นักเขียนเรื่องสั้นไซไฟของไทย หายากกว่ายาก ออกรวมเล่มสักเล่มก็แสนเข็ญ แต่อดิศร ไพรวัฒนานุพันธ์ เป็นนักเขียนไทยหนึ่งในไม่กี่คนที่มีรวมเรื่องสั้นไซไฟเป็นเล่มที่สอง
และเกือบทุกเรื่องในทั้งสองเล่มผ่านการตีพิมพ์ในนิตยสารมาแล้วทั้งสิ้น
น่าจะเป็นเครื่องการันตีคุณภาพของผลงานได้เป็นอย่างดี
เมื่อพูดถึงเรื่องสั้นไซไฟ
(Science Fiction หรือ Sci-Fi)
หลายคนมักจะนึกภาพว่าจะต้องเป็นเรื่องสั้นที่มีองค์ประกอบสำคัญในเรื่องคือเทคโนโลยีล้ำหน้าเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้
ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังทอดเท้าอย่างอ้อยอิ่ง
แนวคิดสำคัญของไซไฟหลายเรื่องก็ดูจะเป็นเช่นนั้น เราเคยตื่นเต้นกับ "Le
Voyage dans la Lune“ (1902)
ก่อนที่มนุษย์จะฝากรอยเท้าบนดวงจันทร์ได้จริงในอีก 67 ปีต่อมา
เราตื่นเต้นกับเรื่องเล่าที่เขียนถึงการเดินทางข้ามเวลา จักรวาลคู่ขนาน
และเทคโนโลยีล้ำยุค จนกระทั่งเรื่องราวเหล่านั้นเริ่มไล่กวดเรามาเรื่อย ๆ
และความจริงในปัจจุบันนั้นล้ำหน้าเกินกว่าที่จินตนาการจากไซไฟจะไปถึงเสียอีก
"อนาคด"
(2555) งานยุคแรกของอดิศรก็มีกลิ่นอายเช่นนั้น
หลายเรื่องกล่าวถึงความล้ำยุคของเทคโนโลยีในจินตนาการ เช่น
การเดินทางข้ามดวงดาวที่สะดวกสบายเหมือนนั่งรถไฟฟ้า
(สัมภาษณ์งานบริษัทข้ามดาว, 2555)
การตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้มนุษย์เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ (มนุษย์ตกรุ่น,
2553) ระบบ "ชีวิตสบาย" ซึ่งในยุคของเรารู้จักในชื่อ Big Data Analytics
ในอีกหลายปีหลังจากเรื่องนี้ตีพิมพ์ (ชีวิตสบาย, 2555)
เมื่อมองมาที่
"ผู้คนในโลกภาพฝัน" (2562)
ซึ่งเรื่องสั้นทุกเรื่องกล่าวถึงเทคโนโลยีเพียงสิ่งเดียวคือ "กล่องภาพฝัน"
กล่องเล็ก ๆ
ขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือที่สามารถบันดาลภาพฝันได้ทุกอย่างตามที่ใจปรารถนา
สำหรับคนที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented
Reality (AR) กล่องภาพฝันอาจจะไม่ได้เหนือล้ำเกินจินตนาการเท่าใดนัก
แต่กล่องภาพฝันดังกล่าวกลับบันดาลเรื่องราวไม่ซ้ำรสได้มากถึง 13 เรื่อง!
การกลับมาของเรื่องสั้นไซไฟเล่มที่สองของอดิศร
คล้ายจะบอกผู้อ่านถึงความสำคัญอีกประการหนึ่งของเรื่องสั้นไซไฟว่า
มิใช่เป็นเพียงการเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว
แต่เรื่องสั้นไซไฟที่ดีจะต้องพาผู้อ่านกลับเข้าไปสำรวจจิตใจของมนุษย์
ความบิดเบี้ยว กิเลสตัณหา
ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและเทคโนโลยีที่รายล้อมพวกเขาอยู่
เทคโนโลยีทำให้มนุษย์ดีขึ้นหรือไม่?
หรือไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร พวกเขาก็ยังคงเดินหลงทางไม่สิ้นสุด
เมื่อมีโอกาสก็กัดกินกันเองไม่แตกต่างจากสมัยเริ่มต้นอารยธรรม?
กลับเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เปิดเปลือยสันดานดิบที่แท้จริงของมนุษย์?
รวมเรื่องสั้นชุดนี้ซึ่งมีแกนกลางอยู่ที่
"กล่องภาพฝัน" นำพาผู้อ่านไปพบกับโลกทั้ง 13 ใบของแต่ละตัวละคร
มีทั้งปัญหาความหมกมุ่น ปวดร้าว ลวงหลอก ที่กล่องภาพฝันก็ไม่อาจเยียวยา
(คนบ้า, ภาพฝันค้าง, ดวลกำปั้น)
เรื่องราวระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะยุคสมัยใด
(อธิษฐานแล้วรวย, เรื่องเล่าข้างถนน, ภาพผู้นำ)
หรือแม้แต่เรื่องสืบสวนสอบสวนที่ชวนให้ลุ้นระทึกจนถึงหน้าสุดท้าย
(สืบความจริง)
เรื่องที่ผมชอบที่สุดสองเรื่อง
น่าแปลกที่เป็นเรื่องซึ่งไม่ต้องใช้เทคโนโลยีกล่องภาพฝันในเรื่องเลย
นั่นคือ "น้ำตารูปปั้น" (2557)
เรื่องราวปาฏิหาริย์ที่รูปปั้นหลั่งน้ำตาได้โดยไม่ต้องใช้กล่องภาพฝัน และ
"เรื่องเล่าข้างถนน" (2557)
นักปลุกระดมต่อต้านอำนาจรัฐซึ่งมีที่มาอย่างคาดไม่ถึง
แต่นักปลุกระดมก็ได้ทิ้งบางสิ่งซึ่งสำคัญมากพอจะเปลี่ยนแปลงอนาคต
ทั้งสองเรื่องต่างก็เป็นเรื่องที่ทำให้เรากลับมาทบทวนความจริงของกล่องภาพฝันว่า
แท้จริงแล้วเป็นกล่องภาพฝันหรืออะไรกันแน่ที่บันดาลให้ใจเราบิดเบี้ยวและหลงงมงายไปกับภาพตรงหน้า
อาจจะเหมือนกับที่ผู้กองพยัคฆ์กล่าวไว้ในเรื่อง
"สืบความจริง" ว่า
"การจะเห็นความจริงใช่ว่าต้องมองโดยปราศจากภาพฝันรบกวนเสมอไป
จ่าเห็นความจริงได้ถ้าจ่าอยากเห็น..."
แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เสมอมา เราไม่เคยต้องการมองเห็นความจริง เราเพียงอยากเห็นสิ่งที่เราอยากเห็น ไม่ว่าจะมีกล่องภาพฝันหรือไม่
"ผู้คนในโลกภาพฝัน"
จึงเป็นรวมเรื่องสั้นไซไฟลำดับสองของอดิศร ไพรวัฒนานุพันธ์ที่ใช้การ
"ถอยหลัง" เพื่อ "ก้าวกระโดด" ให้เห็นพัฒนาการของนักเขียนไซไฟของไทย
โดยการกลับมาใช้เทคโนโลยีที่จับต้องได้เพื่อเข้ามาสำรวจแง่มุมต่าง ๆ
ของจิตใจมนุษย์ให้ลึกลงไปอีกขั้น กาลเวลา 7 ปี ที่ทิ้งระยะจาก "อนาคด"
เรื่องสั้นไซไฟเล่มแรก นับว่าไม่สูญเปล่าเลย
สิงหาคม 2563
:: พื้นที่รวบรวมงานเขียนเก็บเล็กผสมน้อยเป็นไทม์แมชชีนความรู้สึกของวันวาน ::
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563
คือนกน้อยนอกกรงเถื่อน
นกน้อยในกรงขัง
ย่อมระวังว่าเสรี
คือโรคอันเกิดมี
แก่ปีกซึ่งใฝ่ถึงฝัน*
เด็กน้อยมิใช่นก
ซึ่งเกิดในกรงอาธรรม์
กรงใดจะกางกั้น
เมื่อปีกกล้าท้าเวหน
หากฟ้ายังเลือกนก
ปีกเสรีฤๅยอมทน
หากคนเท่ากับคน
เขามาโค่นผู้ใดหรือ?
เกินกาลจะขังนก
ให้นบน้อมในกำมือ
แสนปีกจะบินฮือ
สู่ขอบฟ้ามหานที
นกน้อยนอกกรงเถื่อน
ย่อมเตือนตนว่าเสรี
คือสิทธิ์สถิตที่
ปีกแห่งฝันนิรันดร
๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๓
*จากคำกล่าวว่า "Birds born in a cage think flying is an illness." ของ Alejandro Jodorowsky
ย่อมระวังว่าเสรี
คือโรคอันเกิดมี
แก่ปีกซึ่งใฝ่ถึงฝัน*
เด็กน้อยมิใช่นก
ซึ่งเกิดในกรงอาธรรม์
กรงใดจะกางกั้น
เมื่อปีกกล้าท้าเวหน
หากฟ้ายังเลือกนก
ปีกเสรีฤๅยอมทน
หากคนเท่ากับคน
เขามาโค่นผู้ใดหรือ?
เกินกาลจะขังนก
ให้นบน้อมในกำมือ
แสนปีกจะบินฮือ
สู่ขอบฟ้ามหานที
นกน้อยนอกกรงเถื่อน
ย่อมเตือนตนว่าเสรี
คือสิทธิ์สถิตที่
ปีกแห่งฝันนิรันดร
๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๓
*จากคำกล่าวว่า "Birds born in a cage think flying is an illness." ของ Alejandro Jodorowsky
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)