วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บันทึกเรื่องตื่นเต้น (๗): ภารกิจหลั่งเลือด!

(๑.)

ไม่รู้ว่าลมอะไรถีบผมมาหล่นตุบลงที่โรงพยาบาลศิริราช รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดาเสียแล้ว

นึกย้อนไปไม่กี่นาทีก่อนหน้า ผมยังเดินโต๋เต๋อยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอยู่เลย ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกที การคุยงานสารคดีกับหอการค้าไทยเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้ เวลาที่เหลือจึงน่าจะเป็นเวลาออกเที่ยวสักหน่อย

ระหว่างที่รีรอ ๆ อยู่หน้านิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พลางพิจารณารูปปั้นยักษ์ ๒ ตนที่ยืนตระหง่านหน้าตึกว่าทศกัณฐ์คือตนไหน สหัสเดชะเล่าคือตนใด หรือมิใช่ทั้งคู่ ผมก็ถูกอารมณ์ติสต์หอบขึ้นรถเมล์ไปฉิบ

ท่านที่รู้จักผมดีคงไม่ต้องอธิบายถึงอารมณ์ชนิดนี้ ส่วนท่านที่ยังไม่รู้จักผมดีอาจจะต้องอธิบายสักหน่อยว่า หากไม่มีนัดหมายหรืองานเร่งร้อนคอขาดบาดตายรออยู่ ผมมักจะใช้ชีวิตแบบด้นสด คิดอยากไปไหนก็ไป แผนการในชีวิตคือกระดาษอันว่างเปล่าสำหรับผม และในวินาทีนั้น ผมถูกอารมณ์ติสต์นามว่า "อยากไปเดินเล่นแถวท่าพระจันทร์สักหน่อยน้า" เข้าครอบงำ

แต่วันนี้ท่าพระจันทร์ยามบ่ายแก่ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว ซ้ำคนยังเยอะเกินกว่าที่คาด เหลียวมองข้ามฟากฝั่งเจ้าพระยา ตึกของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศตั้งตระหง่าน สมัยที่ผมพักอยู่กับพี่ที่หอพักแถว ๆ เชิงสะพานปิ่นเกล้า ผมผ่านตึกนั้นบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าไปแวะเวียน โรงพยาบาลคงไม่ใช่สถานที่น่าพิสมัยสำหรับคนไม่ป่วย แต่วันนี้ผมกลับอยากลองไปเดินเล่นในนั้นสักครั้ง

หรือผมกำลังป่วย?

หรือเพราะลมแห่งความป่วยไข้นั่นเองที่ถีบผมมาหล่นตุบลงที่โรงพยาบาลแห่งนี้?

(๒.)

ไม่ว่ามันจะเป็นลมอันใด หรือ 'รมณ์ติสต์ที่ยากจะทำความเข้าใจ ผมก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดาแล้ว

บรรยากาศในโรงพยาบาลศิริราชต่างจากที่ผมเคยสร้างจินตภาพไว้พอสมควร, จินตภาพที่เกิดจากการเคยเห็นบรรยากาศในโรงพยาบาลมหาราชที่พี่สะใภ้ผมทำงานอยู่, ช่างวุ่นวายราวกับมีงานบวชผสมงานทอดกฐินและงานแต่งงานตลอดทั้งวัน

ศิริราชสงบเงียบ...

หรือบางทีความวุ่นวายอาจซ่อนตัวอยู่หลังตึกผู้ป่วยที่ผมมองไม่เห็น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร บรรยากาศตรงนี้ก็สงบมากพอที่ผมจะหย่อนอารมณ์ นั่งเสพความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะลองเดินออกสำรวจพื้นที่ในโรงพยาบาล

การเดินสำรวจแบบไม่มีแผนที่ประกอบนั้นไม่มากพอที่จะทำให้คนที่ชอบหลงทางสายชีวิตอย่างผมเข้าใจเส้นทางอย่างทะลุปรุโปร่ง อันที่จริงก็ต้องบอกว่าหลงทางไปไหนต่อไหน ก่อนจะบังเอิญเห็นป้ายสีแดง ๆ ที่เขียนว่า บริจาคเลือด

แล้วอารมณ์ติสต์ชื่อเดียวกันกับป้ายนั้นก็เข้าครอบงำผม

(๓.)

อารมณ์ติสต์บางอย่างก็เป็นเรื่องดี แต่สำหรับอารมณ์ติสต์แบบนี้ไม่น่าจะดีเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อเข้ารับภารกิจหลั่งเลือด

แต่เมื่อเผลอตัวเผลอใจให้อารมณ์ติสต์ปัจจุบันทันด่วนครอบงำ ก็ยากที่จะหักห้าม

หากจะเปรียบไป ผมก็เหมือนดรุณีน้อยวัยกำดัดผู้ไม่เคยสัมผัสมือหยาบกร้านของบุรุษเพศ บริสุทธิ์บอบบางราวดอกไม้แรกอรุณในวงการบริจาคเลือด หากคิดจะเข้าสู่ภารกิจหลั่งเลือด มือใหม่หัดเจาะอย่างผมคงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและช่ำชองระดับประดับเข็มแบบ "ท่านเซอร์" - ผมนึกถึง "เซอร์นก" หรือ นกบินเดี่ยว (บางเที่ยวก็บินคู่) เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาโทผู้เป็นกูรูด้านการหลั่งเลือดลงถุง

"สวัสดีครับนก ธีรวัฒน์ กล่าวเกลี้ยง เลี้ยงดู ยู้ฮู จุ๊กกรู ฯลฯ คือเรามีเรื่องอยากจะปรึกษานายในฐานะที่นายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนาน ระดับปรมาจารย์..."

"เข้าเรื่องเลยครับกอล์ฟ" นกหัวเราะ เขารู้จักผมดีพอว่าถ้าปล่อยให้ผมพูดต่อไป ผมจะสร้างประโยคความซ้อนต่อไปเรื่อย ๆ

ทันทีที่รู้ความประสงค์ นกก็ให้คำปรึกษาในฐานะรุ่นพี่ที่แสนใจดีกับรุ่นน้องตัวกลม ๆ

"ต้องนอนสัก ๘ ชั่วโมงนะ เลือดจะได้ไม่ลอย"

นับนิ้ว เมื่อคืนนอนตีสองครึ่ง ตื่นเก้าโมงครึ่ง เช็ด! เจ็ดชั่วโมงเอง จะพอไหม ถ้าจะรวมตอนที่ยังไม่หลับสนิทคงไม่พอ แถมวันก่อนไม่ได้นอนนี่หว่า แต่เมื่อวานก็นอนชดเชยไปซะ ๑๓ ชม. การนอนไม่เป็นเวลานี่ทำให้คำนวณยากจริง ๆ เลย แต่คงพอน่ะ

"ต้องอดข้าวไหม" เคยได้ยินว่าห้ามกินข้าวหลัง ๖ โมงเย็นถ้าจะตรวจอะไรเกี่ยวแก่เลือด

"ไม่ต้องขนาดนั้น นั่นเอาไว้ตรวจน้ำตาลในเลือด" โอเค เพราะเพิ่งกินข้าวเที่ยงมา

แล้วกูรูนกก็ให้คำแนะนำอื่น ๆ แต่ผมจำไม่ได้แล้ว เอาไว้ไปตายเอาดาบหน้าที่มุมบริจาคเลือดเลยละกัน

(๔.)

หนึ่งช่องของแบบฟอร์มบริจาคเลือดทำให้หัวใจพยศของวัยหนุ่มสะดุดกึก!

(เฉพาะสุภาพบุรุษ) เคยมีความสัมพันธ์กับเพศชาย -ใช่ -ไม่ใช่

!!!

(ถ้าจำคำผิดขออภัย)

นึกทบทวนความหลัง ความบริสุทธิ์ที่ถนอมกล่อมเกลี้ยงมากว่า ๒๔ ฤดูใบไม้ผลิ ผมยังไม่เคยเสียให้แก่หญิงใด...

แต่กับชายเล่า!

นึกทบทวนความหลังอย่างไตร่ตรอง อาจมีบางครั้งเคยนั่งร่วมวงสุรากับชายหนุ่ม แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่ขายสติให้น้ำเมาจนเผลอพลีร่างซบหนั่นเนื้อของบุรุษกำยำใต้ผ้าห่มร้อนเร่า

โอเค ไม่ใช่!

มือสั่นระริก แต่ก็ติ๊กอย่างมั่นใจ!

(๕.)




จริง ๆ ผมชอบดื่มน้ำเขียวครีมโซดามากกว่า แต่เมื่อมีน้ำแดงตรงหน้าจะพิรี้พิไรเพื่อเหตุอันใด

ตอนแรกคิดว่าไม่อยากดื่มน้ำแดงเพราะเพิ่งกรอกน้ำดับกระหายมาหนึ่งขวดเต็ม ๆ แต่ทั้งคนตรวจและบุรุษพยาบาลก็เน้นย้ำว่ากินนะ ๆ จะได้ไม่เป็นลม พูดหนักเข้าใจผมก็ชักหวั่น ๆ ทั้งที่จริงถ้าคนอย่างผมจะกลายเป็นธาตุอะไรไปสักอย่าง มันไม่น่าจะกลายเป็นลมที่มีน้ำหนักเบาหวิวเหลือทนหนอชีวิต อย่างไรก็ดี เมื่อถูกกระแซะเข้ามาก ๆ ความหนักแน่นก็เริ่มไหวเอน สุดท้ายผมจึงดูดน้ำแดงจ๊วบ ๆ อย่างไม่กลัวน้ำตาลในเลือดจะพุ่งปรี๊ด

"คุณวุฒินันท์ค่ะ..."

และแล้วก็ถึงเวลาหมูขึ้นเขียง!

ไม่กล้ากลับไปวัดความดันอีกครั้ง เพราะถ้าวัดตอนนี้ระดับความดันคงพุ่งสูงตามแรงเต้นของหัวใจ

(๖.)

แพทย์สาวตรงหน้าผมเอาแอลกอฮอล์เช็ด ๆ คลำ ๆ ดูเส้นเลือด ผมห่วงเหลือเกินว่าเธอจะหาไม่พบ เพราะผมมีเกราะกำบังชื่อไขมันกั้นไว้อย่างแน่นหนา แต่เธอก็หาเจอ โอเค เธอหยิบถุงมาแล้ว จากนั้นจึงค่อยเปิดตัวเข็มจิ้มหมู

มีคนเคยบอกว่า ถ้ากลัวเข็ม อย่าไปมองเข็มเจาะเลือด เพราะมันเกิดมาเพื่อสร้างความสยองขวัญสั่นประสาทคนกลัวเข็มโดยแท้

แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเสือชอบใส่เกือก จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบแล โดยลืมไปว่าตัวเองเป็นโรคหวาดกลัวของแหลมที่จะมาทิ่มแทงเข้าร่าง ทั้งเข็มแหลมและคำพูดบาดใจ

เจี๊ยก!!!!!!!

เข็มบ้าอะไรเล็กกว่าหลอดดูดยาคูลท์นิดเดียว!!

(ขออภัยสำหรับผู้ไม่เคยบริจาคเลือดที่จะจินตนาการไปตามความเปรียบอติพจน์ของผม ความเปรียบในใจที่หวาดกลัวนั้นมักจะเวอร์เกินจริงเสมอ)

ผมนึกภาพขวดยาคูลท์ทั้งหลายที่ผมเคยเอาหลอดทิ่มแล้วดูดนมเปรี้ยวในขวดจ๊วบ ๆ โธ่ เจ้ากรรมนายเวรยาคูลท์จะสนองดาบนั้นคืนแก่ผมเสียแล้วโดยการเอาเข็มยาคูลท์จิ้มผมแล้วดูดเลือดจ๊วบ ๆ อย่างเปรมปรีดิ์

"ฮึ้ยยย... กลัวคับ..." ผมเผลอครางหงิงราวกับชิวาวาตัวน้อยกำลังจะถูกฉีดยากันพิษสุนัขบ้า

คุณหมอแก้มแดงหัวเราะคิก, ลืมเล่าไปว่าวันนี้ผมโกนมาแค่หนวด ส่วนเครายังรกครึ้มราวกับเสือร้าย (แต่ดู ๆ ไปเหมือนหมูป่ามากกว่า) เธอคงขำที่หน้าตาอย่างมหาโจรอย่างผมทำท่าเหมือนเด็กสองขวบกลัวไม้เรียวหวดก้น

"ไม่เจ็บหรอกค่ะ เจ็บนิดเดียว" เอ้า ตกลงเจ็บหรือไม่เจ็บเนี่ยคับคุณหมอ

ผมได้แต่หลับตา ไม่อยากมองภาพสยดสยองตรงหน้า "อย่าเกร็งนะคะ เดี๋ยวเจ็บ"

น้ำตาผมตกใน เมื่อหมูขึ้นเขียงเสียแล้ว เข็มยาคูลท์ก็ต้องทิ่มแทงเข้ามาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โถ... อุตส่าห์ทะนุถนอมร่างกายอันแสนบอบบางผ่านร้อนผ่านฝนมากว่า ๒๔ ขวบปี ไม่คิดเลยว่าต้องมาเสียทีให้เจ้าเข็มยักษ์ได้ทิ่มแทงมาสูบเลือดหนุ่ม โอ... ลาก่อนวัยหนุ่มและฤดูใบไม้ผลิอันแสนหวาน โฮ... หม่ามี๊ Help me plz...

ฉึก!

@#$%&!!!

ยังไม่ทันที่ผมจะดื่มด่ำกับความหฤหรรษ์แห่งเจ็บปวด หมอสาวก็คลำเข็มกับเส้นเลือดผมเพื่อหาความผิดปกติ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวจี

"ว้า ขอโทษนะคะ เส้นเลือดมันพลิกออกจากเข็ม ขออนุญาตแทงอีกรอบ"

ไม่ทันฟังอีร้าค่าอีรม คุณหมอแก้มแดงก็ทิ่มแทงเข็มยักษ์ชำแรกเข้ามาในกายผมอีกรอบ แล้วเธอจึงคลำเข็มดูอีกครั้ง

"โอเคค่ะ มัวแต่กลัวคุณเจ็บเลยได้เจ็บสองรอบเลย บีบลูกบอลเรื่อย ๆ นะคะ"

แล้วเธอก็ผละจากผมไปดูแลผู้ใจบุญท่านอื่น ๆ ทิ้งให้คนบาปในคราบนักบุญอย่างผมนอนหายใจรวยรินอยู่บนเขียง เอ้ย เตียง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าโอเวอร์แอ็คติ้งให้หมอเป็นกังวล มิเช่นนั้นอาจโดนแทงสองรอบ!




(๗.)

อันที่จริงมันก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ ตอนแรกอาจจะรู้สึกปวดหนึบ ๆ อยู่บ้าง แต่สักพักก็เริ่มชิน ว่าแล้วผมก็เริ่มบีบลูกบอลอย่างมันมือพลางคิดว่า อยากซื้อลูกบอลแบบนี้มาบีบเล่นที่ห้อง ฮาฮา

เหลียวมองเตียงข้าง ๆ หญิงสาวใจบุญอายุอานามน่าจะน้อยกว่าผมสักสี่ห้าขวบปี แต่ใบหน้าเธอนิ่งราวกับเพิ่งสึกออกมาจากสำนักเซน แม้ขณะที่โดนแทงเข็ม สีหน้าเธอยังไม่เปลี่ยน มิน่าล่ะคุณหมอถึงเผลอขำผม

หันกลับมามองถุงเลือดอีกที โอ้ว มันกำลังโป่งพองขึ้นเรื่อย ๆ นี่ล่ะหรือเลือดของเรา ใยจึงสีเหมือนเลือดหมูเยี่ยงนั้น แล้วใยถุงนี้จึงพองขึ้นเรื่อย ๆ โอ เลือดเราไหลมากองในถุงนี้ล่ะหรือ เรากำลังเสียเลือดพรวด ๆ จวนจะหมดตัวแล้ว น่าสยดสยองยิ่งนัก เราจะตายไหมนี่...




(๘.)

แล้วเลือดก็เต็มถุงเร็วกว่าที่คิด กะว่าประมาณครึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น ชายวัยกลางคนจากเตียงอีกฟากหนึ่งทำภารกิจหลั่งเลือดเสร็จไล่เลี่ยกับผม เราจึงได้มานั่งตั้งวงน้ำแดงเปิดประเด็นสนทนากันสักพัก

"ผู้หญิงเขาได้ถ่ายเทเลือดเสียสร้างเลือดใหม่ทุกเดือน ๆ เราผู้ชายก็ต้องมาทำแบบนี้แหละ ถึงจะมีโอกาสสร้างเลือดใหม่ในร่างกายบ้าง"

เปรียบเปรยได้น่าสนใจ ถ้าเช่นนั้นผมควรมาหลั่งเลือดลงถุงทุกเดือน?

"ไม่ได้ ๆ ถ้าไม่ถึงสามเดือนเขาไม่ให้บริจาค ผมเคยมาก่อนถึงสามเดือน บอกเขาว่าร่างกายแข็งแรงดีแต่เขาก็ไม่ให้บริจาค เขากลัวว่าร่างกายจะยังสร้างเกล็ดเลือดไม่พอ"

จากนั้นเราก็เริ่มคุยเรื่องสัพเพเหระ ก่อนจะแยกย้ายกันไป เพราะวงน้ำแดงไม่ใช่วงน้ำเมา ใยจะดึงดูดชายหนุ่มสองคนให้สนทนาได้นานไปกว่านี้?

(๙.)

ดูเหมือนว่าผมจะวิตกจริตมากไปหน่อย เพราะหลังบริจาคเลือด ร่างกายผมก็ยังกระฉับกระเฉงดี ไม่มีเวียนหัวจะเป็นลมเหมือนที่บรรดาพยาบาลคอยกำชับ ไม่อยากบอกเลยว่าผมเดินพล่านยิ่งกว่าตอนก่อนบริจาคเสียอีก ย่างสู่ยามเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกมาให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมี พระองค์ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงดี คนบุญน้อยอย่างผมไม่กล้าชื่นชมพระบารมีนานเกินไปจึงเดินเรื่อยเปื่อยออกมาจากโรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีลมก็หอบผมไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่สวนนคราภิรมย์ ชมเรือวิ่งผ่านไปผ่านมา คลุกเคล้าอารมณ์ออกมาเป็นบทกวีไม่มีชื่อและไม่มีบันทึก ก่อนที่แสงสุดท้ายแห่งอรุณจะลากผมกลับสู่บ้านช่องห้องหอเสียที

โทรกลับบ้านถามไถ่ทุกข์สุข อาการตาของแม่หลังผ่าตัดดีขึ้นมาก ได้แต่หวังว่าผลบุญจากการบริจาคเลือดครั้งนี้จะช่วยให้ดวงตาของหม่ามี๊หายในเร็ววัน และถ้าเลือดผมไม่มีโรคอะไรเป็นของแถม หวังว่าอีกสามเดือนข้างหน้าคงได้มาทำภารกิจหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินอีกครั้ง!


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๔/๐๕/๒๕๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น