วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ใครคนนั้น

สุดท้ายเราก็เป็นแค่ 'ใครคนหนึ่ง' ในชีวิตเค้า
แต่เค้ากลับกลายเป็น 'ใครคนนั้น' ในชีวิตเรา

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ไม่ต้องแบ่งปันความรักมาให้ฉันก็ได้

ไม่ต้องแบ่งปันความรักมาให้ฉันก็ได้
ขอแค่พื้นที่เล็กน้อยในมุมหนึ่งของใจ
ให้ความคิดถึงของฉันที่เดินทางมาแสนไกล
ได้พักพิงซบอุ่นไอบ้างก็พอ

วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ดีต่อใจ

ฉันไม่ใช่คนดีเท่าไร
แต่อาจจะดีขึ้นได้ ถ้าอยู่ใกล้ใกล้คนที่ดีต่อใจอย่างเธอ

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Basketball Excercise.

เนื่องจากหอพักอยู่ใกล้ ๆ สนามกีฬาที่มีแป้นบาส เช้า ๆ เราก็มักจะมาหาเรื่องให้เหงื่อออกบ้างโดยการหยิบจับลูกบาสมาวิ่งกระโดดชู้ตเบา ๆ สนุก ๆ กับคนแถวนั้น
ครึ่งเดือนผ่านไป เข่าทั้งสองข้างกับข้อศอกขวาปวดหนึบ ๆ คิดว่าเดี๋ยวคงหาย นานเข้ายิ่งปวดจนต้องทาเคาท์เตอร์เพน พร้อมกับหาปลอกเซฟเข่าเซฟข้อศอกมาใส่
อีกเดือนนึงเปลี่ยนจากรองเท้าวิ่งมาเป็นรองเท้าบาสจริงจัง เข่าเริ่มดีขึ้น ตอนเลย์อัพกระโดดแรง ๆ ได้มากขึ้น
(เขินเหมือนกันตอนไปซื้อ คนขายมองหน้าแบบ โอ นี่คงเป็นนักบาสที่เตี้ยที่สุดในโลก 555)
วันพฤหัสที่แล้วมีสอนเช้าแต่ตื่นสายนิด ก็เลยรีบเล่นเลยไม่ได้วอร์มร่างกายก่อน ผลคือเช้าวันต่อมาระบม ปวดจนต้องโอดโอยร้องขอชีวิตตอนลุกจากเตียง
นึกถึงสมัยวัยสะรุ่นที่ใส่นันยางคู่เดียว (ไม่ใส่ถุงเท้า) เล่นบาสหนัก ๆ แรง ๆ กับเพื่อน เช้ามาก็ดีดจากเตียงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ตอนนี้แค่เล่น ๆ เบา ๆ แม่งใส่รองเท้าบาส ปลอกเซฟข้อเท้าข้อศอกมาเต็ม ก่อนเล่นยังต้องวอร์มร่างกายอีก โอ้ยชีวิต
นี่หรือร่างกายของคนวัย 30 นับวันถอยหลังทรุดโทรม ทำอะไรหนักนิดหน่อยก็กรอบ
อีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นยังไงบ้างนะ

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ตกหลุมรัก

เขียนถึงความรัก อาจไม่ใช่รักใหม่
เพราะคนเราอาจตกหลุมรักคนเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราชอบความรู้สึกใจเต้นแรงตอนตกหลุมรัก
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรรอเราอยู่ที่ก้นหลุม

Leonardo Sciascia นักเขียนชาวอิตาลีบอกว่า
"ความจริงอยู่ที่ก้นบ่อน้ำ เวลาคุณมองบ่อน้ำ คุณจะเห็นดวงอาทิตย์ไม่ก็ดวงจันทร์ แต่ถ้าคุณกระโดดลงไป ไม่มีทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จะมีก็แต่ความจริง"
เวลากระโดดลงหลุมรักหลุมเดิม เราชอบวินาทีที่อีกเอื้อมมือจะถึงดวงจันทร์ อีกแค่ปลายนิ้วจะคว้าคนที่เฝ้าฝันมากอด
แล้วก็ตูมมม! จมดิ่งลงไปในปลักโคลนความจริง แบบที่ปราณ ชายหนุ่มจากเรื่องไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตเคยรู้สึกว่า

"รวดร้าวบิดริ้วขึ้นข้างใน ไม่รู้จะบอกเธออย่างไรว่าเขายังเจ็บ ไม่ใช่ตรงนั้น แต่ลึกลงไป ไม่ได้บอกว่าเขาเจ็บแค่ไหน ไม่ได้บอกว่าเขาทำอย่างไรกับความเจ็บปวดนั่น ไม่ได้บอกเธอว่าชั่วขณะหนึ่งเขาลืมตัวไปว่าเป็นใคร เดียวดายมาอย่างไร ฟันฝ่าชีวิตมาแบบไหน เคยผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมายเพียงใด ก่อนจะมาฟั่นเฟือนเลอะเทอะ...ว่าเขามีใคร"
ปกติแล้วเราฝังตัวเองอยู่ในหลุม ขุดลึกลงไปและนอนมุดคุดคู้อยู่ตรงนั้น
เพราะความเจ็บปวดเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของการสร้างสรรค์งานเขียน เราจึงหมั่นทรมานตัวเองในก้นบึ้งของหลุมรักที่เป็นไปไม่ได้
แต่ช่วงนี้รู้สึกแปลก ๆ อยากจะปีนขึ้นจากหลุมรัก และกระโดดลงไปใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะเราเพิ่งพบว่า ความสุขที่เกิดจากการแอบรักก็เป็นเชื้อเพลิงที่ดีของการใช้ชีวิตเช่นกัน
แม้เป็นช่วงสั้น ๆ ก่อนตกหลุมลงไปพบกับความจริงก็ตาม

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คุกร้าย

หัวใจถูกก่อการร้ายหลายวันนัก
เธอมาก่อการรักให้ใจสั่น
ถูกจับขังคุกร้ายมาหลายวัน
คุกชื่อรอยยิ้มนั้น, ฉันยอมแพ้!

ม้าพยศ

หัวใจเหมือนม้าพยศ สมองเหมือนสารถี
เมื่อก่อนก็ยังดีดี สารถีพอคุมได้
แต่หลังจากพบเธอ ไม่รู้เป็นอะไร
เจ้าม้าเหมือนมีแรงใจ อยากพุ่งไปหาเจ้าของใหม่เสียอย่างนั้น
สารถีปราบพยศพัลวัน เมื่อไรมันจะหมดแรง
วอนเธออย่าแกล้งยิ้มให้
นึกถึงรอยยิ้มตาหยีทีไร ม้าพยศก็ดิ้นใหญ่
เหมือนว่าอยากไปจุมพิตเธอ

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชีวิตที่เหลืออยู่

คนเราเริ่มใช้คำว่า "ชีวิตที่เหลืออยู่" เมื่อถึงช่วงไหนของชีวิตกันนะ?
บางคนอาจเริ่มใช้เมื่อทำงานจนถึงขีดสุดของสังขารและต้องการพักผ่อนในวาระสุดท้าย บางคนเริ่มใช้หลังจากประสบความสำเร็จสูงสุดและใช้วันเวลาที่เหลืออยู่เก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความสำเร็จจนถึงช่วงบั้นปลายชีวิต
แต่สำหรับฉัน "ชีวิตที่เหลืออยู่" เกิดขึ้นเมื่อได้พบใครบางคนที่ทำให้ได้เข้าใจว่าการใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมากว่าครึ่งชีวิตนั้นช่างไร้ความหมายสิ้นดี
หลังจากวันที่พบเธอ ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันมีเพียงความหมายเดียวคือ การได้ใช้มันเพื่อให้รอยยิ้มเปี่ยมสุขประดับอยู่บนใบหน้าสวยหวานนานเท่านาน และเหตุผลเดียวของชีวิตที่เหลืออยู่คือ การได้ลืมตาขึ้นมาพบกับดวงหน้าพริ้มฝันเป็นภาพแรกของทุกวันตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

จับมือ

กับผู้หญิงคนอื่น, ก็เคยใจเต้นแรงเวลาจับมือ
แต่กับเธอ, เมื่อเรากุมมือกัน
ใจฉันกลับสงบนิ่ง อบอุ่น ไร้กังวล เหมือนทารกฝากชีวิตไว้ในอ้อมอกมารดา
พร้อมกับความคิดว่า หากวันสุดท้ายของชีวิตยังได้อยู่เคียงข้างผู้หญิงคนนี้
ชีวิตไร้คุณค่าของฉันก็คงพอจะมีความหมายขึ้นมาบ้าง

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ไม่เคยเอ่ยถาม


ระหว่างเสียเค้าไปเพราะเอ่ยปากถามความในใจ
กับเสียเค้าไปเพราะไม่เคยเอ่ยถามความในใจ
อย่างไหนเศร้ากว่ากันนะ...

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ส่งเสด็จ


คิดจะไม่ร้องไห้ก็ได้ร้อง
ตัวสั่นน้ำตานองเต็มหน้า
ใจหายแม้ทำใจนานมา
แต่จะยืนด้วยสองขาก็สิ้นแรง

ปี่พาทย์เพลงน้ำตาโหมขับ
เมื่อดวงเดือนลาลับดับแสง
สิบทิศล้วนห่มดำตาก่ำแดง
ใจร้าวเกินแสร้งทำใจ

อยากฝืนยิ้มส่งเสด็จครั้งสุดท้าย
เป็นความหมายว่าลูกสู้ลูกอยู่ไหว
แต่ถึงคราวก็ครวญคร่ำร่ำอาลัย
ปิ้มปานดวงหทัยแหลกลาญ

๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เหมือนว่าฝนยังไม่จางจากวันนั้น


เหมือนว่าฝนยังไม่จางจากวันเก่า
วันที่ดวงใจเราแหลกสลาย
เมฆหมอกหม่นดำความเดียวดาย
ดวงดาวคือประกายของน้ำตา

ข่าวร้ายยังเหมือนข่าวของเมื่อวาน
ตัวสั่นแค่มองผ่านภาพข้างฝา
หนึ่งปีเหมือนนิรันดร์นานมา
แล้วอีกกี่ปีกว่าจะผ่านไป

ฤดูมรสุมความเศร้าโศก
จะห่มคลุมโลกถึงกัลป์ไหน
ท่ามกลางรอยน้ำตาความอาลัย
ความทรงจำกลางใจไม่ลาร้าง

มองพระเมรุมาศจะขาดใจ
ฝนน้ำตาก็รินไหลพรายพร่าง
หลับตาแต่หัวใจไม่ปล่อยวาง
เหมือนว่าฝนยังไม่จางจากวันนั้น

๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐

วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อนุทินถึง "กล่องสมบูรณ์แบบ"


ต้นปี 2560 เราพบว่าตัวเองกำลังสอนวิชา "การเขียนเชิงสร้างสรรค์" ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขณะที่ในใจก็กังขาอยู่ลึก ๆ ว่าเรายังดีพอจะสอนวิชานี้อยู่ล่ะหรือ ในเมื่อเรื่องสั้นชิ้นสุดท้ายที่ได้รับการตีพิมพ์ในไรต์เตอร์นั้นก็นานมาแล้วตั้งแต่ปี '57 เรื่องสั้นชุดที่รวมส่งไปขอพิจารณาตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งก็มีแต่ความเงียบงันและการเลือกตีพิมพ์รวมเรื่องสั้นของนักเขียนคนอื่นเป็นคำตอบกลับมา

ความรู้สึก 'หมดน้ำยา' ยิ่งชัดขึ้นตอนไปพบน้อง ๆ นักเขียนไฟแรงในค่ายนักเขียนแห่งหนึ่ง ถึงขนาดออกปากกับน้องว่า ขยันเขียนเข้านะ อย่าหมดไฟเหมือนพี่...

แต่ช่วงสามสี่ปีที่เงียบงันก็ยังพอมีข่าวดีเล็ก ๆ อยู่บ้างที่เรื่องสั้นเรื่องใหม่ได้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลพานแว่นฟ้า นี่ก็คงพอจะตอบตัวเองได้อยู่ว่า เราเองก็ยังพอมีน้ำยาอยู่บ้างแฮะ (ฮา)

แรกเริ่มเดิมที เรื่องสั้นเรื่องนี้ตั้งใจจะให้เป็นภาคต่อของ "เรื่องราวของจานดำ จานแดงฯ" เรื่องสั้นที่เคยเข้ารอบเมื่อปี '54 (ต่อจากยุคโทรทัศน์ติดจาน ก็มาเป็นยุคติดกล่อง 555) จำได้ว่าเขียนพล็อตร่างแรกไว้ในกระดาษจดเมนูของร้านข้าว แล้วก็วางลืมไว้แถว ๆ โต๊ะทำงาน ถ้ายังไม่หายก็คงหล่นอยู่แถว ๆ โต๊ะคอนเทนต์ในออฟฟิศรักลูกนั่นแหละ ใครหาเจอให้สิบบาท

แต่ก่อนที่จะลงมือเขียน ก็พอดีมีโอกาสได้ทำงานวิจัย "จิตวิญญาณประชาธิปไตยในเรื่องสั้นฯ" ในหัวข้อรางวัลพานแว่นฟ้าพอดี เลยคิด (เอาเอง) ว่า ถ้าเราทั้งทำงานวิจัย ทั้งส่งประกวดด้วยก็คงจะดูแปลก ๆ เพราะตอนนั้นเราทำงานใกล้ชิดกับคณะนักวิจัยซึ่งหลายคนก็เป็นกรรมการรางวัลนี้อยู่ด้วย เดี๋ยวพวกปากหอยปากปูจะคาบไปนินทาได้ เลยตัดสินใจถอยห่างจากรางวัลนี้จนกว่างานวิจัยจะเสร็จดีกว่า

หลังจากนั้นก็มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิต รวมถึงการว่างเว้นจากงานเขียนจนปืนฝืด ทำให้พล็อต 'ภาคต่อ' ที่คิดไว้ถูกดองร่วมห้าปีกว่าจะได้เขียนออกมา การเว้นช่วงยาวนาน บวกกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนไป ทำให้เนื้อหาของทั้งสองเรื่องไม่มีความเกี่ยวโยงกันเลยซะอย่างนั้น เหมือนกันอย่างเดียวคือพระเอกเรียนคณะรัฐศาสตร์ และบ้าบอล

ความอะเมซซิ่งของพล็อตเรื่องนี้คือ เราเขียนให้มีรัฐบาลเผด็จการทหารยึดอำนาจและคอยควบคุมความคิดเห็นของประชาชน ฟังดูไม่แปลกอะไรเลยถ้าเพิ่งคิดจะเขียนใน พ.ศ. 2560 แต่ครั้งแรกที่เราวางพล็อตแบบนี้ไว้ ตอนนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมด้วยซ้ำ! (ถ้าเราเขียนเลยตั้งแต่ตอนนั้น เราอาจไม่ได้เป็นนักเขียน แต่ได้เป็นศาสดาพยากรณ์แทน 555) ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่าเราเขียนเสียดสีแดกดันรัฐบาลลุงตู่ บอกเลยนะว่าไม่ได้ล้อเลียนรัฐบาล แต่รัฐบาลทำตัวเลียนแบบพล็อตเรื่องสั้นที่เราวางไว้ตั้งนานแล้วต่างหาก 555

สิ่งที่ถือว่าเป็น 'มิชชั่นคอมพลีต' ในการเขียนเรื่องนี้คือ เราได้ทำเรื่องที่เป็น To-do-list ก่อนตายสำเร็จไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือการใส่ชื่อน้อง Iori Kogawa นางเอก AV คนโปรดเข้าไปในผลงานด้วย นี่เป็นเรื่อง (ลามก) เล็ก ๆ ที่ทำให้นอนตายตาหลับ 555 (อันที่จริงมีความทะลึ่งลามกในเรื่องอีกเยอะมาก ต้องขอบคุณความใจกว้างของคณะกรรมการจริง ๆ ที่ยังเมตตาให้ผ่านมาจนถึงรอบนี้)

ฝากติดตามด้วยนะครับ "กล่องสมบูรณ์แบบ" เรื่องสั้นที่ประชดประชัน 'ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย' แบบ Dystopia นิด ๆ ทะลึ่งลามกหน่อย ๆ ตามสไตล์คนเขียน 555 จะตีพิมพ์รวมเล่มอยู่ในรวมเรื่องสั้นและบทกวีรางวัลพานแว่นฟ้า ปี 2560 ครับ

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

รักเก่า

ถ้าอยากให้แน่ใจว่า
เราพร้อมแล้วสำหรับการมีรักครั้งใหม่
ให้ลองไปยืนตรงหน้า สบตากับคนเก่า
หากยังรู้สึกใจสั่นอยู่ แม้เพียงบางเบา
ก็อย่าเพิ่งไปเริ่มใหม่กับใครเลย

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ปนัดดา/น้ำตา/หน้ากากเต่า


มีไม่กี่คนที่รู้ว่าผมเป็นแฟนบอยของปนัดดา เรืองวุฒิ หนึ่งในนั้นก็คือคุณแฟนเก่าที่บังเอิญเห็นเพลงเกือบทุกอัลบั้มของปนัดดาบรรจุอยู่ในเครื่องเล่นเพลง พอเธอรู้ความจริงนี้แล้วถึงกับเอามือทาบอกอุทานว่า "ผู้ชายที่ชอบฟังเพลงปนัดดามักจะเป็นเกย์ กอล์ฟเป็น..ใช่ไหม?" (ตรรกะอะร้าย?) แม้ว่าจะตามเก็บเพลงของเธอไว้เธอแทบทุกอัลบั้ม แต่ที่ฟังแบบเอาจริงเอาจัง (ซื้อเทปฟัง) ก็ถึงแค่อัลบั้ม "บานไม่รู้โรย" และหลังจากนั้นก็แค่ตามข่าวอยู่ห่าง ๆ ยิ่งช่วงหลังที่ค่ายเพลงทำให้เธอกลายเป็นตัวแทนเพลงเมียน้อย (สู้กับเพลงเมียหลวงของปาน ธนพร) ก็ไม่ได้ตามอีกเลย

พอได้ยินจากในเฟซบุ้คว่าเธอคือหน้ากากเต่าในรายการเดอะแมสก์ซิงเกอร์ ซีซั่น 2 คนที่ไม่มีทีวีในห้องและไม่ติดตามรายการโทรทัศน์ใด ๆ อย่างผมเลยต้องไปหารายการย้อนหลังมาฟังด้วยความคิดถึง พอได้ฟังแล้วเรื่องราวเก่า ๆ สมัยเป็นแฟนบอยก็ลอยมาตามน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ

อาจจะนับว่าเป็นโชคดีก็ได้ที่ผมเริ่มต้นฟังเพลงของปนัดดาจริง ๆ จัง ๆ ในอัลบั้มที่ 2 "ดอกไม้ในหัวใจ" ซึ่งตอนนั้นพัฒนาการในการร้องเพลง เนื้อหาของเพลง จังหวะดนตรี การวางลำดับแทร็กมันเป๊ะปังมาก ๆ ทำให้ผมตกหลุมรักเธอไปเต็มหัวใจและเป็นแฟนบอยเธอมานับแต่นั้น พอมาฟังอีกทีตอนโตแล้วก็รู้เลยว่าทีมงานตั้งใจทำอัลบั้มนี้จริง ๆ ฟังทุกเพลงจนจบอัลบั้มจะอิ่มเอมเหมือนได้อ่านนิยายรักดี ๆ สักเล่มหนึ่ง (สมัยก่อนฟังจากเทป กดข้ามเพลงไม่ได้ 55)

ย้อนกลับไปที่อัลบั้มแรก "ดาวกระดาษ" เพลงที่ทำให้ทุกคนรู้จักเธอ ตอนนั้นผมยัง 10 ขวบเล่นโดดยางกับเพื่อนอยู่เลยจึงไม่ได้ทำความรู้จักเธอมากนัก แต่ถึงได้ฟังตอนนั้นก็อาจจะแค่ชอบ ยังไม่ถึงกับตกหลุมรัก แน่นอนว่าเสียงเธอสวย แต่ลูกเล่นอะไรต่าง ๆ ยังไม่ปล่อยออกมามากนัก ภาพรวมของอัลบั้มแรกก็ยังไม่อิ่มเอมเท่าอัลบั้มต่อมา เหมือนว่าตัวเธอเองหรือค่ายเพลงก็ยังคลำทางกันอยู่ว่าจะผลักดันเธอออกมาแนวไหน

อัลบั้มที่ดูเหมือนจะคลำทางถูกคือไดอารี่เล่มแดง 1-4 ที่เอาเพลงเก่า ๆ มาให้เธอร้องคัฟเวอร์ (ซึ่งวิธีการเดียวกันนี้ไปเป๊ะปังสุด ๆ ในอัลบั้ม Replay the Memories อีก 3 ปีต่อมา) ฟังแล้วก็เริ่มเห็นทิศทางและลีลาลูกเล่นในเสียงหวานเศร้าของเธอมากขึ้น เธอและค่ายเหมือนจะเริ่มรู้แล้วว่าจะเล่นกับเสียงของเธอได้มากน้อยแค่ไหนก่อนจะไปลงตัวในอัลบั้มต่อมา รวมทั้ง "เขียนฟ้าด้วยปากกาดาว" และ "บานไม่รู้โรย"

แต่โปรเจคท์ที่ดึงศักยภาพเสียงของเธอออกมาถึงขีดสุดก็คือการไปร่วมงานกับ Grammy Gold ในโปรเจคท์ที่นำเพลงสุนทราภรณ์มาขับร้องใหม่ เธอได้ร่วมประชันกับนักร้องหญิงระดับดาวค้างฟ้าอย่าง อรวี สัจจานนท์ นันทิดา แก้วบัวสาย ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ และสู้กับนักร้องรุ่นพี่ ๆ ได้ไม่น้อยหน้าเลยในเพลงที่ต้องร้องร่วมกันหรือร้องประสานกัน ยิ่งโดยเฉพาะในชุดอัลบั้มเดี่ยวของแต่ละคน (ของปนัดดาคือชุดที่ 8) จึงไม่เกินเลยที่กรรมการคนหนึ่งบอกว่าศักยภาพเสียงของเธออยู่ในระดับ Go Inter ได้สบาย ๆ ไม่เชื่อลองไปหา "คนจะรักกัน" "ยังจำได้ไหม" "ฝันถึงกันบ้างนะ" ฯลฯ มาฟังแล้วจะเห็นว่าลูกเล่นของเสียงเธอมีเยอะแค่ไหน

ถึงจุดหนึ่งที่เพลงแนวเมียน้อยเพลงหนึ่งดังขึ้นมา ก็มีคน (ไม่รู้ใคร) พยายามจะดันเธอให้ร้องเพลงไปทางนั้นอย่างเต็มที่จนกลายเป็นไอดอลเมียน้อยแข่งกับไอดอลเมียหลวงอย่างปาน ธนพร พอมีเรื่องนี้ก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้ติดตามผลงานเธอในช่วงหลัง ๆ แต่ไม่รู้เพราะสาเหตุนี้รึเปล่าที่ทำให้ชื่อของเธอเงียบ ๆ ไป หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเพลงจากเทปซีดีเป็นดิจิทัลโหลดเต็มรูปแบบ หรืออาจเป็นเพราะการเกิดขึ้นของนักร้องหน้าใหม่จำนวนมหาศาลจากรายการประกวดร้องเพลงต่าง ๆ ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่อของปนัดดาก็ค่อย ๆ เงียบหายไปจากความรับรู้ของผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การเลือกปลอมตัวในฐานะหน้ากากเต่า พอดูจากการดีไซน์หน้ากาก ผมนึกถึงท่านผู้เฒ่าเต่าจากเรื่องดราก้อนบอล ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจของเธอเองหรือเปล่า (เห็นในไอจีก็พูดศัพท์ที่มาจากเรื่องดราก้อนบอล) แต่ถ้าเป็นความตั้งใจของเธอ หน้ากากเต่าก็คงมีความหมายพิเศษบางอย่าง เพราะหากใครติดตามเรื่องดราก้อนบอลมาตั้งแต่ตอนแรก ผู้เฒ่าเต่าก็คือสุดยอดจอมยุทธที่เก่งที่สุดในโลก (ในขณะนั้น) และการประลองชิงเจ้ายุทธจักรครั้งแรกในการ์ตูน ผู้เฒ่าเต่าก็คือคนที่พิชิตรางวัลชนะเลิศได้ (กว่าโงคูพระเอกของเรื่องจะชนะเลิศก็ต้องรอจนครั้งที่สาม) ก่อนที่คนเขียนจะขยายสเกลของเรื่องออกไปยืดยาวจนสู้กันจักรวาลระเบิด ฯลฯ และลืมเลือนบทของผู้เฒ่าเต่าไปเกือบจะสิ้นเชิง

การเลือกปรากฎตัวในฐานะผู้เฒ่าเต่าของปนัดดา ก็คล้ายกับผู้เฒ่าเต่าที่อยากจะบอกให้โลกรู้ว่า แม้ว่าทุกคนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งคนคนนี้ก็เคยเป็นคนเก่งที่สุดในโลก คนคนนี้คือเจ้ายุทธจักรมาตั้งแต่ก่อนที่ดาวเด่นคนอื่นในเรื่องจะมีบทบาทขึ้นมา และฝีมือของคนคนนี้ยังเป็นของแท้และดั้งเดิม

หากวัดกันที่ฝีมือและน้ำเสียง ปนัดดา เรืองวุฒิ ก็เป็นนักร้องมืออาชีพที่มีศักยภาพไม่น้อยหน้าใครเลยในประเทศนี้ แต่การอยู่ในวงการนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ดวงดาวจำรัสแสงหรือวูบดับลง น้ำตาและเสียงสะอื้นตอนท้ายรายการคงจะมีความหมายหลายอย่างที่อัดอั้นภายในใจ ไม่ว่าน้ำตาของเธอจะหลั่งออกมาเพราะความตื้นตันใจที่คนยังไม่ลืม หรือความน้อยใจลึก ๆ ที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าฝีมือที่มีมาโดยตลอด แต่เสียงของปนัดดาในวันนี้ยังคงเป็นเสียงเปี่ยมคุณภาพไม่เคยเปลี่ยนแปลง

และเสียงของเธอยังทำให้ผมมีความสุขได้เสมอ

-----------------
ภาคผนวก: TOP 10 of my Fav Panadda's Songs
1. คนแปลกหน้า (อัลบั้ม ดอกไม้ในหัวใจ)
2. หยดเดียว (อัลบั้ม ดาวกระดาษ)
3. ดีพอหรือเปล่า (อัลบั้ม ดอกไม้ในหัวใจ)
4. Short But Sweet (อัลบั้ม บานไม่รู้โรย)
5. แสงดาวกับดอกไม้ไฟ (อัลบั้ม เขียนฟ้าด้วยปากกาดาว)
6. ฝากใจฝัน (อัลบั้ม แกรมมี่โกลด์ซีรีส์ สุนทราภรณ์ 12)
7. ต้นไม้ไม่โตในวันเดียว (อัลบั้ม ดอกไม้กับเปลวไฟ)
8. แค่มีเธอ (เพลงประกอบละคร ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ)
9. ปาฏิหาริย์ (อัลบั้ม Replay the Memories)
10. ไดอารี่สีแดง (อัลบั้ม ไดอารี่เล่มแดง 3)

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

หึง

...ก็ยังอดหึงไม่ได้
แต่มีสิทธิ์อะไรจะไปหึง
รู้ทั้งรู้ใจก็ยื้อดื้อดึง
แอบรักแอบคิดถึงลำพัง

แอบหวงแอบห่วงอยู่ห่างห่าง
แม้ภาพหวังเปล่าว่างจนเลิกหวัง
แต่เห็นใครมาเกาะแกะก็ชิงชัง
ฮึดฮัดเสียงดังอยู่เดียวดาย

เธอจะมีคู่ครองเรื่องของเธอ
ใครจะสนเราคนเพ้อน่าเบื่อหน่าย
แต่ถ้าเธอมีตัวจริงคงเฉาตาย
ใจเอยคงฟูมฟายทุรายทุรน

มีหมื่นล้านความในใจไม่เคยบอก
แล้วก็หลบมาช้ำชอกหมองหม่น
เป็นแค่ดินอย่าเอื้อมเดือนเตือนใจตน
เป็นแค่คนไม่มีสิทธิ์จะคิดไกล

อย่างน้อยขอแอบหึงนิดหนึ่งนะ
แล้วฉันจะแสร้งยิ้มยินดีให้
เธอพบคนแสนดีก็ดีไป
ฉันร้องไห้แค่ขาดใจก็หายแล้ว!

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ระลึกถึง LINKIN PARK



เราจำไม่ได้หรอกว่าเพลงแรกของ Linkin Park ที่ฟังคือเพลงอะไร จำได้แต่ตอนนั้นเราเป็นเด็กกะโปกที่ไม่รู้ว่านอกเหนือจากแกรมมี่และอาร์เอสยังมีเพลงของค่ายอื่น ๆ อยู่ในโลก 555 เพลงทันสมัยแบบนี้คนที่เอามาให้ฟังก็คงไม่พ้นโปรดิวเซอร์ลาย ที่มักจะนำเข้าอารยธรรมใหม่ ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้เปิดหูเปิดตา เราก็คงเหมือนเด็กยุค '90 แทบทุกคนที่ฟังแล้ว เฮ้ย สนุกว่ะ โดยยังไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแนวร็อค ป๊อป นูเมทัลอะไร

ตั้งต้นจากความชอบ พอฟังมาก ๆ เข้าก็เริ่มร้องติดปาก พอติดในหัวมากเข้าก็อยากจะระบายออกมา บวกกับยุคนั้นแถวบ้านเรา การเล่นดนตรีเป็นวงบูมมาก มีห้องซ้อม มีงานประกวดเยอะแยะไปหมด ในที่สุดเราก็ฟอร์มวงผู้ร่วมอุดมการณ์ LP ขึ้นมา โดยมีหัวหอกคือเอ -มือกีตาร์ใหญ่ ผู้ประกาศกร้าวตั้งแต่ตอนตั้งวงว่า "กูไม่เล่นเพลงไทย" และสมาชิกที่ร่วมจมหัวจมท้ายตระเวนไปประกวดหลายที่ จะไปเล่นเพลง LP ในงานเพลงเพื่อชีวิตก็ยังเกือบเคย (โชคดีที่นักร้องเส้นเสียงอักเสบพอดี 555)

ความทรงจำของเราที่มีกับ LP ส่วนมากจึงเป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม Hybrid Theory กับ Meteora เพลงดังขึ้นมาเมื่อไรก็จะเห็นภาพการซ้อมเพลง LP ในห้องซ้อมที่โคตรจะต่างคนต่างซ้อม มือกีตาร์ใหญ่ก็มักจะปรับเสียงตัวเองให้ดังสุด โชว์โซโล่เท่ ๆ ที่เพิ่งแกะมาเมื่อวาน อ๊อก-มือเบสก็ตีเบสดึม ๆ ไม่สนใจใคร เอิร์ธ-มือกลองก็ซ้อมตีจังหวะของตัวเองอยู่ โอ๊ต-มือกีตาร์น้อย กับป๋อม-จอมแร็พ มองเพื่อนร่วมวงทำนองว่า พวกมึงจะเริ่มกันจริง ๆ เมื่อไร เสียตังค์ค่าซ้อมไปร้อยนึง ซ้อมจริง ๆ ยี่สิบบาท ที่เหลือคือด่ากัน 555

แต่ความทรงจำที่พีคที่สุดคืองานประกวดวงดนตรีของโรงเรียน กรรมการให้เล่นสองเพลงและเพลงแรกแม่งพลาด เพลงที่สองคือ Faint ซึ่งจำได้ว่าซ้อมกันมาแบบไม่ได้เข้ากันซักกะนิด แต่จะด้วยการเล่นที่กูปลงแล้ววะ ไม่ได้รางวัลหรอก หรือว่าผีเข้าอย่างไรก็ตามแต่ ปรากฏว่าเฮ้ยแม่งเล่นเข้ากันเป๊ะมาก ขนาดคนร้องเองฟังอยู่ตรงนั้นยังรู้สึกเลยว่าเฮ้ยแม่งเล่นกันโคตรพร้อมเพรียงอย่างกับเปิดเทป ในที่สุดก็พลิกได้รางวัลชนะเลิศไป แม้จะมีคนครหาว่าพ่อของมือเบสเป็นกรรมการเลยได้รางวัล แต่ให้พวกกูเถอะนะ บทมันเขียนมาแล้วว่าทีม Underdog ที่กำลังถอดใจยอมแพ้จะกลับมาชนะด้วยปาฏิหาริย์ ตอนซ้อมมาสิบรอบร้อยรอบพวกกูก็ยังไม่เคยเล่นได้ขนาดนี้เลย 555

วันเวลาช่วงมัธยมฯ ผ่านไป ทุกคนก็แยกย้ายไปตามทางของตัวเอง เหลือทิ้งไว้แต่ความทรงจำดี ๆ ของกลุ่มเพื่อนที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกันกับบทเพลงของ Linkin Park

แน่นอนว่าหลังจากสองอัลบั้มแรก แนวทางของเพลง LP ก็เป็นอะไรที่เราเข้าถึงยาก แถมเรายังไม่ได้เล่นเป็นวงกับเพื่อน ๆ อีกต่อไปแล้ว ทำให้ความประทับใจอะไรต่าง ๆ ก็ค่อยเลือนรางไป แต่ยังไง LP ก็เหมือนเมียหลวง อยู่กันจนเบื่อหน้า ด่าทอกันยังไงก็ยังติดตามฟังมันทุกอัลบั้มเรื่อยมา

ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ ในวงรู้สึกอย่างไร จดจำเพลงของ LP แบบไหน แต่สำหรับเรามันไม่ได้เป็นแค่เพลง แต่มันมีความทรงจำถึงทุกคนอยู่ในเพลงพวกนั้นด้วย เฮ้ยเพลงนี้ตอนเล่นแม่งทะเลาะกัน เพลงนี้แอบมาซ้อมกับมือกลองสองคน เพลงนี้ซ้อมแทบตายแม่งไม่เคยเอาไปเล่น เพลงนี้เล่นปิดท้ายเวลาไปซ้อม เสือกเล่นดีจนวงที่มานั่งต่อคิวเปิดประตูเข้ามาดู แต่พอเอาไปเล่นจริงหมาไม่แดก เพลงนี้เล่นที่เวทีเดอะเกรทตอนตีสอง แม่งมีแต่ขี้เมามาเต้นหน้าฮ้าน 555

ทุกวันนี้บางทีเวลาเราเหนื่อย ๆ ท้อ ๆ ก็จะเปิดเพลง LP ฟัง และจมไปกับความทรงจำช่วงที่เคยเล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ จินตนาการว่าตัวเองอยู่หน้าเวทีและตะโกน Shut up when I'm talking to you! ในเพลง One Step Closer ส่วนเพลงในอัลบั้มใหม่ ๆ ก็จินตนาการว่า ถ้าอยู่ในห้องซ้อมหรือออกไปเล่นหน้าเวทีคงสนุกอย่างนั้นอย่างนี้

การตายของเชสเตอร์ในวันนี้ จึงไม่ได้เป็นแค่การตายของนักร้องคนหนึ่ง แต่เป็นการสูญเสียของวงดนตรีที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนหนึ่งส่วนนั้นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีในชีวิต

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

สอนเขียนเรื่องสั้น

สอนการเขียนเรื่องสั้นโดยเปิดหนังสั้นที่สร้างจากเรื่องสั้น (เพราะเด็กไม่อ่าน 555) เริ่มจากยุคแรก ๆ อย่าง "ขอแรงหน่อยเถอะ" ของศรีบูรพา ระหว่างดูก็ชวนเด็กวิเคราะห์แต่ละส่วน ๆ ไป

เด็กว่า "เจ็บท้องคลอดนี่คงเจ็บมากเนอะ" (ตอนเมียเจ้าของโรงสีเจ็บท้องจะคลอด-ไม่เกี่ยวกับเรื่อง)

"เธอต้องลองท้องดูก็คงจะรู้" (หัวเราะทั้งห้อง)


ไล่เรียงมาถึงเรื่องสั้นร่วมสมัยอย่าง "เมื่อฉีกโปรดให้ขาดออกจากกัน" ของจิราภรณ์ วิหวา ระหว่างดูก็แอบน้ำตาซึมเงียบ ๆ (เก๊กไว้) และนึกว่าเด็กจะ 'อิน' เพราะเป็นยุคสมัยใกล้เค้าที่สุด ปรากฏว่าเป็นเรื่องที่เด็กงงหนักที่สุด (ฮา) เลยต้องชวนคุยเรื่องวิธีสร้างคาแรคเตอร์ เรื่องสัญลักษณ์พวกฝน หอไอเฟลอยู่นาน แต่เด็กก็ยังไม่ค่อยอินอยู่ดี


นึกไปนึกมาก็คงเหมือนเรื่องที่เด็กแซวตัวละครเจ็บท้องคลอด เค้าคงไม่รู้หรอกว่าเจ็บแค่ไหนตอนจะคลอดจนกว่าจะเคยเจ็บท้องคลอดจริง เช่นเดียวกับความปวดร้าวจากการถูก 'ฉีกขาด' บางความสัมพันธ์


"หากวันหนึ่งคุณได้เจอคนที่ทำให้คุณกล้าที่จะเผชิญหน้ากับฝนทั้งที่คุณกลัว แต่แล้วคุณก็สูญเสียเค้าไป วันนั้นคุณคงเข้าใจว่าพายุฝนที่คุณเคยกลัวมาทั้งชีวิตน่ะไม่น่ากลัวเลยสักนิดเมื่อเทียบกับการที่ต้องถูก 'ฉีกขาด' จากคนสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ"


อันนี้พูดไป ไม่รู้เด็ก ๆ เค้าจะอินไหม อาจต้องรอให้พวกเค้าได้เจอใครคนนั้นเสียก่อน...เหมือนที่เราเคยเจอและเสียเค้าไปแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เผาแผ่นดิน


ลูกจะป้ายผืนน้ำให้ดำทมิฬ
เปลี่ยนฟ้าให้สูญสิ้นทุกแสงสี
ลอกคราบแล้วคงรู้เสียที
ใครเป็นพวกอัปรีย์กาลีเมือง

ร้อยอ้างหมื่นอ้างเป็นข้ออ้าง
ด้วยท่าทีเก่งกร่างอย่างคนเขื่อง
ลำเลิกบุญคุณอยู่เนืองเนือง
ราวมวลชนเป็นสัตว์เชื่องให้เชือดคอ

ลูกแม่หลงอำนาจซึ่งไม่มี
อำนาจที่เจ้าเห็นว่าเป็นต่อ
จึงกล้าเหยียบย่ำใจไม่รั้งรอ
เมินทุกคำร้องขอการต่อรอง

ลูกจะเผาแผ่นดินแม่ให้มืดมิด
เปลี่ยนแผ่นฟ้าให้วิปริตมัวหมอง
เปลี่ยนทะเลให้ขุ่นดำกว่าลำคลอง
เปลี่ยนผู้คนให้เนืองนองด้วยน้ำตา

หากแม่รู้, ลูกแม่จะล้างผลาญ
แม่คงเอาขี้เถ้าถ่านยัดปากฆ่า
ตายเสียให้สิ้นคำนินทา
ดีกว่าปล่อยให้โตมาผลาญชาติตน

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หากคุณมีความรัก

หากคุณมีความรัก คุณรักไปเถอะ... รักแบบไม่ต้องเผื่อใจ รักแบบทุ่มเทหมดหัวใจ รักชนิดที่ว่าหากคุณสูญเสียเขาไป ดวงใจคุณต้องรานร้าวแหลกสลายเป็นฝุ่นทรายขมปร่า เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่ง หากคุณต้องเสียน้ำตาให้แก่ภาพยนตร์รักดี ๆ สักเรื่อง คุณจะร้องไห้ได้เต็มสะอื้นเสียยิ่งกว่าคนที่เผื่อใจรักคนอื่นแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

ความฝันวัยหนุ่ม


ความฝันวัยหนุ่ม---ที่เราต้องการให้มันเป็นจริง ไม่ใช่เพราะเราอยากให้สายตานับร้อยนับพันคู่จ้องมองมาที่เราอย่างชื่นชม... เราเพียงแค่ต้องการให้สายตาคู่เดียว---สายตาคู่ที่เคยมองเห็นเราอย่างที่เราเคยเป็น สายตาคู่ที่เคยเป็นความฝัน ความหวัง เป็นพลัง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา--- เราเพียงแค่ต้องการให้สายตาคู่นั้นมองกลับมาที่เราด้วยความภาคภูมิใจ... เราต้องการเพียงแค่นั้นเอง