วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

อธิษฐาน

ย่ำรุ่งของวันเสาร์ อากาศฉ่ำเย็น ฝนรินสายบางเบาห่มคลุมกรุงเทพฯ เหมือนผืนผ้าแพรบางละมุน ใครกันจะอยากลุกขึ้นจากเตียง ในเมื่อภวังค์ฝันนั้นแสนสุขราวกับสวรรค์ชั้นโสฬส เว้นแต่ฉันซึ่งคุ้นเคยกับความหนาว เมื่อต้องเดินฝ่าห้วงหิมะเดือนเมษายนทุก ๆ ปี

เช้านี้ก็เหมือนทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอ ความคิดเรียบง่ายของฉันมักจะก่อตัวเป็นรูปร่างง่าย ๆ หากเธออยากจะนึกภาพตาม มันก็คงเป็นรูปทรงเช่นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ทรงกลม มันไม่เคยแปรเปลี่ยนรูปร่างของตัวเองให้ซับซ้อนไปกว่านี้ ฉันพบความจริงข้อหนึ่งว่า สิ่งใดก็ตามที่มีรูปร่างซับซ้อน สิ่งนั้นจะต้องเสียพลังงานส่วนหนึ่งให้แก่ความซับซ้อนนั้น ยิ่งซับซ้อนมาก สารัตถะดั้งเดิมของมันยิ่งต้องกระจายพลังงานให้แก่ความซับซ้อนที่เกิดขึ้น นั่นทำให้พลังงานดั้งเดิมของรูปทรงยิ่งกระจัดกระจาย ฉันจึงชอบที่ความคิดของฉันก่อตัวเป็นรูปร่างง่าย ๆ เพราะมันจะทำให้ทุกอณูในความคิดของฉันยังคงไว้ซึ่งพลังงานดั้งเดิมของมันที่ยังทรงพลังอยู่

แต่ก็นั่นแหละ, ความคิดเรียบง่ายของฉัน สุดท้ายมันก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปร่างของมันไปตามสภาพการณ์ในแต่ละช่วง ขึ้นอยู่กับวิธีจัดการของฉัน ตรรกะที่ฉันใช้ และเป้าหมายที่ความคิดนั้นจะต้องไปให้ถึง สามอย่างนี้คือตัวกำหนดความซับซ้อนของความคิดเรียบง่าย จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการติดฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์สักสิบวิธีการให้กับคำตอบศูนย์นั่นแหละ แม้เธอรู้ดีว่าคำตอบนั้นคือศูนย์ แต่สิ่งที่เธอสนใจคือวิธีการที่จะไปถึงศูนย์ นั่นแหละคือการกระจัดกระจายของพลังงาน คำตอบศูนย์นั้นแต่เดิมเรียบง่ายและทรงพลัง แต่เมื่อมันมีตัวกำหนดความซับซ้อนของความเรียบง่าย คนก็มุ่งเป้าไปที่ความซับซ้อนของมันจนลืมเลือนพลังงานดั้งเดิมของสารัตถะ จริงไหม

แม้ว่าฉันกลัวจะเสียพลังงานของความคิดเรียบง่ายดั้งเดิม แต่เธอก็รู้ ความซับซ้อนของความคิดเรียบง่ายเป็นเงื่อนไขสำคัญหนึ่งของการสื่อสาร, การสื่อสารที่ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางไปถึงเธอจริง ๆ แม้ฉันจะพยายามลดทอนความซับซ้อนลงให้น้อยที่สุด แต่ในระหว่างการเดินทางของการสื่อสารมันก็มีความซับซ้อนอยู่ในตัวของมันเองไม่รู้สิ้น เธอก็รู้ Saussure ก็พูดไว้ สัญญะนั้นซับซ้อนและมีแต่ความเป็นยถากรรม นั่นทำให้ความคิดเรียบง่ายดั้งเดิมของฉันไม่มีวันเดินทางไปถึงเธอได้จริง ๆ

หากความคิดเรียบง่ายของคนกลุ่มหนึ่งคือศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า เธอก็จะเห็นพวกเขารวมตัวกันที่โบสถ์ สวดมนต์และร้องเพลงเพื่อสื่อสารให้พระองค์ทรงทราบถึงความศรัทธา ความคิดเรียบง่ายดั้งเดิมของพวกเขาแปรเปลี่ยนสัญญะทางภาษาและดนตรี และพัฒนาความซับซ้อนมาเป็นบทเพลงและท่วงทำนองอันแสนไพเราะเพื่อส่งต่อไปถึงฟากฟ้า ไม่รู้ว่าเมื่อบทเพลงเหล่านั้นลอยขึ้นไป พระองค์จะทรงรับทราบความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระองค์หรือไม่ แต่อย่างไรเสีย ฉันว่าพระองค์ทรงทราบ เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญู ทรงรู้แจ้งทุกอย่างไม่ว่าจะส่งผ่านสื่อสัญญะหรือไม่ ดังนั้นเรื่องของเราจึงกลับมาที่ความจริงข้อหนึ่งว่า ฉันและเธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ๆ เท่านั้น

ฉันบอกเธอไปแล้วนี่นะว่าทุกวันของฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอ ใช่แล้วล่ะ บางครั้งฉันพยายามรักษาสภาพดั้งเดิมของมันให้คงอยู่อย่างนั้น บางครั้งฉันจำเป็นต้องเพิ่มความซับซ้อนลงไปในความคิดเรียบง่ายเพื่อสื่อสาร มันอาจออกมาเป็นเครื่องมือสื่อสารความรู้สึกเช่นบทกวี บางครั้งออกมาในรูปแบบบันทึกถึงส่วนเสี้ยวของความคิดนั้น บางทีอาจออกมาในรูปแบบตัวอักษรที่ไม่มีแม้แต่การสื่อสารความคิดนั้นเลย แต่บรรจุความคิดนั้นอยู่เต็ม เพียงแต่มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้ มีแค่ฉันคนเดียวที่กำทั้ง signifier และ signified ไว้ในมือ นั่นเป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างพ้นจากการสื่อสารด้วยถ้อยคำได้

ฉันพบว่าความคิดเรียบง่ายนั้นถูกแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งต่าง ๆ มากมายที่แวดล้อมตัวมันอยู่ แม้ฉันจะพยายามลดทอนความซับซ้อนระหว่างกระบวนการถ่ายทอดความคิดเรียบง่ายให้มากที่สุดแล้วก็ตาม ก็อย่างที่ฉันพูดไปนั่นแหละ ในระหว่างการเดินทางของการสื่อสารมันก็มีความซับซ้อนอยู่ในตัวของมันเองไม่รู้สิ้น ฉันจึงพยายามคิดหาวิธีการที่จะทำให้ความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอเดินทางไปถึงเธอโดยให้มันยังคงสถานะเดิม หรือใกล้เคียงสถานะเดิมให้มากที่สุด

แล้วฉันก็พบวิธีนั้น, การอธิษฐาน

แม้ดูเป็นวิธีเลื่อนลอย แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยตัดตัวเชื่อมเกี่ยวแก่การสื่อสารของเราทิ้งไปทั้งหมด ซึ่งทำให้ความซับซ้อนระหว่างกระบวนการถ่ายทอดความคิดลดลงเหลือน้อยที่สุด แม้ว่าที่สุดแล้วมันจะต้องผ่านสื่อสัญญะในสมองของฉันออกมาก็ตามที แต่นั่นก็น่าจะทำให้ความคิดเรียบง่ายที่มีต่อเธอยังคงพลังงานที่ใกล้เคียงสารัตถะดั้งเดิมของมันอยู่

ไม่มีสัญญะเพื่อนำพาความหมาย ไม่มีมวลสารจับต้องได้ ไม่มีการเตือนเมื่อมาถึง เธอจะต้องรับรู้เองเมื่อมันเกิดขึ้น และฉันเชื่อว่ามันยากเหลือเกิน ยากจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อคลื่นความคิดของเราไม่เคยสั่นไหวในจังหวะที่สัมพัทธ์กัน

แต่ฉันก็ยังคงทำเช่นนั้นเสมอมา, อธิษฐาน

ฉันยังหวังอยู่นะ, หวังว่าสักวันเธอจะได้ยิน

วุฒินันท์ ชัยศรี

๑๐ กันยายน ๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 6

The Silence of September (ความเงียบงันแห่งกันยาฯ)

(1.)

เดือนกันยายน ว่ากันว่าเป็นเดือนโหมโรงก่อนบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดินกำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคม

เดือนพรีลูดก่อนที่ซิมโฟนีแห่งทวยเทพจะขับขาน ใครบางคนทำประโยคนี้หล่นไว้ในซอกมุมหนึ่งของความทรงจำ คุ้น ๆ ว่าเป็นนักปฏิวัติสักคนที่ชอบฟังเพลงคลาสสิก ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกเพราะไม่ใช่คอเพลงคลาสสิก สำหรับผมแล้ว เดือนนี้เป็นเหมือนเสียงครวญครางดังอี้ยยยยอ๊ะของน้องจ๊ะ คันหู ก่อนที่เธอจะเริ่มร้องเพลงที่มีคนดูเก้าล้านคนในยูทูปมากกว่า

เร้าใจเสียงยิ่งกว่าสารัตถะที่ดำรงอยู่ ถ้าพูดกันด้วยคำวิชาการก็คงประมาณนี้

(2.)

อาจจะเป็นเพราะเป็นฤดูกาลใกล้สอบ ดีมานด์ด้านกำลังใจจึงมากพอ ๆ กับความสับสนและหวาดกลัวข้อสอบที่ยังมาไม่ถึง เสียงผ่านปลายสายว่า รักนะเด็กโง่ ตั้งใจทำงานนะคะ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะคะ (จากผู้ชายซึ่งมักใช้คำลงท้ายผิดเพศเพื่อเพิ่มดีกรีความน่ารักให้ตัวเอง ซึ่งร้อยทั้งร้อยเป็นผู้ชายเจ้าชู้) จึงดังระงมเหมือนเสียงอึ่งอ่างหลังฝนงวด เว้นแต่ผมซึ่งถือเป็นผู้ด้อยโอกาสในการฝากวจีรักหวานฉ่ำจับใจเหมือนน้ำผึ้งที่เก็บเกี่ยวโดยผึ้งที่กำลังมีความรัก

เดือนแห่งเสียงอี๊ยยยยอ๊ะอันเร้าใจของผม กลับก้าวเข้ามาพร้อมกับความว่างเปล่าเสียงยิ่งกว่าคำที่สะกดว่าว่างเปล่า

บ้าที่สุด! ผมกระแทกนิ้วลงไปบนโทรศัพท์ และหัวเสียยิ่งขึ้นเมื่อโทรศัพท์ผมดันมีแค่ปุ่มเดียว ให้ตายเถอะ ผมเกลียดสมาร์ทโฟน! การจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอไม่เคยสร้างความพึงพอใจให้ผมได้เท่ากับการลงน้ำหนักรัวลงบนปุ่มหลาย ๆ ปุ่ม โดยเฉพาะตอนที่โทสะมาถือครองเป็นเจ้าของในเรือนใจ

บุญชิต! รู้อย่างนี้ถอยกลับไปใช้ Nokia 3310 ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับแอพพลิเคชั่นล้านแปด ในเมื่อมรรคผลของมันไม่ต่างกันเลย

วางโทรศัพท์ที่ประจุแบตเตอรี่ไว้เต็ม แต่มีประโยชน์เท่ากับทุกเครื่องในโลกตอนแบตหมดลงที่เดิม ถอนหายใจยาว

ปลายฝนต้นหนาว หอบเอาความหนาวยะเยือกมาสู่ผม ทั้งจากอากาศและไม่ใช่อากาศ

(3.)

"ลูกสามพี่ก็ยังรัก"

ทิ้งคำนี้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าตัว ทำนองว่าเป็นคำพูดเลื่อนลอยพอ ๆ กับชาวเขาทำไร่

เธอคงจะลืมไปว่า เดี๋ยวนี้ชาวเขาเค้าปั๊ดตะนาแล้ว เช่นเดียวกับสัญญาณโทรศัพท์ที่ชัดเจนทั่วไทย ไร่เลื่อนลอยเป็นเพียงอดีตอันเลือนราง เหลือแต่รีสอร์ตศิวิไลซ์พักใจช้ำของคนเมือง ไม่เชื่อไปถามคนแถว ๆ ปายดูได้

ตัวอักษรของผมเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ หลายคนเชื่ออย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อคิดสะระตะเข้ากับการเรียนในคณะที่มีชื่อตรงตัวว่าคณะตัวหนังสือ มันใสซื่อน้อยกว่าถ้อยคำจากหนุ่มแพทย์ หนุ่มวิศวะ หรือหนุ่มคณะอื่นผู้ไม่เคยเคี่ยวกรำตัวอักษรให้เพริศแพร้วพริ้งพรายจนกล้ำกรายเส้นแบ่งระหว่างความจริงใจกับความเสแสร้ง

ก็อย่างว่าแหละ ใครมันจะเชื่อลมปากนักเขียน ผู้ซึ่งประดิดประดอยถ้อยคำจนคนเชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกได้ สาอะไรกับคำที่ต้องการความซื่อสัตย์มากที่สุดอย่างคำว่ารัก

แต่อันที่จริง การโกหกเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพระโพธิสัตว์ในพระชาติสุดท้าย และมันไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่เพื่อเอาตัวรอดจากราชสีห์

คำโกหก มาพร้อมกับคำรักซื่อ ๆ ได้เท่ากับความรักที่ประดิษฐ์เป็นบทกวีทำนองว่า จะขอเธอแต่งงานด้วยวงแหวนจากดาวเสาร์

(4.)

กันยายนของผม เดือนแห่งพรีลูดที่ว่างเปล่าราวกับซิมโฟนีที่ไม่มีโน้ตดนตรีแม้แต่ครึ่งตัว ไม่เช่นนั้นก็เป็นการฟังเพลงคันหูฉบับออริจินอลของประเทศที่เต็มไปด้วยศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม และอีกหลาย ๆ ธรรมอันดีงามทุกกระเบียด จนไม่ได้ยินคำร้องประโยคสุดท้ายที่ร้องเอื้อนด้วยความจงใจว่า "หูหนีคงหายคันนนน..." อย่างถนัดถนี่

เสียเวลาไปกับการประดิษฐ์ถ้อยคำที่มีคนเชื่อถือมากพอ ๆ กับฟังคำพูดของเด็กเลี้ยงแกะ ทั้งที่คำพูดนั้นอาจจะเป็นการพูดครั้งที่สี่

มีคนบอกว่ามันเป็นพันธกิจ บ้างก็ว่ามันเป็นคำสาป สำหรับผู้เลือกเดินทางในสายของ "นักรู้สึก"

พลิกดูสมุดจดวิชาทฤษฎีวรรณคดีตะวันออก ประโยคหนึ่งลอยเด่นอยู่บนหน้ากระดาษ

"มีก็แต่ผู้ที่ผิดหวังในความรักเท่านั้นจึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของศฤงคารรส" เส้นยึกยือเส้นหนึ่งลากยาวไปหาอีกประโยค "กวีต้องแสวงหาความรักที่ผิดหวังอยู่เสมอ เพราะความผิดหวังมักเป็นแรงบันดาลใจที่ทรงพลังมากกว่าความสมหวัง" กำกับชื่อกวีโนเนมไว้ท้ายประโยค เขาคงคิดว่าประโยคนี้คมคายเสียเต็มประดา ถุยชีวิต!

ปิดสมุด โยนไปอีกมุมห้อง ก่อนจะปล่อยให้ความว่างเปล่าบนเพดานครอบครองทัศนวิสัยทั้งหมดของสายตาและความคิด จมอยู่ในห้วงเวลาที่ไหลเอื่อยผ่านร่างอย่างแช่มช้าเหมือนน้ำกรดเดือดในกระทะทองแดงที่ยมทูตค่อย ๆ คนไปมาอย่างเบามือ

ถอนหายใจให้เดือนนี้ และเผื่อยาวไปจนถึงเดือนหน้า บทโหมโรงที่จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มมหากาพย์ ได้แต่กำปากกาไว้มั่นพร้อมกับท่องวาทะของนักรบผู้มีความรักว่า หากไม่กุมดาบ ก็ปกป้องเธอไม่ได้ แต่หากกุมดาบแล้ว ก็คงกอดเธอไม่ได้

(5.)
โทรศัพท์ร้องเตือนขึ้นเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด ถึงเวลาที่ต้องประจุแบตเตอรี่อีกครั้ง ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดปุ่มที่มีเพียงปุ่มเดียวอย่างไร้จุดหมาย มีเพียงแสงเรืองขึ้นจากหน้าจอมืดดำเพื่อบอกวันที่และเวลา นอกจากนั้นมันไม่ตอบสนองอะไรอีก ผมต้องปลดล็อกหน้าจอก่อนจึงจะเริ่มทำอะไรอย่างอื่นได้

แต่ถึงผมจะปลดล็อกหน้าจอ ผมจะเริ่มอะไรได้?



วุฒินันท์ ชัยศรี
8 กันยายน 2554

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

คนไม่มีสิทธิ์

๏ ไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำว่าช้ำหนัก
ไม่มีสิทธิ์ขอความรักจากคนไหน
ไม่มีสิทธิ์งอนง้อต่อรองใคร
แม้แต่สิทธิ์จะร้องไห้ยังไม่มี

๏ เพราะมิใช่คนพิเศษจึงไร้สิทธิ์
หนทางปิดทุกทางไปไร้ทางหนี
ได้แต่กล้ำกลืนฝืนฤดี
ตีหน้าพาทีมิรู้ร้อน

๏ มิได้เกิดมาพิเศษจึงหมดสิทธิ์
เป็นความผิดความพ่ายแพ้แต่กาลก่อน
หมดสิทธิ์แม้จะพร่ำคำอาวรณ์
ทำได้แค่ทอดถอนดวงฤทัย

๏ ไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำว่าช้ำรัก
แม้จะเจ็บช้ำหนักมาจากไหน
ต้องก้มหน้ายิ้มฝืนยืนสู้ไป
แม้ยินเสียงในใจ-ไม่ไหวแล้ว! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๕/๐๙/๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

เธอบอกให้ลืม

๏ เธอบอกให้ลืม...
ทั้งที่ใจยังคงปลื้มอยู่เต็มฝัน
ทั้งที่รักเกินจะพร่ำคำรำพัน
เธอบอกฉันให้เลิกรักเธอสักที

๏ จะให้ลืม...
ทั้งที่รักยังดูดดื่มอยู่เต็มที่
ฤาทิ้งฝันให้เร่ร้างอยู่อย่างนี้
ดวงฤดีก็ปล่อยไปไม่นำพา

๏ เลิกเถอะ, เลิกฝัน...
เรื่องที่ผ่านมานั้นล้วนไร้ค่า
เป็นเพียงภาพจำแสนธรรมดา
เหลือก็แต่น้ำตาและซากใจ

๏ ขอโทษ...
ขอเธออย่าโกรธฉันได้ไหม
หากวันนี้ยังมีเธอเต็มฤทัย
ฉันจะค่อยลืมเธอไปในรอยน้ำตา

๏ ตัดใจ, ไม่รัก...
แลกกับรอยแผลหนักเกินรักษา
เพราะรักเธอเกินเอ่ยคำจำนรรจา
และมากเกินจะบอกลาด้วยคำเดียว ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๒/๐๙/๒๕๕๔