วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คิดถึง (๓)

๏ หากความคิดถึงฆ่าคนได้
ฉันคงสิ้นใจหลายล้านหน
เพียงแวบหนึ่งแค่คิดถึงใครหนึ่งคน
ก็ทุรายทุรนถึงเพียงนี้

๏ หากความคิดถึงคือเครื่องทัณฑ์
ก็คือเครื่องฆ่าฉันทุกวันที่-
เผลอคิดถึงภาพเธอทุกนาที
ทรมานทบทวีไม่เว้นวัน

๏ หากความคิดถึงคือตราบาป
ฉันก็ต้องคำสาปตราบที่ฝัน-
ถึงใครที่ไม่ควรเคียงคู่กัน,
ความสัมพันธ์ที่พบพานเพื่อจากลา

๏ หากความคิดถึงคือเยื่อใย
มันคงขาดลงไปต่อหน้า
ด้วยคมเคียวความช้ำหยดน้ำตา
ภาพทรงจำขมปร่ามาเวียนวน

๏ ความคิดถึงจึงควรเป็นเครื่องประหาร
เพื่อจะสิ้นทรมานในหนึ่งหน
ใช่สิ้นเปลืองความคิดถึงอย่างทุกข์ทน
ให้กับคนที่หัวใจไม่เคยลืม ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓ ก.ค. ๕๖

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เหยื่อรัก

๏ นี่คือใยแมงมุมอันนุ่มอุ่น
นี่คืออ้อมกอดคุณที่กอดฉัน
เหมือนที่เคยกอดใครหลายร้อยพัน
กอดนุ่มนวลชวนฝัน, ฉันไม่ลืม

๏ รู้ว่าคุณมีใครใครไว้ให้กอด
พร่ำพรอดกอดไว้ให้ใจปลื้ม
ส่วนตัวฉันไม่มีสิทธิ์แม้คิดยืม
ดูดดื่มอ้อมกอดคุณยามคร่ำครวญ

๏ เหมือนแมลงตัวนิดติดกับดัก
คุณเอารักมาถักใยให้ถี่ถ้วน
ความสัมพันธ์กลายเป็นพิษติดโซ่ตรวน
อยู่ในความนุ่มนวลของน้ำตา

๏ ยอมเป็นเหยื่อในหลายร้อยหลายพันเหยื่อ
เพียงเพื่อวันนี้จะมีค่า
ได้สัมผัสกอดคุณอุ่นวิญญาณ์
ก่อนคว้าความว่างเปล่าปวดร้าวใจ

๏ ไม่มีแล้วใยแมงมุมอันนุ่มนวล
แล้วเหยื่อรักก็คร่ำครวญหวนไห้
คุณสูบรักหมดแล้วก็จากไป
เหลือไว้เพียงซากร่างร้างวิญญาณ
---
ก่อนที่คุณจะหมดรักแล้วจากไป
โปรดใช้ความเมตตาฆ่าฉันที ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๗ ก.ค. ๕๖

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pacific Rim การต่อสู้ริมแปซิฟิค และอายานามิ เรย์


(เปิดเผยเรื่องราวในภาพยนตร์)

แวบแรกที่รู้สึกกับหนังเรื่องนี้ก็คือ หนังแม่งเป็นศูนย์รวมสหบทมากมายหลายเรื่องชิบหาย ไคจูนี่ก็ก๊อดซิลล่า เอาคนมาขับหุ่นยักษ์สู้สัตว์ประหลาดนี่ก็เอวานเกเลี่ยน (ด้วยสโลแกน 'เราสร้างปีศาจเพื่อสู้กับปีศาจ') คนขับก็เรียกว่าไพลอตเหมือนกันอีก บอดี้สูทของนางเอกตอนขับหุ่นก็ดูเซ็กซี่ไม่แพ้บอดี้สูทของอายานามิ เรย์ รูปทรงหุ่นบางตัวก็นึกถึงหุ่นรบในกันดั้ม ชื่อหุ่นว่าเยเกอร์ก็ชวนให้นึกถึงชื่อ เอเลน เยเกอร์ พระเอกใน Attack on Titan (การ์ตูนยักษ์โรคจิตไล่กินคนที่วาดภาพไม่สวยเลยโดยเฉพาะเล่มแรก แต่ด้วยเนื้อหาที่เจ๋งสุดตีนเลยขึ้นชั้นเป็นอะนิเมะดังคับฟ้าเรียบร้อยแล้ว) พ่วงมาด้วยมิคาสะ แอ็กเกอร์แมน หญิงสาวผมดำชาวตะวันออกผู้นั้น ยิ่งตอนพยายามสร้างกำแพงกั้นไคจูนี่ก็ยิ่งชวนให้นึกถึง (มึงคิดว่ากำแพงพวกนี้จะกั้นไททันขนาดห้าสิบเมตรได้เหรอวะ เอ้ยนี่มันไคจู) อีเหล็กหุ่น ๆ เท่ ๆ นี่ก็หุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์ แต่ดูไปดูมาชักเท่กว่า นึกถึงคอมเม้นต์ฝรั่งที่เขาบอกว่าหนังเรื่องนี้แม่งคือ "Transformers on steroids" แม่นแท้เหลา

อย่าคิดสำมะหาอันใดกับบทหนัง หนังแอ๊คชั่นหุ่นยนต์สู้สัตว์ประหลาดจะสนเรื่องบทหนังไปทำมะเขืออันใด แม้ว่าที่จริงบทมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก แต่สำหรับคนคิดเยอะอาจมีคำถามนู่นนี่มากมายกับดราม่าของตัวละครที่หลายตัวชวนให้งง ๆ แต่น่าชื่นชมตรงที่เขียนเรื่องให้มีคนขับเยเกอร์สองคนที่ต้องแชร์ความทรงจำกันนะ เออถ้าขับคนเดียวคงไม่รู้จะใส่ความขัดแย้งอะไรให้หนังดูมีอะไรขึ้นมาบ้างนอกจากการขับหุ่นยักษ์ไปสู้สัตว์ประหลาด ถ้ามีแต่เส้นเรื่องหลักอันนี้ก็คงจะน่าเบื่อมั่ก ๆ เออ แล้วก็ไม่รู้ทำไมหนังหุ่นของฮอลลีวูดต้องมีตลกรั่ว ๆ ของนักวิทยาศาสตร์หรือเจ้าหน้าที่สติเฟื่องแถมอยู่เป็นพัก ๆ หรือมันเป็นสูตรทำหนังหุ่นยนต์ แต่อย่าเยอะดิวะ จะดูหุ่นสู้ไคจูเฟ้ย ๆ

ฉากแอ็คชั่นเรียกว่าอลังการงานสร้างสมราคาคุย แถมยังแอบโรคจิตนิด ๆ ในตอนกลางเรื่อง ซึ่งชวนให้สะใจอย่างมาก มึงเปรี้ยวนักใช่ไหมไอ้เจ้าไคจู เอาเรือรบมาทุบหัวแม่งเลย 55 (แล้วก็ไม่มีฉากงี่เง่า ๆ แบบทรานฟอร์เมอร์ภาคสาม โหออปติมัสโผล่มาอย่างเท่ เผลออีกทีติดอยู่กับสายไฟฟ้า ถุย!) น่าเสียดายก็แค่อีหุ่นเยเกอร์จากจีนกับรัสเซีย โผล่มาสามนาทีก็ซี๊แหงแก๋ ใช่ซี๊จีนมันของก๊อปคุณภาพต่ำ อุตส่าห์มีคนขับเป็นแฝดสามแต่งตัวแบบเส้าหลินแต่ไม่ช่วยอะไรเลย ส่วนของรัสเซียมันก็ดีแต่ใหญ่ใช่ไหมในสายตาของอเมริกันชน ปัดโธ่ น่าจะโชว์ฆ่าไคจูก่อนสักคนละตัวค่อยม่องเท่งก็ได้น่า

แม้ว่าฉากสู้กันจะน้อยไปหน่อย (แหมคุณพี่จะให้ห้านาทีสู้กันครั้งหนึ่งเหรอครับ) แต่ก็คิดว่าไม่เสียดายเงินที่อุตส่าห์จ่ายไปเพื่อแลกกับภาพสามมิติความคมชัดระดับ 4K นะ (ชัดจนเป็นแผลที่ตาเลยนะครับแหม่) ติ่งหุ่นยนต์อย่างเราคิดแล้วอยากไปดูอีกสักรอบที่ไอแมกซ์ แค่ได้เห็นฉากสู้กันแบบฉิบหายวายป่วง และเห็นนาโอโกะในชุดบอดี้สูทสุดเซ็กซี่ก็คุ้มแล้ว

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เกินพอ

๏ ไม่หวังจะเป็นอันดับหนึ่ง
ไม่คิดหวานซึ้งเป็นที่สอง
หรือแม้เพียงตัวสำรอง
เพียงเธอเหลียวมองก็เกินพอ

๏ อาจเป็นฝุ่นผงในสายตา
ก็เกินกว่าหัวใจจะร้องขอ
ไม่เคยคิดฝันหรือเฝ้ารอ
สานต่อสายสัมพันธ์ในวันวาน

๏ เพียงภาพฝันละเมอเมื่อเธอเหงา
รุ่งเช้าก็ลืมเลือนเหมือนลมผ่าน
เว้นแต่ใครไม่เคยลืมจึงร้าวราน
ทรมานใจสิ้นแทบภิณฑ์พัง

๏ คิดถึงคราใดใจเจียนขาด
ความหวังเคยหวังวาดก็สิ้นหวัง
จะก้าวเดินต่อไปก็ไร้พลัง
เดินกลับหลังก็ครวญคร่ำซ้ำแผลใจ

๏ เหลียวมองฉันบ้างนะคนดี
ตามแต่จะมีเมตตาให้
ไม่เคยคิดหวังอันดับใด
แค่อย่าผ่านเลยไปก็พอ
---
อาจอยู่นอกสายตาเกินกว่าใคร
แค่อย่ามองผ่านไปก็เกินพอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๑ ก.ค. ๕๖

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบันทึกถึงหญิงสาวคอกข้าง ๆ

ฉันจะกระซิบความลับให้ฟังอย่างหนึ่ง เราเดินสวนกันทุกครั้งในความฝัน แต่เธอมองไม่เห็นฉันหรอก เพราะมันเป็นฝันเล็ก ๆ ของฉันเอง

ส่วนสิ่งที่ไม่เคยลับคือ เรามีโอกาสเดินสวนกันอยู่บ้างบางครั้ง ทว่านอกจากรอยยิ้มแล้ว เราไม่ได้แลกเปลี่ยนอะไรกันเลยแม้สักเดซิเบล รู้ไหมว่าค้างคาวใช้วิธีส่งคลื่นความถี่สูงให้เห็นอุปสรรคขวางหน้า ฉันเพียงส่งคลื่นความรู้สึกเบา ๆ ก็รู้ว่ากำแพงขนาดมหึมากั้นขวางเราไว้อยู่ สำรวจดูแล้วน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับกำแพงแบ่งแยกประเทศของเผ่าพันธุ์อารยันอันสูงส่ง นึกชื่นชมเธอที่อุตสาหะเนรมิตเอาไว้ขนาดนั้นเพื่อสกัดกั้นคนไร้ค่าคนหนึ่งมิให้ล่วงล้ำเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนค้อนที่ใช้ทุบกำแพงก็กลับมาอัดฉันเสียจนน่วมช้ำหนอง

การจาริกแสวงบุญทางหัวใจ จึงไร้ค่าและเปล่ากลวงพอ ๆ กับออกซิเจนในเมืองหลวงที่ไม่ผ่านเครื่องกรองอากาศ

รู้จักชื่อก็เหมือนคนแปลกหน้า อย่าว่าแต่อยู่คนละตึก เพราะบางครั้งฉันรู้สึกเหมือนหล่นลงหลุมดำท่ามกลางพื้นที่ขนาดหนึ่งคูณหนึ่งตารางเมตรซึ่งเป็นจักรวาลน้อย ๆ ของฉัน เธอหรือจะหาพบ

ในคอกมืดและหนึบพอ ๆ กับสะดือทะเลตอนเปิดจุก แต่ความรู้สึกถูกจับกระชากหมุนวนในความมืดสนิทจนแทบอาเจียนก็ยังน้อยกว่าตอนที่เธอแสร้งยิ้มให้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรสำหรับหูฟังระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก เมื่อเสียงในใจตะโกนใส่ทุกวันจนหูแทบหนวก

บางครั้งเพื่อไม่ให้เธอขัดเขิน ฉันเลือกทำแบบเดียวกัน คือแสร้งยิ้มให้ แต่ที่จริงเธอไม่รู้หรอกว่าฉันแสร้งทำเป็นว่าแสร้งยิ้มให้เพื่อให้เธอไม่รู้ว่าฉันไม่ได้อยากแสร้งยิ้มให้

หนึ่ง สอง สาม สี่ ฉันนับนิ้ว หนึ่ง สอง สาม สี่ คนที่ฉันเผลอใช้มีดแทงหัวใจฉันเองเพราะความฉลาดทางความรักในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน

ก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสืองานศพ ก่อนจะเดินทางไปสมทบในเร็ววันด้วยซากร่างเปล่ากลวง นั่นคือจุดหมายสุดท้ายของฉันหลังจากหล่นลงมาด้วยความพยายามปีนกำแพงเบอร์ลิน

ความทะเยอทะยานทางสายตาของเธอบ่งบอกถึงสิ่งที่ฉันไม่อาจคว้ามาได้ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเหตุผลที่การดำรงอยู่อย่างอากาศธาตุของฉันจะมีความหมาย

ที่นี่ไม่มีผีเสื้อเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ด้วยเสน่หา ฝนมิได้โอบอุ้มความคิดถึงลงมาจากฟากฟ้า และซากศพไก่ในผัดกะเพราก็เป็นไก่ที่ไม่เคยได้รับความรัก

แล้วใครเลยจะใช้หัวใจทำหน้าที่อื่นนอกจากสูบฉีดเลือด


๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สมุดบัญชี

สมุดบัญชีที่ใช้มาตั้งแต่สมัยเป็นฟรีแลนซ์รายการเต็มแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนสมุดเสียที นี่เป็นสมุดบัญชีที่ทำให้ชีวิตตื่นเต้นเอาเรื่อง ด้วยวงสวิงยอดเงินขึ้นลงที่ระทึกใจยิ่งกว่าตลาดหุ้นดาวโจร ลุ้นทุกครั้งที่อัพเดทบัญชีว่าเงินค่าจ้างจากลูกค้าผู้น่ารักจะเข้าวันไหน จะเบี้ยวตูป่าวแว๊

จุดต่ำสุดของสมุดอยู่ที่ 0.26 บาท ไม่เหลือกระทั่งค่ารถกลับไปตายรังที่บ้าน ต้องยอมเสียฟอร์มยื้มเงินพี่ชายบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนจุดสูงสุดของบัญชีขณะนั้นไม่เกินสองหมื่น เว้นแต่เวลาถูกหวยรางวัลวรรณกรรมซึ่งนานน๊านทีจะได้กะเค้ามั่ง

สมุดบัญชีเล่มนี้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ทางการเงินช่วงที่ชีวิตขัดสนและดิ้นรนที่สุด แต่สิ่งที่สมุดไม่ได้บันทึกไว้คือเป็นช่วงที่ได้เขียนงานที่ทำให้ตัวเองรู้สึกพอใจอยู่หลายชิ้นเหมือนกันนะ (ความแร้นแค้นเป็นแรงผลักดันอันดีเยี่ยมในการสร้างสรรค์งานนะครับแหม่)

แหมเขียนเหมือนตอนนี้รวยแล้วเลยนะ 555 จริงๆ แล้วคือยังขัดสนและดิ้นรนเหมือนเดิม แค่อาจจะน้อยลงกว่าตอนนั้นนิดนึง

๔ ก.ค. ๕๖

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เท่านี้

๏ แล้วฉันก็ทำได้เท่านี้
ฉันก็ทำได้ดีเท่าที่เห็น
ฉันก็เป็นได้ดีเท่าที่เป็น
คือหลบเร้นแฝงร่างเหมือนอย่างเงา

๏ มีตัวตนอยู่บ้างในบางวัน
เพราะมิใช่คนสำคัญอย่างใครเขา
ดีแค่ไหนได้แค่นี้แค่มีเรา
แค่มีกันวันเธอเหงาเท่านั้นพอ

๏ อาจเคยปวดร้าวบ้างบางเวลา
จะไม่บีบน้ำตามาร้องขอ
ไม่มีสิทธิ์อาวรณ์งอนง้อ
ไม่เฝ้ารอให้เธอรักแม้สักครั้ง

๏ เพราะฉันก็ทำได้เท่านี้
คือรักเธออย่างที่ไม่มีหวัง
จนกว่าใจสลายสิ้นภิณฑ์พัง
นับถอยหลังทุกคืนวันหวั่นฤทัย

๏ ยอมแพ้หมดแล้วทุกอย่าง
แค่ขออยู่เคียงข้างบ้างได้ไหม
มิต้องเป็นอันดับหนึ่งในหัวใจ
เพียงอย่าทิ้งฉันไปก็พอ
----
ไม่ขอแม้เศษเสี้ยวรักจากหัวใจ
แค่อย่าทิ้งฉันไปได้ไหมเธอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร...นอนตื่นสาย"
๔ ก.ค. ๕๖

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ว่าด้วยประชาธิป'ไทย [Paradox-o-cracy]

(เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนในภาพยนตร์-ซึ่งคาดว่าพวกคุณรู้กันอยู่แล้ว)

คนที่ผมเห็นว่าจะเกิดความรู้สึกไม่คุ้มค่าตั๋วหลังจากได้ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้คือ พวกศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองแบบฮาร์ดคอร์อยู่แล้ว พวกคนเกลียดขี้หน้า ส.ศิวรักษ์ อ.ปริญญา หรือ บก.ลายจุด (เพราะโผล่บ่อย) รวมถึงแฟนคลับอาจารย์บางคนที่โผล่มาน้อยไปหน่อย เช่น แฟนคลับไชยันต์ หรือแฟนคลับวรเจตน์ (ที่โผล่ออกมามากกว่าหนุ่มผมยาวนิดหน่อย แต่โดนเซ็นเซอร์ไปกว่าครึ่ง-ฮา) นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ความคาดหวังของแต่ละคน

การเปิดตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับผมแล้วไม่ใช่ประกาศคณะราษฎร แต่เป็นสัญลักษณ์เรทภาพยนตร์ "ทั่วไป" เพราะสำหรับบ้านนี้เมืองนี้แล้ว อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองน่าจะได้เรทที่น่ากลัวกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ด้วยเนื้อหาที่พยายามเล่าเรื่องการเมืองไทยนับแต่ 2475 ยาวมาจนถึงการขึ้นครองอำนาจของทักษิณ ภายในเวลาชั่วโมงกว่า ๆ (เข้าใจว่าอาจจะมีภาคต่อ) ทำให้ประเด็นต่าง ๆ ของการต่อสู้ประชาธิปไตยอันยาวนานไม่ได้ลงลึกมากนัก ยังไม่นับการเซ็นเซอร์ที่ดูแล้วโคตรเท่และตลกฉิบหายในเวลาเดียวกัน

เส้นเรื่องว่าด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของบรรดาอีลีทได้แก่ เจ้า-คณะราษฎร / คณะราษฎรสายพลเรือน-สายทหาร ประชาธิปไตยในช่วงแรกจึงดูเหมือนก้อนขนมอำนาจหรืออะไรสักอย่างที่ถูกแย่งชิงไปมา ไม่มีเรื่องรัฐสภาหรือการต่อสู้นอกเหนือจากนี้ในช่วงเวลานั้น ไม่มีประชาชนหรือคนชั้นกลางโผล่มาแจมกับเกมชิงอำนาจแม้แต่ประชาชนในพระนคร แล้วพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาก็โผล่มาพอให้ชื่นใจใน 14 ตุลา ในการต่อสู้ของทหาร-ปัญญาชน ก่อนจะหายไปใน 6 ตุลาโดยไม่ต้องการคำอธิบายมากไปกว่าปัญญาชนหนีเข้าป่าแล้วไปเจอ พคท. เหี้ย ๆ จึงออกป่ามา แล้ว...?

ตัวละครที่ตกหล่นในหน้าประวัติศาสตร์หลายตัวไม่ได้รับการขยายความมากนัก เช่นเดียวกับบางคำถามที่ค้างในใจยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจน เช่นว่า movement ของ พคท. มีบ้างไหม / ทำไม พคท. ถึงเหี้ย / จอมพล ป. สฤษดิ์ ถนอม ต่างกันอย่างไร ทำไมบางคนถึงพิทักษ์อำนาจตัวเองไม่สำเร็จ / ตัวละครเจ้าที่สำคัญหลายคนหายไปไหน (ไม่ใช่แค่องค์กษัตริย์เท่านั้น แต่เจ้าที่มีบทบาททางการเมืองในยุคหลังอย่างเสนีย์ คึกฤทธิ์ ก็แทบไม่พูดถึงเท่าไหร่) / นักศึกษาโดดเดี่ยวตัวเองหลัง 14 ตุลา คืออะไร / ทำไมถึงเรียก 14 ตุลาว่าชัยชนะ ขณะที่ 6 ตุลาคือความพ่ายแพ้ ฯลฯ ตัวละครที่ผู้กำกับคัดเลือกให้มาพูดบางคนก็เป็นปริศนา เช่น จิระนันท์ แทนที่จะเป็นเสกสรรค์ ซึ่งน่าจะดีกว่าทั้งในแง่การพูดถึง movement นักศึกษาช่วง 14 ตุลา และทัศนะทางการเมืองในเชิงวิชาการ แต่ก็แน่นอนล่ะ อาจจะด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาหรืออะไรอื่น ๆ อีกมากมายในประเทศนี้ ก็คงไม่มีพื้นที่ (รวมทั้งพื้นที่ในแง่การคัดเลือกตัวละครนำแสดง) และเวลามากพอสำหรับพูดถึงทุกเรื่องให้สิ้นสงสัยภายในชั่วโมงกว่า ๆ

สิ่งหนึ่งที่พอจะจับต้องได้นอกจากเส้นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของพวกอีลีทก็คงเหมือนชื่อเรื่องภาษาอังกฤษที่ว่า Paradoxocracy เรื่องราวการต่อสู้ทั้งหลายมันช่างย้อนแย้งและบ้าบอ ปรีดีผู้ก่อการโค่นอำนาจเจ้าต้องร่วมมือกับเจ้าก่อตั้งเสรีไทยเพื่อต่อสู้กับคณะราษฎรสายทหารที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น / การเลี้ยงสองสายอำนาจไว้กัดกันเองของจอมพล ป. เพื่อให้ตัวเองได้เสวยอำนาจต่อไปนาน ๆ สุดท้ายก็ถูกสฤษดิ์แว้งกัดยึดอำนาจไป / ผู้ก่อการปฏิวัติเพื่อมวลชนสุดท้ายกลับกลายเป็นอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จเพราะต้องการพิทักษ์การปฏิวัติ ฯลฯ การยึดมั่นในอุดมการณ์แบบสุดโต่งจึงดูไร้เดียงสา เพราะโลกนี้ไม่มีสีขาวหรือสีดำที่แท้จริง

หากความคาดหวังของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้อยู่ที่การเป็นสารคดีฉายในฟรีทีวี ซึ่งเป็นความตั้งใจแรกของผู้กำกับ ก็อาจนับว่าประสบความสำเร็จตามสมควร แต่ในเมื่อภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มาพร้อมกับความยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่งในโรงภาพยนตร์ และค่าตั๋วอีกนิดหน่อย ความคาดหวังจึงน่าจะมีมากกว่าที่หนังเล่าออกมาได้ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่คำถามสำคัญของสารคดีเปลี่ยนไปจาก "สิ่งนี้คืออะไร" กลายเป็น "ทำไมจึงต้องมี/ต้องเป็นสิ่งนี้" ทว่าภาพยนตร์สารคดีเรื่องประชาธิป'ไทยยังอยู่ที่การตอบคำถามข้อแรกเป็นส่วนใหญ่ซึ่งออกจะเชยไปนิด (หวังว่าในภาคต่อคงจะตอบคำถามข้อหลังมากกว่าเดิม) แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็ไม่คิดว่าคนระดับเป็นเอกจะไร้เดียงสาในสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่หลายคนบอกไว้ว่า สิ่งสำคัญของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาที่เล่าออกมา แต่อยู่ในเนื้อหาที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงต่างหาก

๑ ก.ค. ๕๖