วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 6

The Silence of September (ความเงียบงันแห่งกันยาฯ)

(1.)

เดือนกันยายน ว่ากันว่าเป็นเดือนโหมโรงก่อนบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดินกำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคม

เดือนพรีลูดก่อนที่ซิมโฟนีแห่งทวยเทพจะขับขาน ใครบางคนทำประโยคนี้หล่นไว้ในซอกมุมหนึ่งของความทรงจำ คุ้น ๆ ว่าเป็นนักปฏิวัติสักคนที่ชอบฟังเพลงคลาสสิก ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกเพราะไม่ใช่คอเพลงคลาสสิก สำหรับผมแล้ว เดือนนี้เป็นเหมือนเสียงครวญครางดังอี้ยยยยอ๊ะของน้องจ๊ะ คันหู ก่อนที่เธอจะเริ่มร้องเพลงที่มีคนดูเก้าล้านคนในยูทูปมากกว่า

เร้าใจเสียงยิ่งกว่าสารัตถะที่ดำรงอยู่ ถ้าพูดกันด้วยคำวิชาการก็คงประมาณนี้

(2.)

อาจจะเป็นเพราะเป็นฤดูกาลใกล้สอบ ดีมานด์ด้านกำลังใจจึงมากพอ ๆ กับความสับสนและหวาดกลัวข้อสอบที่ยังมาไม่ถึง เสียงผ่านปลายสายว่า รักนะเด็กโง่ ตั้งใจทำงานนะคะ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะคะ (จากผู้ชายซึ่งมักใช้คำลงท้ายผิดเพศเพื่อเพิ่มดีกรีความน่ารักให้ตัวเอง ซึ่งร้อยทั้งร้อยเป็นผู้ชายเจ้าชู้) จึงดังระงมเหมือนเสียงอึ่งอ่างหลังฝนงวด เว้นแต่ผมซึ่งถือเป็นผู้ด้อยโอกาสในการฝากวจีรักหวานฉ่ำจับใจเหมือนน้ำผึ้งที่เก็บเกี่ยวโดยผึ้งที่กำลังมีความรัก

เดือนแห่งเสียงอี๊ยยยยอ๊ะอันเร้าใจของผม กลับก้าวเข้ามาพร้อมกับความว่างเปล่าเสียงยิ่งกว่าคำที่สะกดว่าว่างเปล่า

บ้าที่สุด! ผมกระแทกนิ้วลงไปบนโทรศัพท์ และหัวเสียยิ่งขึ้นเมื่อโทรศัพท์ผมดันมีแค่ปุ่มเดียว ให้ตายเถอะ ผมเกลียดสมาร์ทโฟน! การจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอไม่เคยสร้างความพึงพอใจให้ผมได้เท่ากับการลงน้ำหนักรัวลงบนปุ่มหลาย ๆ ปุ่ม โดยเฉพาะตอนที่โทสะมาถือครองเป็นเจ้าของในเรือนใจ

บุญชิต! รู้อย่างนี้ถอยกลับไปใช้ Nokia 3310 ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับแอพพลิเคชั่นล้านแปด ในเมื่อมรรคผลของมันไม่ต่างกันเลย

วางโทรศัพท์ที่ประจุแบตเตอรี่ไว้เต็ม แต่มีประโยชน์เท่ากับทุกเครื่องในโลกตอนแบตหมดลงที่เดิม ถอนหายใจยาว

ปลายฝนต้นหนาว หอบเอาความหนาวยะเยือกมาสู่ผม ทั้งจากอากาศและไม่ใช่อากาศ

(3.)

"ลูกสามพี่ก็ยังรัก"

ทิ้งคำนี้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าตัว ทำนองว่าเป็นคำพูดเลื่อนลอยพอ ๆ กับชาวเขาทำไร่

เธอคงจะลืมไปว่า เดี๋ยวนี้ชาวเขาเค้าปั๊ดตะนาแล้ว เช่นเดียวกับสัญญาณโทรศัพท์ที่ชัดเจนทั่วไทย ไร่เลื่อนลอยเป็นเพียงอดีตอันเลือนราง เหลือแต่รีสอร์ตศิวิไลซ์พักใจช้ำของคนเมือง ไม่เชื่อไปถามคนแถว ๆ ปายดูได้

ตัวอักษรของผมเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ หลายคนเชื่ออย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อคิดสะระตะเข้ากับการเรียนในคณะที่มีชื่อตรงตัวว่าคณะตัวหนังสือ มันใสซื่อน้อยกว่าถ้อยคำจากหนุ่มแพทย์ หนุ่มวิศวะ หรือหนุ่มคณะอื่นผู้ไม่เคยเคี่ยวกรำตัวอักษรให้เพริศแพร้วพริ้งพรายจนกล้ำกรายเส้นแบ่งระหว่างความจริงใจกับความเสแสร้ง

ก็อย่างว่าแหละ ใครมันจะเชื่อลมปากนักเขียน ผู้ซึ่งประดิดประดอยถ้อยคำจนคนเชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกได้ สาอะไรกับคำที่ต้องการความซื่อสัตย์มากที่สุดอย่างคำว่ารัก

แต่อันที่จริง การโกหกเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพระโพธิสัตว์ในพระชาติสุดท้าย และมันไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่เพื่อเอาตัวรอดจากราชสีห์

คำโกหก มาพร้อมกับคำรักซื่อ ๆ ได้เท่ากับความรักที่ประดิษฐ์เป็นบทกวีทำนองว่า จะขอเธอแต่งงานด้วยวงแหวนจากดาวเสาร์

(4.)

กันยายนของผม เดือนแห่งพรีลูดที่ว่างเปล่าราวกับซิมโฟนีที่ไม่มีโน้ตดนตรีแม้แต่ครึ่งตัว ไม่เช่นนั้นก็เป็นการฟังเพลงคันหูฉบับออริจินอลของประเทศที่เต็มไปด้วยศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม และอีกหลาย ๆ ธรรมอันดีงามทุกกระเบียด จนไม่ได้ยินคำร้องประโยคสุดท้ายที่ร้องเอื้อนด้วยความจงใจว่า "หูหนีคงหายคันนนน..." อย่างถนัดถนี่

เสียเวลาไปกับการประดิษฐ์ถ้อยคำที่มีคนเชื่อถือมากพอ ๆ กับฟังคำพูดของเด็กเลี้ยงแกะ ทั้งที่คำพูดนั้นอาจจะเป็นการพูดครั้งที่สี่

มีคนบอกว่ามันเป็นพันธกิจ บ้างก็ว่ามันเป็นคำสาป สำหรับผู้เลือกเดินทางในสายของ "นักรู้สึก"

พลิกดูสมุดจดวิชาทฤษฎีวรรณคดีตะวันออก ประโยคหนึ่งลอยเด่นอยู่บนหน้ากระดาษ

"มีก็แต่ผู้ที่ผิดหวังในความรักเท่านั้นจึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของศฤงคารรส" เส้นยึกยือเส้นหนึ่งลากยาวไปหาอีกประโยค "กวีต้องแสวงหาความรักที่ผิดหวังอยู่เสมอ เพราะความผิดหวังมักเป็นแรงบันดาลใจที่ทรงพลังมากกว่าความสมหวัง" กำกับชื่อกวีโนเนมไว้ท้ายประโยค เขาคงคิดว่าประโยคนี้คมคายเสียเต็มประดา ถุยชีวิต!

ปิดสมุด โยนไปอีกมุมห้อง ก่อนจะปล่อยให้ความว่างเปล่าบนเพดานครอบครองทัศนวิสัยทั้งหมดของสายตาและความคิด จมอยู่ในห้วงเวลาที่ไหลเอื่อยผ่านร่างอย่างแช่มช้าเหมือนน้ำกรดเดือดในกระทะทองแดงที่ยมทูตค่อย ๆ คนไปมาอย่างเบามือ

ถอนหายใจให้เดือนนี้ และเผื่อยาวไปจนถึงเดือนหน้า บทโหมโรงที่จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มมหากาพย์ ได้แต่กำปากกาไว้มั่นพร้อมกับท่องวาทะของนักรบผู้มีความรักว่า หากไม่กุมดาบ ก็ปกป้องเธอไม่ได้ แต่หากกุมดาบแล้ว ก็คงกอดเธอไม่ได้

(5.)
โทรศัพท์ร้องเตือนขึ้นเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด ถึงเวลาที่ต้องประจุแบตเตอรี่อีกครั้ง ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดปุ่มที่มีเพียงปุ่มเดียวอย่างไร้จุดหมาย มีเพียงแสงเรืองขึ้นจากหน้าจอมืดดำเพื่อบอกวันที่และเวลา นอกจากนั้นมันไม่ตอบสนองอะไรอีก ผมต้องปลดล็อกหน้าจอก่อนจึงจะเริ่มทำอะไรอย่างอื่นได้

แต่ถึงผมจะปลดล็อกหน้าจอ ผมจะเริ่มอะไรได้?



วุฒินันท์ ชัยศรี
8 กันยายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น