วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 5

๑. ความดี-ความเลว

อ่านเรื่องราวเส้นแบ่งทางศีลธรรมของคุณ ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ระดับตำนาน Batman the Dark Knight ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่กำกับหนังอะไรเป็นดังค้างฟ้าไปหมด

ผู้กำกับคนนี้ชอบเล่นกับเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่ง รวมถึงเส้นแบ่งความดี-ความเลวของศีลธรรม ไล่มาตั้งแต่ Following, Memento, Batman Begins, The Prestige.

(จากบรรทัดนี้ไปเป็นการสปอยล์ The Dark Knight ท่านที่ยังไม่ดูและอยากดูก่อนจะอ่านกรุณาข้ามไปจนกว่าจะจบข้อ ๑.)

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเล่นกับประเด็นนี้ชัดที่สุดใน The Dark Knight ตั้งแต่การปูพื้นฐานของซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Batman ว่าเป็น "Outlaw vigilante" (ไอ้โม่งนอกกฎหมาย) เพราะแบทแมนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมของประชาชน แถมบางครั้งเขายังยอมทำผิดกฎหมายเพื่อรักษาความยุติธรรม เช่นว่า ใช้นักค้าของเถื่อนเป็นนักบิน บุกไปจับตัวอาชญากรชาวจีน ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศของจีนที่จะไม่ส่งอาชญากรข้ามชาติไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่ก็เป็นแบทแมนผู้นี้มิใช่หรือที่หิ้วคออาชญากรมาส่งตำรวจเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ดูตามตัวอักษรแล้ว อาจพูดไม่ได้เต็มปากว่าแบทแมนเป็นคนดี

มาที่ซูเปอร์วายร้าย คู่ชกที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง The Joker ที่ทำเอาแบทแมนเปิดตำรามารับมือไม่ถูก ประสบการณ์จากการเรียนรู้จิตใจเหล่าอาชญากรกว่าสิบปีของ Bruce Wanye ไม่ช่วยให้เข้าใจ The Joker ได้เลย เพราะโจ๊กเกอร์ไม่ได้ต้องการเงินทอง สิ่งของ หรืออะไรทั้งนั้น เขาทำเรื่องราวร้าย ๆ เพื่อจุดประสงค์อันใดไม่มีใครรู้ เหมือนไพ่ Joker ที่อยู่ในสำรับแต่ไม่มีใครเคยเอามาเล่นไม่ว่าจะเกมใด ๆ แต่ใครเลยจะปฏิเสธว่าไพ่ Joker ไม่มีอยู่จริง

ตอกย้ำด้วยฉากที่ดูลักลั่นอย่างแบทแมนอัดฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นคนดีอย่างตำรวจหน่วยสวาทและหมอ แล้วเข้าช่วยเหลือบรรดาตัวตลก เพราะอันที่จริงตัวตลกต่างหากคือตัวประกัน หมอคือคนร้าย แต่แบทแมนไม่มีเวลาพอจะอธิบาย

แล้วอะไรคือดี? อะไรคือเลว?

เส้นแบ่งของคำว่าศีลธรรมพร่าเลือนลงไปทุกที

แล้ว Nolan ก็จับเรื่องนี้มาเล่นให้เห็นชัดที่สุดในฉากไคลแม็กซ์อย่างฉากระเบิดเรือเฟอร์รี่

ลำหนึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ลำหนึ่งเป็นบรรดานักโทษคดีอุกฉกรรจ์ลอยเท้งเต้งกลางแม่น้ำ โจ๊กเกอร์ยื่นคำขาดว่าคนในเรือลำใดลำหนึ่งต้องระเบิดเรืออีกลำก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นโจ๊กเกอร์จะระเบิดทิ้งทั้งสองลำ

หากเป็นเรื่องราวในภาคก่อน ๆ เรื่องอาจจะดำเนินไปทำนองว่า ทุกคนเชื่อมั่นซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาว่าจะมาช่วยได้ทันเวลา แต่ตอนนี้ไม่ใช่! ทุกคนรู้แล้วว่าแบทแมนช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลยตลอดทั้งเรื่อง แม้แต่อธิบดีกรมตำรวจอย่างจิม กอร์ดอน ผู้ร่วมมือกับแบทแมนมาตลอดยังไม่ไว้ใจเขา จากนี้ไปทุกคนต้องช่วยตัวเอง

เรือผู้บริสุทธิ์กับเรืออาชญากร? คำตอบมันชัดอยู่แล้วว่าเรือลำไหนสมควรอยู่ ลำไหนสมควรระเบิด

หน้ากากศีลธรรม (ตามที่เข้าใจกัน) ถูกนำมาใช้ก่อนที่เรือผู้บริสุทธิ์

"We don't all have to die. Those men had their chance." (เราไม่ควรต้องตาย พวกนั้นเลือกเป็นโจรเอง)

ชัดเจนจนชวนให้นึกถึงตรรกะบางข้อที่ฝ่ายการเมืองบางฝ่ายชอบเลือกมาใช้ จะว่าไปมันก็สอดคล้องในตรรกะของผู้บริสุทธิ์อย่างเรา ๆ ดีแท้ แต่เมื่อคิดให้ดี มันก็คือเหตุผลเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการฆ่าฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง

"Let's put it to vote" (เรามาโหวตกันดีกว่า) อีกคนร้องขึ้นเพื่อใช้ช่องทาง "ประชาธิปไตย" แสวงหาความชอบธรรมมากยิ่งขึ้นในการระเบิดเรืออีกลำ

ขณะที่เรือโจรเต็มไปด้วยความโกลาหล พี่เบิ้มหัวหน้าโจรคนหนึ่งลุกขึ้น กล่อมคนคุมเรือด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

"You don't wanna die... but you don't know how to take a life." (คุณไม่อยากตาย แต่คุณไม่รู้ว่าจะฆ่าคนอื่นยังไง)

"Give it to me, and I'll do what you should've did 10 minute ago." (ส่งมันมาให้ผม แล้วผมจะทำในสิ่งที่คุณควรทำเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว)

ไม่มีใครอยากตาย คนคุมเรือก็เช่นกัน เขาจึงส่งรีโมทจุดระเบิดให้นักโทษคนนั้น แต่ผิดคาด! นักโทษคนนั้นโยนตัวจุดระเบิดทิ้งทะเล...

คนเลวต้องคิดแต่เรื่องเลว ๆ และการเอาชีวิตรอดมิใช่หรือ?

ตัดกลับมาที่เรือผู้บริสุทธิ์ การลงมติทำให้เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน แน่นอนว่าผลโหวตออกมาดังที่คาด "เสียงข้างมาก" ลงมติว่าต้องระเบิดเรืออีกลำ แน่นอนเราจะไม่พูดว่ามันถูกหรือผิดศีลธรรม ประชาธิปไตยแบบไทย-ไทยสอนเราชัดเจนว่า แค่เป็นเสียงข้างมากมันก็ถูกต้องเพียงพอแล้วในความคิดของเรา

"We're still here. And that means they haven't Killed us yet either." (เรายังอยู่ตรงนี้ นั่นแปลว่าคนในเรือลำนั้นก็ยังไม่ฆ่าเราเหมือนกัน) ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

คำพูดสั้น ๆ ชวนให้ทุกคนในเรือผู้บริสุทธิ์ตระหนักถึงบางสิ่งที่พวกเขามองข้าม

แล้วชายผู้กล้าหาญแห่งเรือผู้บริสุทธิ์ก็ลุกขึ้นมาหยิบตัวจุดระเบิด ปากก็พร่ำเหตุผลเช่นเดิมว่า "Those men on that boat? They made their choices. They choose to murder and steal. It doesn't make any sense for us to have to die too. (คนพวกนั้นเลือกที่จะเป็นโจร พวกเขาเลือกที่จะปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ มันไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องไปตายด้วย)

เขาหยิบตัวจุดระเบิด แล้วมองนาฬิกา เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่พวกเรายังมีชีวิตอยู่... ทำไมโจรถึงไม่ฆ่าพวกเรา

มือเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง วางตัวจุดระเบิด แล้วจึงกลับไปนั่งนิ่ง ทุกคนก้มหน้านิ่งราวกับยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึงเที่ยงคืนโจ๊กเกอร์จะระเบิดทั้งสองลำ แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ ไม่มีใครกล้าระเบิดเรืออีกลำ

สิ่งนั้นคืออะไรที่ทำให้ไม่มีใครกล้าฆ่าคนฝั่งตรงข้าม?

โจ๊กเกอร์ได้แต่แปลกใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เสียงแบทแมนร้องขึ้น

"What were you trying to prove? That deep down, everyone's as ugly as you? You're alone." (แกพยายามจะพิสูจน์อะไร พิสูจน์ว่าลึก ๆ ทุกคนใจอัปลักษณ์เหมือนแกงั้นเรอะ แกคนเดียวที่ชั่ว)

แล้วแบทแมนก็แย่งตัวจุดระเบิดจากโจ๊กเกอร์มาได้ โศกนาฏกรรมไม่เกิดขึ้น

กลับมาที่คำถามเดิม อะไรคือความดี อะไรคือความเลว

ถ้าการฆ่าคนคือความเลว ถ้าเช่นนั้นการฆ่าคนที่ผ่านการลงมติแบบประชาธิปไตยเป็นความเลวหรือไม่? การฆ่าคนเลว ฆ่าโจรเป็นความดีหรือไม่? ในเมื่อพวกนั้นเลือกที่จะปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ ทำความเลวเอง, แล้วโจรที่ยอมทิ้งตัวจุดระเบิดเป็นความดีหรือไม่? ในเมื่อสถานะของพวกเขาคือโจร พวกเขาจะทำความดีได้หรือไม่?

เส้นแบ่งของศีลธรรมพร่าเลือนจนเราไม่อาจตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความเลว

แต่หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่- ความดีมีอยู่จริงหรือไม่

ผมตอบว่า มีอยู่จริง เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตอบคำถามนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

ความดีไม่อาจค้นหาได้ด้วยเส้นแบ่งทางศีลธรรม (โจร-ผู้บริสุทธิ์) กฎหมาย (โจรทำผิดกฎหมาย แปลว่าเลว ต้องตาย) ระบอบการปกครอง (การโหวตเพื่อหาความชอบธรรมในการฆ่าอีกฝ่าย) ฯลฯ อันเป็นหลักเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาทีหลัง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะค้นหาความดีจนพบ

สิ่งนั้นคือ ศรัทธา

คือความศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า พวกเขามีความดีซ่อนอยู่ในที่ไหนสักแห่ง คำพูดของแบทแมนเปิดเปลือยจุดประสงค์ของโจ๊กเกอร์ "What were you trying to prove? That deep down, everyone's as ugly as you?" แต่แท้จริงแล้วส่วนลึกที่สุดในจิตใจของมนุษย์ไม่ได้ Ugly เหมือนที่โจ๊กเกอร์พยายามพิสูจน์ แต่เราถูกบางสิ่งบางอย่างกีดกั้นความดีงามในจิตใจเอาไว้

เมื่อถึงที่สุด เมื่อค้นไปจนลึกสุดหัวใจ ผู้ถือตัวจุดระเบิดในมือจึงพบความจริงบางอย่างที่เรียกว่า "ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์" สุดท้ายไม่มีใครกล้าระเบิดเรืออีกลำ

ความดีมีอยู่จริง หากต้องใช้ศรัทธาเท่านั้นในการค้นหา

เช่นเดียวกับความรัก

๒. มิติที่มองไม่เห็น

ตัวตนในโลกสองมิติ ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวตนในโลกสามมิติได้ เช่นเดียวกัน ตัวตนในโลกสามมิติ ก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวตนในโลกสี่มิติได้

เราอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิตินั้นเลย จนกว่าจะได้เข้าไปอยู่ในมิติดังกล่าว

ผมจึงอยากจะแย้งคุณเรื่องความรักของพ่อแม่

แน่นอนเมื่อถึงนาทีนี้ ผมยังคิดเช่นเดียวกับประโยคนั้นของคุณ

"ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ แต่ผมมองว่า เกิดจากความห่วงใยที่ผูกมัดว่าชีวิตลูกนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตตน การเลี้ยงลูกโดยปล่อยให้เขาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง จึงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับแม่ที่จะไม่คาดหวังอะไรตอบแทน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกตัญญู"

แต่ความรักของพ่อแม่อาจเป็นตัวตนในมิติที่สี่ที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้จนกว่าจะได้อยู่ในมิตินั้น

คนรู้จักของผมคนหนึ่งเคยเป็นวัยรุ่นแหลวแหลกจนทำให้พ่อต้องเสียน้ำตาบ่อย ๆ จวบจนเมื่อวันหนึ่งเขาได้กลายเป็น "พ่อคน" เขาจึงเอาดอกไม้มากราบไหว้ขอขมาพ่อ คำหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุด

"รู้แล้วว่าพ่อรักผมมากเพียงใด"

พี่ชายผมกลายเป็นพ่อคนในช่วงวัยหนึ่งของชีวิต แม่ผมถามลูกชายว่า รู้หรือยังว่าพ่อรักมากเท่าไหร่

พี่ชายผมไม่ตอบตามสไตล์คนไม่พูดมาก แต่พยักหน้ากับแม่

ผมได้แต่นั่งมองอยู่วงนอก เสมือนหนึ่งความรักของพ่อ-แม่เป็นมิติที่สี่ที่ผมไม่อาจย่างกราย

หากแม่ถามผมด้วยคำถามเดียวกันในตอนนี้ ผมคงตอบเหมือนที่คุณคิดไว้

แต่หากวันหนึ่งผมกลายเป็นพ่อคน ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบของผมจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?

อีกเรื่องหนึ่ง-และอีกมิติหนึ่งที่เรา-หมายถึงผมกับคุณอาจยังมองไม่เห็น-บังเอิญว่าผมเองก็ได้ดูรายการของชาวนาสาวคนนั้นตอนจับแมลงเหมือนกัน (เราบังเอิญได้ดูรายการเดียวกันบ่อยนะ ฮาฮา) ก่อนหน้านี้ผมเคยมีโอกาสสัมภาษณ์ชาวนาสาวคนดังกล่าว เธอเป็นนักปฏิบัติธรรมผู้เคร่งครัดคนหนึ่ง หากการบรรลุธรรมมีระดับขั้นเหมือนวรยุทธ เธอคงบรรลุเคล็ดวิชาในระดับสูงพอสมควรแล้ว

เธอเล่าเหตุผลที่เธอกินมังสวิรัติว่า เป็นเพราะเมื่อเธอนั่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง เธอได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของเนื้อสัตว์ที่เธอกินเข้าไป!

เช่นเดียวกับ "แม่" ของเรา หมายถึงแม่กวนอิมบนตึกรัฐศาสตร์ที่พวกเรา-คุณกับผม-เคารพบูชา เคยกล่าวว่า เมื่อกินมังสวิรัติจนชิน จะทนกลิ่นเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย

เช่นเดียวกับนิทานโบราณเก่า ๆ ที่ผมเคยอ่าน พระเกจิอาจารย์ธุดงค์ที่เคร่งมาก ๆ บางองค์ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สัตว์ทิพย์เช่นนาคบางตัวที่เข้ามาสยบยอมแทบเท้าท่านเหล่านั้นกล่าวว่า "ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีกลิ่นของซากศพเน่าเหม็นหมักหมมในร่างเหมือนมนุษย์ทั่วไป" นาคหมายความถึงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ซึ่งก็คือซากศพดี ๆ นี่เอง

นี่อาจเป็นอีกมิติที่เรา-ผู้นิยมบริโภคเนื้อสัตว์-ไม่อาจล่วงรู้ว่าเป็นความดีหรือความเลว จนกว่าจะก้าวล่วงเข้าไปในมิตินั้นเช่นเดียวกับชาวนาสาว หรือแม่กวนอิมของเรา เราจึงอาจจะตัดสินได้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี

(แต่นั่นก็จะกลับมาสู่คำถามเดิมที่เราถามกันจนวกวนมาแต่ต้น อะไรเล่าคือเส้นแบ่งทางศีลธรรม? นอกเสียจากการทับซ้อนของชุดความคิดมากมายที่ต่างก็มีเหตุผลรองรับแนวทางของตัวเอง)

๓. ศรัทธา

ศรัทธาคือเครื่องมือเดียวที่จะใช้ค้นหาความดี เช่นเดียวกับความรัก

ตราบเท่าที่เพื่อนของคุณยังกระโจนเข้าหาอ้อมกอดลวงตาของความรักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ผมเชื่อว่าเขายังไม่หมดศรัทธาในความรักหรอก

เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้น

เราพร่ำบ่นว่าหมดศรัทธากับความรัก ทวงหาเหตุผลที่ความรักไม่จบลงอย่างสมหวังเหมือนในเทพนิยาย แต่เพราะความรักที่ไม่สมหวังนั่นมิใช่หรือที่ทำให้เรายังคงมีศรัทธาอยู่

อาจเป็นเพราะเราหวังลึก ๆ ว่าจะได้พบกับความรักสมหวังเหมือนในเทพนิยาย หรืออาจเป็นเพราะเราพยายามกีดกันความจริงอันแสนโหดร้ายไม่ให้ก้าวล่วงเข้ามาในจินตนาการหวานหอม, เราจึงยังคงมีศรัทธาอยู่

ศรัทธาในความรักคือสิ่งเติมเต็มความเปล่ากลวงในหัวใจที่ไร้หลักยึด, แม้ว่าความจริงจะทำร้ายเรามากเพียงใดก็ตามที

กลับมาที่ The Dark Knight (สปอยล์อีกแล้ว ท่านที่ไม่ประสงค์จะรู้เรื่องราวกรุณาข้ามไป) Rachel รักแรกและรักเดียวของแบทแมนฝากจดหมายทิ้งเอาไว้ก่อนตาย ในนั้นระบุว่า เธอรักและจะแต่งงานกับ Harvey Dent อัยการหนุ่มคนรัก ไม่ใช่ บรู๊ซ เวย์น บุรุษผู้สวมหน้ากากแบทแมน

มีก็แต่ Alfred คนรับใช้เท่านั้นที่รู้ข้อความในจดหมาย แบทแมนไม่รู้เรื่องนี้

ตอนเช้าหลังจากคืนที่เรเชลตาย บรู๊ซพูดกับอัลเฟรดว่า

"She was gonna wait for me, Alfred. Dent doesn't know. He can never know." (เธอจะแต่งงานกับผม, อัลเฟรด เด้นท์ไม่เคยรู้ เขาจะรู้ไม่ได้)

ตราบเท่าที่เขายังไม่รู้ความจริง บรู๊ซยังคงมีศรัทธาในความรักที่เขามีต่อเรเชล แม้ความจริงจะโหดร้ายเพียงใดก็ตามที

สุดท้ายอัลเฟรดจึงเก็บจดหมายของเรเชลไปเผาทิ้ง เก็บงำความลับให้ตายไปกับตนเอง ดีกว่าให้ความจริงทำลายศรัทธาที่มีต่อความรักของบรู๊ซ

กลับเป็นคำพูดของแบทแมนเองที่อธิบายสถานการณ์นี้

"Because sometimes... the truth isn't good enough. Sometimes people deserve more. Sometimes people deserve to have their faith rewarded." (เพราะว่าบางครั้ง ความจริงอย่างเดียวไม่พอ บางครั้งคนเราต้องการมากกว่านั้น บางครั้งคนเราต้องการรางวัลแห่งการมีศรัทธา)

ตราบเท่าที่มี faith reward ใครเลยจะสนใจความปวดร้าวจากความจริงอันแสนโหดร้าย แม้ศรัทธานั้นจะเกิดขึ้นจากการหลอกตัวเองก็ตามที แต่ก็เหมือนที่แบทแมนว่าไว้มีใช่หรือ? เพราะความจริงอย่างเดียวนั้น ไม่พอ

ผมจำชื่อเงื่อนหนึ่งของชาวประมงไม่ได้แน่ชัด ผมขอเรียกมันว่า เงื่อนตายสมบูรณ์แบบ ความหมายนั้นตามชื่อ คือเป็นเงื่อนหลายประเภทที่ทับซ้อนกันแน่นหนาไม่อาจแก้ปมออกมาได้ไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ เมื่อชาวประมงพบเงื่อนตายดังกล่าว ทางเลือกเดียวของเขาคือตัดเชือกนั้นทิ้งเสีย

แต่ก็มีชาวประมงจำนวนไม่น้อยที่นั่งลงแล้วพยายามแก้ปมเงื่อนของเชือกนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า สุดท้ายความอดทนของพวกเขาจะหมดลง และต้องหยิบมีดมาตัดเชือกทิ้ง

ไม่มีใครเคยจัดการกับเงื่อนตายสมบูรณ์แบบได้ แต่คนส่วนมากก็ยังอยากจะลองจัดการกับเงื่อนตายสมบูรณ์แบบนั้น

เงื่อนตายสมบูรณ์แบบก็เหมือนปมสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของความรัก ไม่ว่ามันจะเป็นเงื่อนปมของความเห็นแก่ตัว การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรืออะไรก็ตามที่ทับซ้อนกันอยู่, คนจำนวนไม่น้อยรู้ถึงความยอกย้อนซ่อนเงื่อนของมัน แต่ก็ยังพยายามพาตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปมสัมพันธ์ที่ดิ้นไม่หลุด จนสุดท้ายต้องเอาน้ำตาเป็นกรรไกรใช้ตัดเงื่อนปมนั้นทิ้ง เพียงเพื่อหวนกลับเข้าไปในปมสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับคน Sophisticated ไม่รู้จะแปลไทยว่าอย่างไร แปลเป็นว่า "แก่โลก" ก็แล้วกัน, ปมความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนตายสมบูรณ์แบบ หรือปมสัมพันธ์ในมิติโมเบียสล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ วิธีแก้ปมไม่ยากเลย เพียงแค่ถอยออกมาและมองให้เห็น "ความจริง" ที่ซุกซ่อนอยู่หลังฉาก ก่อนจะลงมีดสะบั้นทิ้ง

แต่นั่นเป็นเพราะความจริงอย่างเดียวไม่พอสำหรับคนที่ใช้หัวใจสูบฉีดความรักมากกว่าเลือด

ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร ความเชื่อมั่น ความศรัทธา หรือกระทั่งความโง่เขลา แต่มันก็เป็นพลังลึกลับที่ไม่เคยตายไปจากหัวใจของมนุษย์, พลังลึกลับที่ทำให้คนบางคนนั่งลงแก้เงื่อนตายสมบูรณ์แบบ แม้รู้ว่าไม่มีวันแก้ได้, พลังลึกลับที่ทำให้คนหลงเข้าไปพัวพันกับปมสัมพันธ์อันแสนซับซ้อน แม้รู้ว่าสุดท้ายต้องลงเอยด้วยน้ำตา

ความศรัทธา, ไม่ว่าจะในความดีหรือในความรัก, แม้สุดท้ายอาจเป็นภาพลวงตา

แต่นั่นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ลมหายใจของเราไม่เหลือค่าเพียงแค่ลมเข้าออก ทำให้ชีวิตเราไม่เหลือค่าเพียงแค่สสารที่บังเอิญมาประกอบกันอย่างไม่ตั้งใจ

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทัณฑ์เงียบ หมายเลข ๒: South of the Border, West of the Sun (สุดขอบแห่งห้วงคำนึงที่ไม่มีวันไปถึง)

(๑.)

๏ ทุกครั้งที่มองฟ้ากว้างกว่ากว้าง
จะพบระยะห่างระหว่างฝัน
คือกำแพงกีดขวางใจให้ไกลกัน
กำแพงนั้นฉันสร้างไว้กั้นใจตน

เพราะรู้เราห่างไกลเกินชิดใกล้
เพราะรู้ว่าหัวใจยังสับสน
เพราะรู้ว่ามีใครอีกหลายคน
ที่จะพาเธอผ่านพ้นวันพรุ่งนี้

เพราะรู้ตัว, ฉันมิใช่คนดีนัก
แม้ความรักจะข้นเข้มเต็มที่
เพราะรู้, มีแค่รักเต็มฤดี
นอกจากนี้ไม่มีจริงสักสิ่งอัน

๏ เพราะรักเธอ, รักมาก
เกินทนเห็นเธอลำบากเพราะฉัน
ขอโทษ, ที่หนีไปในวันนั้น
ก็สมแล้ว, ต้องรับทัณฑ์ในวันนี้

เพราะเพิ่งรู้ว่ารักใครไม่ได้อีก
แม้ร่างกายสยายปีกเพื่อหลีกหนี
บางสิ่งกลับติดแน่นในดวงฤดี
และหัวใจไม่มีวันลบเลือน

(๒.)

๏ ฉันเกลียดเด็กน้อยนามโชคชะตา
ที่เคยมาขีดเส้นความเป็นเพื่อน
เส้นแบ่งแห่งจริงฝันจึงฟั่นเฟือน
ย้ำเตือนช่องว่างระหว่างเรา

แล้วสุดท้าย, รักที่ใจเคยไถ่ถาม
ก็ซุกซ่อนอยู่ในนามของความเหงา
ท่ามกลางกำแพงฝันอันบางเบา
และม่านหมอกหม่นเศร้าลวงตา

เมื่อใจรู้ว่ารักใครไม่ได้อีก
เคยหลบหลีกเคยเรรวนจึงหวนหา
แต่ใครเล่าขอร้องให้กลับมา
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนเราไป, ไม่เหมือนเดิม

(๓.)

๏ ฉันไม่รู้, หากใครถามความคิดถึง
รู้แค่มันลึกซึ้งแต่แรกเริ่ม
ยิ่งทิ้งขว้างไปใจยิ่งเติม
ยิ่งพูนเพิ่มความห่วงใยในห้วงคะนึง

แต่คำ "รัก" ผิดที่ผิดเวลา
จึงสิ้นไร้คุณค่า, แค่คำหนึ่ง
แล้วใจต่อใจเคยไหวซึ้ง
ก็หมดสิ้นแล้วซึ่งความผูกพัน

แล้วจะโทษใครได้
ก็ใครเล่าใครเคยทิ้งฝัน
ก็ใครเล่าใครเคยทิ้งกัน
แล้วหวนคืนในวันรักวางวาย

กำแพงกั้นใจใครเคยตั้ง
กำแพงแห่งความหลังมิจางหาย
คำรักหนักแน่นแสนเปล่าดาย
สิ้นไร้ความหมายแล้ววันนี้

๏ แล้วความเงียบก็จู่จับรับความเหงา
ประคองความหม่นเศร้าในวิถี
ความเงียบงันค่อยกั้นขวางระหว่างฤดี
แล้วจึงทบทวีกลายเป็นทัณฑ์

ทัณฑ์เงียบคือทัณฑ์ที่กั้นขวาง
เป็นช่องว่างที่เติมฝันไม่เต็มฝัน
ความรักจึงอยู่กึ่งกลางระหว่างอนันต์
สายสัมพันธ์ค่อยลาร้างจางหายไป

(๔.)

๏ ฉันไม่รู้, หากใครถามเรื่องความเงียบ
รู้แค่มันเย็นเฉียบเกินทนไหว
ไม่มีสิทธิ์ขอร้องต่อรองใคร
หัวใจไม่อาจยื้อดื้อดึง

แล้วทัณฑ์เงียบก็ถึงวันทัณฑ์ชำระ
ชั่วขณะที่หัวใจไหวครั้งหนึ่ง
ปล่อยหัวใจไปสุดขอบห้วงคำนึง
ไม่มีวันไปถึง, ไม่มีทาง ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๗/๐๕/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บันทึกเรื่องตื่นเต้น (๗): ภารกิจหลั่งเลือด!

(๑.)

ไม่รู้ว่าลมอะไรถีบผมมาหล่นตุบลงที่โรงพยาบาลศิริราช รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดาเสียแล้ว

นึกย้อนไปไม่กี่นาทีก่อนหน้า ผมยังเดินโต๋เต๋อยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอยู่เลย ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกที การคุยงานสารคดีกับหอการค้าไทยเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้ เวลาที่เหลือจึงน่าจะเป็นเวลาออกเที่ยวสักหน่อย

ระหว่างที่รีรอ ๆ อยู่หน้านิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พลางพิจารณารูปปั้นยักษ์ ๒ ตนที่ยืนตระหง่านหน้าตึกว่าทศกัณฐ์คือตนไหน สหัสเดชะเล่าคือตนใด หรือมิใช่ทั้งคู่ ผมก็ถูกอารมณ์ติสต์หอบขึ้นรถเมล์ไปฉิบ

ท่านที่รู้จักผมดีคงไม่ต้องอธิบายถึงอารมณ์ชนิดนี้ ส่วนท่านที่ยังไม่รู้จักผมดีอาจจะต้องอธิบายสักหน่อยว่า หากไม่มีนัดหมายหรืองานเร่งร้อนคอขาดบาดตายรออยู่ ผมมักจะใช้ชีวิตแบบด้นสด คิดอยากไปไหนก็ไป แผนการในชีวิตคือกระดาษอันว่างเปล่าสำหรับผม และในวินาทีนั้น ผมถูกอารมณ์ติสต์นามว่า "อยากไปเดินเล่นแถวท่าพระจันทร์สักหน่อยน้า" เข้าครอบงำ

แต่วันนี้ท่าพระจันทร์ยามบ่ายแก่ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว ซ้ำคนยังเยอะเกินกว่าที่คาด เหลียวมองข้ามฟากฝั่งเจ้าพระยา ตึกของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศตั้งตระหง่าน สมัยที่ผมพักอยู่กับพี่ที่หอพักแถว ๆ เชิงสะพานปิ่นเกล้า ผมผ่านตึกนั้นบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าไปแวะเวียน โรงพยาบาลคงไม่ใช่สถานที่น่าพิสมัยสำหรับคนไม่ป่วย แต่วันนี้ผมกลับอยากลองไปเดินเล่นในนั้นสักครั้ง

หรือผมกำลังป่วย?

หรือเพราะลมแห่งความป่วยไข้นั่นเองที่ถีบผมมาหล่นตุบลงที่โรงพยาบาลแห่งนี้?

(๒.)

ไม่ว่ามันจะเป็นลมอันใด หรือ 'รมณ์ติสต์ที่ยากจะทำความเข้าใจ ผมก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดาแล้ว

บรรยากาศในโรงพยาบาลศิริราชต่างจากที่ผมเคยสร้างจินตภาพไว้พอสมควร, จินตภาพที่เกิดจากการเคยเห็นบรรยากาศในโรงพยาบาลมหาราชที่พี่สะใภ้ผมทำงานอยู่, ช่างวุ่นวายราวกับมีงานบวชผสมงานทอดกฐินและงานแต่งงานตลอดทั้งวัน

ศิริราชสงบเงียบ...

หรือบางทีความวุ่นวายอาจซ่อนตัวอยู่หลังตึกผู้ป่วยที่ผมมองไม่เห็น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร บรรยากาศตรงนี้ก็สงบมากพอที่ผมจะหย่อนอารมณ์ นั่งเสพความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะลองเดินออกสำรวจพื้นที่ในโรงพยาบาล

การเดินสำรวจแบบไม่มีแผนที่ประกอบนั้นไม่มากพอที่จะทำให้คนที่ชอบหลงทางสายชีวิตอย่างผมเข้าใจเส้นทางอย่างทะลุปรุโปร่ง อันที่จริงก็ต้องบอกว่าหลงทางไปไหนต่อไหน ก่อนจะบังเอิญเห็นป้ายสีแดง ๆ ที่เขียนว่า บริจาคเลือด

แล้วอารมณ์ติสต์ชื่อเดียวกันกับป้ายนั้นก็เข้าครอบงำผม

(๓.)

อารมณ์ติสต์บางอย่างก็เป็นเรื่องดี แต่สำหรับอารมณ์ติสต์แบบนี้ไม่น่าจะดีเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อเข้ารับภารกิจหลั่งเลือด

แต่เมื่อเผลอตัวเผลอใจให้อารมณ์ติสต์ปัจจุบันทันด่วนครอบงำ ก็ยากที่จะหักห้าม

หากจะเปรียบไป ผมก็เหมือนดรุณีน้อยวัยกำดัดผู้ไม่เคยสัมผัสมือหยาบกร้านของบุรุษเพศ บริสุทธิ์บอบบางราวดอกไม้แรกอรุณในวงการบริจาคเลือด หากคิดจะเข้าสู่ภารกิจหลั่งเลือด มือใหม่หัดเจาะอย่างผมคงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและช่ำชองระดับประดับเข็มแบบ "ท่านเซอร์" - ผมนึกถึง "เซอร์นก" หรือ นกบินเดี่ยว (บางเที่ยวก็บินคู่) เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาโทผู้เป็นกูรูด้านการหลั่งเลือดลงถุง

"สวัสดีครับนก ธีรวัฒน์ กล่าวเกลี้ยง เลี้ยงดู ยู้ฮู จุ๊กกรู ฯลฯ คือเรามีเรื่องอยากจะปรึกษานายในฐานะที่นายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนาน ระดับปรมาจารย์..."

"เข้าเรื่องเลยครับกอล์ฟ" นกหัวเราะ เขารู้จักผมดีพอว่าถ้าปล่อยให้ผมพูดต่อไป ผมจะสร้างประโยคความซ้อนต่อไปเรื่อย ๆ

ทันทีที่รู้ความประสงค์ นกก็ให้คำปรึกษาในฐานะรุ่นพี่ที่แสนใจดีกับรุ่นน้องตัวกลม ๆ

"ต้องนอนสัก ๘ ชั่วโมงนะ เลือดจะได้ไม่ลอย"

นับนิ้ว เมื่อคืนนอนตีสองครึ่ง ตื่นเก้าโมงครึ่ง เช็ด! เจ็ดชั่วโมงเอง จะพอไหม ถ้าจะรวมตอนที่ยังไม่หลับสนิทคงไม่พอ แถมวันก่อนไม่ได้นอนนี่หว่า แต่เมื่อวานก็นอนชดเชยไปซะ ๑๓ ชม. การนอนไม่เป็นเวลานี่ทำให้คำนวณยากจริง ๆ เลย แต่คงพอน่ะ

"ต้องอดข้าวไหม" เคยได้ยินว่าห้ามกินข้าวหลัง ๖ โมงเย็นถ้าจะตรวจอะไรเกี่ยวแก่เลือด

"ไม่ต้องขนาดนั้น นั่นเอาไว้ตรวจน้ำตาลในเลือด" โอเค เพราะเพิ่งกินข้าวเที่ยงมา

แล้วกูรูนกก็ให้คำแนะนำอื่น ๆ แต่ผมจำไม่ได้แล้ว เอาไว้ไปตายเอาดาบหน้าที่มุมบริจาคเลือดเลยละกัน

(๔.)

หนึ่งช่องของแบบฟอร์มบริจาคเลือดทำให้หัวใจพยศของวัยหนุ่มสะดุดกึก!

(เฉพาะสุภาพบุรุษ) เคยมีความสัมพันธ์กับเพศชาย -ใช่ -ไม่ใช่

!!!

(ถ้าจำคำผิดขออภัย)

นึกทบทวนความหลัง ความบริสุทธิ์ที่ถนอมกล่อมเกลี้ยงมากว่า ๒๔ ฤดูใบไม้ผลิ ผมยังไม่เคยเสียให้แก่หญิงใด...

แต่กับชายเล่า!

นึกทบทวนความหลังอย่างไตร่ตรอง อาจมีบางครั้งเคยนั่งร่วมวงสุรากับชายหนุ่ม แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่ขายสติให้น้ำเมาจนเผลอพลีร่างซบหนั่นเนื้อของบุรุษกำยำใต้ผ้าห่มร้อนเร่า

โอเค ไม่ใช่!

มือสั่นระริก แต่ก็ติ๊กอย่างมั่นใจ!

(๕.)




จริง ๆ ผมชอบดื่มน้ำเขียวครีมโซดามากกว่า แต่เมื่อมีน้ำแดงตรงหน้าจะพิรี้พิไรเพื่อเหตุอันใด

ตอนแรกคิดว่าไม่อยากดื่มน้ำแดงเพราะเพิ่งกรอกน้ำดับกระหายมาหนึ่งขวดเต็ม ๆ แต่ทั้งคนตรวจและบุรุษพยาบาลก็เน้นย้ำว่ากินนะ ๆ จะได้ไม่เป็นลม พูดหนักเข้าใจผมก็ชักหวั่น ๆ ทั้งที่จริงถ้าคนอย่างผมจะกลายเป็นธาตุอะไรไปสักอย่าง มันไม่น่าจะกลายเป็นลมที่มีน้ำหนักเบาหวิวเหลือทนหนอชีวิต อย่างไรก็ดี เมื่อถูกกระแซะเข้ามาก ๆ ความหนักแน่นก็เริ่มไหวเอน สุดท้ายผมจึงดูดน้ำแดงจ๊วบ ๆ อย่างไม่กลัวน้ำตาลในเลือดจะพุ่งปรี๊ด

"คุณวุฒินันท์ค่ะ..."

และแล้วก็ถึงเวลาหมูขึ้นเขียง!

ไม่กล้ากลับไปวัดความดันอีกครั้ง เพราะถ้าวัดตอนนี้ระดับความดันคงพุ่งสูงตามแรงเต้นของหัวใจ

(๖.)

แพทย์สาวตรงหน้าผมเอาแอลกอฮอล์เช็ด ๆ คลำ ๆ ดูเส้นเลือด ผมห่วงเหลือเกินว่าเธอจะหาไม่พบ เพราะผมมีเกราะกำบังชื่อไขมันกั้นไว้อย่างแน่นหนา แต่เธอก็หาเจอ โอเค เธอหยิบถุงมาแล้ว จากนั้นจึงค่อยเปิดตัวเข็มจิ้มหมู

มีคนเคยบอกว่า ถ้ากลัวเข็ม อย่าไปมองเข็มเจาะเลือด เพราะมันเกิดมาเพื่อสร้างความสยองขวัญสั่นประสาทคนกลัวเข็มโดยแท้

แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเสือชอบใส่เกือก จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบแล โดยลืมไปว่าตัวเองเป็นโรคหวาดกลัวของแหลมที่จะมาทิ่มแทงเข้าร่าง ทั้งเข็มแหลมและคำพูดบาดใจ

เจี๊ยก!!!!!!!

เข็มบ้าอะไรเล็กกว่าหลอดดูดยาคูลท์นิดเดียว!!

(ขออภัยสำหรับผู้ไม่เคยบริจาคเลือดที่จะจินตนาการไปตามความเปรียบอติพจน์ของผม ความเปรียบในใจที่หวาดกลัวนั้นมักจะเวอร์เกินจริงเสมอ)

ผมนึกภาพขวดยาคูลท์ทั้งหลายที่ผมเคยเอาหลอดทิ่มแล้วดูดนมเปรี้ยวในขวดจ๊วบ ๆ โธ่ เจ้ากรรมนายเวรยาคูลท์จะสนองดาบนั้นคืนแก่ผมเสียแล้วโดยการเอาเข็มยาคูลท์จิ้มผมแล้วดูดเลือดจ๊วบ ๆ อย่างเปรมปรีดิ์

"ฮึ้ยยย... กลัวคับ..." ผมเผลอครางหงิงราวกับชิวาวาตัวน้อยกำลังจะถูกฉีดยากันพิษสุนัขบ้า

คุณหมอแก้มแดงหัวเราะคิก, ลืมเล่าไปว่าวันนี้ผมโกนมาแค่หนวด ส่วนเครายังรกครึ้มราวกับเสือร้าย (แต่ดู ๆ ไปเหมือนหมูป่ามากกว่า) เธอคงขำที่หน้าตาอย่างมหาโจรอย่างผมทำท่าเหมือนเด็กสองขวบกลัวไม้เรียวหวดก้น

"ไม่เจ็บหรอกค่ะ เจ็บนิดเดียว" เอ้า ตกลงเจ็บหรือไม่เจ็บเนี่ยคับคุณหมอ

ผมได้แต่หลับตา ไม่อยากมองภาพสยดสยองตรงหน้า "อย่าเกร็งนะคะ เดี๋ยวเจ็บ"

น้ำตาผมตกใน เมื่อหมูขึ้นเขียงเสียแล้ว เข็มยาคูลท์ก็ต้องทิ่มแทงเข้ามาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โถ... อุตส่าห์ทะนุถนอมร่างกายอันแสนบอบบางผ่านร้อนผ่านฝนมากว่า ๒๔ ขวบปี ไม่คิดเลยว่าต้องมาเสียทีให้เจ้าเข็มยักษ์ได้ทิ่มแทงมาสูบเลือดหนุ่ม โอ... ลาก่อนวัยหนุ่มและฤดูใบไม้ผลิอันแสนหวาน โฮ... หม่ามี๊ Help me plz...

ฉึก!

@#$%&!!!

ยังไม่ทันที่ผมจะดื่มด่ำกับความหฤหรรษ์แห่งเจ็บปวด หมอสาวก็คลำเข็มกับเส้นเลือดผมเพื่อหาความผิดปกติ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวจี

"ว้า ขอโทษนะคะ เส้นเลือดมันพลิกออกจากเข็ม ขออนุญาตแทงอีกรอบ"

ไม่ทันฟังอีร้าค่าอีรม คุณหมอแก้มแดงก็ทิ่มแทงเข็มยักษ์ชำแรกเข้ามาในกายผมอีกรอบ แล้วเธอจึงคลำเข็มดูอีกครั้ง

"โอเคค่ะ มัวแต่กลัวคุณเจ็บเลยได้เจ็บสองรอบเลย บีบลูกบอลเรื่อย ๆ นะคะ"

แล้วเธอก็ผละจากผมไปดูแลผู้ใจบุญท่านอื่น ๆ ทิ้งให้คนบาปในคราบนักบุญอย่างผมนอนหายใจรวยรินอยู่บนเขียง เอ้ย เตียง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าโอเวอร์แอ็คติ้งให้หมอเป็นกังวล มิเช่นนั้นอาจโดนแทงสองรอบ!




(๗.)

อันที่จริงมันก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ ตอนแรกอาจจะรู้สึกปวดหนึบ ๆ อยู่บ้าง แต่สักพักก็เริ่มชิน ว่าแล้วผมก็เริ่มบีบลูกบอลอย่างมันมือพลางคิดว่า อยากซื้อลูกบอลแบบนี้มาบีบเล่นที่ห้อง ฮาฮา

เหลียวมองเตียงข้าง ๆ หญิงสาวใจบุญอายุอานามน่าจะน้อยกว่าผมสักสี่ห้าขวบปี แต่ใบหน้าเธอนิ่งราวกับเพิ่งสึกออกมาจากสำนักเซน แม้ขณะที่โดนแทงเข็ม สีหน้าเธอยังไม่เปลี่ยน มิน่าล่ะคุณหมอถึงเผลอขำผม

หันกลับมามองถุงเลือดอีกที โอ้ว มันกำลังโป่งพองขึ้นเรื่อย ๆ นี่ล่ะหรือเลือดของเรา ใยจึงสีเหมือนเลือดหมูเยี่ยงนั้น แล้วใยถุงนี้จึงพองขึ้นเรื่อย ๆ โอ เลือดเราไหลมากองในถุงนี้ล่ะหรือ เรากำลังเสียเลือดพรวด ๆ จวนจะหมดตัวแล้ว น่าสยดสยองยิ่งนัก เราจะตายไหมนี่...




(๘.)

แล้วเลือดก็เต็มถุงเร็วกว่าที่คิด กะว่าประมาณครึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น ชายวัยกลางคนจากเตียงอีกฟากหนึ่งทำภารกิจหลั่งเลือดเสร็จไล่เลี่ยกับผม เราจึงได้มานั่งตั้งวงน้ำแดงเปิดประเด็นสนทนากันสักพัก

"ผู้หญิงเขาได้ถ่ายเทเลือดเสียสร้างเลือดใหม่ทุกเดือน ๆ เราผู้ชายก็ต้องมาทำแบบนี้แหละ ถึงจะมีโอกาสสร้างเลือดใหม่ในร่างกายบ้าง"

เปรียบเปรยได้น่าสนใจ ถ้าเช่นนั้นผมควรมาหลั่งเลือดลงถุงทุกเดือน?

"ไม่ได้ ๆ ถ้าไม่ถึงสามเดือนเขาไม่ให้บริจาค ผมเคยมาก่อนถึงสามเดือน บอกเขาว่าร่างกายแข็งแรงดีแต่เขาก็ไม่ให้บริจาค เขากลัวว่าร่างกายจะยังสร้างเกล็ดเลือดไม่พอ"

จากนั้นเราก็เริ่มคุยเรื่องสัพเพเหระ ก่อนจะแยกย้ายกันไป เพราะวงน้ำแดงไม่ใช่วงน้ำเมา ใยจะดึงดูดชายหนุ่มสองคนให้สนทนาได้นานไปกว่านี้?

(๙.)

ดูเหมือนว่าผมจะวิตกจริตมากไปหน่อย เพราะหลังบริจาคเลือด ร่างกายผมก็ยังกระฉับกระเฉงดี ไม่มีเวียนหัวจะเป็นลมเหมือนที่บรรดาพยาบาลคอยกำชับ ไม่อยากบอกเลยว่าผมเดินพล่านยิ่งกว่าตอนก่อนบริจาคเสียอีก ย่างสู่ยามเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกมาให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมี พระองค์ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงดี คนบุญน้อยอย่างผมไม่กล้าชื่นชมพระบารมีนานเกินไปจึงเดินเรื่อยเปื่อยออกมาจากโรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีลมก็หอบผมไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่สวนนคราภิรมย์ ชมเรือวิ่งผ่านไปผ่านมา คลุกเคล้าอารมณ์ออกมาเป็นบทกวีไม่มีชื่อและไม่มีบันทึก ก่อนที่แสงสุดท้ายแห่งอรุณจะลากผมกลับสู่บ้านช่องห้องหอเสียที

โทรกลับบ้านถามไถ่ทุกข์สุข อาการตาของแม่หลังผ่าตัดดีขึ้นมาก ได้แต่หวังว่าผลบุญจากการบริจาคเลือดครั้งนี้จะช่วยให้ดวงตาของหม่ามี๊หายในเร็ววัน และถ้าเลือดผมไม่มีโรคอะไรเป็นของแถม หวังว่าอีกสามเดือนข้างหน้าคงได้มาทำภารกิจหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินอีกครั้ง!


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๔/๐๕/๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คิดถึง

๏ คุณเคยคิดถึงคนหนึ่งไหม
คิดถึงแล้วหัวใจอบอุ่น
คิดถึงคำออดอ้อนอ่อนละมุน
คิดถึงแล้วว้าวุ่นใจวุ่นว้า

๏ คิดถึงใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไกล
คิดถึงทั้งดวงใจอาลัยหา
อยากจะกอดพลอดพร่ำวาจา
กระซิบเบาข้างหูว่า... คิดถึงจัง

๏ ความคิดถึงยิ่งบ่มนานยิ่งหวานซึ้ง
ยิ่งคิดถึงยิ่งเก็บไว้ใจแทบคลั่ง
หากไม่บอกโดยตรงอกคงพัง
ถ้าเช่นนั้นบอกดังดัง... "คิดถึงเธอ"!!

๏ ขอให้ความคิดถึงจงไปถึง
ณ ที่ซึ่งหัวใจรู้ได้เสมอ
ว่ามีคนคิดถึงมากอยากพบเจอ
คนรับอย่าเผลอเรอเผลอลืมไป

๏ คิดถึงใครคนหนึ่ง... คิดถึงที่สุด
คิดถึงจนใจทรุดเพราะหวั่นไหว
คิดถึงจนใจอ่อนจนอ่อนใจ
คิดถึงใครคนหนึ่ง... คิดถึงจัง ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๙/๐๕/๒๕๕๔

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อัดอั้น

๏ คืนนี้คงไม่ไหลหรอกน้ำตา
แล้ววาจาเล่าจะบอกออกจากไหน
คำว่ารักที่ตื้นตันเต็มหัวใจ
ฤาจะกล้าบอกใครแม้ครึ่งคำ

๏ กลั้นกลืนหมื่นเข็มอยู่เต็มอก
แค่หายใจก็สะทกทุกเช้าค่ำ
ปล่อยน้ำตาตกในใจประจำ
แล้วทุบใจจนน่วมช้ำทุกค่ำคืน

๏ น้ำตาฤาจะไหลออกไปได้
เพราะฉันข่มหัวใจจนสุดฝืน
ทุกความเจ็บทุกความช้ำทนกล้ำกลืน
ทนขัดขืนคำฎีกาว่ายังรัก

๏ ทั้งที่อยากจะร้องไห้ให้หายเศร้า
น้ำตากลับย้อนเข้าท่วมใจหนัก
เกลียดนัก, เกลียดใจตนเองนัก
ที่เชยชักรักเชยชมมาห่มใจ

๏ ทั้งที่ดวงใจใช่ไม่รู้
ว่ามิควรเคียงคู่กันได้
เลือกแล้วก็ก้มหน้ารับกรรมไป
สมน้ำหน้า! จะโทษใครนอกจากตัว

๏ อัดอั้นหมื่นเข็มอยู่เต็มอก
ถูกทิ่มแทงหวั่นสะทกถ้วนทั่ว
เหลือซากใจเย็นชืดมืดมัว
ได้แต่กลัวหัวใจไม่หลาบจำ!

๏ คืนนี้คงไม่ไหลหรอกน้ำตา
แต่คืนหน้าดวงตาใครคงแดงก่ำ
กลั้นสะอื้นกลืนเก็บความเจ็บช้ำ
แล้วซบหมอนครวญคร่ำในค่ำคืน ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๘/๐๕/๒๕๕๔

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิราศอัมพวา (๒): แรมร้างรักห่างเรื้อ, เถือมีดกรีดสะเก็ดแผลแห้งผากเพื่อตามหากระแสทรงจำที่สาบสูญ

(๑)

โครมคลื่นครืนคลั่งซัดฝั่งฝัน
เศษซากรักเคยเร่ร้างอยู่อย่างนั้น
ก็พลันแหลกสลายหายไป

ชั่วเพียงกระพริบตาผ่านมากระพริบ
แววหวังเคยวาบวิบก็วูบไหว
ตราบที่คนใจหายยังหายใจ
ดวงฤทัยก็ถูกคลื่นค่อยกลืนกิน

เพราะสายน้ำนิ่งงันคือฝันนิ่ง
ที่ทุกสิ่งค่อยค่อยตายหายไปสิ้น
ปีกฝันเคยโบยบินก็หยุดบิน
ใจจึงค่อยชาชินจนชินชา

ระลอกน้ำกระเพื่อมมาสักคราหนึ่ง
ใจเคยซึ้งก็หวั่นเล่ห์สิเหน่หา
ยิ่งกระเพื่อมไหวกระทบค่อยทบมา
ระลอกคลื่นน้ำตาก็มาเยือน

ค่อยกลั่นกรุ่นอุ่นอุ่นหยดรดร่องแก้ม
แต่งแต้มใบหน้าน้ำตาเปื้อน
แต่ความมืดก็กลบพรางให้รางเลือน
เป็นเสมือนซอกหลืบใจ, ใครเคยจำ

นั่นแหละรัก, คนย่อมฝืนคลื่นน้ำนิ่ง
เมื่อเรือวิ่งวุ่นวนจนใจถลำ
หลงลืมว่าทะเลเห่คลื่นดำ
คลื่นลวงหอบความเจ็บช้ำมาซ้ำใจ

ตามหาความทรงจำที่สาบสูญ
ด้วยโศกาอาดูรเกินทนได้
เกลื่อนรอยยิ้มแห้งผากกลบซากฤทัย
ตามหาสิ่งที่หายไปในอัมพวา

(๒)

แล้วจึงปลุกหลับใหลในโลกเศร้า
เร่งเร้าอักขระตามประสา
เช็ดคราบความหลังและน้ำตา
เป็นรอยยิ้มขมปร่าเมื่อลาร้าง

คือภาพคนเคยปลื้มไม่ลืมเลือน
ที่ลอยเกลื่อนปลิวไปไกลห่าง
ระยะใจใช่วัดรอยระยะทาง
แต่คือความอ้างว้างในวารวัน

คลื่นเห่เร่รักมาริมฝั่ง
แล้วคลื่นคลั่งก็พังฝันในฝั่งฝัน
ระลอกคลื่นระเรื่อยรู้ระยะกัน
แต่คลื่นเธอ-คลื่นฉัน, มันไม่ตรง

ไม่มีคนผิดหรอกในความรัก
ลมเชยชักรักเชยชมคือลมหลง
ใยต้องเสียเศษน้ำตาพาพะวง
ให้ความช้ำมาผจงจุมพิตรัก

เป็นเพียงการหวนกลับของภาพเก่า
เมื่อใจเราหมดทั้งใจไม่ตระหนัก
รักคือลมรำเพยไม่เคยพัก
ใช่ทอถักเป็นสายใยในสัมพันธ์

นั่นแหละ, การสาบสูญของบางสิ่ง
แม้หยุดนิ่งก็หล่นหายคล้ายความฝัน
แล้วเผลอหยิบความว่างเปล่าเข้าแทนกัน
กว่ารู้ตัวก็ถึงวันรักวางวาย

คอยขับเคลื่อนเขยื้อนใจไปข้างหน้า
แต่เหมือนยิ่งตามหายิ่งหล่นหาย
พอหยุดนิ่งตรมตรอมเหมือนยอมตาย
ภาพก็คล้ายจะแจ่มชัด ณ บัดนั้น!

(๓)

รอยยิ้มพิมพ์ใจในครั้งหนึ่ง
ยังหวานซึ้งเต็มใจในภาพฝัน
ทุกทุกความห่วงใยสายสัมพันธ์
จดจำไว้มั่นไม่ลบเลือน

แต่ทุกความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน
หลบเร้นแฝงร่างระหว่างเพื่อน
ความเงียบห่มความเหงาเป็นเจ้าเรือน
กล่นเกลื่อนเต็มช่องว่างระหว่างเรา

ทุกความฝันยังหวั่นไหวในเวิ้งฟ้า
เติมเต็มด้วยน้ำตาแห่งเศร้า-เหงา
ค่อยระบายลมหายใจแผ่วเบา
ให้แก่ความขลาดเขลาของตนเอง

ที่ปกปิดปวดร้าวด้วยรอยยิ้ม
เจ็บจนอิ่ม, จนเกินอิ่มยังอวดเก่ง
คลื่นน้ำตากระทบฝั่งยังครื้นเครง
แล้วดวงใจก็วังเวงไปทั้งใจ

ครั้งหนึ่งสายสัมพันธ์นั้นผิวเผิน
ใครเคยเมินคนเคยมองเมื่อหวั่นไหว
มัวแต่ทอดสายตาสุดฟ้าไกล
มองมิเห็นดวงฤทัยใกล้นิดเดียว

กว่าใจรู้ก็เต็มรักตระหนักรู้
แต่ห่างไกลเกินคงอยู่แม้ส่วนเสี้ยว
แล้วคำ "เพื่อน" ก็ค่อยคมเหมือนคมเคียว
สะกิดเกี่ยวหัวใจในแผลเดิม

(๔)

คลื่นคนเป็นคลื่นคลั่งฝั่งสองข้าง
ความอึกทึกระหว่างทางต่างส่งเสริม
เพียงคลื่นคนหล่นซ้อนก่อนต่อเติม
ใจก็เพิ่มระยะห่างระหว่างใจ

คลื่นคนยังครืนคลั่งไปข้างหน้า
คนใกล้ตาเคยต่อฝันกลับหวั่นไหว
มือที่เคยกุมมือมาหายไป
ยิ่งเอื้อมมือคว้าไขว่ยิ่งไม่พบ

ฝังตัวเองในความเงียบเย็นเฉียบนัก
แล้วเห่กล่อมด้วยความรักไม่รู้จบ
ปล่อยวิญญาณโศกเศร้าเซาซบ
แล้วจะหลบเร้นร่างอยู่อย่างไร

ตึกเก่าเก่าฤาข้ามผ่านกาลเวลา
เพียงพริบตาก็ต่อเติมเป็นตึกใหม่
แล้วหัวใจของบางคน, ในหัวใจ
จะเก็บบางสิ่งไว้, หรือไม่จำ

ฉันตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
แต่คล้ายคล้ายเป็นหลุมพรางจนร่างถลำ
ทั้งสองฟากฝั่งยังมืดดำ
และรอยช้ำก็ซ้ำใจในรอยทาง

รอยยิ้มเคยพิมพ์ใจในวันก่อน
แววตาเคยอาวรณ์ไม่เว้นว่าง
กลัวเหลือเกิน, กลัวใจจะจืดจาง
วันที่เราไกลห่างลาร้างไกล

เมื่อมองผ่านประตูใจไม่พบฝั่ง
ขอกอดเธอสักครั้งได้ไหม
ถ้าฉันรู้ว่าบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป
ฉันจะได้ไม่ตามหาคำว่า "รัก"

(๕)

แล้วดวงดาวก็หล่นฟ้ามาอยู่ใกล้
เปล่งแสงระยิบใจให้ประจักษ์
แต่ใยชีวิตนี้จึงสั้นนัก
มิพาพักให้รักชวนรัญจวนฤดี

เกิดมาเพื่อพบรักเพียงครั้งหนึ่ง
เพื่อหวานซึ้งตามรอยทางระหว่างวิถี
เมื่อพบอีกครึ่งของชีวิตนี้
ก็ยอมพลีชีพมลายสลายไป

หิ่งห้อยหารักแท้ทั้งชีวิต
ทุ่มเดิมพันฤาคิดเป็นอื่นได้
ต่างจากคนขี้ขลาดหวั่นหวาดใจ
มิกล้าแม้คว้าไขว่คนใกล้ตัว

(๖)

เมื่อความรักวูบไหวในอนธกาล
แผ่ซ่านในหัวใจไปถ้วนทั่ว
หากต้องเสียเธอไป, ใจฉันกลัว
แล้วความรักก็เร้ารัวเต็มหัวใจ

คนที่เคยเติมฝันจนเต็มฝัน
เคยไกลกันสุดแสนไกลกลับอยู่ใกล้
เพียงเอื้อมมือเท่านั้น, เหมือนฝันไป
ดวงฤทัยจะได้ชิดสนิทเนา

แล้วความรักก็หนักล้นจนอกตื้อ
แม้แต่มือจะกุมมือยังขลาดเขลา
ได้แต่กระซิบเสียงเพียงแผ่วเบา
เจือความเศร้าที่บอกกัน, หลับฝันดี

(๗)

แล้วอรุณก็อุ่นไอให้ฉันตื่น
ปลุกฟื้นเศษซากใจในวิถี
เพื่อจ่อมจมตรมเศร้าเหงาทบทวี
ในห้วงอเวจีแห่งหัวใจ

แล้วจึงเขียนบทกวีเพื่อปลอบปลุก
บันทึกห้วงทนทุกข์และหวั่นไหว
จะเอ่ยปากก็มิอยากจะเอ่ยไป
น้ำตาท่วมฤทัยได้แต่ทน

เมื่อนาบุญผ่านมาที่ท่าน้ำ
ใจเจ็บช้ำจึงค่อยคลายความสับสน
ตั้งจิตอธิษฐานถึงหนึ่งคน
เถิดช่วยดลให้ดวงใจได้รักกัน

หากชาติก่อนเคยร่วมบาตรเหมือนชาตินี้
ดวงฤดีคงสมหวังเหมือนดั่งฝัน
หากดอกไม้ร่วมต้นหล่นลงพลัน
ใจฉันคงหล่นลงตรงใจเธอ

แสงเช้าพราวแพรวเป็นพรมอุ่น
ทอดทางพราวพร่างละมุนมาเสมอ
หวังเพียงทางระหว่างใจได้พบเจอ
มิใช่ความฝันเพ้อเพียงข้างเดียว

จึงค่อยเก็บความเจ็บไว้ให้มิดชิด
ปกปิดมิให้ใครได้เฉลียว
ให้ความสนิทสนมกลมเกลียว
คอยกำบังคมเคียวความปวดร้าว

แล้วคลื่นคนก็ครืนคลั่งเต็มฝั่งใจ
อยู่ชิดใกล้กลับเจ็บเหน็บหนาว
มองฟ้าวันนี้ไม่มีดาว
เคยสุกสกาวสดใสแม้ไม่มอง

เรือแจวแล่นลัดตัดหน้า
เรือใจแล่นเนิบช้าหม่นหมอง
ปล่อยดวงใจว่ายน้ำตามครรลอง
มนต์แม่กลองแสนกว้างเกินหยั่งใจ

รอยยิ้มแสนหวานยังหวานซึ้ง
โมงยามความคะนึงนับหนึ่งใหม่
ฉันตามหาบางสิ่งที่หายไป
แต่ตามหาอะไรยังไม่รู้?

(๘)

สงบนิ่งหน้าองค์พระปฏิมา
ภาวนาให้หัวใจได้ไปสู่
ห้วงทะเลแห่งความฝันอันตราตรู
เคียงคู่คนไกลเคยใกล้กัน

ค่อยค่อยประนมกรแล้วก้มกราบ
กำซาบกลิ่นบุญกรุ่นความฝัน
ก่อนจะไปนิพพานสุขศานต์อนันต์
ขอสุขสันต์ในเพลงเห่ชเลรัก

เจ้าชายสิทธัตถะพระพุทธองค์
ยังทรงมีคู่บุญแน่นหนัก
พระนางยโสธราพิมพาพักตร์
บุญย่อมชักชวนใจชมมาห่มใจ

หากถามฉัน, รักอะไรมากกว่า
นิพพานกับสังขาร์ที่เสื่อมได้
ฉันตอบว่ารักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด
เกินตัดรักหักฤทัยไม่เหลียวแล

ตัวกูใช่ของกูเป็นแม่นมั่น
ตัวฉันใช่ของฉันเป็นของแน่
แต่ใจฉันเป็นของเธอไม่เปลี่ยนแปร
ไม่เปลี่ยนแม้จะผันผ่านกี่กาลเวลา

รอยยิ้มเศร้าเศร้ายังส่งให้
กับเศษซากหัวใจอันไร้ค่า
อาจไม่มีความหมายในสายตา
หวังเพียงเธอจะมองมาสักคราครั้ง

ท่ามกลางมหรรณพแห่งความเหงา
แล้วเรือความเศร้าก็เข้าฝั่ง
คลื่นกระทบตลิ่งใจจนเริ่มพัง
ทุกทุกภาพความหลังยังฝังใจ

(๙)

แล้วทุกสิ่งก็มาถึงจุดจบ
จุดที่เราอาจไม่พบแม้ชิดใกล้
แม้ฉันรู้, วันนี้อาจสายไป
แต่ขอบันทึกไว้ในห้วงคะนึง

ว่าเคยหาบางสิ่งที่สูญไป
ว่าเคยตามหาใครในครั้งหนึ่ง
ว่าเคยตามหารักเคยหวานซึ้ง
ภาพความหลังยังติดตรึงอยู่เต็มใจ

ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนา
ชาตินี้, ชาติหน้าหรือชาติไหน
หากมีบุญร่วมกันร่วมฝันไกล
ขอให้สุขสมหวังดังใจคิด

การตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
สุดท้ายไม่พานพบแม้ถูกผิด
จึงปล่อยตัวปล่อยใจให้สองชีวิต
เถิดพบกันตามลิขิตของครรลอง

(๑๐)

จบนิราศอัมพวาแต่ครานี้
ด้วยฤกษ์ดีปีนักขัตต์ครบรอบสอง
กลางเดือนหกกระต่ายป่ามาหลงคลอง
ได้แต่มองรักลอยหายในสายลม

กระต่ายป่าเร่เนื้อให้เสือคาบ
กลับซึ้งซาบความทุกข์เป็นสุขสม
ยินดีกับความเศร้าเหงาระทม
ดิ่งจมความหลังอย่างเดียวดาย

เขียนนิราศรำพันมิรู้จบ
มิรู้พบสิ่งตามหาหรือหล่นหาย
แต่งแต้มรักต่างดวงดาวอันพราวพราย
มาเรียงรายประดับไว้ในใจเอย ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ ๒๔