นจากฝัน ฉันเห็นใบหน้าของนายนอนแอ้งแม้งอยู่ข้าง ๆ มันเป็นหมอนรูปใบหน้านายซึ่งมีคนซื้อมาให้ในวันเกิดปีนึงของฉันด้วยเหตุผลว่าฉันหน้ากลม ๆ เหมือนนายดี (คนที่ซื้อหมอนหรือตุ๊กตารูปนายมาให้ฉันก็มักจะใช้เหตุผลนี้เสมอ คือฉันดูอ้วนกลมปุ๊กลุกเหมือนนาย) น่าแปลกที่ฉันมองเห็นหน้านายทุกเช้าตอนตื่นและทุกคืนก่อนนอน แต่ฉันไม่เคยฝันถึงนายมาหลายปีแล้ว

นึกทบทวนความฝันอีกครั้ง ฉันจำไม่ได้เลยว่านายมาปรากฏตัวในลักษณาการใด หรือนายพาฉันไปผจญภัยที่ไหน นายใช้ของวิเศษชิ้นใดในความฝัน นายมาคนเดียว มากับน้องสาว หรือมากับเด็กไม่ได้เรื่องและผองเพื่อนของเขา -ไม่มีอะไรตกค้างในความทรงจำของฉัน มีเพียงแต่นาย-เจ้าแมวสีฟ้า สีฟ้าของนายอาจหมายถึงความเศร้าที่ต้องสูญเสียหูสองข้างให้หนูตัวร้าย แต่ฉันคิดว่าบางทีท้องฟ้าก็ให้ความหวังแก่ผู้คนที่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองมากกว่าจะมองแล้วหดหู่

ฉันเคยคิดว่าความทรงจำอันแจ่มชัดของฉันที่มีต่อนายนั้นมีแต่ความโศกเศร้าโศกาอาดูรในตอนที่นายหายไปจากชีวิตของฉันเท่านั้น และฉันจะต้องลืมว่านายเคยมีตัวตนในความฝันของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด แต่อันที่จริงฉันลืมไปว่า นายคือความหวังและความฝัน ซึ่งฉันเผลอทำหล่นหายไปในบางขณะเท่านั้น แท้จริงแล้วนายยังมีชีวิตอยู่ไม่เพียงแต่ในความฝัน แต่อยู่กับฉันมาตลอดทั้งชีวิตต่างหาก

ฉันมองท้องฟ้า ด้วยหวังว่าจะมีแมวสีฟ้าตัวอ้วน ๆ ติดคอปเตอร์ไม้ไผ่บินผ่านฉันไป ฉันมองประตูหน้าห้องแล้วคิดว่าจะน่าตื่นเต้นเพียงไรหากมีหุ่นยนต์แมวตัวกลม ๆ เปิดประตูผ่านมิติมาจากอีกประเทศหนึ่ง ฉันมองลิ้นชักที่ไม่มีอะไรนอกจากหนังสือเก่า ๆ และดินสอยางลบวางระเกะระกะ ก็หวังเพียงว่าจะมีใครสักคนโผล่หน้ากลม ๆ มาเตือนว่า "นายลืมทำการบ้านอีกแล้วนะ"

แม้ว่าทุกอย่างไม่เคยเป็นความจริง แต่ด้วยความหวัง ความฝัน และห้วงคำนึงที่มีต่อนายมิใช่หรือที่ทำให้ลมหายใจของฉันยังคงมีค่า มิใช่คนสิ้นไร้ความหวังที่ใช้ชีวิตอย่างคนที่ตายไปแล้ว

ฉันดีใจที่ฝันถึงนายอีกครั้ง-เจ้าแมวสีฟ้า นั่นทำให้ฉันรู้ว่าที่จริงแล้วนายยังคงอยู่กับฉันเสมอมา และฉันเพียงแค่หลงลืมนายไปในบางเวลาเท่านั้น

5. 12/9/3

ปีสองพันสิบสอง เดือนเก้า วันที่สาม หรือ 12/9/3 (ตัวเลขนี้น่าประหลาดดี ก็น้ำหนัก/ส่วนสูง/สัดส่วนรอบหัว เอว หน้าอก/เส้นผ่านศูนย์กลางฝ่าเท้า/ความเร็ว/การกระโดด/พละกำลัง ของนายล้วนแต่วัดออกมาได้ 129.3 ทั้งนั้นนี่นะ) นับจากนี้อีกหนึ่งร้อยปีนายจะถือกำเนิดขึ้น ซึ่งในตอนนั้นฉันอาจเป็นผงธุลีปลิวหล่นอยู่ที่ไหนสักที่ และห้วงคำนึงที่มีต่อนายก็เป็นเพียงสายลมบางเบาเท่านั้น

ไม่รู้ว่าอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า นายจะมีตัวตนอยู่จริงไหม แต่ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว เพราะสิ่งที่แจ่มชัดในความทรงจำของฉันไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่านายเป็นหุ่นยนต์แมวตัวอ้วนกลมน่ากอดที่มีของวิเศษน่าตื่นตาตื่นใจ แต่คือการเป็นเพื่อนรักในวัยเยาว์ที่ทำให้ความทรงจำในวัยเด็กของฉันมีความหมายมากกว่าที่เคยเป็นมา

ฉันเชื่อว่าในหัวใจของผู้คนทั่วโลก นายยังคงมีตัวตนอยู่เสมอ และหากมีเด็กสักคนอยากบินบนท้องฟ้า นายก็คงพูดว่า "ไฮ้ ทาเคะคอปตา" และยื่นคอปเตอร์ไม้ไผ่ให้โดยไม่ลังเล



วุฒินันท์ ชัยศรี
3 กันยายน ค.ศ. 2012
นับถอยหลังอีกหนึ่งร้อยปีจะถึงวันเกิดของโดราเอมอน

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

วันที่ฉันเสียเธอให้แก่บทกวี

วันที่ฉันเสียเธอให้แก่บทกวี
สิ่งเดียวที่ฉันทำได้มีเพียงเขียนบทกวีอีกหนึ่งบท
เพื่อบันทึกทุกห้วงความรู้สึกในวันที่ฉันเสียเธอให้แก่บทกวี
ฉันเสียเธอให้แก่บทกวีเพียงเพื่อเขียนบทกวีในวันที่ฉันเสียเธอให้แก่บทกวี
ที่สุดแล้วมันไม่มีอะไรเลยนอกเสียจาก
กระดาษเปื้อนเปรอะน้ำตา เหลือหยดหมึกเพียงด่างดวง
และความหมายอันกลวงเปล่า
เป็นเพียงความทรงจำอันเลอะเลือนของถ้อยคำ
ซึ่งพยายามจะบันทึกปริมาตรไร้รูปของความปวดร้าวอย่างน่าสมเพช
โดยแสร้งทำเป็นไม่แยแสกับการเสียเธอให้แก่---
บทกวีซึ่งฉันเคยเขียน, และกำลังเขียนขึ้น
อันจะเป็นอนุสาวรีย์แห่งความขลาดเขลา
และจดจารความโง่งมอันเป็นนิรันดร์ของฉัน
ซึ่งยอมสูญเสียเธอเพียงเพื่อเขียนบทกวี---
ในวันที่ฉันเสียเธอให้แก่บทกวี


๒ กันยายน ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คนน่ารัก (2)

๏ เธอน่ารักเหมือนเดิม
เหมือนแรกเริ่มเมื่อรู้จัก
ยิ่งมองยิ่งน่ารัก
อยากทายทักสักครั้งนึง

๏ สบตานัยน์ตาหวาน
เหมือนล้านดาวมาดูดดึง
ยิ้มหวานยิ่งหวานซึ้ง
ยิ่งน่ารักอยากทักทาย

๏ เวลาผ่านมานานปี
ก็รู้ดีว่าไม่ง่าย
ฉันคนนี้น่ะขี้อาย
เป็นโรคคล้ายขอมดำดิน

๏ ต่อหน้าคนน่ารัก
มักถูกสาปให้เป็นหิน
ใบ้บ้าเป็นอาจิณ
หมดสิ้นคำจะจำนรรจ์

๏ ทั้งที่ความคิดถึง
ห้วงคะนึงในความฝัน
พร่ำเพ้อถึงเธอนั้น
ทุกคืนวันแทบวางวาย

๏ อายครูบ่รู้วิชา
คนน่ารักหากเขินอาย
ไร้คู่คงเสียดาย
ในภายหลังนั่งเสียใจ

๏ โรคแพ้คนน่ารัก
หวังสักวันเลิกหวั่นไหว
ความรักหนักฤทัย
คงได้เอ่ยเผยสักที ๚ะ๛


๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แรงดึงดูด

"แม่ครับ ทำไมน้ำถึงตกจากข้างบนลงมาข้างล่างล่ะครับ"
"เพราะโลกมีแรงดึงดูดไงจ๊ะ"
"แล้วที่มีคนมาเที่ยวเยอะ ๆ แบบนี้ก็เพราะแรงดึงดูดใช่มั้ยครับ"
"ใช่จ้ะ" เธอหัวเราะกับความช่างคิดของลูกชาย "น้ำตกที่นี่สวยมาก ก็เลยดึงดูดให้คนมาเที่ยวเยอะแยะ"
"ที่พ่อกำลังเดินไปทางนั้นก็เพราะแรงดึงดูดใช่มั้ยครับ"
เธอมองไปทางที่ลูกชายชี้นิ้ว สามีของเธอกำลังเดินตามสาวฝรั่งหุ่นสบึมส์ต้อย ๆ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สะโพกดินระเบิดของเจ้าหล่อนไม่วางตา
"คุณคะ!"


๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รอยเปื้อน

เสื้อเชิ้ตไม่ว่าจะสีไหนยี่ห้อใดเมื่อถูกกาแฟหกใส่ก็ต้องมีรอยเปื้อน สิ่งที่สั่นสะเทือนหัวใจผมมากกว่าปกติก็คือมันเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแบรนด์เนมราคาเท่าต้นฉบับเรื่องสั้นหนึ่งเรื่อง เสื้อเชิ้ตสุภาพอาจไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่จำเป็นสำหรับนักเขียนไส้แห้ง แต่มันจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องสวมทับวิญญาณอหังการ์เพื่อกลายร่างเป็นคนธรรมดาที่ยอมกราบกรานแทบเท้างอนง้อขอความเมตตากรุณาจากนายจ้างเพื่อให้รับเข้าทำงาน แฟนของผม-ซึ่งก็คือคนที่เพิ่งจะทำกาแฟหกรดเสื้อของผม-เป็นคนแนะนำให้ผมหาซื้อเสื้อตัวนี้มาใส่เพื่อ 'บุคลิกภาพที่ดี' หลังจากอดรนทนไม่ไหวที่เห็นผมตกงานมาหลายปี

เธอละล่ำละลักขอโทษในความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจ แล้วรีบเอาเสื้อไปทำความสะอาด อาจจะป้ายน้ำยาล้างคราบ หรือแช่น้ำยาซักผ้าขาว- ผมไม่รู้กรรมวิธีทำความสะอาดของเธอเลยแม้แต่น้อย หลักฐานก็คือบรรดาเสื้อยืดตัวเก่งที่ผ่านฝีมือซักของผมล้วนเต็มไปด้วยรอยเลอะเทอะเป็นด่างดวงเหมือนลูกหมาตกน้ำ ดูคล้ายกับชีวิตผมก่อนที่จะได้พบกับเธอ นับตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในชีวิตผม เธอก็ช่วยจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ชีวิตผมเข้ารูปเข้ารอยเหมือนคนอื่นเขาบ้าง รวมถึงงานประจำที่ผมกำลังจะไปสัมภาษณ์เข้าทำงานในวันพรุ่งนี้

เพียงไม่นาน คราบกาแฟก็หายไปสิ้น เธอรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวสวยของผมเสียจนกลีบเสื้อคมกริบ เธอบอกว่าผมจะต้องดูดีมากเมื่อใส่ไปสัมภาษณ์งานพรุ่งนี้ เมื่อเห็นผมก้มหน้าก้มตาไม่สนใจเธอจึงดึงปากกาออกจากมือผม บอกว่าดึกแล้วต้องรีบนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปสาย เรื่องสั้นที่แต่งค้างไว้ครึ่งเรื่องนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะอย่างนั้น ผมหยิบเสื้อเชิ้ตแสนสุภาพมาทาบตัว ดูไม่เข้ากันเลยกับหนวดเครารุงรังบนใบหน้า พรุ่งนี้โกนทิ้งให้หมดคงเข้าที ผมนึกในใจพลางมองหารอยเปื้อนบนเสื้อแต่หาไม่พบ แฟนผมทำงานได้สมบูรณ์แบบเหมือนทุกครั้ง แต่กระนั้นผมกลับเกิดความมั่นใจแปลก ๆ ว่าคงจะต้องมีรอยเปื้อนหลงเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่งบนเสื้อตัวนี้

วุฒินันท์ ชัยศรี

๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The Dark Knight Rises [to normal Hero]

หมายเหตุก่อนอ่าน

- เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนของภาพยนตร์ The Dark Knight Rises

- บทความนี้ไม่ใช่บทวิจารณ์ แค่เป็นบทบันทึกความรู้สึกบางประการที่มีต่อภาพยนตร์

ไม่รู้ว่าคริสโตเฟอร์ โนแลน คิดอย่างไรในการปิดฉากไตรภาคมนุษย์ค้างคาวใน The Dark Knight Rises ด้วยการถอยกลับไปเล่าเรื่องสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่แบบ Batman Begins ครั้นจะบอกว่าผู้กำกับอยากจะลดความซับซ้อนของภาคสองให้เข้าใจง่ายขึ้น หนังจะได้ขายง่ายขึ้นก็คงไม่ใช่ เพราะความสำเร็จมากมายมหาศาลจาก The Dark Knight ที่กวาดรายได้ไปกว่าพันล้านเหรียญ และได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ย่อมเป็นเครื่องการันตีว่าบทหนังที่เข้มข้นและซับซ้อนต่างหากที่สำคัญเสียยิ่งกว่าเอฟเฟคตูมตามระทึกใจที่เห็นกันเกลื่อนในหนังซูเปอร์ฮีโร่ธรรมดา เอาเฉพาะรายได้สิบวันแรกก็นับว่าภาคสามเก็บไปได้น้อยกว่าภาคสองเสียด้วยซ้ำ (อาจจะเพราะข่าวยิงกราดในโรงหนัง แต่มันก็คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งนะ)

อาจจะด้วยความที่อินกับภาคสองมาก และตั้งความหวังปนสงสัยไว้เยอะว่า โนแลนจะทำแบทแมนภาคสามนี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าภาคสองได้อย่างไร เมื่อหนังเรื่องนี้ทำออกมาทำนองว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ จึงทำให้ผิดหวังนิด ๆ กับหนังที่ออกมา แต่อย่างไรเสียเรื่องราวในภาคนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนักเมื่อเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น คงพอจะเรียกได้ว่าไม่ใช่หนังฮีโร่ดาด ๆ

ภาคนี้ไม่ได้พูดถึงเส้นแบ่งอันเลือนรางของความดีกับความชั่วเหมือนในภาคสองที่ใส่ไดอะล็อกการถกเถียงกันของแบทแมนกับโจ๊กเกอร์ การใส่ฉากระเบิดเรือเฟอร์รี่ การใส่ฉากแบทแมนตีหัวหมอ คว่ำหน่วยสวาท บลา ๆ ๆ ฯลฯ แต่ภาคนี้แค่เปิดฉากมาก็รู้เลยว่าไอ้เบนนี่มันร้ายจริง ร้ายระดับผู้ก่อการร้ายเสียด้วย โจ๊กเกอร์ในภาคก่อนอาจจะร้ายในแบบที่เล่นกับจิตวิทยาของมนุษย์ พยายามสลายเส้นแบ่งทางศีลธรรมหรือความดีงามอะไรก็แล้วแต่ แต่เจ้าเบนนี่ไม่ต้องล่งต้องเล่นอะไรแล้ว มึงไม่ต้องวิเคราะห์ให้มากความ กูมาเพื่อปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติโว้ย ไอ้แบทแมนคนดีมาฉะกันเลย อะไรทำนองนั้น

ความงุนงงของภาคต่อและคำพูดสุดเชยจากหนังซูเปอร์ฮีโร่

สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดกับหนังภาคนี้มีอยู่สองประการ ประการแรกคือความงุนงงที่เกิดจากการจำเนื้อหาของภาคสองได้ ภาคนั้น ลูเชียส ฟ็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของเวย์น เอ็นเตอร์ไพรส์ และนักประดิษฐ์อาวุธของแบทแมนกล่าวไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำในตอนที่แบทแมนขอร้องให้เขาหาตัวโจ๊กเกอร์จากเครื่องรับส่งสัญญาณที่ผิดกฎหมาย เขาบอกว่า "I'll help you this one time. But consider this my resignation"

ตอนนี้ทำให้เห็นว่าแบทแมนทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหาตัวโจ๊กเกอร์จริง ๆ โดยยอมสูญเสียทุกอย่างแม้แต่การสูญเสียบุคลากรทรงค่าอย่างฟ๊อกซ์จากเวย์น เอ็นเตอร์ไพรส์ ก่อนจะดูภาคนี้ผมยังนึกอยู่ว่าแบทแมนจะเอาอะไรกลับมาผงาดเมื่อเขาสูญเสียแทบทุกอย่างจากการทุ่มเทจับโจ๊กเกอร์แล้ว แต่แล้วมาภาคนี้ฟ๊อกซ์ก็ยังคงอยู่ในบริษัทเวย์นอย่างสบายอารมณ์ (?) เฮ้ย แล้วที่แกบอกจะลาออกในภาคที่แล้วล่ะเฟร้ย!

แล้วพอแบทแมนจะกลับมา ฟ็อกซ์ก็พาเข้าไปในฝ่ายวิจัย โชว์อาวุธมหาศาลอย่างกะจะสะสมไว้ก่อสงคราม และสาเหตุที่มีอาวุธเยอะแยะก็กล่าวว่า "เพื่อไม่ให้อาวุธพวกนี้ตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่เหมาะสม" เฮ้ย แล้วแบทแมนเหมาะสมกับอาวุธเยอะแยะพวกนี้ตรงไหนฟระ เฮียแกก็ไม่ได้ใช้อาวุธพร่ำเพรื่อนา เห็นมีแต่หมัดเข่าศอก

ความเจ็บปวดประการที่สองคือคำพูดเชย ๆ ที่แบทแมนพูดกับหมวดกอร์ดอนตอนท้าย ๆ เรื่อง ทำนองว่า

"ทุกคนก็เป็นฮีโร่ได้ แม้แต่คนที่ถอดเสื้อคลุมเพื่อปลอบใจเด็กคนหนึ่งให้เขารู้ว่าโลกทั้งใบยังไม่ได้ถล่มทลาย"

หรืออะไรทำนองนี้แหละ ฟังจบแล้วอยากจะเอาหัวโขกเบาะคนข้างหน้าสักสองสามครั้ง ก็แบทแมนไม่ใช่เหรอที่พูดไว้ในภาคก่อนตอนที่มีคนพยายามเลียนแบบแบทแมน

"What gives you the right? What's difference between you and me?"

"I'm not wearing hockey pads."

ไอ้คำว่า "ฉันไม่ได้ใส่เสื้อเกราะฮอกกี้" ฟังดูเหมือนคำพูดทีเล่นทีจริง แต่นี่ไม่ใช่เหรอที่เป็นการบอกว่าไม่ใช่ใครก็เป็นฮีโร่ได้ ไม่ใช่ใครนึกอยากเป็นฮีโร่ก็สวมเกราะฮอกกี้ออกมาล่าอาชญากรได้

แน่นอนว่าเนื้อในของแบทแมนกับคนที่เลียนแบบแบทแมน แท้จริงไม่แตกต่าง เมื่อถอดเกราะออกมาแล้วก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน แบทแมนเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่ฮีโร่ที่เกิดมิวแตนท์ยีนผิดปกติ โดนแมงมุมกัด หรือมาจากต่างดาว ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างระหว่างแบทแมนกับคนธรรมดาจึงไม่ใช่แค่เรื่องชุดเกราะ แต่เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมรับความเจ็บปวดจากการต้องเสียสละ และการอุทิศตนต่อการเสียสละนั้นอย่างถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นการตั้งตนเป็นฮีโร่ก็แค่ศาลเตี้ย เหมือนที่อัลเฟรดพูดไว้ในภาคก่อนว่า

"...even if everyone hates him for it. That's the sacrifice he's making. He's not being a hero. He's being something more."

นั่นคือความหมายของซูเปอร์ฮีโร่ที่โนแลนบอกเล่าไว้ในภาคก่อน "...you either die a hero or you live long enough to see yourself become the villain" การเป็นฮีโร่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ทำไมภาคนี้ถึงเป็นกันง่ายจังเลยวุ้ย หรือว่าต้องการส่งไม้ต่อให้โรบินแบบง่าย ๆ หน่อย

กลับสู่การเล่าเรื่องแบบภาคแรก

เรื่องราวในภาคสามกลับสู่การเล่าเรื่องเหมือนภาคแรก Batman Begins ซึ่งมีเนื้อเรื่องประมาณว่า บรู๊ซ เวย์นคือมนุษย์ผู้มีความกลัว โดยรูปธรรมเขากลัวค้างคาว โดยนามธรรมเขากลัวแรงผลักดันของความโกรธเกลียดที่อยู่ในใจซึ่งจะย้อนกลับมาทำลายทุกคนรอบตัว เขาจึงออกสู่การเดินทางเพื่อเอาชนะความกลัวและที่สุดก็กลายเป็นแบทแมน

เขาเอาชนะความกลัวโดยรูปธรรมคือเขากลายเป็นค้างคาวเสียเอง ส่วนนามธรรมก็คือเขาเอาชนะความโกรธเกลียดที่มุ่งทำลายล้างโดยการอุทิศตนและการเสียสละเพื่อปกป้องเมืองก็อธแธม บ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง การเล่าเรื่องนามธรรมคือการเอาชนะความโกรธเกลียดในจิตใจออกมาเป็นรูปธรรมคือการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนนี้ได้นำมาใช้ในภาคสามอีกครั้ง

เรื่องราวเริ่มขึ้นที่การยกย่องฮาร์วี่ เดนท์ เป็นฮีโร่แห่งก็อธแธม พร้อมกับการหายตัวไปของแบทแมนซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สังหารเดนท์ เมืองทั้งเมืองดูสงบสุขจากกฎหมายปราบปรามอาชญากร หรือกฎหมายเดนท์ แต่แท้จริงแล้วความพินาศกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ

แบทแมน หรือบรู๊ซ เวย์น ปรากฏตัวฉากแรกของภาคนี้ในสภาพชายแก่อิดโรย หมดราศีของฮีโร่ไปเสียแล้ว น้องที่นั่งข้าง ๆ กระซิบว่า "เฮียแกจะยังสู้ใครได้รึเปล่าเนี่ย"

ไม่เพียงแต่ความเข้มแข็งของร่างกาย บรู๊ซ เวย์น สูญสิ้นหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นศรัทธาต่อความดีงาม หรือการอุทิศตนเพื่อความถูกต้อง เขาเพียงแค่เสียใจและสำนึกผิดจากสิ่งที่ใบหน้าซึ่งสวมหน้ากากได้เสียสละลงไป จนทำให้เขาสูญเสียคนที่รักมากที่สุดอย่างเรเชลไป แม้จะอ้างว่าเขาแบกรับความผิดของฮาร์วี่ เดนท์ เพื่อให้เดนท์เป็นวีรบุรุษของก็อธแธมก็ตาม บรู๊ซยึดติดกับหน้ากากแบทแมนจนเกินไป เขาหลงลืมคำพูดตัวเองที่เคยด่าคนที่เลียนแบบแบทแมนด้วยการสวมเกราะฮอกกี้ แต่ตอนนี้เขาเองนั่นแหละที่กำลังสวมชุดเกราะฮอกกี้ และยึดติดตัวเองไว้กับความเสียใจและสำนึกผิดเพียงคนเดียว โดยหลงลืมการอุทิศตนและเสียสละในรูปแบบอื่น รวมทั้งเงินบริจาคให้สถานรับเลี้ยงเด็กจากเวย์น เอ็นเตอร์ไพรส์ จนทำให้เด็กที่อายุเกินอยู่ที่สถานรับเลี้ยงต่อไม่ได้และกลายเป็นกองกำลังของเบน ตัวร้ายของภาคนี้

เขาสูญเสียศรัทธา หลงลืมการอุทิศตน จิตวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับความเจ็บปวดจากการเสียสละ และถูกผลักดันด้วยความโกรธเกลียดเหมือนตอนก่อนที่จะเป็นแบทแมน การกลับมาสวมหน้ากากแบทแมนเพื่อปราบเบนจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากจะโดนหลอกไปให้เบนหักหลังเล่น

การตกลงไปในคุกซึ่งเปรียบเสมือนนรกหลุมที่ลึกที่สุด แท้จริงจึงเป็นการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนเหมือนในภาคแรก แต่คราวนี้เป็นการดำดิ่งลงไปในจิตใจของเขาเอง เพื่อค้นหาคำตอบว่าเขาเป็นแบทแมนเพื่ออะไร?

ค้นหาความหมายใต้หน้ากากอีกครั้ง

แน่นอนว่าเขาอาจถูกผลักดันด้วยความโกรธเกลียด เหมือนที่ตอนแรกในคุกเขาพยายามฝึกร่างกายให้เข้มแข็งอย่างหักโหม บอกหมอว่าเขากำลังโกรธและต้องการกลับไปจัดการเบนที่กำลังทำลายก็อธแธม แต่ที่สุดแล้วความโกรธไม่ใช่คำตอบ ความโกรธไม่ช่วยให้เขาออกไปจากคุก (โดยรูปธรรม) และออกไปจากวังวนของจิตใจที่อยู่กับความโกรธแค้น ความเสียใจ ความสำนึกผิดต่อความอ่อนแอของตน (โดยนามธรรม)

ที่สุดเขาจึงได้เรียนรู้ความจริงจากคำพูดของอัลเฟรดที่พูดไว้ในภาคก่อนว่า They'll hate you for it, but that's the point of Batman. He can be the outcast. He can make the choice that no one else can make, the right choice. เขาเป็นแบทแมนไม่ใช่เพื่อการเป็นฮีโร่ เขาสวมหน้ากากไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันการที่คนใกล้ตัวจะถูกแก้แค้น แต่คือการอุทิศจิตวิญญาณเพื่อความถูกต้อง และต้องยินยอมรับความเจ็บปวดอันเกิดจากการเสียสละนั้นด้วย หน้ากากจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้กับวังวนของจิตใจตนเอง ฉากสุดท้ายที่บรู๊ซปีนขึ้นมาจากคุกได้ เขาจึงปฏิเสธที่จะสวมเชือก เพราะนั่นคือหน้ากากในความหมายที่จะพันธนาการเขาไว้กับวังวนแห่งความเสียใจและสำนึกผิดในจิตใจ

การเดินทางขึ้นจากคุกจึงเป็นการเดินทางโดยรูปธรรมที่สะท้อนการเดินทางโดยนามธรรมเหมือนใน Batman Begins เขาได้ก้าวข้ามคำว่าแบทแมนในฐานะฮีโร่มาสู่ something more หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในนาทีที่เขาขึ้นมาจากคุกนั้นได้ จากนั้นเรื่องราวก็เป็นตามสูตรของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ทำนองว่าแบทแมนกลับมาช่วยกอบกู้ก็อธแธม โดยยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิต จนเขาได้กลายเป็นฮีโร่ เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีของก็อธแธมอย่างแท้จริง รายละเอียดมากกว่านี้ก็หาอ่านได้ทั่วไปตามเว็บสปอยล์

ส่งไม้ต่อให้ฮีโร่รุ่นต่อไป?

อย่างที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรก ๆ ไอ้คำพูดเชย ๆ ที่ว่า "ไม่ว่าใครก็เป็นฮีโร่ได้" ก็อาจเป็นการส่งไม้ต่อให้ฮีโร่รุ่นต่อไปเพื่อเป็นการปิดฉากการ "ผงาด" ของแบทแมน เพราะในภาคแรกบรู๊ซเองก็กล่าวไว้ว่าเขาต้องการเป็นแบทแมนเพราะหากทำความดีในนามบรู๊ซ เวย์น เขาอาจเสื่อมสลายไปได้เหมือนพ่อของเขา แต่หากเป็นความดีในนามแบทแมนจะไม่มีทางเสื่อมสลาย เขาต้องการให้แบทแมนเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ และโดยสัญลักษณ์นั้น แบทแมนไม่มีวันตาย

ที่สุดแล้วเรื่องราวไตรภาคก็ย้อนกลับมาจบที่คำพูดในภาคแรก แบทแมนกลับกลายจาก "ไอ้โม่งนอกกฎหมาย" เป็นอนุสาวรีย์แห่งความดีในก็อธแธม และเกิด "โรบิน" เพื่อสานต่ออุดมการณ์ของแบทแมนต่อไป ตอนจบบรู๊ซอาจจะตาย (ที่อัลเฟรดเห็นเป็นแค่ภาพจินตนาการ) หรืออาจจะไม่ตาย (แก้ไขระบบออโต้ไพลอตแล้วนี่ ขอจบแบบแฮปปี้หน่อยเถอะ) แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่อทุกคนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า Hero แล้ว แม้ภาคจบมันจะกระเดียดไปทางฮีโร่ธรรมดา ๆ ก็ตามที

วุฒินันท์ ชัยศรี

๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คิดถึง (๒)


๏ ความคิดถึงที่ส่งไปไกลสุดฟ้า
ไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่ถึง
ใครอาจหักใจห้ามความคำนึง
ใจลึกซึ้งถูกส่งไปไร้ผู้รับ

๏ ค่อยฟื้นภาพความคำนึงเคยซึ้งซาบ
ค่อยฟื้นภาพเธออยู่มิรู้หลับ
สุดแสนเวทนาใจอาภัพ
คนจากไกลไม่เคยกลับไม่รับรู้

๏ เมื่อความคิดถึงเริ่มก่อร่าง
หนทางสู่หัวใจเคยไปสู่
กลับรกร้างสิ้นไร้ใครเหลียวดู
กุญแจผ่านดาลประตูอยู่หนใด

๏ ความคิดถึงยังเร้นร่างอยู่อย่างนั้น
วอนเธอช่วยรับมันบ้างได้ไหม
แล้วค่อยทิ้งมิเหลียวแลแล้วแต่ใจ
แค่มีเธอ, มันจะได้ไม่เคว้งคว้าง

๏ ขอให้ความคิดถึงที่ส่งไป
อยู่เป็นเพื่อนใจให้เธอบ้าง
วันที่เธอเผลอหวั่นไหวใจอ้างว้าง
ขอเป็นเพื่อนร่วมทางอย่างเจียมใจ

๏ ไม่เคยหวังจะให้ใครคิดถึงกลับ
ไม่ว่าเธอจะได้รับหรือไม่
ขอแค่ส่งความคิดถึงและห่วงใย
ให้เธอรู้ว่ามีใคร... คิดถึงเธอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๓/๐๘/๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รักนิรันดร์

๏ ความรักชั่วนิรันดร์...
ย่อมเปี่ยมด้วยความฝันเมื่อคิดถึง
ทุกทุกลมหายใจในห้วงคะนึง
คือน้ำผึ้งแสนหวานซ่านซึ้งใจ

๏ ความรักอาจหวานซึ้งและแสนสุข
หรืออาจทุกข์ร้อนรนหม่นไหม้
บางคราต้องห่มคลุมความเจ็บไว้
แต่ฤทัยก็ยังพร้อมจะยอมพลี

๏ เพราะรักคือพลังอันยิ่งใหญ่
เป็นทุกแรงบันดาลใจในทุกที่
ลมหายใจจึงเปี่ยมค่าทุกนาที
ขอแค่มีเธอเคียงข้างไม่ห่างตา

๏ ชีวิตอาจไม่มีชั่วนิรันดร์
เพียงผูกพันใจสองดวงด้วยห่วงหา
ให้ความรักลึกซึ้งถึงวิญญาณ์
รักจักข้ามห้วงเวลาชั่วนิรันดร์ ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕

(วันแต่งงานพี่โบ)

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน (๒)

๏ ไม่อยากเป็นเพียงแค่คนห่างไกล
หรือว่าเป็นคนที่ใจเธอใฝ่ถึง
มิต้องอยู่ในทุกห้วงความห่วงคะนึง
แค่ครั้งหนึ่งคิดถึงบ้างในบางเวลา

๏ ไม่อยากเป็นอันดับหนึ่งในหัวใจ
ขอแค่เสี้ยวความห่วงใยในห่วงหา
บางครั้งคราวก็ขอพบเพียงสบตา
ไม่เกินกว่าเพียงเท่านี้ที่เราเป็น

๏ อยากจะควงแขนใครฉันไม่ว่า
ขอเพียงอย่าห่างเหินเกินมองเห็น
ในทุกความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน
อย่าหลบเร้นหนีหน้าลาจากไป

๏ ไม่อยากเป็นเพียงแค่คนรู้จัก
และไม่อยากเป็นคนรักเหมือนคนไหน
แค่คนหนึ่งซึ่งรับรู้อยู่ว่าใคร
เกิดมาเพื่อเติมเต็มใจ-เพื่อให้รัก ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข้าวแยกกับข้าว

บางครั้งฉันก็อยากสั่งข้าวแยกกับข้าวต่างหาก
ทั้งที่มันไม่ได้ต่างกันเลยกับการลงไปผสมเป็นเนื้อเดียวกันในกระเพาะ
ฉันเพียงอยากจะแย่งตักกับข้าวกับใครสักคน
บางคราวแย่งชิ้นเนื้อที่ใหญ่กว่า บางคราสวมบทสุภาพบุรุษตักชิ้นเนื้อให้คนตรงข้าม
พร้อมกับเสียงหัวเราะหยอกล้อ คลุกเคล้าเรื่องราวต่าง ๆ นานา
มิใช่เพียงพริกน้ำปลาที่ตักเติมเพิ่มรสแปร่งปร่า

วันนั้นฉันสั่งข้าวแยกกับข้าว
เจ้าของร้านบอกว่ามันมากเกินจะกินคนเดียว
ฉันตอบไปว่า ทำแค่ให้พอกินคนเดียว เพียงแยกจานได้ไหม
สำหรับลูกค้าประจำไม่ยากอะไรเลย
เพียงแค่เพิ่มจานอีกสองจาน สำหรับกะเพราไก่และไข่ดาว
หนึ่งข้าวเปล่าวางตรงหน้า มือขยับไปมาระหว่างสามจาน
เป็นเช่นนั้นหนึ่งอาทิตย์ โดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
นอกเสียจากคำบ่นเบื่อของเจ้าของร้านที่ต้องล้างจานเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

แล้วฉันก็เลิกสั่งข้าวแยกกับข้าว
ข้าวราดกับข้าวหนึ่งจาน
ช้อนส้อมซ้ายขวา
เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับชีวิต--ลำพัง


๒ สิงหาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บางบทบันทึกในวันรับพระราชทานปริญญามหาบัณฑิต

1. Man vs Game กับสามหนุ่มกลุ่มสุดท้าย

ข้าพเจ้าปิดฉากชีวิตนิสิตปริญญาโทด้วยอมตะวจีอย่าง "วินนิ่งไหมสาด" และรบราฆ่าฟันกันอย่างนักรบแห่งพันธสัญญาในโลกสมมติในนามสามหนุ่มกลุ่มสุดท้ายจนถึงเช้า ก่อนจะเอาชุดตามวิทยฐานะมาสวมทับสังขารอันอิดโรยแล้วก้าวเดินไปสู่พิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร

สามหนุ่มกลุ่มสุดท้าย หมายความถึงสามหนุ่มผู้ว่างเว้นจากการถือครองกรรมสิทธิ์ชีวิตของงานประจำ ซึ่งนับเป็นกลุ่มสุดท้ายของเพื่อน ๆ สมัยมัธยมที่ได้งานได้การ รวมถึงเป็นฝั่งเป็นฝากันไปสิ้นแล้ว

ว่ากันตามวุฒิการศึกษา ข้าพเจ้าอาจจะมิปริญญาหลายใบกว่าพวกเขาทั้งสอง แต่เมื่อถอดเปลือกลวงหลอกทั้งหลายออกไป เราทั้งสามคนก็ยังเหมือนกันตรงที่คำว่าชีวิตมั่นคงตามความหมายของพจนานุกรมฉบับทุนนิยมยังปฏิเสธเราอยู่ เฉกเช่นเดียวกับความเท่าเทียมกันต่อหน้าปุ่มกดสิบสี่ปุ่มบนจอยขนาดเหมาะมือ

Man vs Game อันที่จริงเป็นฉายาซึ่งยินดีและเต็มใจจะมอบให้แก่เพื่อนผู้กระทำวีรกรรมกล้าหาญและยิ่งใหญ่เช่นว่าเผลอหลับไปทั้งที่มือกำจอยเกมเอาไว้ หรือการตะลุยเคลียร์เกมติดต่อกันสองวันสองคืนไม่หลับไม่นอน แต่เมื่อนับมาถึงเวลานี้ ข้าพเจ้าพบว่าตนเองก็ไม่ต่างจากฉายาดังกล่าวนัก

ข้าพเจ้ายังเป็นแมนวีเอสเกม พาตัวเองเข้าไปสู่การแข่งขันมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทุ่มเทกับมันสุดหัวจิตหัวใจเพียงเพื่อจะพบว่าชัยชนะนั้นแสนจะกลวงเปล่า ข้าพเจ้าอาจตะโกนดีใจที่ส่งลูกเข้าไปตุงตาข่ายฝ่ายตรงข้ามได้ หรือการพลิกกลับมาคว้าชัยชนะในตอนท้าย แต่เมื่อปิดเครื่อง ทุกอย่างก็รีเซ็ตกลับที่เดิม

ข้าพเจ้าพยายามพิสูจน์ตัวเองว่ากูก็เขียนหนังสือเป็นเพื่อลบคำปรามาสของนักเขียนแล้งน้ำใจบางคน โดยการพางานเขียนของตัวเองลงสู่สนามประกวดต่าง ๆ วันที่ประกาศผลรางวัลซึ่งมีชื่อข้าพเจ้าติดโผอยู่ ข้าพเจ้าอาจรู้สึกพองโต แต่เมื่อกลับมาที่บ้าน นอนหลับไปสักคืน เพียงตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็รีเซ็ตกลับไปที่จุดเดิม

ถ้วยรางวัลถูกเก็บไว้ในมุมอับ ๆ ของห้อง และถ้าไม่ปัดฝุ่นเสียบ้าง หยากไย่ก็จะมาจับจองพื้นที่ หนังสือซึ่งตีพิมพ์ผลงานของข้าพเจ้า ถูกกองรวม ๆ อยู่กับหนังสือพิมพ์ที่รอวันชั่งกิโลขาย

ทุกอย่างที่ข้าพเจ้าทุ่มเทด้วยจิตวิญญาณ สุดท้ายในสายตาของคนที่ไม่เข้าใจก็ไม่ต่างจากเกมสนุก ๆ สักเกมหนึ่ง ที่เมื่อถึงวันหนึ่งเครื่องเกมจะปิดลง และทุกอย่างรีเซ็ตกลับมาสู่โลกความจริง

โลกความจริงซึ่งข้าพเจ้านั้นอ่อนแอและกำลังจะแพ้พ่ายโดยไม่มีทางสู้

และไม่มีเปลือกหอยชื่อว่า "กำลังเรียนต่อ" มาห่อหุ้มตัวตนอันเปราะบางอีกต่อไป

อาจจะมีบางวินาทีที่ข้าพเจ้าคิดว่าพรุ่งนี้คือชัยชนะแท้จริง แต่การสวมบทแมนวีเอสเกมในคืนนี้ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจว่า พรุ่งนี้ก็เป็นอีกวันที่ชัยชนะของข้าพเจ้าจะหายไปเมื่อปิดเครื่องเกม ข้ามพ้นเส้นแบ่งของความฝัน และพบคำว่าชีวิตจริงยืนรอขย้ำเหยื่ออยู่ตรงหน้า นั่นคือการรีเซ็ตตัวเองกลับสู่สถานะความล้มเหลวที่มิอาจเบือนหน้าหนี

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นกองหน้าที่ข้าพเจ้าเลือกลงสนามบ่อยที่สุดในการเล่นวินนิ่ง "เฮียช้า" อาจจะขาดความเร็ว แต่มีความคม มีลูกพลิกแพลงบ่อย ๆ ทำประตูได้ทั้งการเตะและโหม่ง ขอแค่บอลกระเด็นมาถึงก็เกือบจะแน่ใจว่าใส่สกอร์ได้ชัวร์

แต่ในชีวิตจริง "เบิร์บ" เป็นกองหน้าที่แทบจะไม่ได้ลงสนาม และกำลังจะถูกขายทิ้งอย่างไม่ต้องการความเข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้น

ชีวิตจริงก็โหดร้ายเช่นนี้หรือมิใช่?

2. ความคาดหวังสีชมพู

ด้วยความที่ข้าพเจ้าเผชิญกับพิษของรถติดมามากพอ จึงเลือกที่จะเดินทางออกมาจากที่พักตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ผลก็คือข้าพเจ้าต้องมาเดินแกร่วในจุฬาฯ ตั้งแต่ตีห้า

ข้าพเจ้าคิดว่าที่นี่คือมหาวิทยาลัยแห่งความเร่งร้อน ข้าพเจ้านิยามเอาตามความรู้สึกเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับศิลปากรและรามคำแหง ที่ศิลปากรนั้นเวลาดูเหมือนจะเดินช้ากว่าปกติ ข้าพเจ้ามีเวลาทำอะไรตั้งมากมายเมื่อเรียนที่นั่น ส่วนรามคำแหงนั้นอยู่ใกล้ที่พักของข้าพเจ้ามากเสียจนรู้สึกว่าเป็นบ้านหลังที่สอง และกาลเวลาในรามคำแหงนั้นคือกาลเวลาปกติที่เดินไปตามวิถีทางของมัน ส่วนที่จุฬาฯ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดูรีบร้อน ข้าพเจ้าไม่มีเวลามองดูใบไม้พลิกไหวอย่างเอื่อยเฉื่อยเหมือนตอนอยู่ศิลปากร หรือนั่งลงริมสระน้ำแล้วเขียนบทกวีสักชิ้นเหมือนตอนอยู่รามคำแหง เหมือนว่าทุกคนกำลังรีบเดินไปที่ไหนสักแห่ง แล้วข้าพเจ้าต้องเดินตามให้ทัน ทั้งที่นาฬิกาก็เดินไปตามปกติเหมือนกันทุกที่

แต่เช้ามืดวันนี้ จุฬาฯ ดูเงียบสงบ และกระแสเวลาเดินอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากที่ศิลปากร

ดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของความรู้สึกและความคาดหวัง

เช่นเดียวกับชุดครุยที่ข้าพเจ้ากำลังสวม และคำพูดทิ้งท้ายของเพื่อนก่อนจากมา

"ถ้ามึงจบปริญญาโทที่จุฬาฯ แล้วได้ทำงานที่เงินเดือนน้อยกว่าสามหมื่น มึงก็ควรพิจารณาตัวเองได้แล้วล่ะ" พูดพลางกดปุ่มจ่ายบอลทะลุช่องให้นักเตะบัลลงดอร์สามสมัยส่งบอลเข้าตาข่าย ทำเอาข้าพเจ้าสะอึกเพราะนี่มันช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเอาตรรกะชุดไหนมาแก้ต่างตรรกะชุดนี้ของเพื่อน

มันคนละสายคนละลักษณะงาน-สถาบันไม่ได้เกี่ยวกับเงินเดือน-กูอาจจะอยากไปทำงานใกล้บ้านเพราะเกลียดรถติด-ฯลฯ

ข้าพเจ้าพบว่ามันยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ชัดเจนทั้งหมดในยุคที่วาทกรรมซับซ้อนถูกย่อยให้ง่ายที่สุด เช่นว่าเหลืองคือสาวกลิ้ม แดงคือบูชาทักษิณ เศรษฐกิจพอเพียงคือไถนาอยู่กับบ้าน กองทุนหมู่บ้านคือกองทุนหลอกคนโง่ให้เป็นหนี้

ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะเงียบไปเพื่อตั้งสมาธิให้ "เฮียช้า" โหม่งประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ข้าพเจ้ารู้ดีว่าวันนี้จะต้องเผชิญกับสายตาแบบไหนจากญาติ ๆ แน่นอนว่ามันต้องเป็นสายตาชื่นชมยินดีและคาดหวังไว้สูงลิ่วไม่ต่างจากเพื่อนข้าพเจ้า นึกเล่น ๆ ว่าหากชุดครุยในวันนี้เป็นชุดของรามคำแหง สายตานั้นจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด

สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่เคยคิดว่าเรียนที่ไหนแล้วจะสูงกว่าใคร เพราะข้าพเจ้าเป็นคนตัวเตี้ยประการหนึ่ง และการเรียนก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลแต่ละโอกาส ข้าพเจ้าเรียนศิลปากรเพราะเอ็นท์ติดที่นั่นแบบฉิวเฉียด ข้าพเจ้าเรียนรามเพราะนึกสนุกอยากเรียน ไม่คิดจะเรียนให้จบแต่แรกด้วยซ้ำ ส่วนการต่อโทที่จุฬาฯ เป็นเพราะที่นี่เรียนแบบแยกสายภาษา-วรรณคดีชัดเจน ส่วนที่ศิลปากรเรียนรวมกันหมด ข้าพเจ้าประเมินความสามารถตนเองแล้วว่าคงจะเรียนวิชาภาษาศาสตร์สูงกว่าปริญญาตรีไม่ได้เพราะข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเสียงที่ปุ่มเหงือกมีเสียงอะไรบ้าง หากเรียนโทต่อที่ศิลปากรข้าพเจ้าต้องถูกรีไทร์แน่นอน

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกขึ้นอยู่กับบุคคล โอกาส ทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ และตัวแปรอื่น ๆ อีกมากมาย โลกนี้ไม่ได้มีคำอธิบายเป็นวาทกรรมที่ง่ายดายชั้นเดียวเหมือนที่หลายคนชอบคิด

แน่นอนว่าศักดิ์ศรีแห่งชุดครุยที่ข้าพเจ้าแบกไว้นั้นมีอยู่ แต่ความหมายแห่งศักดิ์ศรีนั้นมีคำตอบสำเร็จรูปเพียงคำตอบเดียวกระนั้นหรือ

ข้าพเจ้ายักไหล่ อย่างไรเสียคำตอบสำเร็จรูปก็เป็นสิ่งที่ง่ายและนิยมมากที่สุด ไม่เช่นนั้นมาม่าคงจะไม่จะขายดีเช่นนี้

จู่ ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชุดครุยบางเบาที่หลายคนตั้งนิคเนมให้ว่า "มุ้ง" หนักอึ้งจนเกินกว่าร่างเล็ก ๆ นี้จะแบกไหว

3. เรียนรู้เพื่อที่จะไม่รู้

ข้าพเจ้าชอบปกปริญญาบัตรสีขาว เพราะมันดูไม่เหมือนปกปริญญาบัตรดีพิกล เมื่อกลับมายังที่นั่ง ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าได้รับมาถูกชื่อหรือเปล่า จึงแอบแง้มดูชื่อเล็กน้อย ข้อความแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือ มีศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาบัตรนี้ทุกประการ

ข้าพเจ้าหลับตา พยายามนึกถึงความรู้ความสามารถของตนเองที่คู่ควรกับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญามหาบัณฑิต สาขาวรรณคดีไทย แล้วความไม่แน่ใจก็เริ่มก่อตัว

หลายวันมานี้ข้าพเจ้าคิดหนักเกี่ยวแก่เรื่องการไปทำงานเป็นครูระดับมัธยมศึกษา ข้าพเจ้าพยายามนึกภาพตนเองยืนอยู่หน้าห้อง พูดถึงเนื้อหาวิชาภาษาไทย แล้วข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าตนเองจะพูดเรื่องอะไรได้ วรรณคดีสมัยสุโขทัยที่ไม่ได้เขียนขึ้นสมัยสุโขทัย? โองการแช่งน้ำซึ่งนักวรรณคดีเสนอว่าควรต้องอ่านด้วยกลบทชนิดหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย? วรรณคดีท้องถิ่นซึ่งไม่ได้อยู่ในแบบเรียนมัธยม?

และนับตั้งแต่ พ.ศ. นี้ ความเรียงจำนวนหนึ่งของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล จะได้รับการจัดให้อยู่ใน genre นิราศ อ้างอิงจากการค้นคว้าอย่างหนักของเพื่อนร่วมรุ่นของข้าพเจ้า---ธนาคาร จันทิมา

ข้าพเจ้าจะอธิบายเด็กที่ถามข้าพเจ้าว่า "ครูครับ นิราศมันต้องเป็นกลอนไม่ใช่เหรอครับ" ได้อย่างไร

ข้าพเจ้าจะอธิบายความจริง ความไม่จริง ความซับซ้อน และเส้นแบ่งอันพร่าเลือนของวรรณคดีไทยออกมาเป็นข้อสอบปรนัยซึ่งใช้คัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ในเมื่อแท้จริงแล้วความรู้ไม่เคยหยุดนิ่งมากพอจะเหลือแค่สี่ตัวเลือก

แม้แต่คำจำกัดความของคำว่า "ชาดก" ซึ่งเป็นหัวใจของวิทยานิพนธ์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยังอธิบายให้ชัดเจนไม่ถูกว่าแท้จริงแล้วคืออะไร สำหรับคำจำกัดความสองสามบรรทัดที่เขียนไว้ในข้อตกลงเบื้องต้น ก็ใช้อธิบายได้เฉพาะในจักรวาล 184 หน้าในวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าเท่านั้น

ยิ่งข้าพเจ้าเรียนลึกลงไป ข้าพเจ้ายิ่งพบว่าตนเองเต็มไปด้วยความไม่รู้

เป็นเพราะโลกหลังสมัยใหม่ที่พยายามจะสลายเส้นแบ่งพรมแดนความรู้ทั้งหมด กระทั่งเส้นแบ่งของความจริง-ลวง หรือเป็นเพราะการช่วงชิงอำนาจของพื้นที่ความรู้ที่แอบซ่อนอุดมการณ์บางอย่างเอาไว้ จึงทำให้สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้นั้นเต็มไปด้วยข้อกังขามากจนเกินกว่าจะเอาไปถ่ายทอดต่อให้ใครเชื่อได้

หรือที่จริงการเรียนรู้ทั้งหมดเป็นไปเพื่อพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วเราไม่รู้ ดังเช่นอมตะวจีของโสเครตีสที่ดูยียวนแต่จริงแท้ว่า "all I know is that I know nothing"

นับจากนาทีที่คิดจบ และคาดว่าอีกหลายนาที หลายชั่วโมง หลายวันหลายปีต่อจากนี้ ข้าพเจ้าแน่ใจว่าข้าพเจ้าไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่รู้

ปิดปกปริญญา ข้าพเจ้าไม่สนใจแล้วว่าในใบปริญญาจะเป็นชื่อใคร คงจะมีสักวันที่ข้าพเจ้าอยากรู้ว่าใบปริญญามหาบัณฑิตใบนี้แท้จริงเป็นชื่อข้าพเจ้าจริงหรือไม่



วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จดหมายถึงหญิงสาวจากทิศตะวันตก ฉบับที่ 2

เธอกล่าวว่าความรักของฉันเหมือนเพลิงที่กำลังผลาญตน
เช่นนั้นขอให้มันลุกไหม้จนไม่เหลือเศษซาก
ซึ่งมันน่าอับอายเกินทนหากฉันจะหลงเหลือชิ้นส่วนที่ไม่รักเธอทิ้งไว้บนโลกใบนี้
เถิดเธอจงรู้ว่าทุกสรรพางค์ของฉันคือเชื้อเพลิงของความรักที่มีต่อเธอ
และมันพร้อมจะมอดไหม้เป็นผงธุลี
เพื่อสังเวยแก่วินาทีที่เปลวเพลิงแห่งรักจักโชติช่วงชัชวาลที่สุด
แม้ว่าในวินาทีนั้น
เธอกำลังแลกจุมพิตกับชายอื่นอย่างดูดดื่มก็ตามที


๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕

จดหมายถึงหญิงสาวจากทิศตะวันตก ฉบับที่ 1

กล่าวกันว่ามนุษย์คือการพลัดหลงกันของจิตวิญญาณ
ซึ่งต้องแสวงหาการเติมเต็มอันสิ้นหวัง
ฉันพบเธอในวันที่นาฬิกาเดินเร็วไปสิบห้านาที
สองมือที่ควรจะสัมผัสจึงพลัดหลง
อันที่จริงการหมุนฟันเฟืองนาฬิกากลับทิศเป็นเรื่องต้องห้าม
เพราะอาจทำให้กลไกของนาฬิกามีอายุการใช้งานสั้นลง
แต่หากฉันรู้ว่าสิบห้านาทีที่เคยคลาดเคลื่อน
จะทำให้ทุกเสี้ยววินาทีของฉันต้องทุกข์ทน
และกลวงเปล่าเกินจะถมเต็มด้วยทุกสิ่ง
ฉันจะหมุนฟันเฟืองนาฬิกาชีวิตทวนทิศครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ต้องเสี่ยงต่อการล่มสลายของจิตวิญญาณ
แต่ก็คุ้มเหลือเกินเมื่อแลกกับการได้สบตาเธอ
แม้เพียงวินาทีเดียว


๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความเสียใจ (3)

บางทีเขาอาจจะรู้ชัดอยู่แล้วว่า ความร้าวรานอันเป็นแผลเหวอะหวะในใจของเขามีเพียงสาเหตุเดียวคือคำเลิกราของเธอที่ได้ยินทุกเช้าค่ำ เพียงแต่เขากล้าหาญน้อยเกินกว่าจะยอมรับ

เปล่าหรอก, เธอมิได้โทรศัพท์มาเพื่อตอกย้ำคำว่า เลิกกันเถอะ ให้เขาได้ยินอีกครั้ง ทุกวินาทีของเธอมีค่ามากเกินกว่าจะเสียให้แก่คนอย่างเขาซ้ำสอง เพียงแต่คำนั้นมันดังก้องในหูซ้ำเล่า วนเวียนเป็นพิษร้ายในกระแสเลือด หัวใจเต้นแผ่วลงทุกนาทีแต่ไม่เคยหยุด ทั้งที่เขาปรารถนามากกว่าสิ่งใด ฟ้าครามที่ใครคนอื่นมองเห็นทุกเช้ากลับเป็นสีมืดดำสำหรับเขาเพียงคนเดียว

หายใจ เขาบอกตัวเอง หายใจลึก ๆ หลังจากที่เคยบอกและบังคับตัวเองให้เลิกหายใจ แต่เมื่อถึงที่สุดร่างกายก็ไม่ยอมรับคำสั่ง ตอนนี้เขาจำต้องหายใจ เพื่อหาวิธีอย่างอื่นที่จะหยุดหายใจ

คว้าก ดังขึ้นเหมือนฉีกกระดาษ ตามด้วยเสียงงันในความมืด เขาสะบัดคัตเตอร์เข้าที่แขนซ้าย แต่อาจไม่ลึกพอ จึงไม่รู้สึกถึงเลือดสักหยด หรือเป็นหัวใจส่วนลึกของเขาเองที่ขลาดเกินกว่าจะลงน้ำหนักที่ใบมีดขึ้นสนิมนั้น บัดซบ! ทั้งที่เมื่อก่อนเขาร่านแร่แส่เสือกหัวใจตัวเองเข้าไปพุ่งชนคมมีดอาบพิษโดยไม่คิดชีวิต แต่พอมีเหตุผลสำคัญมากพอที่จะเลิกหายใจกลับรักตัวกลัวตาย!

ความเจ็บปวดค่อยระบัดใบ ไหลออกมาเป็นน้ำกรดกร่อนใจร้อนผ่าว

น้ำตาลูกผู้ชาย นับไม่ได้ว่ากี่ครั้งที่เผลอหลั่ง หากมันมีค่าเหมือนเพชร หรือแม้แต่เศษเหรียญสตางค์แดง ป่านนี้เขาก็คงร่ำรวยไร้ใครเทียม แต่เมื่อมันลากเอาความอ่อนแอและการคร่ำครวญของคนขี้แพ้ออกมาประจานเขาจนหมดรูป มันก็ไร้ค่าเกินกว่าจะกล่าวถึง

ฉันไม่สนเธอหรอก เธอมันน่าเบื่อ น่ารำคาญ เธอเข้ามาจุ้นจ้านกับชีวิตฉันไปเสียทุกเรื่อง การเลิกกับเธอคือสวรรค์นิรันดร์ เขาบอกเพื่อนของเขาไปเช่นนั้น ยืดอกนิด ๆ เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองคือยอดชายที่หญิงสาวต้องศิโรราบแทบเท้าไม่เว้นแม้แต่เธอผู้หยิ่งทะนง ทั้งที่เรื่องจริงเป็นเขาที่กอดเท้าเธอแน่น อ้อนวอนไม่ให้จากไปเหมือนสุนัขถูกนายทิ้ง

เขาร้องไห้จนสำรอกออกมา มีเพียงแต่ลมที่พ้นไปจากปากของเขา กี่วันแล้วที่อวัยวะย่อยอาหารของเขาไม่ได้ทำงาน เพียงเพราะคำบอกเลิกของเธอเข้าไปขวางทุกทางเดินอาหาร การสำรอกของเขาจึงว่างเปล่าพอ ๆ กับน้ำตา

ความเสียใจ

เขาสะกดคำนี้ลงบนแขนซ้ายด้วยคัตเตอร์ เสียงดังครืดคราดในความมืด เขาไม่รู้สึกถึงเลือดแม้เพียงหยด เขาค่อยเขียนทีละตัวอักษร ค-ว-า-ม-เ-สี-ย-ใ-จ

เขาเขียนคำว่าความเสียใจลงบนแขนซ้าย แต่อันที่จริงทั่วสรรพางค์ต่างหากที่กำลังสะอึกสะอื้นกับคำนี้ เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขาเสียใจเรื่องของเธอ เรื่องของตัวเอง เรื่องความสัมพันธ์ที่ต้องจบลง หรือเรื่องอะไรกันแน่ เขารู้แค่ว่าทั้งหมดนี้คือความเสียใจที่มากเกินกว่าวิญญาณเล็ก ๆ ของเขาจะแบกรับเอาไว้ได้

ในความมืด เขาสิ้นเปลืองความคำนึงอยู่แต่เรื่องของเธอ ซึ่งเอ่อล้นด้วยน้ำตามากพอ ๆ กับการได้ยินคำบอกลา


๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความเสียใจ (2)

๏ วันที่ฉันรู้จักความเสียใจ
น้ำตากลับไม่ไหลให้ใครเห็น
แต่หัวใจกลับสัมผัสได้ชัดเจน
รู้ว่าเป็นความเจ็บช้ำซ้ำแผลใจ

๏ อยากครวญคร่ำร่ำไห้ให้หายเศร้า
กลับมีเพียงยิ้มเหงาเหงาที่ทำได้
มองดวงดาวค่อยดับดวงร่วงหล่นไป
ห่มคลุมความมืดไว้ในค่ำคืน

๏ ฉันมิได้ยิ้มง่ายคล้ายที่เห็น
และหัวใจก็เจ็บเป็นเช่นคนอื่น
แต่ครั้งนี้ความเจ็บช้ำที่กล้ำกลืน
กลับไม่ส่งเสียงสะอื้นออกจากตา

๏ ไม่ร้องไห้ไม่ใช่ไม่เจ็บปวด
แต่เพราะใจร้าวรวดจนเกินกว่า
จะกอดหมอนฟูมฟายคล้ายเป็นมา
ได้เพียงเหม่อมองฟ้าแล้วถอนใจ

๏ ถามว่าเจ็บใช่ไหม, ใช่-ฉันเจ็บ
จนเกินเก็บเกินกล้ำกลืนฝืนทนได้
แต่จะบอกว่าเจ็บช้ำด้วยคำใด
เพราะจะเป็นคำไหนก็ไม่พอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คนมีเขี้ยว

๏ คมเขี้ยวเธอเขี้ยวคม
ฝังคมเขี้ยวเข้ากลางใจ
เลือดไหลไม่หยุดไหล
ยังพรั่งพรูกู่คำรัก

๏ คมเขี้ยวเธอฝังเขี้ยว
ประเดี๋ยวใจจะเจ็บหนัก
ขอพักนะขอพัก
หลบคมเขี้ยวเดี๋ยวขาดใจ

๏ เลิกยิ้มเถอะที่รัก
เธอน่ารักเกินทนไหว
คมเขี้ยวเกี่ยวฤทัย
เจียนจะขาดหวาดหวั่นฤดี

๏ หลงเขี้ยวคนเขี้ยวคม
จึงตรมตรอมพร้อมยอมพลี
เขี้ยวคมฝังคมที่
ตรงกลางใจให้ขาดรอน

๏ คมเขี้ยวคนน่ารัก
มีพิษร้ายยากถ่ายถอน
พิษรักอันรุ่มร้อน
มาเร้ารุมสุมฤทัย

๏ ยอมม้วยด้วยคมเขี้ยว
ในครั้งเดียวแดดิ้นไป
ดีกว่ามาขาดใจ
ในทุกคราวเห็นเขี้ยวนั้น! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความเสียใจ

วันที่รู้สึกว่า "เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม ถึงพรหม" เป็นอวพจน์
แล้วก็ไม่เหลือคำใดจะเอ่ยเอื้อนจำนรรจาความรู้สึก
ฉันรู้ว่าเธอเคยเสียใจมากพอจะปล่อยให้น้ำตาไหล
ทว่าเธอเคยเสียใจจนอยากร้องไห้
แต่น้ำตาแม้สักหยดไม่ยอมไหลออกมาหรือเปล่า
อันที่จริงเธอรู้ว่ามันไหล เพียงแต่มันกำลังซึมลึกลงไปในความปวดร้าว
ความเจ็บปวดที่มากเกินไปฉุดดึงน้ำตาไว้จนแน่นอก
หากถูกมีดแทง เธอจะเจ็บ เลือดเธอจะไหล
หากถูกค้อนทุบ เธอจะปวด เลือดเธอจะตกค้างอยู่ข้างใน
ฉันกำลังถูกทุบด้วยค้อนขนาดยักษ์จนแหลกละเอียด
โดยไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว

เช่นเดียวกันกับวันที่ฉันเสียใจ แต่เขียนออกมาเป็นบทกวีไม่ได้เลย
อันที่จริงฉันรู้ว่าความเจ็บปวดยังไหลเวียนเป็นพิษร้ายในกระแสเลือด
ฉันพยายามรีดพิษออกมา แต่มันจะอยู่เช่นนั้นตราบนิรันดร์
เลือดฉันไม่ยอมหลั่ง เช่นเดียวกับน้ำตาที่ไม่ยอมไหลออกมา
ฉันทำได้เพียงเขียนกลุ่มคำระบายความรู้สึก
ที่ไม่เคยใกล้เคียงกับสิ่งที่ฉันรู้สึก
และมีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้ว่า
สิ่งที่ฉันรู้สึก อยู่ในกลุ่มคำระบายความรู้สึกที่ไม่เคยใกล้เคียงกับสิ่งที่ฉันรู้สึก
ฉันทุบตัวเองให้น่วมมากพอจะเขียนถึงสิ่งที่ฉันรู้สึก
แต่มันน้อยเกินไปเสมอเมื่อเทียบกับรอยยิ้มและถ้อยคำซื่อใสของเธอ
ที่ทุบหัวใจฉันจนแหลกละเอียด
โดยไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว


๘ มิถุนายน ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พื้นที่จินตนาการ

ไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาในพื้นที่จินตนาการของฉันได้ง่าย ๆ
เธอไม่รู้หรอกว่า เวลาที่ถูกใครขโมยรอยยิ้มหวานซึ่งฉันคิดว่าควรจะเป็นของฉันคนเดียว
หรือการแทนที่แววตาทางช้างเผือกด้วยรอยเท้าเปลี่ยวเหงาบนหาดทรายในทะเลน้ำเชื่อม
ทำให้ฉันรู้สึกถึงมืดมิดและเหน็บหนาวพอ ๆ กับก้นทะเลในตอนที่พระอาทิตย์อยู่อีกฟากโลกหนึ่ง
ฉันจะลืมได้อย่างไรเล่า, รอยยิ้มกว้างและดวงตาหยี
จนเผลอคิดว่าเราต่างก็กัดกินแอปเปิ้ลแห่งบาปทั้งคู่
และฉันต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่มีเธอ มิใช่หลงทางในความฝัน
แต่เธอนั่นแหละที่บอกว่า ฉันจะมีเธอเฉพาะในโลกความฝันของฉันเอง,
แล้วก็หายตัวไป ริบไปกระทั่งสิทธิ์ที่จะฝันถึง
รอยกัดที่แอปเปิ้ลแห่งบาปเป็นของฉันคนเดียวที่หลงผิดไปกับคำยุยงของงูฉ้อฉล
หรืออาจจะเป็นเพราะพื้นที่จินตนาการของฉันที่แบ่งปันให้ใครคนหนึ่ง
ซึ่งไม่มีตัวตน


๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ครุ่นคำนึง

๏ งามน้องงามละมุน
ยามเจ้าครุ่นคิดคำนึง
แววตาพาใจซึ้ง
ถึงขอบฟ้าดาราราย

๏ ร้อยดาวมาเรียงดวง
เป็นรุ้งดาวระยับพราย
ล้านดาวยังรู้พ่าย
เพียงดวงตากระพริบหวาน

๏ สนเท่ห์ในแววตา
อาจพาล่วงห้วงจักรวาล
นานเนิ่นกว่าเนิ่นนาน
เกินห้วงใจใครหยั่งถึง

๏ มฤคาดวงตางาม
แพ้ยามเจ้าครุ่นคำนึง
ดวงใจพี่ไหวซึ้ง
สบตาฝันนิรันดร ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

บางมุมมองจากนอกกรง?

(1.)
เสียงแกว๊ก แกว๊ก ของนกแก้วแสบหูน่ารำคาญ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเดอะมอลล์ บางกะปิ ห้างสรรพสินค้าที่มีคนเคยให้สมญาว่าเป็นห้างที่หนวกหูที่สุดในสยามประเทศ กระนั้นก็เป็นห้างซึ่งข้าพเจ้าผู้พิสมัยความเงียบมาเดินบ่อยที่สุด เพราะอยู่ใกล้หอพักที่สุดนั่นเอง (ในกรณีนี้ ระบบ Noise Cancelling ของหูฟัง Sony อาจช่วยท่านได้นิดหน่อย)

นกแก้วตัวอ้วน ไม่รู้จะบินไปไหนได้รึเปล่า ผมแอบเชียร์อยู่เงียบ ๆ ว่าแกบินออกไปทางประตูที่อยู่ใกล้ ๆ สิ (ประตูทางเข้าใกล้ประมาณ 10 เมตร) แต่ถึงแอบสบตาส่งโทรจิตให้มันหลายร้อยครั้งในรอบปีแล้ว มันก็ยังแหกปาก แกว๊ก แกว๊ก อย่างไม่รู้สึกรู้สา

นิยายเรื่อง พาย พาเทล ได้บอก (หลอก?) ความจริงข้อหนึ่งของสัตว์ที่อยู่ในกรงว่า คนชอบคิดไปเองว่ามันต้องการอิสระ อันที่จริงสัตว์มันไม่คิดซับซ้อน สถานที่ซึ่งมันเกิด หรืออยู่มาระยะหนึ่ง หากมีอาหารพร้อม มีที่ให้นอนหลับพักผ่อนสบาย ๆ ไม่ต้องหวาดระแวงผู้ล่าตัวอื่น ๆ มันก็ยินดีที่จะอยู่หลังกรงไปจนกว่าจะตาย

คงจะเหมือนเจ้านกแก้วที่เกาะคอนอยู่ในห้างนี้ แม้ว่าจะไม่มีกรงคอยคุมขัง (แม้ว่าพื้นที่ในห้างก็เป็นกรงชนิดหนึ่ง) แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะบินไปไหน ยืนเกาะคอนส่งเสียงหนวกหูได้ทั้งวัน

(2.)
ตามประสาคนชอบเขียน ผมก็หยิบเรื่องราวรอบตัวมาใส่สีตีพล็อตไปเรื่อย ถ้าผมยังอายุน้อยกว่านี้สักสามสี่ปี คงจะเขียนเรื่องประมาณว่านกที่ยอมอยู่ในห้างที่คุมขังมันอยู่ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ยอมอยู่ในกรงขังทุนนิยม ยินยอมถูกหลอกด้วยวาทกรรม "ไลฟ์สไตล์อิสระในแบบของคุณ" ดูเหมือนไม่ได้ถูกขัง แต่ที่จริงกรงทุนนิยมแม่งใหญ่จนเกินกว่าสายตาของนกน้อยในกรงทุนนิยมจะมองเห็น

แน่นอนว่าเรื่องสั้นนี้ต้องถูกเขียนขึ้นโดยผมเองซึ่งเชื่อว่าตนเองเป็นคนนอกกรง มองเห็นทุกระบบที่ชักใยคนในกรงให้หลงใหลในอิสระจอมปลอม ยักไหล่ในความกระหยิ่มผยอง เราช่างเป็นนักเขียนผู้มีทัศนวิสัยอ่านเกมส์ขาดแท้!

แต่ในวัยที่อายุเฉียดเบญจเพส พล็อตทำนองนี้ถูกตั้งคำถามไว้สองสามข้อในใจ 1) มึงเข้าใจคำว่ากรงจริง ๆ เหรอวะ? 2) มึงอยู่นอกกรงจริง ๆ เหรอวะ? และ 3) อยู่นอกกรงแล้วมันเท่ตรงไหนวะ?

สโคปสองคำถามแรกให้อยู่ในทางโลก (เพราะถ้ากินความไปทางพุทธธรรมก็จะต้องตีความทำนองว่า กรงคือกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท อยากอยู่นอกกรงมึงก็ต้องตัดอวิชชา เข้าสู่นิพพาน อะไรทำนองนั้น) สมมติว่าให้กรงคือวงจรทุนนิยม คนที่ปฏิเสธทุนนิยมแม่งเท่ เป็นคนนอกกรง แต่จะทำอย่างนั้นได้ไปเป็นโจน จันได ก่อนเถอะพ่อคุณ คำถามที่สองจึงตอบได้ไม่ยากเลยว่า ไอ้นักเขียนตัวอ้วน ๆ ที่กำลังผูกเรื่องอยู่นี่แม่งก็อยู่ในวงจรทุนนิยม จะผูกเรื่องไปส่งตีพิมพ์เอาเงินหรือเอารางวัล พิมพ์เป็นวรรณกรรมต่อต้านทุนนิยมที่ไม่มีใครรู้สึกรู้สา นักเขียนอย่างผมได้เงินจากวรรณกรรมต่อต้านทุนนิยมไปก็เอาไปซื้อโทรศัพท์แพงไว้อวดชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง ถุด!

สุดท้ายไอ้คำว่ากรงก็เป็นไปตามข้อสรุปที่ว่า "ที่จริงกรงทุนนิยมแม่งใหญ่จนเกินกว่าสายตาของนกน้อยในกรงทุนนิยมจะมองเห็น" และผมเองก็เป็นนกน้อยตัวนั้นเช่นกันกับคนอื่น ๆ ที่ผมมองอย่างเย้ยหยัน

(3.)

คำถามที่สาม อยู่นอกกรงแล้วมันเท่ตรงไหนวะ ถ้าหนุ่มกว่านี้สักสามสี่ปี ตอบแบบไม่คิดเลยว่ากูเท่ กูอินดี้ เป็นตัวของตัวเอง กอดอกพลางยักคิ้วหงึก ๆ สมมติว่าการอยู่นอกกรงคือปฏิเสธการทำงานในระบบ ไม่เป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานงก ๆ เก็บเงินเก็บทอง ซื้อบ้านซื้อรถ มีลูกมีเมีย บลา ๆ มีชีวิตอิสระแบบเท่ ๆ

ตอนนี้แก่ตัวหน่อย ก็เริ่มคิดแล้วว่า บางทีไอ้เจ้านกแก้วที่เดอะมอลล์บางกะปิแม่งฉลาดกว่านกตัวอื่น เอาล่ะมันอาจไม่ได้รับอภิสิทธิ์ที่จะบินไปบนฟ้ากว้างไกล แต่ชีวิตมันก็ปลอดภัยยิ่งกว่าซื้อประกัน มันไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในการใช้ชีวิต ไม่ต้องคอยระวังภัยจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอ รวมถึงลูกหินจากหนังสติ๊กของเด็กเกเร หรือตาข่ายดักนกในสนามหลวง

ชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วไงวะ อย่างน้อยเค้าก็มีความสุขดี มีเงินใช้ทุกเดือน ตื่นมาด้วยความหวาดผวาว่าจะไปทำงานไม่ทัน คงดีกว่าตื่นมาด้วยความหวาดผวาว่าวันนี้กูจะเอาอะไรกิน แต่ละเดือนแต่ละปีก็มีหยุดยาวให้ไปเที่ยวแบบชิลล์ ๆ ตอนที่ไปดูสินค้าทางวัฒนธรรมก็ไม่ต้องคิดมากอย่างนักเขียนที่ชอบตัดพ้อว่า "โธ่ นี่ศิลปวัฒนธรรมอันสวยงามของชนเผ่าถูกทำให้เป็นสินค้าซะแล้วหรือนี่ ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริง ๆ"

อยู่นอกกรงมันอาจจะอินดี้ แต่บางทีไม่มีจะแดก แถมยังต้องจ่ายราคาความเสี่ยงในการมีชีวิตมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ใช่ว่าคนประสบความสำเร็จในแนวทางอินดี้จะไม่มี แต่มีน้อยแทบนับหัวได้

นึกถึงเรื่องสั้น "อิสรภาพ" ของประชาคม ลุนาชัย (มั้ง?) ที่เป็นเรื่องของลิงที่ถูกจับมาล่ามโซ่ คนที่จับมาหวังจะเลี้ยงให้เชื่อง ตอนจบลิงกัดขาตัวเองขาดเพื่อที่จะหนี โอเค สามสี่ปีก่อนที่อ่าน มองในแง่สัญลักษณ์มันเท่ มันฟิน มันโอ้โฮ คนเราแม่งต้องยอมเสียสละตัวเองเพื่ออิสรภาพ แต่พออายุเท่านี้ มองในแง่เรียลลิสติกส์ อดคิดต่อไม่ได้ว่าแล้วชีวิตลิงตัวนั้นแม่งจะดำเนินต่อไปยังไง ลิงขาขาดคงปีนต้นไม้ไม่สะดวก มันจะอดตายไหม ลิงจะมาเสียใจทีหลังไหมว่า กูไม่น่ากัดขาตัวเองเล้ย ยอมอยู่ให้คนเลี้ยงคงสบายไปแล้ว

เสียงแกว๊ก แกว๊ก ของนกแก้วปลุกผมให้ตื่นจากห้วงความคิด ผมมองนกแก้วพลางสบถใส่ตัวเองเบา ๆ

อีห่า คิดเยอะไป พล็อตเรื่องสั้นหายหมด-อดเขียน!


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๕ เมษายน ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริง ๆ

(1.)

เขาบอกว่าถ้าฉันซื้อของให้ครบสี่สิบบาท ฉันจะได้สิทธิ์แลกซื้อชาเขียวยี่ห้อหนึ่งสองขวดในราคา 25 บาท จากราคาปกติขวดละ 20 บาท สองขวดเก๊าะ 40 บาท ได้ลดตั้ง 15 บาทแน่ะ คุ้มฉิบหายเลย ฉันคิด ได้เวลาที่จะเอาคืนทุนนิยมบ้างแล้ว!

ฉันซื้อของกินของใช้ในร้านสะดวกซื้อแห่งนั้น เบ็ดเสร็จรวมได้ 80 บาท ได้สองสิทธิ์แลกซื้อ ฉันจึงซื้อชาเขียวสี่ขวดได้ในราคาเพียง 50 บาทเท่านั้น

(2.)

กลับมาถึงห้อง ฉันเปิดชาเขียวลดราคาดูดจุ๊บ พลางพลิกอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งฉันถอยมาจากงานลดราคาหนังสือแห่งชาติ หนังสือชื่อสั้น ๆ ว่า "ทุน" คัมภีร์สำคัญแห่งลัทธิต่อต้านทุนนิยมของคาร์ล มาร์กซ์ หรือที่ฉันเรียกอย่างเอ็นดูว่า พี่มาก เนื้อในเป็นกระดาษเก่ากรอบ คนขายเล่าลือว่าแปลตรงมาจากต้นฉบับภาษาเยอรมัน Das Kapital พิมพ์ให้นักศึกษาช่วงก่อน 6 ตุลาฯ ค้นคว้ากัน สนนราคาเหมือนปล้นแค่ 700 บาท!

"หนังสือเล่มแค่นี้ แถมยังเก่าขนาดนี้ พี่ขาย 700!"

"โถ่น้อง หนังสือยิ่งเก่ายิ่งมีคุณค่านะ นี่พี่อุตส่าห์ไปหามาจากร้านหนังสือเก่าที่นครสวรรค์ ทางนู้นขายกันเล่มละพัน พี่เหมา 5 เล่มเลยได้ลดเหลือเล่มละ 600 นี่ก็ให้ค่าน้ำมันพี่หน่อยเถอะนะ น้องเก็บไว้อีกสักสิบปี เผลอ ๆ จะขายได้เล่มละหลายพัน"

อีกหมื่นเหตุผลที่เขาพร่ำพรรณนาเหมือนชายหนุ่มขอความรักจากหญิงสาวจนฉันเคลิ้มเหมือนเขาจะขอแต่งงาน จึงเผลอตอบตกลงการซื้อขาย รู้ตัวอีกทีก็มีหนังสือมหาแพงไว้ในครอบครอง พลางปลอบใจตัวเองว่า เอาน่ะ อีกสิบปีก็ขายได้เล่มละหลายพัน เข้าใจว่าคนขายหนังสือเคยทำธุรกิจขายตรงแบบ MLM จึงมีวาทศิลป์โน้มน้าวเป็นเลิศ สิ่งเดียวที่ฉันยังข้องใจสงสัยอยู่คือ เมืองนครสวรรค์ขึ้นชื่อลือชาเรื่องหนังสือเก่าอยู่ล่ะหรือ ฉันนึกว่าดังแต่เรื่องขนมโมจิ

(3.)

จิบแรกของชาเขียวลดราคา เหมือนบรรลุพระธรรม โธ่! ฉันเสียท่าให้ทุนนิยมเสียแล้ว

เจ้าทุนนิยมมันหลอกให้ฉันหลงดีใจว่า ฉันเอาคืนมันได้ด้วยสินค้าลดราคาเหมือนแจก ที่ไหนได้ มันเอาน้ำต้มน้ำตาลให้หวาน ๆ ใส่กากชาพอให้มีกลิ่นชานิด ๆ สิริรวมราคาต้นทุนคงไม่ถึงสิบบาท แล้วบอกฉันว่าฉันได้ซื้อสินค้าลดราคา กว่าฉันจะได้ส่วนลดจากมัน ฉันต้องซื้อของไปตั้ง 80 บาท

เจ้าหนังสือ "ทุน" นั้นเล่า ฉันตั้งใจจะซื้อมาเพื่อหายุทธวิธีเอาชนะเจ้าทุนนิยมเท่านั้น แต่กว่าจะเดินทางมาถึงมือฉัน มันก็บวกมูลค่าหนังสือเก่าแถมยังค่าน้ำมันเข้าไปจนกลายเป็น 700 บาท แถมเหตุผลที่ฉันซื้อมาก็ไม่ใช่เพื่อศึกษายุทธวิธีเอาชนะทุนนิยมเสียแล้ว แต่เป็นการซื้อมาเพื่อเก็งกำไรไว้ขายต่อในอนาคตซะงั้น

สรุปว่าการที่ฉันคิดเหิมเกริมจะต่อกรกับเจ้าทุนนิยม ฉันต้องจ่ายให้แก่ค่ายุทธวิธีไป 700 บาท ค่าปฏิบัติการภาคสนามเบื้องต้นไป 130 บาท และปฏิบัติการแรก ฉันพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง รสน้ำหวานผสมกากชาที่ติดลิ้นเป็นเครื่องยืนยันได้

"ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริง ๆ" ฉันครวญคร่ำ น้ำตาหยดแหมะ ๆ



วุฒินันท์ ชัยศรี
๙ เมษายน ๒๕๕๕