วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ

ในวันที่ฉันข้ามเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ
ฉันรู้อยู่แก่ใจว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว
มันพ้นจากมิติสถานที่ เวลา ความสัมพันธ์ และความสัมพัทธ์ทั้งมวล
ไม่อนุญาตแม้เพียงหันหลังกลับมามองรอยเท้า

แล้วฉันก็เลือกที่จะหยิบกลุ่มก้อนความรู้สึกติดมือไป
แม้ว่าลมหายใจจะเริ่มเบาบางจนจับต้องไม่ได้
ได้แต่หวังว่า มันจะเป็นบางสิ่งที่มีความหมายสำหรับฉัน
แม้สุดท้ายมันจะกลายเป็นความว่างเปล่าเมื่อเดินไปจนสุดเขตแดน

พ้นจากจุดเริ่มต้นเขตแดนอย่างไร้ทิศทาง
พันธนาการที่ผูกไว้กลับกลายเป็นกับดัก
ได้แต่คิดว่า บนเส้นแบ่งระหว่างเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ
ฉันน่าจะฝังกลบทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนั้น

แต่ฉันทำไม่ได้หรอก, มันสายเกินไป
เขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับไม่อนุญาตแม้เพียงหันหลังกลับมามองรอยเท้า
บางสิ่งที่มีความหมายกลายเป็นสัมภาระหนักสำหรับความเปราะบาง
บนเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับอันกว้างไกลไม่สิ้นสุด

เพราะมนุษย์ไม่มีแม้แต่ทฤษฎีที่เป็นไปได้สำหรับการย้อนเวลา
และการเช็ดน้ำตานั้นง่ายกว่ามาก
นั่นคือตรรกะ, หลายคนจึงเลือกอย่างหลัง
แม้จะต้องเช็ดน้ำตาไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

ในวันที่ฉันข้ามเขตแดนที่ไม่อาจหวนกลับ
ฉันรู้อยู่แก่ใจว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว
นอกเสียจากการเดินทางไปไกลกว่านิรันดร
หรือทิ้งเศษซากวิญญาณอันเปล่ากลวงไว้ที่ใดที่หนึ่งในเขตแดนนี้

๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว

นั่นสินะ
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
ไม่มีเวลามากพอจะค้นหา
ไม่มีเวลามากพอจะพินิจพิจารณา
ไม่มีเวลามากพอจะลองผิดลองถูก
ไม่มีเวลามากพอสำหรับสิ่งสำคัญ

เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
อาจจะมีแต่ฉันที่ยังหลงอยู่ในเนเวอร์แลนด์
ค้นหาบางสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริง
พิจารณาบางสิ่งที่ไม่มีความหมาย
ลองผิดลองถูกบางสิ่งซึ่งไม่มีคุณค่าพอ
ให้คุณค่าบางสิ่งที่ไร้สาระเป็นสิ่งสำคัญ

เธอบอกฉันว่า กลับมาเถอะนะ
ไม่มีใครจะอยู่ในเนเวอร์แลนด์ได้ตลอดทั้งชีวิตของเขา
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
ทันทีที่ตื่น ดินแดนแห่งนั้นจะสูญสลาย
ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ความจริงก็จะรุกไล่ทำร้าย
เธอกระซิบบอกฉันในวันที่ฉันยังหลับตา

นั่นสินะ
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
ฉันลืมตาแล้วแลกเปลี่ยนบทสนทนา
นั่นสินะ
ตอนนี้เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว
เราควรจะ...
เราควรจะ...
เธอนิ่งรอฟังคำพูดต่อไปของฉัน
คำพูดที่ถูกฝังอยู่ในหลุมดำแห่งความเงียบงัน
ฉันพยายามจะเอ่ยเอื้อน แต่ดูเหมือนบางสิ่งกำลังพังทลาย
แล้วฉันก็ลืมตาขึ้น

แท้จริงแล้ว กระทั่งการกระซิบของเธอ
ยังเป็นเพียงความฝันเพ้อของฉันเอง
ทันทีที่ลืมตา
เนเวอร์แลนด์วูบวับสูญสลาย
และเธอ
ไม่มีอยู่จริง


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๒/๐๗/๒๕๕๔

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทบันทึกของคนเสพติดความเหงาถึงหญิงสาวตึกตรงข้าม

(1.)

จักรวาลของคนเหงา อาจกว้างเท่าหนึ่งห้องนอน ฉันเคยได้ยินคำนี้มาจากไหนก็จำไม่ได้ แต่รู้สึกว่ามันจริงเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะกับคนที่เติบโตมาด้วยการอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ เพียงคนเดียวเกือบสิบปี

จักรวาลของฉันไม่ต้องการพื้นที่มากเลย เพียงแค่พื้นที่วางเตียงมุมหนึ่ง วางโต๊ะคอมฯ มุมหนึ่ง และเดินอีกสามก้าวก็จะถึงห้องน้ำ มีกองหนังสือวางอยู่กลางห้อง และแน่นอนกองหนังสือนั้นจะแยกตัวไปตามมุมต่าง ๆ ของห้อง ทั้งเตียง โต๊ะคอม และห้องน้ำ เมื่อทำหน้าที่เสร็จสิ้นมันจะลอยกลับมากองที่กลางห้องดังเดิม

ฉันพอใจในพื้นที่ของจักรวาลนี้เสมอ ไม่ว่าฉันจะย้ายห้องไปอยู่ที่ไหน ฉันก็จะจัดห้องในลักษณะนี้ เป็นสามเหลี่ยมทางสถาปัตยกรรมที่กำหนดวงจรซ้ำซากของชีวิตผู้เสพติดความเหงาได้ดีนัก

(2.)

ฉันเดาเอาเองว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพราะฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องเล็ก ๆ ห้องนั้น

ฉันพบเธอครั้งแรกเมื่อปรับนาฬิกาชีวิตให้ตรงข้ามกับคนปกติ คือนอนตอนกลางวัน และตื่นตอนกลางคืน ฉันรักตอนกลางคืนเพราะความสงัดของรัตติกาลมักมีกำนัลมามอบแด่ฉันเสมอ อักขระอันงดงามสำหรับฉันมักมาพร้อมเสียงจิ้งหรีดเรไรกรีดปีกในราตรีมากกว่าเสียงนกจิ๊บแจ๊วยามอรุณรุ่ง

ฉันไม่รู้ว่าค่ำคืนของเธอน่าอภิรมย์สักเพียงใด รู้แค่ว่าไฟดวงนั้นจะเปิดพรึ่บตอนประมาณตีสามหรือตีสี่ ผ้าม่านสีเขียวอ่อนถูกเธอรูดเปิดออก เธอกลับมาพร้อมเสื้อผ้าน้อยชิ้น โยนกระเป๋าไปอีกทางหนึ่งของห้องอย่างไม่อินังขังขอบ บางครั้งเธอเริ่มถอดเสื้อผ้า

น่าแปลกใจจัง ทำไมฉันไม่เห็นเธอตอนแต่งตัวเพื่อเตรียมออกไปที่ไหนสักที่ ทุกครั้งที่ฉันเห็นคือตอนที่เธอกลับมา ทำไมเธอถึงต้องเปิดผ้าม่านออกทุกครั้งที่เธอกลับมา บางครั้งเธอกล้าถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ชุดชั้นในตรงหน้ากระจก อาจเป็นเพราะเธอเห็นว่าไฟทุกดวงของตึกฝั่งตรงข้ามดับหมดแล้ว อาจจะจริง เพราะตึกที่ฉันอยู่ส่วนมากเป็นคนวัยทำงาน ไม่มีใครอยู่ดึกดื่นเกินตีสองตีสาม ห้องฉันนั้นเล่าก็ปิดไฟมืดสนิท เหลือแต่ไฟหัวเตียงที่สว่างพอสำหรับหนังสือดี ๆ สักเล่มเท่านั้น

(3.)

เปล่านะ, ฉันไม่ได้เป็นพวกถ้ำมอง เพียงแค่เราอยู่ตึกตรงข้ามกัน และห้องของเธอก็บังเอิญอยู่ตรงกับห้องฉัน เพียงแค่ฉันเพ่งมองตรง ๆ จากระเบียง ก็มองเห็นความเคลื่อนไหวของเธอผ่านกระจกใสบานใหญ่หลังห้องนั้น

ฉันเดาเอาเองว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพราะฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องนั้น แต่ฉันอาจเดาผิดก็ได้ อาจมีใครอีกคนนอนหลับอยู่ที่เตียงซึ่งฉันไม่เห็น นอกจากจะคาดเดาถึงเพื่อนร่วมห้อง ฉันยังคาดเดาถึงชีวิตของเธอ งานที่เธอทำ ลักษณะนิสัยใจคอ บางครั้งฉันคาดเดาขนาดที่ว่าเธอใช้สบู่ยี่ห้ออะไร กลิ่นแบบไหน แต่นั่นแหละ ทั้งหมดมันก็แค่จินตนาการฟุ้งฝันที่วางอยู่บนฐานการคาดเดาอย่างไร้สาระของฉันเอง

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันรับเอาเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจเป็นเพราะทุกครั้งที่ฉันต้องเขียนงานยาก ๆ ซึ่งต้องการสมาธิและความเงียบสงัดจนต้องหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับด้าน ฉันมักจะพบชีวิตของเธอเคลื่อนไหวอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ฉันจำได้ ไฟเปิดพรึ่บ รูดม่านสีเขียว โยนกระเป๋า ถอดเสื้อผ้า แล้วเดินหายไปครู่ใหญ่ บางครั้งก็เวียนมาทำอะไรจุกจิกหน้ากระจกบ้างพร้อมกับผ้าขนหนูคาดอก เมื่อถึงเวลาประมาณตีห้าหรือแสงอรุณรำไรเริ่มถักทอ ไฟดวงนั้นก็จะดับพรึ่บลง ม่านสีเขียวรูดปิดสนิท เป็นเช่นนี้เสมอ ๆ

เราจากกันเมื่อฉันหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับมาเป็นปกติ แล้วเราก็พบกันอีกเมื่อฉันหมุนเข็มนาฬิกากลับด้าน

(4.)

ความอยากรู้อยากเห็นคาดคั้นเค้นความกับฉันหลายต่อหลายครั้งว่าเธอเป็นใคร ขณะที่ความเหงาพยายามบ่ายเบี่ยงคำถามด้วยคำตอบว่า ไม่ต้องสนใจหรอก เธอเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่เราต่างก็เป็นคนเหงาเหมือนกัน

ฉันเดาเอาเองว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพราะฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องนั้น บางครั้งฉันเหมือนคนบ้าที่พยายามจับผิดว่ามีใครอีกคนในห้องหรือเปล่าด้วยการมองหาเสื้อผ้าผู้ชายที่แขวนไว้ตรงระเบียง แต่ก็เหมือนเดิม มีแต่เสื้อผ้าผู้หญิงที่แขวนรอแสงอาทิตย์มาอบให้แห้ง แต่เธอก็อาจไม่ได้อยู่คนเดียว เธออาจมีเพื่อนผู้หญิงอยู่ในห้องนั้น แต่ก็นั่นแหละ ฉันเห็นเพียงหนึ่งชีวิตเคลื่อนไหวในห้องนั้น จึงนำมาสู่ข้อสรุปง่าย ๆ ในใจของฉันว่า เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว

ส่วนข้อสรุปว่า เราต่างก็เป็นคนเหงาเหมือนกัน ฉันสรุปเอาเองโดยไม่มีสมมติฐานที่น่าเชื่อถือ มันเป็นเพียงความรู้สึก ความรู้สึกอย่างที่คนเสพติดความเหงาจะรู้สึกร่วมกัน แต่อันที่จริงฉันก็พอมีสมมติฐานอยู่บ้าง บางค่ำคืนของวันอังคารและพฤหัสช่วงปลายเดือน บางคืนเธอไม่ได้ออกไปไหน เธอจะอยู่ที่ห้อง ม่านสีเขียวถูกเปิดออกแม้จะยังไม่ถึงตีสาม ขณะที่ห้องอื่นเปิดไฟสว่างโร่ ห้องของเธอกลับปิดไฟมืด มีเพียงแสงสีเงินยวงจากโทรทัศน์เท่านั้นที่ห่มคลุมร่างของเธออยู่เบาบาง

เพียงเท่านั้นแหละ สมมติฐานที่นำมาสู่ข้อสรุปว่าเธอเองก็เป็นคนเหงา

บางทีเธออาจจะแค่อยากประหยัดไฟ บางทีเธออาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย แค่อยากดูโทรทัศน์ในที่มืด ๆ แต่สำหรับฉันแล้ว มีก็แต่คนเหงาเท่านั้นที่รู้ว่าแสงสีเงินเช่นนี้อบอุ่นเพียงใด มันเป็นแสงที่ดูเย็นชา แต่ทว่าเมื่อได้ฝังร่างลงไป คนเหงากลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกว่าแสงสีอื่น

(5.)

วันนี้เป็นอีกวันที่เธอห่มคลุมแสงสีเงินมาตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีสาม

วันอังคาร ปลายเดือน เธออาจจะมีเหตุอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ไปไหน ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ฉันหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับด้าน เราจึงได้พบกัน

ตีสาม ฉันเริ่มเหนื่อยกับงาน ปิดไฟโต๊ะคอม ปิดจอคอม เดินออกมาที่ระเบียง สูดอากาศยามราตรี เย็นเยือกแต่อุ่นอวลด้วยร่องรอยความสงัด แสงสีเงินห่มคลุมร่างเธอนิ่งนาน สักพักเธอลุกขึ้น แสงสีเงินดับลง เธอคงกำลังจะนอน แต่ผ้าม่านยังไม่ปิด

กระจกหลังห้องเปิดออก เธอเดินออกมาที่ระเบียงพร้อมกระป๋องเครื่องดื่มในมือ ยืนนิ่ง เปิดกระป๋อง จิบเครื่องดื่มเบา ๆ แล้วทอดสายตา

เราสบตากัน

ระยะทางนั้นห่างไกลเกินกว่าจะแน่ใจว่าสายตาของเธอกำลังจ้องมองมาที่ฉัน แต่หากจะหยั่งวัดกันที่ความรู้สึกนั้น ฉันคิดว่าใช่

ไม่รู้ว่าเธอมองมาด้วยความยินดีหรือยินร้าย เช่นเดียวกับฉันที่บอกไม่ได้ว่ารู้สึกยินร้ายหรือยินดี เธอจิบเครื่องดื่มเข้าไปอีกอึก แล้วเราสองคนก็นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานราวกับนิรันดร์กาล

ความคิดร้อยแปดอย่างวิ่งเข้ามาในสมองฉัน บ้างก็ว่าอยากให้ฉันโบกมือทักทาย บ้างก็ว่าอยากให้ฉันตะโกนคุยข้ามตึก บ้างก็ว่าอยากให้ฉันบอกเธอว่ารออยู่ตรงนั้นนะ แล้วปั่นจักรยานไปยังตึกนั้นทันทีทันใด แต่ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือ ส่งรอยยิ้มเบา ๆ ในความมืด ซึ่งไม่รู้ว่าจะเดินทางไปถึงอีกฟากฝั่งหรือเปล่า

เธอจิบเครื่องดื่มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังหับห้อง ปิดผ้าม่าน แล้วดำเนินชีวิตพ้นจากการเฝ้ามองของฉันในค่ำคืนนี้

(6.)

ปิดคอม ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดไฟหัวเตียง หยิบหนังสือหนึ่งเล่มขึ้นมาอ่าน แต่ใจฉันวันนี้กลับไม่สงบเหมือนเคย ใจกระหวัดถึงหญิงสาวตึกตรงข้าม แต่ด้วยความรู้สึกใดฉันก็ไม่รู้ได้ ทิ้งหนังสือลงกลางห้อง จากพรุ่งนี้ไปเข็มนาฬิกาชีวิตของฉันจะหมุนกลับเป็นปกติ นั่นหมายความว่าเราอาจไม่พบกันจนกว่าเข็มจะเปลี่ยนทาง แต่จะสำคัญอย่างไรเล่า เพราะไม่ว่าเข็มนาฬิกาจะหมุนในลักษณาการไหน จักรวาลของคนเหงาก็ยังกว้างเท่าหนึ่งห้องนอนเหมือนเดิม

ปิดไฟหัวเตียง หลับตา เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าพื้นที่ในจักรวาลของฉันแคบลงไปถนัดใจ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๐/๐๗/๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การตามหาหญิงสาวในคืนฝนตก (2)

"ที่เค้าเลิกกับพี่ ไม่ใช่เพราะเค้าหมดรักพี่หรอก แต่เป็นเพราะเค้าไม่เคยรักพี่มากกว่า"
เธอพูดราวกับหยั่งลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจผมเรียบร้อยแล้ว หรือผมกำลังคุยกับจิตใต้สำนึก-แน่นอน, ไม่มีใครควบคุมจิตใต้สำนึกได้
"แล้ว-ทำไม..."
"เค้าก็อาจจะแค่สงสารพี่ แค่เห็นใจพี่ หรือแค่เหงา แค่ไม่มีใคร แค่รอเวลาให้คนที่ดีกว่าผ่านเข้ามา"
"แค่นั้นเองหรือ"
"แล้วพี่ล่ะ พี่รักเค้าเพราะอะไร"
"พี่ไม่เคยรักเค้า..."


บางคนเมื่อตกหลุมรัก จะรู้สึกหวิวไหวเหมือนตกจากที่สูง บางคนรู้สึกใจเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นกระดอนออกมาจากอก แต่สำหรับผม คล้ายกับไม่รู้สึกอะไรเลย ความที่ไม่รู้สึกนั้นอาจเรียกว่าเป็นความไม่แน่ใจ-ไม่แน่ใจว่านี่คือความรักหรือเปล่า ความรู้สึกนั้นสดใหม่และแปลกต่างเกินที่จะรู้จักหากไม่เคยมาก่อน มันไม่มีตรรกะ เหตุผล หรือทฤษฎีวิเคราะห์อันใดพ่วงท้าย เป็นเพียงกลุ่มก้อนของความรู้สึกที่ทรงพลังมากจนมิอาจต้านทาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่ได้กลับมาพบคนที่ตกหลุมรักอีกครั้ง ความรู้สึกก็คือหัวใจนั้นเปล่าโหวงเคว้งคว้างเหมือนอยู่ท่ามกลางโลกไร้แรงดึงดูด และเมื่อได้อยู่ใกล้ใครคนนั้น ความคิดและห้วงคำนึงทุกอณูเป็นสีขาวโพลน
ปรารถนาประการเดียวคือเติมเต็มในสิ่งที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
อาจจะเคยพูด หรืออาจจะไม่เคยพูด แต่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะบางครั้งความเงียบนั้นทำงานได้ดีกว่าคำพูดนับร้อยล้านคำ ท่ามกลางบทสนทนาว่าด้วยเรื่องราวร้อยแปด ตรรกะพันชุด และทฤษฎีวิเคราะห์นับหมื่น เรากลับไม่เคยมองเห็นเสี้ยววินาทีของช่องว่างที่อยู่ระหว่างลมหายใจ
เธอไม่เคยถามคำถามสำคัญคำถามหนึ่ง-คำถามที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

"เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอคะ"
"ฮื่อ"
"แล้วพี่คิดยังไง"
"เธอก็รู้อยู่แล้วนี่"
"ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้?"
"พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโชคชะตาก็เหมือนเด็กซน ๆ ที่ชอบแกล้งเขี่ยมดให้แตกแถวเล่น ๆ"
"พี่จะบอกว่าเธอคนนั้นตายไปแล้ว?"
"เธอยังไม่ตาย เธอแค่เคยมีอยู่จริง"
"แล้วตอนนี้เธอหายไปไหน"


น่าใจหายที่ใครบางคนพร้อมที่จะหายไปจากใครอีกคนได้ง่าย ๆ เพียงแค่ความบิดผันเพียงนิดเดียวของโชคชะตา หรือบางทีอาจเป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเนิ่นจนโชคชะตามีโอกาสบิดผัน
การบอกว่าเวลาหรือโอกาสไม่อำนวยนั้นอาจเป็นเพียงคำแก้ตัวของคนขลาดเขลาเท่านั้น
หรือบางทีการเป็นคนขลาดเขลาอาจจะดีกว่า?

"ฉันมีความสุขที่ได้เห็นคุณอีกครั้ง...แต่ฉันไม่แน่ใจว่าการมาพบคุณจะเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า บางทีอาจจะดีกว่าสำหรับเราทั้งสองคนถ้าเราไม่ได้พบกัน บางทีแค่ได้รู้ว่าคุณมีความสุขดีก็น่าจะพอแล้ว..."
"แต่พอฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ก็ดูเหมือนถ้าไม่มาพบคุณสักครั้งจะเป็นการเสียเปล่าไป ฉันจึงมาที่นี่ ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วคอยเฝ้าดูคุณ ถ้าเขาจำฉันไม่ได้ ฉันคิด บางทีฉันก็อาจจากไปโดยไม่ทักทาย แต่ฉันทนไม่ได้ ความทรงจำเก่าหวนคืนมามากมายเหลือเกิน ฉันต้องทักคุณ"
(การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก)

ชิมาโมโตะมาปรากฏตัวต่อหน้าฮาจิเมะเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วเธอก็หายตัวไปตลอดกาล
ใครคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผมในลักษณาการนั้น

"เธอไม่ได้หายไป เธอแค่เคยมีอยู่จริง"
"ตอนนี้เธอไม่ใช่ความจริง?"
"เธอเป็นความจริงสำหรับบางคนในบางสภาวะ แต่สำหรับพี่, เธอเพียงแค่เคยมีอยู่จริงเท่านั้น"
"แล้วความรักของพี่เป็นอย่างนั้นไหม"
"อย่างไร"
"เคยมีอยู่จริง"
"ไม่, ความรักของพี่เป็นความจริงเสมอ มันทั้งเคยมีอยู่ มีอยู่ในตอนนี้ และจะมีอยู่ตลอดไป"
เหมือนจู่ ๆ เธอนึกคำถามที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้
"แล้วพี่รักใคร"

เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ได้ตอบคำถามของเธอ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๘/๐๗/๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การตามหาหญิงสาวในคืนฝนตก

"พี่คิดว่า คนเราอาจไม่ได้มีความรักเพียงครั้งเดียว แต่จะมีคนเดียวเท่านั้นที่เราพร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เพียงเพื่อได้อยู่กับคน ๆ นั้น"
"พี่กำลังพูดถึง South of the Border, West of the Sun เหรอคะ?"


ส่วนหนึ่งจากบทสนทนากับใครคนหนึ่งซึ่งทุกครั้งที่ผมคุยกับเธอ ผมรู้สึกว่ากำลังเล่นเกมคุยกับตัวเอง แต่เป็นตัวเองที่ผมไม่อาจคาดเดา ไม่อาจจินตนาการถึงความซับซ้อน ความไม่ซับซ้อน ความสมบูรณ์แบบ ความไม่สมบูรณ์แบบของเธอได้ครบถ้วน

บางครั้งความรักก็เป็นเพียงการเริงระบำของจินตนาการ เหมือนทิศใต้ของพรมแดนที่ไม่มีอะไรอยู่ ทั้งที่เราคิดถึงบางสิ่งที่สวยงาม ใหญ่ และอ่อนนุ่ม

มนุษย์ทุกคนมีจุดอ่อนซ่อนอยู่ในส่วนที่เปราะบางที่สุดของหัวใจ ใครหลายคนไม่รู้ เพราะไม่มีเวลามากพอจะค้นหา นั่นเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เขาไม่ต้องมาสนใจในรายละเอียดยิบย่อย นั่นทำให้ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างปรกติสุข

แต่สำหรับใครบางคนที่มีผัสสะละเอียดอ่อน สิ่งนี้จะกลับกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่วูบไหวเข้ามาในห้วงคำนึง การถูกโบยตีด้วยจุดอ่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ แต่บางคนก็ยอมให้เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาจะได้ค้นหาบางสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริงมาเติมเต็ม

ในระหว่างจำนวนจริงมีค่าอนันต์ซ่อนอยู่ ในมิติของหัวใจเองก็มีมิติความไม่สมบูรณ์ อาจเรียกว่าเป็นมิติเศษส่วน

อะไรที่ทำให้มิตินี้เกิดขึ้น?

อาจเป็นความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์แบบ หรือตะกอนความทรงจำของบางเหตุการณ์หรือบางคนที่ตกค้างในใจ บางเศษเสี้ยวอาจเลือนหายเมื่อเวลาผันผ่าน แต่จะมีเพียงแก่นแกนของความบกพร่องเท่านั้นที่จะยังคงติดแน่นในใจโดยไม่รู้เหตุผล แล้วในที่สุดมันจะพัฒนามาเป็นมิติเศษส่วนที่ไม่มีวันเต็ม มิติเศษส่วนมักซ่อนอยู่ในจุดที่เปราะบางที่สุดในใจ แต่เราก็จะเผลอลืมมันไปหมดสิ้น จนกว่าวันหนึ่งบางสิ่งบางอย่างในตัวจะตายจากไป เราจึงจะรู้สึกถึงมิติเศษส่วนนั้น

"พี่เจอเธอหรือยังล่ะ"
"อาจจะ"
"แล้วพี่ทำยังไง"
"พี่รอ"
"รออะไร"
"รอบางสิ่งที่ไม่มีจะวันเกิดขึ้น"
"พี่รอนานแค่ไหน"
"รอจนบางสิ่งบางอย่างในใจพี่ตายลง"
"แล้วพี่ทำยังไงต่อ"
"พี่ออกเดินทางไปยังทิศตะวันตก"


จุดอ่อนในส่วนที่เปราะบางที่สุดในหัวใจของใครคนหนึ่งจะถูกเขย่าได้ด้วยวิธีใดบ้าง? มันไม่ต้องการความซับซ้อนใด ๆ เลย เพียงแค่สัมผัสถึงบรรยากาศที่จะทำให้มิติของตัวเองแปรเปลี่ยนไปฉับพลันเท่านั้น

แต่การตระหนักในจุดอ่อนไม่ได้แปลว่าจุดอ่อนนั้นจะจางหายไป มิติเศษส่วนเรียกร้องให้เราแสวงหาบางสิ่งมาเติมเต็มทั้งที่เรารู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่มีอยู่จริง

การหาเศษส่วนมาเติมเศษส่วน ยิ่งทำให้ระดับเศษส่วนซับซ้อนทวีคูณ เว้นแต่การหาเศษส่วนเพียงหนึ่งเดียวที่สอดคล้องกันทั้งเศษและส่วนที่จะทำให้เศษส่วนกลายเป็นจำนวนเต็ม ซึ่งครั้งหนึ่งอาจเคยมีอยู่ แต่มันจากไปในวันที่เราไม่ได้เตรียมพร้อม เราไม่มีวันค้นหาเศษส่วนนั้นพบในสภาพเดิม เพราะทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีใครกดปุ่มหยุดเวลาชีวิตไว้ที่ช่วงอายุหนึ่งได้

ใครบางคนล้มลงบนพื้นแล้วตายลงเงียบ ๆ

"พี่เจออะไรที่นั่นบ้าง"
"ไม่รู้สิ... พี่อาจจะแค่อยากออกเดิน แต่บางทีพี่อาจจะคิดผิดก็ได้"
"พี่อยากจะหาอะไรบางอย่างที่อยู่ฟากฝั่งนั้นไม่ใช่เหรอ"
"พี่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มี ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
"แล้วพี่จะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้ไหม"
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น



วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๖/๐๗/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนยิ้มหวาน

๏ ยิ้มยิ้มเริงร่านัยน์ตาพริ้ม
ยิ้มยิ้มชวนให้ใจใครฟุ้งซ่าน
ยิ้มนิดนิดจิตแจ่มใสใจชื่นบาน
คนอะไร, ยิ้มหวานน้ำตาลแพ้

๏ รอยยิ้มเป็นศรรักพุ่งปักใจ
ถูกพิษรอยยิ้มใสไร้ยาแก้
พิษรักแสนหวานซ่านดวงแด
ต้องรีบหลบไม่กล้าแล, ฉันแพ้ทาง

๏ ยิ้มใสใสเหมือนตะวันอันสดใส
คงต้องแอบซ่อนใจไว้ห่างห่าง
กลัวจะตกหลุมรักเธอดักพราง
ด้วยรอยยิ้มไม่เคยจางอยู่กลางใจ

๏ ช่วยเพลายิ้มลงหน่อยอย่าบ่อยนัก
ฉันหลงรักยิ้มงามห้ามไม่ไหว
ทุกรอยยิ้มอุ่นซ่านหวานฤทัย
แอบมองทีไรใจทรมาน

๏ ยิ้มยิ้มเริงร่านัยน์ตาพริ้ม
ดูสิยิ้มใครกันชวนฝันหวาน
เห็นเธอยิ้มแล้วหายโศกโลกเบิกบาน
อย่ายิ้มนาน, ใจละลายหายหมดแล้ว! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๒/๐๗/๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บางบทสนทนาของสุนัขกับผีเสื้อ

"ผีเสื้อ, เธอสวยจัง ฉันอิจฉาเธอ"

"เธอจะอิจฉาฉันทำไม, เจ้าหมา, อยู่ได้อีกไม่ถึงวันฉันก็จะต้องลาโลกนี้ไปเสียแล้ว"

"แม้วัยเยาว์ในชีวิตของเธอจะเป็นหนอนน่ารังเกียจ กระนั้นปลายทางของชีวิตเธอก็เต็มไปด้วยความสวยงาม ใครเห็นก็นึกชื่นชม ใครเห็นก็ปันความรักให้

"ต่างจากฉัน ฉันเกิดมาเป็นหมาน้อยน่ารัก ใครเห็นก็เอ็นดู แต่ดูฉันในตอนนี้สิ กาลเวลาเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นหมาแก่ ๆ เนื้อหนังเหี่ยวแห้งไม่น่ากอดน่าสัมผัสอีกต่อไป ปลายทางของฉันมีแต่ความร่วงโรย เหลือเพียงเศษซากสังขารผุพัง เจ้านายที่เลี้ยงฉันมาแต่อ้อนแต่ออกก็ทิ้งฉันเสียแล้ว เหตุเพราะเขามีหมาตัวใหม่ที่อ่อนเยาว์กว่า น่ารักกว่า

"ฉันอยากจะเป็นอย่างเธอ, ผีเสื้อ, ฉันจะได้ลาจากโลกนี้ไปด้วยอุ่นไอแห่งความรักที่ยังมิทันจางหาย"

"แต่เธอก็ได้ลิ้มรสความรักมาตั้งแต่เยาว์วัยมิใช่หรือ, เจ้าหมา, อย่างน้อยความทรงจำของความรักอันแสนหวานที่ยังตกค้างอยู่ในใจคงช่วยให้เธอมีความสุขในบั้นปลายแห่งชีวิต

"ต่างจากฉัน ฉันเกิดมาพร้อมกับความทรมาน ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ กว่าที่ฉันจะได้โอบกอดและดื่มด่ำกับความรักของมวลบุปผาก็ล่วงเลยมาถึงวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว ฉันอยากมีเวลาให้ความรักได้ตกตะกอนจนอิ่มเต็มในใจบ้าง แต่เธอก็รู้, เวลาของฉันน้อยเกินไปเสมอสำหรับสิ่งสำคัญ

"ฉันอยากจะเป็นอย่างเธอ, เจ้าหมา, ฉันจะได้ลาจากโลกนี้ไปด้วยตะกอนความทรงจำของความรักที่อิ่มเต็ม"

"เธอไม่เข้าใจ, ผีเสื้อ, ที่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความรักจากไป แต่เพราะความรักยังคงอยู่ต่างหาก"

"ฉันไม่เข้าใจ, เจ้าหมา, อย่างน้อยความรักก็เป็นสิ่งทรงค่าที่สุดที่เราจะต้องดื่มด่ำในทุกวินาทีของชีวิต แม้มันจะเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดก็ตามทีมิใช่หรือ"

"คงเป็นเพราะเวลาของสองเราน้อยเกินไปที่จะได้เรียนรู้ทุกแง่มุมของความรัก"

"ถ้าเช่นนั้น หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความรักอีก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใด"

"คงมีสักวันที่เราจะได้เรียนรู้และเข้าใจความรัก"

"ขอให้มีสักวัน"

"จะต้องมีสักวัน"

"ถึงเวลาที่ฉันต้องเดินทางแล้ว, เจ้าหมา, เธอจะเดินทางไปกับฉันไหม"

"เราทุกคนต่างก็ต้องเดินทาง ฉันดีใจที่ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่ระหว่างการเดินทางร่วมกับเธอ, ผีเสื้อ, เราไปกันเถอะ"

วุฒินันท์ ชัยศรี

๐๗/๐๗/๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทบันทึกถึงปริมณฑลความเศร้าและก้าวย่างที่ไม่อาจหวนคืน

หากมีดาวเหนือ เรือก็ยังพอจะกำหนดทิศทาง
แต่ในเมื่อเวิ้งฟ้ามืดมิดพอ ๆ กับก้นทะเล
เรือบางลำที่เคว้งอยู่กลางมหาสมุทรก็มิอาจไปต่อ

บางคลื่นความถี่ อาจไม่สัมพัทธ์กับแรงเต้นของหัวใจ
ทันทีที่เผยร่าง ณ ปลายทาง
จึงเหลือเพียงอักขระเปล่ากลวงไร้ความหมาย

การเปิดเปลือยไพ่ในมือทั้งหมด
มิใช่วิสัยของนักเล่นพนันผู้ชำนาญ
ทั้งที่คิดว่าสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิตเป็นข้อยกเว้น

หัวเราะให้กับความดีงามจอมปลอมของตนเอง
เช่นเดียวกับสีสันสดใสที่ห่มคลุมซากไม้ผุพัง
ถูกกัดกร่อนจากข้างใน รอจนกว่าจะยืนต้นไม่ไหว

เช่นเดียวกับสายตามองตัวตลก
แท้จริงคือสายตามองกระจก
สัจธรรมเป็นเช่นนั้น แต่หลายครั้งเราแสร้งมองไม่เห็น

อีกมุมหนึ่งจึงพร่ำบ่นกับตัวเองซ้ำไปมาไม่รู้จบ
"เป็นเช่นนี้แหละ"
"เป็นเช่นนี้แหละ..."


วุฒินันท์ ชัยศรี
๐๔/๐๗/๒๕๕๔