วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 5

๑. ความดี-ความเลว

อ่านเรื่องราวเส้นแบ่งทางศีลธรรมของคุณ ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ระดับตำนาน Batman the Dark Knight ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่กำกับหนังอะไรเป็นดังค้างฟ้าไปหมด

ผู้กำกับคนนี้ชอบเล่นกับเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่ง รวมถึงเส้นแบ่งความดี-ความเลวของศีลธรรม ไล่มาตั้งแต่ Following, Memento, Batman Begins, The Prestige.

(จากบรรทัดนี้ไปเป็นการสปอยล์ The Dark Knight ท่านที่ยังไม่ดูและอยากดูก่อนจะอ่านกรุณาข้ามไปจนกว่าจะจบข้อ ๑.)

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเล่นกับประเด็นนี้ชัดที่สุดใน The Dark Knight ตั้งแต่การปูพื้นฐานของซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Batman ว่าเป็น "Outlaw vigilante" (ไอ้โม่งนอกกฎหมาย) เพราะแบทแมนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมของประชาชน แถมบางครั้งเขายังยอมทำผิดกฎหมายเพื่อรักษาความยุติธรรม เช่นว่า ใช้นักค้าของเถื่อนเป็นนักบิน บุกไปจับตัวอาชญากรชาวจีน ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศของจีนที่จะไม่ส่งอาชญากรข้ามชาติไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่ก็เป็นแบทแมนผู้นี้มิใช่หรือที่หิ้วคออาชญากรมาส่งตำรวจเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ดูตามตัวอักษรแล้ว อาจพูดไม่ได้เต็มปากว่าแบทแมนเป็นคนดี

มาที่ซูเปอร์วายร้าย คู่ชกที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง The Joker ที่ทำเอาแบทแมนเปิดตำรามารับมือไม่ถูก ประสบการณ์จากการเรียนรู้จิตใจเหล่าอาชญากรกว่าสิบปีของ Bruce Wanye ไม่ช่วยให้เข้าใจ The Joker ได้เลย เพราะโจ๊กเกอร์ไม่ได้ต้องการเงินทอง สิ่งของ หรืออะไรทั้งนั้น เขาทำเรื่องราวร้าย ๆ เพื่อจุดประสงค์อันใดไม่มีใครรู้ เหมือนไพ่ Joker ที่อยู่ในสำรับแต่ไม่มีใครเคยเอามาเล่นไม่ว่าจะเกมใด ๆ แต่ใครเลยจะปฏิเสธว่าไพ่ Joker ไม่มีอยู่จริง

ตอกย้ำด้วยฉากที่ดูลักลั่นอย่างแบทแมนอัดฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นคนดีอย่างตำรวจหน่วยสวาทและหมอ แล้วเข้าช่วยเหลือบรรดาตัวตลก เพราะอันที่จริงตัวตลกต่างหากคือตัวประกัน หมอคือคนร้าย แต่แบทแมนไม่มีเวลาพอจะอธิบาย

แล้วอะไรคือดี? อะไรคือเลว?

เส้นแบ่งของคำว่าศีลธรรมพร่าเลือนลงไปทุกที

แล้ว Nolan ก็จับเรื่องนี้มาเล่นให้เห็นชัดที่สุดในฉากไคลแม็กซ์อย่างฉากระเบิดเรือเฟอร์รี่

ลำหนึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ลำหนึ่งเป็นบรรดานักโทษคดีอุกฉกรรจ์ลอยเท้งเต้งกลางแม่น้ำ โจ๊กเกอร์ยื่นคำขาดว่าคนในเรือลำใดลำหนึ่งต้องระเบิดเรืออีกลำก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นโจ๊กเกอร์จะระเบิดทิ้งทั้งสองลำ

หากเป็นเรื่องราวในภาคก่อน ๆ เรื่องอาจจะดำเนินไปทำนองว่า ทุกคนเชื่อมั่นซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาว่าจะมาช่วยได้ทันเวลา แต่ตอนนี้ไม่ใช่! ทุกคนรู้แล้วว่าแบทแมนช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลยตลอดทั้งเรื่อง แม้แต่อธิบดีกรมตำรวจอย่างจิม กอร์ดอน ผู้ร่วมมือกับแบทแมนมาตลอดยังไม่ไว้ใจเขา จากนี้ไปทุกคนต้องช่วยตัวเอง

เรือผู้บริสุทธิ์กับเรืออาชญากร? คำตอบมันชัดอยู่แล้วว่าเรือลำไหนสมควรอยู่ ลำไหนสมควรระเบิด

หน้ากากศีลธรรม (ตามที่เข้าใจกัน) ถูกนำมาใช้ก่อนที่เรือผู้บริสุทธิ์

"We don't all have to die. Those men had their chance." (เราไม่ควรต้องตาย พวกนั้นเลือกเป็นโจรเอง)

ชัดเจนจนชวนให้นึกถึงตรรกะบางข้อที่ฝ่ายการเมืองบางฝ่ายชอบเลือกมาใช้ จะว่าไปมันก็สอดคล้องในตรรกะของผู้บริสุทธิ์อย่างเรา ๆ ดีแท้ แต่เมื่อคิดให้ดี มันก็คือเหตุผลเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการฆ่าฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง

"Let's put it to vote" (เรามาโหวตกันดีกว่า) อีกคนร้องขึ้นเพื่อใช้ช่องทาง "ประชาธิปไตย" แสวงหาความชอบธรรมมากยิ่งขึ้นในการระเบิดเรืออีกลำ

ขณะที่เรือโจรเต็มไปด้วยความโกลาหล พี่เบิ้มหัวหน้าโจรคนหนึ่งลุกขึ้น กล่อมคนคุมเรือด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

"You don't wanna die... but you don't know how to take a life." (คุณไม่อยากตาย แต่คุณไม่รู้ว่าจะฆ่าคนอื่นยังไง)

"Give it to me, and I'll do what you should've did 10 minute ago." (ส่งมันมาให้ผม แล้วผมจะทำในสิ่งที่คุณควรทำเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว)

ไม่มีใครอยากตาย คนคุมเรือก็เช่นกัน เขาจึงส่งรีโมทจุดระเบิดให้นักโทษคนนั้น แต่ผิดคาด! นักโทษคนนั้นโยนตัวจุดระเบิดทิ้งทะเล...

คนเลวต้องคิดแต่เรื่องเลว ๆ และการเอาชีวิตรอดมิใช่หรือ?

ตัดกลับมาที่เรือผู้บริสุทธิ์ การลงมติทำให้เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน แน่นอนว่าผลโหวตออกมาดังที่คาด "เสียงข้างมาก" ลงมติว่าต้องระเบิดเรืออีกลำ แน่นอนเราจะไม่พูดว่ามันถูกหรือผิดศีลธรรม ประชาธิปไตยแบบไทย-ไทยสอนเราชัดเจนว่า แค่เป็นเสียงข้างมากมันก็ถูกต้องเพียงพอแล้วในความคิดของเรา

"We're still here. And that means they haven't Killed us yet either." (เรายังอยู่ตรงนี้ นั่นแปลว่าคนในเรือลำนั้นก็ยังไม่ฆ่าเราเหมือนกัน) ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

คำพูดสั้น ๆ ชวนให้ทุกคนในเรือผู้บริสุทธิ์ตระหนักถึงบางสิ่งที่พวกเขามองข้าม

แล้วชายผู้กล้าหาญแห่งเรือผู้บริสุทธิ์ก็ลุกขึ้นมาหยิบตัวจุดระเบิด ปากก็พร่ำเหตุผลเช่นเดิมว่า "Those men on that boat? They made their choices. They choose to murder and steal. It doesn't make any sense for us to have to die too. (คนพวกนั้นเลือกที่จะเป็นโจร พวกเขาเลือกที่จะปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ มันไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องไปตายด้วย)

เขาหยิบตัวจุดระเบิด แล้วมองนาฬิกา เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่พวกเรายังมีชีวิตอยู่... ทำไมโจรถึงไม่ฆ่าพวกเรา

มือเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง วางตัวจุดระเบิด แล้วจึงกลับไปนั่งนิ่ง ทุกคนก้มหน้านิ่งราวกับยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึงเที่ยงคืนโจ๊กเกอร์จะระเบิดทั้งสองลำ แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ ไม่มีใครกล้าระเบิดเรืออีกลำ

สิ่งนั้นคืออะไรที่ทำให้ไม่มีใครกล้าฆ่าคนฝั่งตรงข้าม?

โจ๊กเกอร์ได้แต่แปลกใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เสียงแบทแมนร้องขึ้น

"What were you trying to prove? That deep down, everyone's as ugly as you? You're alone." (แกพยายามจะพิสูจน์อะไร พิสูจน์ว่าลึก ๆ ทุกคนใจอัปลักษณ์เหมือนแกงั้นเรอะ แกคนเดียวที่ชั่ว)

แล้วแบทแมนก็แย่งตัวจุดระเบิดจากโจ๊กเกอร์มาได้ โศกนาฏกรรมไม่เกิดขึ้น

กลับมาที่คำถามเดิม อะไรคือความดี อะไรคือความเลว

ถ้าการฆ่าคนคือความเลว ถ้าเช่นนั้นการฆ่าคนที่ผ่านการลงมติแบบประชาธิปไตยเป็นความเลวหรือไม่? การฆ่าคนเลว ฆ่าโจรเป็นความดีหรือไม่? ในเมื่อพวกนั้นเลือกที่จะปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ ทำความเลวเอง, แล้วโจรที่ยอมทิ้งตัวจุดระเบิดเป็นความดีหรือไม่? ในเมื่อสถานะของพวกเขาคือโจร พวกเขาจะทำความดีได้หรือไม่?

เส้นแบ่งของศีลธรรมพร่าเลือนจนเราไม่อาจตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความเลว

แต่หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่- ความดีมีอยู่จริงหรือไม่

ผมตอบว่า มีอยู่จริง เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตอบคำถามนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

ความดีไม่อาจค้นหาได้ด้วยเส้นแบ่งทางศีลธรรม (โจร-ผู้บริสุทธิ์) กฎหมาย (โจรทำผิดกฎหมาย แปลว่าเลว ต้องตาย) ระบอบการปกครอง (การโหวตเพื่อหาความชอบธรรมในการฆ่าอีกฝ่าย) ฯลฯ อันเป็นหลักเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาทีหลัง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะค้นหาความดีจนพบ

สิ่งนั้นคือ ศรัทธา

คือความศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า พวกเขามีความดีซ่อนอยู่ในที่ไหนสักแห่ง คำพูดของแบทแมนเปิดเปลือยจุดประสงค์ของโจ๊กเกอร์ "What were you trying to prove? That deep down, everyone's as ugly as you?" แต่แท้จริงแล้วส่วนลึกที่สุดในจิตใจของมนุษย์ไม่ได้ Ugly เหมือนที่โจ๊กเกอร์พยายามพิสูจน์ แต่เราถูกบางสิ่งบางอย่างกีดกั้นความดีงามในจิตใจเอาไว้

เมื่อถึงที่สุด เมื่อค้นไปจนลึกสุดหัวใจ ผู้ถือตัวจุดระเบิดในมือจึงพบความจริงบางอย่างที่เรียกว่า "ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์" สุดท้ายไม่มีใครกล้าระเบิดเรืออีกลำ

ความดีมีอยู่จริง หากต้องใช้ศรัทธาเท่านั้นในการค้นหา

เช่นเดียวกับความรัก

๒. มิติที่มองไม่เห็น

ตัวตนในโลกสองมิติ ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวตนในโลกสามมิติได้ เช่นเดียวกัน ตัวตนในโลกสามมิติ ก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวตนในโลกสี่มิติได้

เราอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิตินั้นเลย จนกว่าจะได้เข้าไปอยู่ในมิติดังกล่าว

ผมจึงอยากจะแย้งคุณเรื่องความรักของพ่อแม่

แน่นอนเมื่อถึงนาทีนี้ ผมยังคิดเช่นเดียวกับประโยคนั้นของคุณ

"ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ แต่ผมมองว่า เกิดจากความห่วงใยที่ผูกมัดว่าชีวิตลูกนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตตน การเลี้ยงลูกโดยปล่อยให้เขาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง จึงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับแม่ที่จะไม่คาดหวังอะไรตอบแทน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกตัญญู"

แต่ความรักของพ่อแม่อาจเป็นตัวตนในมิติที่สี่ที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้จนกว่าจะได้อยู่ในมิตินั้น

คนรู้จักของผมคนหนึ่งเคยเป็นวัยรุ่นแหลวแหลกจนทำให้พ่อต้องเสียน้ำตาบ่อย ๆ จวบจนเมื่อวันหนึ่งเขาได้กลายเป็น "พ่อคน" เขาจึงเอาดอกไม้มากราบไหว้ขอขมาพ่อ คำหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุด

"รู้แล้วว่าพ่อรักผมมากเพียงใด"

พี่ชายผมกลายเป็นพ่อคนในช่วงวัยหนึ่งของชีวิต แม่ผมถามลูกชายว่า รู้หรือยังว่าพ่อรักมากเท่าไหร่

พี่ชายผมไม่ตอบตามสไตล์คนไม่พูดมาก แต่พยักหน้ากับแม่

ผมได้แต่นั่งมองอยู่วงนอก เสมือนหนึ่งความรักของพ่อ-แม่เป็นมิติที่สี่ที่ผมไม่อาจย่างกราย

หากแม่ถามผมด้วยคำถามเดียวกันในตอนนี้ ผมคงตอบเหมือนที่คุณคิดไว้

แต่หากวันหนึ่งผมกลายเป็นพ่อคน ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบของผมจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?

อีกเรื่องหนึ่ง-และอีกมิติหนึ่งที่เรา-หมายถึงผมกับคุณอาจยังมองไม่เห็น-บังเอิญว่าผมเองก็ได้ดูรายการของชาวนาสาวคนนั้นตอนจับแมลงเหมือนกัน (เราบังเอิญได้ดูรายการเดียวกันบ่อยนะ ฮาฮา) ก่อนหน้านี้ผมเคยมีโอกาสสัมภาษณ์ชาวนาสาวคนดังกล่าว เธอเป็นนักปฏิบัติธรรมผู้เคร่งครัดคนหนึ่ง หากการบรรลุธรรมมีระดับขั้นเหมือนวรยุทธ เธอคงบรรลุเคล็ดวิชาในระดับสูงพอสมควรแล้ว

เธอเล่าเหตุผลที่เธอกินมังสวิรัติว่า เป็นเพราะเมื่อเธอนั่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง เธอได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของเนื้อสัตว์ที่เธอกินเข้าไป!

เช่นเดียวกับ "แม่" ของเรา หมายถึงแม่กวนอิมบนตึกรัฐศาสตร์ที่พวกเรา-คุณกับผม-เคารพบูชา เคยกล่าวว่า เมื่อกินมังสวิรัติจนชิน จะทนกลิ่นเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย

เช่นเดียวกับนิทานโบราณเก่า ๆ ที่ผมเคยอ่าน พระเกจิอาจารย์ธุดงค์ที่เคร่งมาก ๆ บางองค์ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สัตว์ทิพย์เช่นนาคบางตัวที่เข้ามาสยบยอมแทบเท้าท่านเหล่านั้นกล่าวว่า "ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีกลิ่นของซากศพเน่าเหม็นหมักหมมในร่างเหมือนมนุษย์ทั่วไป" นาคหมายความถึงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ซึ่งก็คือซากศพดี ๆ นี่เอง

นี่อาจเป็นอีกมิติที่เรา-ผู้นิยมบริโภคเนื้อสัตว์-ไม่อาจล่วงรู้ว่าเป็นความดีหรือความเลว จนกว่าจะก้าวล่วงเข้าไปในมิตินั้นเช่นเดียวกับชาวนาสาว หรือแม่กวนอิมของเรา เราจึงอาจจะตัดสินได้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี

(แต่นั่นก็จะกลับมาสู่คำถามเดิมที่เราถามกันจนวกวนมาแต่ต้น อะไรเล่าคือเส้นแบ่งทางศีลธรรม? นอกเสียจากการทับซ้อนของชุดความคิดมากมายที่ต่างก็มีเหตุผลรองรับแนวทางของตัวเอง)

๓. ศรัทธา

ศรัทธาคือเครื่องมือเดียวที่จะใช้ค้นหาความดี เช่นเดียวกับความรัก

ตราบเท่าที่เพื่อนของคุณยังกระโจนเข้าหาอ้อมกอดลวงตาของความรักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ผมเชื่อว่าเขายังไม่หมดศรัทธาในความรักหรอก

เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้น

เราพร่ำบ่นว่าหมดศรัทธากับความรัก ทวงหาเหตุผลที่ความรักไม่จบลงอย่างสมหวังเหมือนในเทพนิยาย แต่เพราะความรักที่ไม่สมหวังนั่นมิใช่หรือที่ทำให้เรายังคงมีศรัทธาอยู่

อาจเป็นเพราะเราหวังลึก ๆ ว่าจะได้พบกับความรักสมหวังเหมือนในเทพนิยาย หรืออาจเป็นเพราะเราพยายามกีดกันความจริงอันแสนโหดร้ายไม่ให้ก้าวล่วงเข้ามาในจินตนาการหวานหอม, เราจึงยังคงมีศรัทธาอยู่

ศรัทธาในความรักคือสิ่งเติมเต็มความเปล่ากลวงในหัวใจที่ไร้หลักยึด, แม้ว่าความจริงจะทำร้ายเรามากเพียงใดก็ตามที

กลับมาที่ The Dark Knight (สปอยล์อีกแล้ว ท่านที่ไม่ประสงค์จะรู้เรื่องราวกรุณาข้ามไป) Rachel รักแรกและรักเดียวของแบทแมนฝากจดหมายทิ้งเอาไว้ก่อนตาย ในนั้นระบุว่า เธอรักและจะแต่งงานกับ Harvey Dent อัยการหนุ่มคนรัก ไม่ใช่ บรู๊ซ เวย์น บุรุษผู้สวมหน้ากากแบทแมน

มีก็แต่ Alfred คนรับใช้เท่านั้นที่รู้ข้อความในจดหมาย แบทแมนไม่รู้เรื่องนี้

ตอนเช้าหลังจากคืนที่เรเชลตาย บรู๊ซพูดกับอัลเฟรดว่า

"She was gonna wait for me, Alfred. Dent doesn't know. He can never know." (เธอจะแต่งงานกับผม, อัลเฟรด เด้นท์ไม่เคยรู้ เขาจะรู้ไม่ได้)

ตราบเท่าที่เขายังไม่รู้ความจริง บรู๊ซยังคงมีศรัทธาในความรักที่เขามีต่อเรเชล แม้ความจริงจะโหดร้ายเพียงใดก็ตามที

สุดท้ายอัลเฟรดจึงเก็บจดหมายของเรเชลไปเผาทิ้ง เก็บงำความลับให้ตายไปกับตนเอง ดีกว่าให้ความจริงทำลายศรัทธาที่มีต่อความรักของบรู๊ซ

กลับเป็นคำพูดของแบทแมนเองที่อธิบายสถานการณ์นี้

"Because sometimes... the truth isn't good enough. Sometimes people deserve more. Sometimes people deserve to have their faith rewarded." (เพราะว่าบางครั้ง ความจริงอย่างเดียวไม่พอ บางครั้งคนเราต้องการมากกว่านั้น บางครั้งคนเราต้องการรางวัลแห่งการมีศรัทธา)

ตราบเท่าที่มี faith reward ใครเลยจะสนใจความปวดร้าวจากความจริงอันแสนโหดร้าย แม้ศรัทธานั้นจะเกิดขึ้นจากการหลอกตัวเองก็ตามที แต่ก็เหมือนที่แบทแมนว่าไว้มีใช่หรือ? เพราะความจริงอย่างเดียวนั้น ไม่พอ

ผมจำชื่อเงื่อนหนึ่งของชาวประมงไม่ได้แน่ชัด ผมขอเรียกมันว่า เงื่อนตายสมบูรณ์แบบ ความหมายนั้นตามชื่อ คือเป็นเงื่อนหลายประเภทที่ทับซ้อนกันแน่นหนาไม่อาจแก้ปมออกมาได้ไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ เมื่อชาวประมงพบเงื่อนตายดังกล่าว ทางเลือกเดียวของเขาคือตัดเชือกนั้นทิ้งเสีย

แต่ก็มีชาวประมงจำนวนไม่น้อยที่นั่งลงแล้วพยายามแก้ปมเงื่อนของเชือกนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า สุดท้ายความอดทนของพวกเขาจะหมดลง และต้องหยิบมีดมาตัดเชือกทิ้ง

ไม่มีใครเคยจัดการกับเงื่อนตายสมบูรณ์แบบได้ แต่คนส่วนมากก็ยังอยากจะลองจัดการกับเงื่อนตายสมบูรณ์แบบนั้น

เงื่อนตายสมบูรณ์แบบก็เหมือนปมสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของความรัก ไม่ว่ามันจะเป็นเงื่อนปมของความเห็นแก่ตัว การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรืออะไรก็ตามที่ทับซ้อนกันอยู่, คนจำนวนไม่น้อยรู้ถึงความยอกย้อนซ่อนเงื่อนของมัน แต่ก็ยังพยายามพาตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปมสัมพันธ์ที่ดิ้นไม่หลุด จนสุดท้ายต้องเอาน้ำตาเป็นกรรไกรใช้ตัดเงื่อนปมนั้นทิ้ง เพียงเพื่อหวนกลับเข้าไปในปมสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับคน Sophisticated ไม่รู้จะแปลไทยว่าอย่างไร แปลเป็นว่า "แก่โลก" ก็แล้วกัน, ปมความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนตายสมบูรณ์แบบ หรือปมสัมพันธ์ในมิติโมเบียสล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ วิธีแก้ปมไม่ยากเลย เพียงแค่ถอยออกมาและมองให้เห็น "ความจริง" ที่ซุกซ่อนอยู่หลังฉาก ก่อนจะลงมีดสะบั้นทิ้ง

แต่นั่นเป็นเพราะความจริงอย่างเดียวไม่พอสำหรับคนที่ใช้หัวใจสูบฉีดความรักมากกว่าเลือด

ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร ความเชื่อมั่น ความศรัทธา หรือกระทั่งความโง่เขลา แต่มันก็เป็นพลังลึกลับที่ไม่เคยตายไปจากหัวใจของมนุษย์, พลังลึกลับที่ทำให้คนบางคนนั่งลงแก้เงื่อนตายสมบูรณ์แบบ แม้รู้ว่าไม่มีวันแก้ได้, พลังลึกลับที่ทำให้คนหลงเข้าไปพัวพันกับปมสัมพันธ์อันแสนซับซ้อน แม้รู้ว่าสุดท้ายต้องลงเอยด้วยน้ำตา

ความศรัทธา, ไม่ว่าจะในความดีหรือในความรัก, แม้สุดท้ายอาจเป็นภาพลวงตา

แต่นั่นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ลมหายใจของเราไม่เหลือค่าเพียงแค่ลมเข้าออก ทำให้ชีวิตเราไม่เหลือค่าเพียงแค่สสารที่บังเอิญมาประกอบกันอย่างไม่ตั้งใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น