วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขอบคุณ

ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง
ขอบคุณที่ร่วมทางอย่างชิดใกล้
ขอบคุณทุกความหวังกำลังใจ
ฉันจึงยิ้มได้อีกครั้งครา

ขอบคุณความฝันเคยร่วมฝัน
ที่เธอปลุกปลอบฉันให้ฟันฝ่า
แม้เส้นทางที่เดินร่วมกันมา
เป็นเพียงเสี้ยวกาลเวลาก็ตามที

ความทรงจำระหว่างเราไม่มากนัก
น้อยเกินจะเรียกรักได้เต็มที่
ความรู้สึกลึกซึ้งถึงวันนี้
คงเพียงความรู้สึกดีที่มีกัน

หนทางจากนี้คือจากลา
น้ำตาอาจมีบ้างบนทางฝัน
แต่ทุกความทรงจำ, ความสัมพันธ์
ฉันไม่เคยเสียใจ-ไม่มีทาง

จากนี้เป็นพี่น้องหรือเพียงเพื่อน
อาจลืมเลือนกันไปเมื่อไกลห่าง
แต่ในความทรงจำสีจางจาง
คงมีเธออยู่เคียงข้างไม่ห่างไป

ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง
เธอเปลี่ยนคนอ้างว้างกลับยิ้มได้
จะยิ้มรับการจากลากับฟ้าไกล
ขอบคุณจากหัวใจ...จริงจริง

๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หนาว

หนาวเนื้อจึงห่มเนื้อให้หายหนาว
หนาวใจจึงห่มสาวให้ใจอุ่น
ความเหงาคือความหนาวร้าวทารุณ
ค่ำคืนเมื่อไกลคุณว้าวุ่นฤทัย

ดวงจันทร์ราวจะหมองสีทองหม่น
ดวงใจก็เกินทนเหมือนหม่นไหม้
ความหนาวเข้าแทรกเนื้อหนาวเหลือใจ
กอดใครก็ไม่อุ่นเหมือนคุณเลย

ขอกอดคุณได้ไหมในความฝัน
เบาเบาเท่านั้นนะใจเอ๋ย
จุมพิตแก้มก็กลัวช้ำเพียงชื่นเชย
แค่คิดฝันก็เกินเอ่ยเผยความนัย

ได้แต่นอนตัวสั่นในฝันเศร้า
หนาวเพราะเหงาจึงหนาวสั่นความหวั่นไหว
แค่คิดฝันจะกอดคุณพออุ่นใจ
คุณก็ไกลเกินไขว่คว้า, ช่างทารุณ

หนาวเนื้อจึงห่มเนื้อให้หายหนาว
หนาวใจจึงห่มสาวให้ใจอุ่น
ทั้งหนาวเนื้อและหนาวใจเมื่อไกลคุณ
หมอนข้างเคยนอนหนุนไม่อุ่นแล้ว

๒ ธ.ค. ๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เผด็จการ


เผด็จการมักเกรี้ยวกราดด้วยความกลัว
เผด็จการมักร้อนตัวเพราะชั่วต่ำ
เผด็จการมักก่อการอาจหาญริยำ
เพราะหลงเชื่อว่ากุมกำอำนาจทมิฬ

เผด็จการย่อมกลัวการอันหาญกล้า
จึ่งปิดหูปิดตาประชาสิ้น
หวังเพียงผู้คนไม่ยลยิน
แต่ตัดลิ้นเสียงยิ่งดังยิ่งฟังชัด!

เผด็จการเชื่อเพียงแต่เสียงปืน
ฟังเสียงอื่นเหมือนบอดใบ้ฟังไม่ถนัด
เสียงปากคนปากกาแผ่วเหมือนลมพัด
เอาปืนยัดก็เงียบงำยอมจำนน

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง
แล้วลมไหวก็วุ่นวิ่งยิ่งเข้มข้น
ค่อยทบท่าวเป็นพายุปะทุพ้น
ในคลื่นความทุกข์ทนท่วมท้นใจ

เผด็จการ, คุณเกรี้ยวกราดเพราะคุณกลัว!
เพียงเสียงลมแว่วหวัวก็หวั่นไหว
สักวันลมจะโหมพัดเป็นวาตภัย
โถมเข้าใส่อำนาจคลั่งให้พังยับ!


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จักรยานคนจน

ไม่มีป้ายแดงให้เธอนั่ง
มีแค่เบาะหลังชวนเจ็บก้น
ฉันเป็นนักเขียนจนจน
มีสองล้อและแรงคนพาเธอไป

๑๗ พ.ย. ๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รุ้ง

ฉันเห็นสายรุ้งในแสนแสบ
แวบวาบเผยร่างแล้วจางหาย
บัดเดี๋ยวน้ำเน่าฟุ้งฟองกระจาย
ก็คล้ายคล้ายรวงรุ้งจะเรืองรอง!

๑๓ พ.ย. ๕๗

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

I post therefore I am

เขาก้มหน้ากดโทรศัพท์เอาเป็นเอาตาย
เพราะเขามีความหมายในมือถือ
เขากดปุ่มยกโป้งแทนปรบมือ
"ฉันโพสต์จึงมีอยู่*" คือปรัชญาชีวิต!

๒๑ ต.ค. ๕๗
__________
*"I post therefore I am" วาทะเลื่องชื่อของ Wooddy Chezzy นักปรัชญาชาว Hungry

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นัย / ตา (๒)

เวลาที่ผมสบตาคุณ รู้สึกเหมือนได้อ่านนวนิยายชั้นเยี่ยมเล่มหนึ่ง มันกว้างกว่าสุดขอบของความจริงกับความฝัน ลึกกว่าหัวใจมหาสมุทร บางครั้งอ่อนโยน บางคราวเหงาลึก บางขณะดึงดูดอย่างร้ายกาจประหนึ่งหลุมดำปริศนาที่ปรากฏขึ้นมาเพื่อกลืนกินทั้งจักรวาลจนพินาศย่อยยับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเพ่งพิศและพร่ำอ่านความหมายในสายตาคุณไปจนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Dream / ฝัน


Hold fast to dreams
For if dreams die
Life is a broken-winged bird
That cannot fly.

Hold fast to dreams
For when dreams go
Life is a barren field
Frozen with snow.

เถิดกล้าคว้าฝัน
หากพลันฝันสลาย
ชีวิตย่อมคล้าย
วิหคไร้ปีกเหิน

ปล่อยฝันหลุดลอย
ปวดร้าวเหลือเกิน
ดุจปล่อยชีวิตเผชิญ
ทุ่งแล้งสะท้านหนาว


บทกวี: Langston Hughes
บทแปล: วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๐/๑๐/๒๕๕๗

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

All You Need Is Kill / Edge of Tomorrow / มองผ่านสายตาผู้ชนะหรือผู้แพ้


(เปิดเผยเรื่องราวใน All You Need Is Kill และ Edge of Tomorrow)

ก่อนหน้าจะได้ชม Edge of Tomorrow ผมมีโอกาสได้อ่านการ์ตูน All You Need Is Kill ซึ่งทั้งสองเรื่องสร้างจากต้นฉบับดั้งเดิมคือ All You Need Is Kill ไลท์โนเวลชื่อดังของ Hiroshi Sakurazaka ได้ยินมาว่าการ์ตูนเขียนตามต้นฉบับนิยาย ส่วนภาพยนตร์นั้นดัดแปลงจากนิยายไปเยอะ เหลือแค่โครงเรื่องการตายแล้วย้อนมาเกิดใหม่ (รุ่นน้องคนหนึ่งบอกว่าฉบับฮอลลีวูดคือไซไฟตลก ๆ 555)

ด้วยความที่ชอบ All You Need Is Kill จึงคาดหวังกับภาพยนตร์พอสมควร แต่พอดูจบก็บ่นกระปอดกระแปดว่า ไรวะ แฮปปี้ฮอลลีวูดซะงั้น เลยพาตัวเองไปติดลูปดูซ้ำอีกรอบเพื่อหาเหตุผลว่า ทำไมต้องเล่าต่างกันแบบนี้ด้วย

พล็อตของ All You Need Is Kill / Edge of Tomorrow เล่าสั้น ๆ ก็คือสงครามระหว่างมนุษย์ชาติกับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวนามว่า มิมิค ซึ่งมีความสามารถในการย้อนเวลาเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบในสมรภูมิ และบังเอิญตัวเอกก็ได้รับความสามารถจากมิมิคให้ย้อนเวลาได้เมื่อตาย ตัวเอกจึงรบและตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับค่อย ๆ พัฒนาความสามารถทางการรบของตนเองขึ้นมาจนกระทั่งเอาชนะสงครามได้ในที่สุด ฉบับการ์ตูนนั้นตัวเอกเอาชนะได้หนึ่งสมรภูมิ (พร้อมกับความสามารถที่จะชนะในทุกสงครามที่เหลือ) ส่วนฉบับภาพยนตร์นั้นพระเอกสังหาร Omega ซึ่งเป็น "ตัวแม่" ของพวกมิมิค ทำให้ชนะสงครามอย่างเด็ดขาด

แน่นอนว่าทั้งสองฉบับ ชัยชนะเป็นของมนุษยชาติ ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างสองฉบับคือ ฉบับภาพยนตร์จบลงด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของวิลเลียม เคจ ส่วนฉบับการ์ตูนคือความหมองเศร้าของคิริยะ เคย์จิ ทั้งที่เป็นผู้พิชิตสงครามเหมือนกัน

ทำไมต้องแฮปปี้ฮอลลีวูด? ทำไมต้องทราจิดี้แจแปน?

ย้อนกลับไปที่โทนเรื่อง ฉบับการ์ตูนนั้นช่างซีเรียสเอาจริงเอาจัง ภาพโดนยิงไส้ทะลักเครื่องในเหวอะหวะน่าได้เรต 18+ ยิ่งนัก การตายแต่ละครั้งของพระเอกไม่ได้ตายทิ้งตายขว้าง แต่ตายเพราะลุยฝึกฝีมือการรบในสมรภูมิอย่างเอาจริงเอาจัง ขนาดว่าแม่ครัวสุดอึ๋มมาเชิญให้กินเจ้าหล่อนแทนข้าว พระเอกก็ยังเลือกไปฝึกการรบ เพื่อเป้าหมายพิชิตสงครามอย่างเดียว

เอาจริงเอาจังกับชีวิต ลุยเพื่อพิชิตเป้าหมายแบบแจแปนนีสสไตล์กันจริง ๆ

ขณะที่ฉบับภาพยนตร์ เมื่อมันเป็นฮอลลีวู้ดก็หนีไม่พ้นต้องมีสุขเศร้าเคล้าน้ำตาและเสียงฮาให้ครบรส เช่นว่าการตายแบบโง่ ๆ ของพระเอกเพื่อเรียกเสียงฮาในหลายฉาก มุกเห่ย ๆ ของตัวประกอบไว้ขัดโศก หรือฉากจำพวกชนชาวอเมริกันสามัคคีกันไว้เถิดจะเกิดผล จงยอมเสียสละตนเพื่อชาติตอนบุกไปยังลูฟว์ท้ายเรื่อง ก็มีอยู่ในภาพยนตร์ครบถ้วน

นี่ยังไม่รวมความซับซ้อนของวิธีการเล่าฉบับการ์ตูน (นิยาย) เนื่องด้วยมันมีพื้นที่ให้อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากกว่า ขณะที่ภาพยนตร์เมนสตรีมแบบนี้ต้องพาไปด้วยเส้นเรื่องหลักเส้นเดียว จะพาวกเข้าซอยเดี๋ยวจะงงกันเปล่า ๆ (แค่นี้ก็ยังงงจนต้องวนลูปแล้ว) ไม่แปลกที่จะจบกันไปตามสไตล์ของแต่ละวิธีเล่า เล่าง่ายก็จบง่าย เล่าซับซ้อนก็ลุ่มลึกขึ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พาเรื่องไปสู่สุขนาฏกรรมหรือโศกนาฏกรรมคือ มันเล่าผ่านมุมมองของใคร

ชื่อเรื่อง All You Need Is Kill คล้ายกับจะตั้งมาเพื่อประชดประชันเนื้อเรื่อง เพราะที่จริงแล้วตัวเอกในเรื่องไม่มีใครมีความสุขกับการฆ่าฟัน แม้ว่าในช่วงแรกริต้า วราทัสกี้ มาเข้ากองทัพเพื่อต้องการแก้แค้น เมื่อเธอติดลูปก็เดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยงเพื่อพิชิตสงครามจนดูเหมือนจักรกลที่มีไว้สังหารมิมิค ส่วนเคย์จิเมื่อถึงลูปที่พิชิตมิมิคด้วยขวานสงครามได้แล้ว เขาก็ขนานนามตัวเองว่าเป็นเครื่องจักรสังหารเช่นกัน แรกเริ่มเดิมทีทั้งคู่ต้องการเพียงการฆ่าฟันมิมิคเพื่อเอาตัวรอดจากสงครามเท่านั้น และลูปสงครามนับร้อยสองร้อยลูปที่วนเวียนไม่จบสิ้นก็แทบทำให้ความเป็นมนุษย์สูญสิ้น คงเหลือแต่กลไกสังหารที่ฝังแน่นในร่างกายเท่านั้น แต่เมื่อทั้งคู่ได้มาพบกันและใช้เวลาหนึ่งลูปไปกับเรื่องธรรมดา ๆ ร่วมกัน อย่างการกินข้าว การชงกาแฟ การพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ฯลฯ จึงได้เรียนรู้ว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตธรรมดาที่ไร้สงครามนั้นมีคุณค่าเพียงใด

มนุษย์เป็นมนุษย์เพราะใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ มิใช่เครื่องจักรสังหาร

ทั้งสองยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นเมื่อต้องพบกับความสูญเสียจากการพิชิตสมรภูมิแรกของตน ริต้าสูญเสียผู้บังคับบัญชาที่บังเอิญตายในลูปที่เธอพิชิตสงครามพอดี ส่วนเคย์จิสูญเสียริต้า วราทัสกี้ เพื่อให้หลุดจากลูปได้

ริต้าปลงตกด้วยคำว่า "ไม่มีสงครามครั้งไหนไม่มีคนตาย"

ส่วนเคย์จิแม้จะพิชิตสมรภูมิแรกของตนเองได้ และจะพิชิตสงครามได้แน่นอน กลับต้องสะเทือนใจเมื่อคิดว่า ชัยชนะของมนุษยชาติที่จะได้มาจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคนรักคนเดียวที่อยากปกป้องอย่างริต้าตายแล้ว - ด้วยมือของเขาเอง

บทสรุปสุดท้ายของสงครามคือฉากการห้ำหั่นกันของสองยอดนักรบอย่างริต้าและเคย์จิในตอนท้ายเรื่องยิ่งน่าสะเทือนใจ เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นจะที่รอดไปจากสมรภูมินี้

บางครั้งเพื่อชนะสงคราม เราอาจต้องฆ่าคนที่เรารัก

นั่นแหละคือความหมายของสงคราม มันโหดร้ายและปวดร้าวมากขนาดนั้น

All You Need Is Kill จึงเหมือนคำเย้ยหยันของผู้ที่จำต้องตกอยู่ในวังวนสงครามอันน่าชิงชัง ทั้งที่จริงแล้วมนุษย์นั้น All You Need Is (not) Kill, All You Need Is (not) War แต่ All You Need Is Live, All You Need Is Love.

นั่นคงเป็นมุมมองของคนในประเทศที่ต้องเผชิญสงครามภายในมานานหลายทศวรรษ แถมยังเคยพ่ายแพ้สงครามมาอย่างเจ็บปวด

ส่วน Edge of Tomorrow ที่สร้างจากประเทศที่มีคนเคยทิ้งคำคมว่า A man can be destroyed but not defeated. ก็แสดงปรัชญาข้อนี้อย่างชัดแจ้ง หลายต่อหลายครั้งที่วิลเลียม เคจ นายทหารผู้ไม่เอาไหนถอดใจว่า "เรามาไกลได้เท่านี้แหละ" บางครั้งถึงขนาดหนีทัพไปดื่มเบียร์อย่างระทดท้อ ทว่าถึงที่สุดแล้วเขาก็เริ่มใหม่ พยายามใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขนาดไปได้ไกลจนเกือบเข้าถึง Omega (ในนิมิตปลอม) โดยไม่ต้องพึ่งพาริต้า วราทัสกี้ด้วยซ้ำ

สำหรับอเมริกาแล้ว ไม่มีสงครามครั้งไหนที่เอาชนะไม่ได้ เว้นแต่สงครามที่เรายังไม่พยายามให้มากพอ เว้นแต่สงครามที่เราถอนตัวไปก่อนจะรบชนะ

และเมื่อทำลาย Omega สำเร็จ เหตุการณ์รีเซ็ตกลับมาที่เดิม เพื่อนที่เขาผูกพัน และผู้หญิงคนสำคัญที่สุดยังมีชีวิตอยู่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เคจไม่จะหัวเราะในตอนจบ

ไม่มีความตาย (อันไร้ค่า) ไม่มีความเจ็บปวด (ที่ยากจะลืม) หากเราเป็นฝ่ายชนะสงคราม

ฉากสุดท้าย ภาพความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา จมลึกในบาดแผลจากสงครามของคิริยะ เคย์จิ จึงเป็นภาพที่ตัดกับความอบอุ่นและเสียงหัวเราะของวิลเลียม เคจ ทั้งที่ต่างคนต่างก็เป็นผู้ชนะสงครามมิมิค

ความหมายของสงครามใน All You Need Is Kill และ Edge of Tomorrow จึงแตกต่างกันตรงที่ว่าใครเป็นคนเล่าเรื่อง

๐๑/๑๐/๒๕๕๗.

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

นัย / ตา

ดวงดาวสีนิลแก้ว
ประดับแล้วในดวงตา
ยามยิ้มเธอแย้มมา
หมื่นบุปผาล้วนหม่นหมอง

นวลผิวน้ำผึ้งป่า
ดุจผิวทาด้วยนวลทอง
ตาคมเพียงค้อนมอง
แม้เหล็กกล้าระเหิดหาย

คิ้วคางล้วนคมขำ
เพื่อเข่นฆ่าอาชาชาย
เพียงตาสบตาหมาย
ก็ตายตรอมพร้อมพลีฤทัย

แววตาคือจักรวาล
อันว่ายเวิ้งอยู่วามไว
เผลอมองต้องหลงไป
ใจหายลับชั่วกัปชั่วกัลป์

งามผาดหรืองามพิศ
ก็เพียบพร้อมเพียงภาพฝัน
หรือเธอคือกำนัล
จากพระอนงค์ผู้ทรงฤทธิ์

ดวงตาคือบุษปศร
อันร้อนผ่าวระด่าวจิต
ต้องศรก็ซ่านพิษ
อันติดตรึงซ่านซึ้งฤทัย

ดวงดาวสีนิลแก้ว
ประดับแล้วกลางดวงใจ
คร่ำครวญหวนอาลัย
ถึงกัลยานัยน์ตางาม

๒๖/๐๙/๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

ทุนนิยมไม่เหี้ย

"ทุนนิยมไม่เหี้ยแม่งมีด้วยเหรอวะ" ผมขว้างเสียงตะโกนลงกลางความฉ่ำเยิ้มของวงน้ำเมา
"ตรงหน้ามึงนี่ไง ทุนนิยมรสโอชาบรรจุขวด" เพื่อนพูดพลางพยักพเยิดไปยังขวดจอห์นนี่ขี้เดิน ยิ้มกรีดกรายในดวงตาอย่างน่าลูบไล้ด้วยปลายตีน "ถ้าไม่มีทุนนิยม ไอ้ห่าจอห์นนี่จะเดินมาเหยียบส้นตีนที่ลิ้นมึงได้มั้ย"
"อย่าเลยเหล้าเหี้ย ๆ เนี่ย กูแดกเพราะเหล้านายทุนไทยมันระคายคอหรอก อยากแดกเหล้าเถื่อนแม่งก็ต้มเองไม่ได้ ผูกขาดกันชิบหาย ฟักแคปปิตอลลิสม์!" สบถพร้อมรินเมรัยเข้าปากล้างคำหยาบ "รุ่นพี่ที่กูไปทำงานด้วยบอกว่าทุนนิยมแม่งมีทั้งเหี้ยกับไม่เหี้ย แต่ถ้าเรารับเงินที่มันบอกว่าไม่เหี้ยจากนายทุนเหี้ย ๆ เพื่อมาทำเรื่องไม่เหี้ย ก็ถือว่าเราไม่ได้ทำเหี้ย แบบนี้มันใช่เหรอวะ"
"ไอ้ห่าอย่าปล่อยเหี้ยเยอะกูงง" มันหัวเราะ "เขาก็พูดถูกแล้วนี่ เงินไม่เหี้ยเสมอไปหรอกถ้ามึงเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์... อย่างซื้อเหล้าเลี้ยงกู"
"สันดานมึงนี่แม่ง รวยกว่ากูเสือกชอบกินฟรี" ผมกระซิบสบถเพราะกลัวเหล้ากระเด็นจากซอกฟัน "แม่งขูดรีดกำไรส่วนต่างจนพุงกาง แล้วเขี่ยเศษกระดูกมาทำซีเอสอาร์ลดภาษีชัด ๆ ทำไมรุ่นพี่กูต้องเห็นดีเห็นงามด้วยวะ"
"ถ้ามึงไม่รับเงินซีเอสอาร์ มึงจะได้มานั่งแดกเหล้าปรับทุกข์กับกูที่อาร์ซีเอนี่มั้ย ไอ้ห่ามึงอย่าไปเชื่อมาร์กซ์มาก ถ้ามาร์กซ์แม่งไม่ได้เงินทุนสนับสนุนจากเองเกลส์มันจะเขียนหนังสือด่าทุนจบมั้ยวะ" มันกระดกแก้วเหล้า ก่อนผมจะสะกิดเตือนมันเบา ๆ จนหน้าคว่ำเพราะมันยกผิดแก้ว "มึงยังหนุ่มก็ซ้ายแบบนี้ล่ะวะ เดี๋ยวแก่ไปมึงก็คงเข้าใจพี่แก ขงเบ้งยังเคยกล่าวไว้ หนุ่มสาวไม่เป็นซ้ายคือไร้หัวใจ คนแก่ยังเป็นซ้ายคือไร้สมอง"
"ขงเบ้งห่าไรวะ สมงสมองมึงนี่ไปกับน้ำเมาหมดแล้วสัตว์" ผมกลืนคำเผ็ดฉุนลงไปพร้อมกับน้ำสีอำพันที่เพื่อนชงให้ใหม่ ระยำ! เหล้าห่านี่จืดอย่างกับน้ำจุ่มส้นตีน

๑๗/๐๙/๕๗

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

วงปี


วงปีที่ระยับสลับลาย
คือหนึ่งความหมายการเติบใหญ่
หนึ่งปีที่หยั่งรากระบัดใบ
คือหนึ่งวงฝังไว้เป็นลายลักษณ์

วงปีคือขวบปีที่เติบโต
ถ่อมตนมิอวดโอ้อยู่แน่นหนัก
วันเดือนเคลื่อนผ่านมิเคยพัก
เคลื่อนผ่านการรู้จักตระหนักตน

หนึ่งวงปีย่อมเดือนปีที่ผันผ่าน
อีกหนึ่งวงคือตำนานการเริ่มต้น
แต่ละวันแต่ละเดือนค่อยเคลื่อนพ้น
ค่อยสร้างรากฐานจนเต็มต้นใบ

วงปีคือตำนานการต่อสู้
จึงรับรู้กว่าจะเห็นเป็นไม้ใหญ่
แต่ละวงคือตำนานบันดาลใจ
ฤๅมีการต่อสู้ใดไร้ร่องรอย?

ชีวิตคนไร้ค่าอย่างอากาศ
พริบตาอสุภธาตุก็เสื่อมถอย
กี่ปีเดือนเคลื่อนไปไม่ถึงร้อย
หรือรอคอยดินกลบร่างอยู่อย่างนั้น?

พฤกษชาติเมื่อโค่นลง, เหลือวงปี
ร่องรอยที่หนึ่งชีวิตได้คิดฝัน
ชีวิตคนวนเวียนวันต่อวัน
เราสร้างสรรค์สิ่งใดไว้ในชีวิต!

๙ กันยายน ๒๕๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ฟ้า (๓)

ขอบฟ้าเหมือนว่าใกล้
แท้อยู่ไกลเกินคิดฝัน
เหมือนใครอยู่ใกล้กัน
แต่สัมพันธ์ห่างโพ้นฟ้า

ใช้ใจสัมผัสใจ
ก็รู้ได้เราด้อยค่า
เพียงตาสัมผัสตา
ก็รู้ว่าเกินเอื้อมถึง

แต่รักก็คือรัก
แม้หักห้ามความคำนึง
หัวใจกลับดื้อดึง
จึงเพ้อคลั่งดังฝันไป

รักคนอยู่บนฟ้า
แต่ด้อยค่าเกินคว้าไหว
เตือนใจให้เจียมใจ
อย่าไขว่คว้าฟ้าอีกเลย

๒๘ ส.ค. ๕๗

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Prime minister Bucket

อำนาจนายกฯ หล่นมา
เหมือนท้าเล่นเทน้ำแข็ง
ใครหนอท้าท่านรับของแรง
หรือท่านทำแสร้งรับรับไป

ท่านเป็นนายกฯ อกตรม
หรือท่านชื่นชมฝันใฝ่
อำนาจเหมือนน้ำแข็งหนาวจับใจ
เดี๋ยวจะหนาวยันไข่นะท่านนะ!

๒๒/๘/๕๗

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

งานแต่งเอ๋ย

กี่ร้อยพันหยดน้ำผึ้งซึ้งหวาน
กี่หมื่นแสนนิรันดร์กาลในความฝัน
อาจด้อยกว่าความหวานซึ้งเพียงหนึ่งวัน
ที่เราได้รักกันอย่างวันนี้

ขอให้รักยาวนานกว่านิรันดร์
เต็มเปี่ยมด้วยภาพฝันอันสุขี
จุมพิตหนึ่งซึ้งนานหวานทวี
ตราบที่มีหัวใจให้มอบรัก!

อวยพรงานแต่งเอ๋ย
17 สิงหาคม 2557

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แชร์ประสบการณ์การใช้จักรยานโครงการปันปั่น (วันแรก)

1. สมาร์ทการ์ดและระบบล็อกรถใช้ง่ายดี แต่ยังมีสถานีที่ใช้ล็อกไม่ได้อยู่หลายที่ เฉพาะหน้าจุฬาฯ ก็สองสถานีแล้ว

2. จักรยานทรงแม่บ้าน เหมาะที่จะปั่นกินลมชมวิวแถวสวนกว้างๆ ทว่าจุดที่ให้บริการจักรยานอยู่ท่ามกลางจุดที่การจราจรวินาศสันตะโรที่สุดในประเทศอย่างสี่แยกราชประสงค์และสยาม การเอาจักรยานแม่บ้านไปปั่นในที่แบบนั้นก็เหมือนเข้าป่าทั้งชุดนอน คือมันก็พอไปได้ แต่จะเกะกะรถคันอื่นมาก เพราะจังหวะทีเด็ดทีขาดอย่างการหลบรถหลบคนหลบท่อระบายน้ำ หรือเร่งความเร็วฉับพลันตามคันข้างหน้าเพื่อให้ไม่เกะกะรถที่ตามหลังก็ยังทำได้ไม่ดีพอ (ถ้ามีจักรยานทรงเสือภูเขาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในโซนอันตรายนี้จะดีมากเลย) ต้องหวังเอาว่าคนขับรถยนต์บนถนนสายนี้จะใจกว้างพอที่จะให้พื้นที่คนขี่จักรยาน ไม่ซัดเข้าสักโครมเพราะหมั่นไส้ 55

3. ยังรู้สึกว่าจักรยานก๊องแก๊งๆ อยู่นะ สปรินท์แรงๆ นี่มีสั่นอย่างกะจะหลุดเหมือนกัน 55 แต่โดยรวมก็โอเคนะ

4. ในจังหวะหวาดเสียว จักรยานแม่บ้านหนีขึ้นฟุตบาทไม่ได้ (ทรงจักรยานไม่เหมาะแก่การโดดขึ้นฟุตบาท) แต่ก็ไม่จำเป็นหรอกเพราะประเทศกรุงเทพฯ ไม่มีฟุตบาท มีแต่พื้นที่สำหรับเช่าขายของ

5. ไม่มีไฟกระพริบท้ายจักรยาน! ไอเท็มนี้สำคัญมากนะสำหรับการขี่ในเมือง ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน (แต่ไอ้ยี่ห้อที่สว่างจนตอนกลางวันยังเห็นนี่ก็แพงซะด้วยสิ)

6. ถ้ามีกระจกมองหลังด้วยจะดีมากเลย เผลอๆ สำคัญกว่าไฟกระพริบเสียอีก เพราะกฎการจอดรถในกรุงเทพฯ คือ กูจะจอดตรงไหนก็ได้ การมีรถจอดขวางเลนซ้ายสุดประจำทำให้เราต้องปั่นเข้าเลนกลางบ่อยๆ ทำให้ต้องเอี้ยวคอมามองข้างหลังบ่อยๆ จะด้วยความเป็นจักรยานแม่บ้านหรือเปล่าทำให้เรารู้สึกว่าเอี้ยวลำบาก บางทีมองไม่เห็น หรือตูคอสั้นเอง 555 ทำให้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ หยุดแล้วหันมามองจนแน่ใจค่อยเข้าเลนกลาง แต่หยุดบ่อยๆ มันก็น่ารำคาญล่ะนะ

7. น่าจะให้ยืมหมวกด้วย นี่ก็ไอเท็มสำคัญมากๆ ไม่เป็นไรพกมาเองก็ได้วะ 55

8. ถ้าจักรยานมีเบาะให้ซ้อนได้จะปั่นไปจีบสาว แต่ก็นะคงคิดว่าอันตรายเลยไม่ใส่มาให้มั้ง (อดเอาไปปั่นกะสาวที่สวนลุมฯ เลยอะ 555)

9. ขอให้กำลังใจผู้จัดทำโครงการครับ อย่าเพิ่งล้มเลิกเหมือนอีกหลายๆ โครงการของ กทม. นะครับ :)

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ซอยนิรนาม

ซอยที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่เป็นซอยไม่มีชื่อ แต่ถึงไร้ชื่อก็ใช่จะไร้ชีวิต ด้วยว่ามีผู้คนและเรื่องราวมากมายอาศัยอยู่ในซอยนี้ จุดสังเกตโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นร้านโรตีของบังมานที่อยู่ปากซอย โรตีฝีมือแกรสชาติจัดจ้านพอๆ กับแสงสีประดามีจากไฟกระพริบที่แกสรรหามาประดับรถเข็น แกเป็นคนเสียงดัง แถมพ่วงอารมณ์ขันร้ายลึก มุกตลกที่แกปล่อยทำเอาข้าพเจ้าสำลักน้ำตาได้ทุกครั้ง ถัดจากนั้นคือร้านข้าวหมูแดงของเฮียเก่ง ซึ่งเก่งสมชื่อเฉพาะกับศพหมู แต่หงอสิ้นดีเวลาอยู่ต่อหน้ายัยเมียหมูอ้วนปากจัดของแก ป้าสร้อยแม่ค้าขายไข่ซึ่งมักจะหักกำไรตัวเองทิ้งด้วยความซุ่มซ่ามทำไข่หล่น ยายเพ็ญข้าวตามสั่งซึ่งเสียงด่าลูกชายไม่เอาไหนดังกว่าเสียงเคาะตะหลิว คุณนวลร้านซักรีดหน้าจืดแต่กลีบเสื้อที่ผ่านมือเธอคมกริบบาดมือ ฯลฯ หากมีเวลามากพอ ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะเล่าเรื่องราวของแต่ละคนได้ทั้งวัน ซอยที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่จึงเป็นเสมือนจักรวาลเล็กๆ ที่มีโลกของแต่ละคนโคจรอยู่ เป็นซอยที่ไม่เหมือนซอยไหนในประเทศ หรืออาจจะเป็นซอยเดียวในโลก ทว่าวันหนึ่งความเชื่อนี้กลับล่มสลายลงเมื่อข้าพเจ้าพยายามอธิบายเรื่องราวของซอยนี้ให้คนขับแท็กซี่ฟังเพื่อให้เขาไปส่ง เขาส่ายหน้า “ซอยแบบนี้มีในกรุงเทพฯ เยอะแยะไปครับ ขอชื่อหรือเลขซอยดีกว่า“ ข้าพเจ้าทุ่มเถียงหัวชนฝาอยู่นานทว่าในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ พลางเปิดแผนที่ในโทรศัพท์ซึ่งบันทึกตำแหน่ง GPS บ้านข้าพเจ้าไว้และปล่อยให้มันนำทาง ทั้งที่เจ้าแผนที่บ้าบอนั่นไม่เคยบอกตำแหน่งร้านบังมานถูกด้วยซ้ำ

๑๘ ก.ค. ๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รถเมล์

“แม่งจะจอดให้ตรงป้ายก็ไม่ได้“ อานนท์ส่งสบถไล่หลังรถเมล์ตีนผีที่พาเขาวิ่งเลยป้ายมาประมาณสามสิบสามก้าว เพียงเพื่อจะแซงรถเมล์ร่วมเส้นทางให้ได้โดยเมินเฉยต่อสิทธิของประชาชนคนธรรมดาผู้จ่ายค่าโดยสารครบทั้งแปดบาทไม่มีขาดสักสตางค์แดง ต่อเมื่อเดินจงกรมครบสามสิบสามก้าวถึงจุดที่ควรได้ลงแล้ว ชายหนุ่มจึงระลึกได้ว่าไม่ควรโกรธคนขับรถเมล์แม้แต่น้อย เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีเขาเลือกใช้บริการรถสาธารณะด้วยจิตอันเป็นกุศลเพื่อมวลมหาชน ยอมเสียสละความสะดวกสบายจากรถยนต์ส่วนตัวเพื่อให้ถนนมีที่ว่างขึ้นอีกนิด จิตกุศลนี้ไม่ควรมัวหมองด้วยใจหยาบคายของคนขับรถเมล์ อีกประการหนึ่ง หากอานนท์ยืนยันจะลงตรงป้าย ใจของคนขับรถเมล์คงจะยิ่งเปี่ยมโทสะ เพราะถูกรถเมล์ร่วมเส้นทางเบียดตัดหน้าแย่งชิงผู้โดยสารป้ายถัดไป จากนั้นจะเกิดอะไรกับผู้โดยสารที่เหลืออยู่เล่า ลำพังแค่แซงทันแต่ติดไฟแดง คนขับก็ถีบพวงมาลัยระบายอารมณ์เสียแล้ว ลีลาการขับนรกแตกแบบนั้น แค่เขาได้สัมผัสเพียงสิบนาทีก็เกินพอ การได้ทรมานชายหนุ่มไร้พิษสงอย่างเขาสักสามสิบสามก้าวคงพอให้คนขับใจเย็นลงได้บ้าง ผู้โดยสารที่เหลือจะได้ปลอดภัยตลอดการเดินทาง เมื่อระลึกว่าตนบำเพ็ญกุศลกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ พลันเขารู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว ความมืดค่อยระเหิดหายด้วยแสงพิสุทธิ์ที่ส่องสว่างจากทุกรูขุมขน สองเท้าค่อยลอยขึ้นเหนือพื้น อานนท์กลายเป็นเทวดาล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงลูกกรงแน่นหนาที่ซ่อนร่างอยู่ในกลีบเมฆ

๑๗ ก.ค. ๕๗

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กล่องดนตรี

คุณสะอึกสะอื้นเสียจนตัวโยน ขณะที่ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ผมถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าทำผิดอะไร คุณควรจะโผเข้ามากอดด้วยความปลื้มปีติด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อยก็ขอบคุณที่ผมนำกล่องดนตรีชำรุดของคุณไปซ่อมจนมันกลับมาบรรเลงเพลง Für Elise ของบีโธเฟนอย่างสมบูรณ์แบบ ทำไมคุณต้องร้องไห้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คุณเองก็เคยพยายามซ่อมมัน ทว่าผลออกมาคือเสียงเพลงเพี้ยนแปร่งปร่า "มันเหมือนชีวิตนักดนตรีของฉัน“ คุณว่า แน่ล่ะคุณเป็นนักดนตรีแต่ไม่ใช่นักซ่อมกล่องดนตรี วันที่ผมเอากล่องดนตรีไปซ่อม ช่างซ่อมถอดแผ่นบรรเลงข้างในทิ้ง เปลี่ยนแผ่นใหม่ ผมแย้งว่าจะเป็นเพลงเดิมหรือ ช่างว่า “กล่องไหนๆ ก็เพลงนี้ทั้งนั้นแหละครับ“ เมื่อเปิดฟังก็จริงตามนั้น แถมยังบรรเลงโดยไม่มีโน้ตเพลงผิดเพี้ยนระคายหูเหมือนเคย

รุ่งเช้าคุณหายไปจากชีวิตผม ทิ้งไว้เพียงกระดาษที่เขียนว่า “ฉันกลัวว่าสักวันฉันจะกลายเป็นคนที่คุณไม่รู้จัก“ ซึ่งผมยังไม่เข้าใจความหมายตราบเท่าทุกวันนี้

๑๖ ก.ค. ๕๗

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หมูปิ้ง

"อย่าเลือกเลยครับ เหมือนกันหมดนั่นแหละ" พ่อค้าเตือนด้วยความหวังดี ขณะเห็นข้าพเจ้าขะมักเขม้นเลือกหมูปิ้ง
"มันต้องมีไม้ที่เนื้อหมูมากกว่ามันหมูบ้างสิ ฉันไม่ชอบมันหมู"
"เนื้อสามส่วนมันสองส่วนเสียบสลับกัน เป็นแบบนี้ทุกไม้ตั้งแต่รับมาขายแล้วครับ"
"จะหาอัตลักษณ์จากหมูปิ้งข้างถนนเหรอ เสียเวลาเปล่าน่า" เพื่อนข้าพเจ้าหัวเราะร่วน "หมูมันเป็นพิมพ์เดียวกันมาตั้งแต่ในฟาร์มแล้ว"
"ไอ้ห่า! ขืนแดกแต่ของไม่มีอัตลักษณ์ เราคงกลายเป็นมนุษย์สายพานเข้าสักวัน"
"อยากแดกอัตลักษณ์นักก็เชิญโน่น! มันขายพ่วงอยู่กับสินค้าแบรนด์เนมโว้ย" เขาชี้ไปยังห้างดังกลางใจเมือง ไม่ไกลจากร้านหมูปิ้ง "แต่แม่งก็ออกมาจากสายพานโรงงานเหมือนกันว่ะ"
ข้าพเจ้าเมินคำเพื่อน ตั้งใจเคี้ยวหมูปิ้งให้ซ่านลิ้น ทว่าไม่พบรสชาติอื่นใดนอกจากความลื่นเลี่ยนระคายคอ

๑๒ ก.ค. ๕๗

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปิดตาธิปไตย

๏ คือประชาธิปไตยแบบปิดตา
คือพวกข้าฯ ทำอะไรก็ไม่ผิด
เอากฎหมู่ขู่กฎหมายให้สิ้นฤทธิ์
เราล้วนแต่มิ่งมิตรไม่ผิดแท้

๏ ลืมตาเพียงหนึ่งข้างพอให้เห็น
ความผิดอีกฝ่ายเน้นเป็นของแน่
ฟาดฟันอีกฝั่งฝ่ายเฝ้าเล็งแล
แต่ตัวข้าฯ หาได้ผิดสักนิดเลย

๏ ดูสิมันจัญไรไปทุกสิ่ง
พวกเราสิดีจริงนะเพื่อนเอ๋ย
เรื่องริยำอันใดเราไม่เคย
(เพียงปิดตาแล้วทำเฉยไม่เคยมี)

๏ คือประชาธิปไตยแบบปิดตา
คือปิดกั้นใจว่ามึงต่างสี
คือปิดหูไม่ยอมฟังความหวังดี
ตีตราว่าเป็นอำมาตย์-ทุนสามานย์!

๏ เถิดเร่งเปิดตาก่อนจะสาย
เปิดให้เห็นคนร้ายรอประหาร
ทั้งนายทุน-ทั้งศักดินาผู้สาธารณ์
อย่ามองผ่านหากเขาผิดแม้มิตรเรา

๏ เลิกประชาธิปไตยแบบปิดตา
ก่อนเกิดการเข่นฆ่าอย่างขลาดเขลา
ก้าวให้พ้นความเกลียดกลัวมัวเมา
ร่วมโค่นล้มรากเหง้าความชั่วช้า!

๏ หยุดปิดตาธิปไตย-กูไม่ผิด
หยุดการเมืองแบบหลงมิตรคิดเข่นฆ่า
เริ่มต้นกันเถิดเพียงเปิดตา
สร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ๚ะ๛

มิถุนายน ๒๕๕๗

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทำทานให้หมา


ระหว่างขากลับจากทำธุระ ผมและพ่อขับรถมาทางถนนชัยภูมิ-ตาดโตน บริเวณตำบลนาฝาย ผมและพ่อพบด่านตรวจเล็กๆ ผมนึกโล่งใจที่ขณะนั้นพ่อเป็นคนขับอยู่ หาไม่แล้วหากผมขับคงต้องโดนปรับเพราะไม่มีใบขับขี่เป็นแน่ ทว่านายตำรวจคนนั้นก็ยังเรียกให้จอดรถ แต่สำหรับพลเมืองดีผู้ปฏิบัติตามกฎจราจรทุกประการ ภาษีรถก็เสียทุกปีครบถ้วนไม่ขาด ไม่มีสิ่งผิดกฎหมายอันใดให้ต้องกลัวเลย นายตำรวจหยิบใบขับขี่ของพ่อมาดูพลางเดินสำรวจรอบรถ กระทั่งมาหยุดที่กันชนหน้ารถ ก่อนจะกวักมือเรียกเราทั้งคู่ออกไปดู

“กันชนเบี้ยวนะครับ มันบังทะเบียนรถเห็นไหม“

ผมพยายามทิ้งขว้างอคติที่มีมาแต่เดิมกับสัมมาชีพที่เรียกว่าตำรวจ พยายามมองด้วยใจเป็นกลางอย่างที่สุด แน่ล่ะกันชนรถผมเบี้ยวไปนิดนึงเนื่องจากสัปดาห์ก่อนเผอิญขับชนสุนัขด้วยความเร็วพอสมควร แต่มันก็ไม่เบี้ยวถึงขนาดบังป้ายทะเบียน แต่ตำรวจนายนั้นก็ยืนยันว่านี่คืออาชญากรรมบนท้องถนนที่มีราคาค่าปรับสองร้อยบาท ประชาชนผู้เลวทรามอย่างผมพยายามเถียงผู้พิทักษ์กฎหมายว่า เฮ้ย มันผิดได้ไง ผิด พ.ร.บ. ขนส่งข้อไหน ถ้าคุณเขียนใบสั่งผิดมาตราผมจะเอาไปฟ้องศาล พ่อข้าพเจ้าตัดบท กล่าวว่าเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าผิดก็ต้องยอมรับผิด จะตะแบงเอาแต่ใจไม่ได้ ใบสั่งถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือลวกๆ เหมือนว่าไม่อยากให้อ่านออก ก่อนจะส่งให้พลเมืองผู้กระทำอาชญากรรมบนท้องถนนให้สำนึก

ผมปิดประตูรถอย่างขุ่นเคือง พ่อว่าเป็นเพราะกันชนเบี้ยวจากการชนหมานั่นแหละ เงินที่จ่ายไปก็ถือว่าทำทานให้หมา พลันอารมณ์บูดหายเป็นปลิดทิ้ง ผมหัวเราะออกมาได้ นั่นสินะ---ทำทานให้หมา! นาทีนั้นผมนึกถึงสุนัขข้างถนนที่เราเผลอชนเพราะมันวิ่งตัดหน้า อย่างน้อยมันก็ตายอย่างสมชาติตระกูลหมาข้างถนน คือวิ่งมาตัดหน้าท้ายมบาลก่อนจะพลาดท่าสังเวยชีวิต ทิ้งรอยบิดเบี้ยวไว้บนกันชนให้คนระลึกถึงด้วยความสงสาร ต่างจากสุนัขข้างถนนหิวโซบางตัว หรือหลายตัวที่คอยกรรโชกแว้งกัดเพื่อเศษอาหารเล็กๆ น้อยๆ จากมือประชาชนพลเมืองดีเสียภาษีตรงเวลาที่คอยให้ข้าวให้น้ำแก่มัน สุนัขพวกนั้นช่างไม่มีศักดิ์ศรีแม้เพียงเสี้ยวกระผีก และผมเชื่อว่าสุนัขพรรค์นั้นถึงจะตายไปก็คงไม่มีใครนึกสงสารมันแม้แต่คนเดียว

(ภาพประกอบ: ห้วงขณะพลเมืองผู้ก่ออาชญากรรมบนท้องถนนนับสิบรายต้องจ่ายค่าปรับให้ตำรวจผู้รักษากฎหมายยิ่งชีพ)

๙ มิ.ย. ๕๗

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทศกัณฐ์

หากฉันมีสิบเศียรอย่างทศกัณฐ์
คงเปี่ยมด้วยโมหันธ์ความห่วงหา
ดวงตาก็จะช้ำยี่สิบตา
ด้วยพะวงแต่ดวงหน้าน่ารักนั้น

แม้ว่ายี่สิบกรจะร้อนไหม้
ขอเพียงได้ตระกองกอดก็เต็มฝัน
ศีรษะแหลกเป็นร้อยเสี่ยงสมโทษทัณฑ์
แลกการจับมือกันประคองกร*

หากฉันมีฤทธิ์ร้ายอย่างราวณะ
จะเปิดฉากมหาศึกชิงสายสมร
จะพลีชีพผลาญชาติราษฎร
เป็นกองฟอนสมค่าสีดางาม

เพราะฉันเป็นตัวร้ายเหมือนราวณะ
เธอจึงมองว่ากักขฬะน่าเหยียดหยาม
ฉันคงไม่ตายด้วยศรราม
แต่จะตายเพราะเธอห้ามความห่วงใย

หากฉันมีสิบเศียรอย่างทศกัณฐ์
คงเปี่ยมด้วยโมหันธ์ความหวั่นไหว
เถิดเมื่อเธอถือครองกล่องดวงใจ
ขยี้เสียสิ้นไปจึ่งสิ้นกรรม

๓ มิ.ย. ๕๗

-----------------
*ในเรื่องรามเกียรติ์ (ฉบับรัชกาลที่ ๑) ทศกัณฐ์แตะต้องนางสีดาไม่ได้เนื่องจากบารมีของนางสีดาซึ่งเป็นพระลักษมีแบ่งภาคมาเกิด ดังกลอนว่า "เดชะบารมีโฉมฉาย ให้บันดาลร้อนกายยักษา สิ้นแรงที่จะไปในเมฆา ก็ลงมายังพื้นสุธาธาร" และ "เดชะด้วยโพธิสมภาร พระมารดาโลกดวงสมร พญายักษ์เข้าใกล้บังอร ให้ร้อนฤทัยดังไฟกัลป์"


ส่วนในรามายณะของอินเดีย ราวณะแตะต้องสีดาไม่ได้เนื่องจากถูกสาปไว้ว่าหากขืนใจหญิงสาวโดยที่นางไม่ยินยอม ศีรษะทั้งสิบจะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ


แต่อันที่จริงอาการ "ศีรษะแตกเป็นเสี่ยงๆ" ก็มีปรากฏในรามเกียรติ์เช่นกัน ในเรื่องกล่าวว่าเป็นเพราะบารมีของพระนารายณ์ ดังกลอนว่า "สิบเศียรเพียงแตกทำลาย ด้วยเดชะพระนารายณ์รังสรรค์"

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปะติวัด

"ไอ้หมา อาบน้ำเสร็จแล้วมาช่วยแม่รดน้ำผักหน่อยสิ" แว่วเสียงแม่ขณะเด็กน้อยจ้วงน้ำราดตัวโครมๆ "เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทันแม่" พูดไปก็เสียวก้นวาบ เมื่อวานมัวแต่เถลไถลอยู่กับไอ้ขวดกะไอ้แก้วที่ริมคลองเลยพลาดวิชาเลขคาบแรก โดนครูมานะจอมเฮี้ยบหวดเสียก้นยับ วันนี้เขามั่นหมายว่าจะต้องไปยืนยิ้มเผล่หน้าเสาธงเป็นคนแรกเลยเทียว เสียงแม่หัวเราะดังขึ้นมา "เอ็งนี่ก็ไม่รู้อะไร เมื่อวานเขาปฏิวัติ วันนี้โรงเรียนเลยปิด" ปะติวัด?--เด็กน้อยทวนคำ ปะติแปลว่าอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีคำว่าวัดก็คงจะเกี่ยวแก่ขรัวตา สงสัยขรัวตาอยากให้เด็กหยุดเรียนจะได้ไปทำบุญเยอะๆ กระมัง เด็กน้อยลิงโลดออกจากห้องน้ำ ท่องศัพท์ใหม่จนขึ้นใจ "ปะติวัด แปลว่าหยุดเรียน"

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รัฐประหาร (๒)

อย่าเป็นเลยประเทศประชาธิปไตย
เอะอะอะไรก็รัฐประหาร
ลืมเสียการต่อสู้ยาวนาน
จะโค่นมารทันใจต้องใช้ปืน

อย่าเป็นเลยประเทศประชาธิปไตย
แค่ติดต่างก็ผลักไสเป็นคนอื่น
ประชาธิปไตยที่ไม่มีแม้ที่ยืน
ไยถูกกลืนด้วยความเกลียดเคียดแค้นกัน

อย่าเป็นเลยประเทศประชาธิปไตย
เรามาลองระบอบใหม่ดังใจฝัน
อนาคิสม์คอมมูนเคยสูญพันธุ์
ลองในเขตสารขัณฑ์คงเข้าที

อย่าเป็นเลยประเทศประชาธิปไตย
เกมต่อรองอำนาจใหม่คงได้ที่
การเมืองภาคประชาชนไม่มี
และจากนี้คงเงียบดับลับลา

อย่าเป็นเลยประเทศประชาธิปไตย
หากยังใช้รัฐประหารแก้ปัญหา
ควรเปลี่ยนเป็นรัฐทหารสักครั้งครา
เถลิงค่าความเป็นไทย, ชัยชโย!

๒๓ พ.ค. ๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รัฐประหาร (๑)

สิบสามรัฐประหารผ่านมา
เราเรียนรู้เรื่องบ้าอะไรบ้าง
หรือต้องเป็นเช่นนี้-ไม่มีทาง
ที่มวลชนจะเอ่ยอ้างถึงสิทธิ์ตน

สิบสามรัฐประหารผ่านไป
แล้วจะมีครั้งใหม่อีกกี่หน
อำนาจที่ถือครองของปวงชน
แท้สมบัติของบางคนคอยผลัดชม

สิบสามรัฐประหารผ่านเลย
เพื่อนเอ๋ย-พวกเราล้วนติดหล่ม
ประชาชนจะเป็นใหญ่ในโคลนตม
เฝ้าคอยข่มเขาขืนกลืนน้ำตา

เอ้า! ยินดีต้อนรับรัฐประหาร
สิบสามครั้งคงชื่นบานกันถ้วนหน้า
จะอีกกี่วิกฤตการณ์ก็เชิญมา
เชิญเข่นฆ่าประชาธิปไตยด้วยไกปืน!

๒๒ พ.ค. ๕๗

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นกเจ็บ

ทอดร่างแทบเท้าแล้วคนดี
นกน้อยตัวนี้ที่เจ็บหนัก
หายใจรวยรินเพราะพิษรัก
เจ็บนักจึงรานร้าวหนาวหัวใจ

ฉันคือนกต้องศรอาวรณ์สวาท
เธอพิฆาตด้วยแววตาพาหวั่นไหว
หล่นร่างลงเป็นทาสดวงฤทัย
เธอกลับเดินจากไปไม่เหลียวมอง

หากฉันบินมาตายตรงหน้าตัก
ยอดรักคงกังวลหม่นหมอง
เธอมีคนเคียงข้างคอยครอบครอง
นกเจ็บต้องเจียมใจไม่เอื้อมคว้า

ไม่มีสิทธิ์ซบลงตรงหน้าตัก
แต่ใจภักดิ์ก็เพ้อพร่ำคอยเพรียกหา
จึงโผซบแทบเท้าร้าววิญญาณ์
หากเธอมีเมตตา-ฆ่าฉันที

ความรักอันเล็กน้อยต้อยต่ำ
รอให้เธอเหยียบย่ำเต็มที่
ทอดร่างแทบเท้าเธอแล้วคนดี
รอเธอเหยียบขยี้ให้สาใจ!

๑๙ พ.ค. ๕๗

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รักใหม่

ผู้รู้ว่าอกหักรักเศร้าโศก
ต้องแก้โรคอกหักด้วยรักใหม่
การอกหักเป็นบททดสอบใจ
เพื่อข้ามความอาลัยไปให้พ้น

เมื่ออกหักความรักควรเริ่มใหม่
เพราะความรักยิ่งใหญ่ในทุกหน
และความรักครั้งเก่าอย่าเฝ้าทน
อยู่กับคนไม่มีใจ-ไม่เคยรัก

ฉันเฝ้าบอกหัวใจไปกี่ครั้ง
แต่มันไม่เคยฟังยังจมปลัก
จมอยู่กับวันวานร้าวรานนัก
แม้ประจักษ์เธอจากไปไม่เหลือเงา

ใครหรือจะกล้าลืมรอยยิ้มนั้น
ยิ้มเมื่อสบตาฉันวันเธอเหงา
เป็นภาพจำสีจางบางเบา
รอยจูบกลางใจเศร้ายังร้าวใจ

เสียน้ำตากี่ล้านครั้งก็ยังรัก
มิอาจแก้อกหักด้วยรักใหม่
คงเพราะฉันรักเธอมากเกินไป
มากเกินจะรักใครได้อีกแล้ว

๑๒ พ.ค. ๕๗

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รู้ว่าไกลแสนไกลเกินไขว่คว้า

รู้ว่าไกลแสนไกลเกินไขว่คว้า
แต่จะหลบสายตาก็ไม่ได้
รู้ว่าห่างเกินห้วงความห่วงใย
แต่หัวใจก็เพรียกหาแววตานั้น

หากว่าสิ้นลมหายใจ
แล้วลืมเธอได้ดังใจฝัน
จะหลั่งเลือดเชือดคอโดยพลัน
เพื่อให้ลืมคืนวันอันเปล่าดาย

แต่แม้จะสิ้นใจก็ไม่ลืม
ภาพคนเคยปลื้มฤๅลืมง่าย
เร้ารึงในฤทัยไม่รู้วาย
ต่อให้ตายก็ตรึงตราวิญญาณ์นี้

ความรักจากชาติก่อนถึงชาติหน้า
อยู่ในร่างสังขาร์หรือซากผี
มีลมหายใจหรือไม่มี
ก็รักเธอคนดีชั่วนิรันดร์

ทั้งที่ไกลแสนไกลเกินไขว่คว้า
ใจก็ดื้อเกินกว่าจะหยุดฝัน
ฟังสิฟัง, เสียงหัวใจเฝ้าจำนรรจ์
มันพร่ำแต่คำรัก-ฉันรักเธอ

๙ พ.ค. ๕๗

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นิรโทษกรรม (๕)

หากคุณถูกฆ่าตายใครจะรู้
หากวิญญาณคุณยังอยู่ใครจะเห็น
เมื่อคุณร่วมอำพรางความผิดเร้น
เป็นผู้ร่วมความอัปยศนิรโทษกรรม

(สำคัญหรือว่าใครฆ่าใครตาย
เป็นสิทธิของคนร้าย) แหละน่าขำ
โอ้ประเทศอุดมสิทธิคนจิตริยำ
มีคนตายก็เหยียบย่ำซ้ำคนตาย

คุณอ้างสิทธิอันใดในการสู้
อุดมการณ์?-อุดมกู?, จึงรู้พ่าย
เมื่อคุณกล้าเหยียบร่างผู้วางวาย
คุณก็หมดความหมายการเป็นมนุษย์!

คุณจะร่ำอาลัยทำไม (วะ)
อย่าแสร้งร่ายวาทะแสนวิสุทธิ์
ในเมื่ออีกหนึ่งมือคุณหมายมุด
ฉุดกฎหมายอาธรรมย่ำเกียรติยศ

คุณจะอ้างสิทธิใดในการสู้
เมื่อลมปากสำรากอยู่คือลมตด
เมื่อคนของมวลชนคือคนคด
โป้ปดเพื่อนิรโทษฯ ประโยชน์ใคร?

หากคุณถูกฆ่าตายคงได้รู้
หากวิญญาณคุณยังอยู่จะสู้ไหม
เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีชีวิตไว้
เพื่อมิให้พวกคนโฉดนิรโทษกรรม

๔ พ.ค. ๕๗

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

คนไร้ค่า

หากเธอต้องการหัวใจ
จะเชือดออกวางให้ดังใจหมาย
หากเธออยากให้ฉันตาย
จะทอดร่างวางวายไว้แทบเท้า

แต่จะรักเท่าไหร่ก็ไม่พอ
เพราะคนที่เธอรอก็คือเขา
ฉันรักมั่นชั่วกาลนานเนา
ไม่เทียมเท่าเสี้ยวนาทีที่เขามอง

ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่เพียงคิด
ฉันไม่มีแม้สิทธิ์เป็นที่สอง
คนไม่รักแม้ปีนป่ายคิดหมายปอง
ถึงคราวหล่นก็ร่ำร้องร้าวระทม

เพราะหลงรักคนที่ใจไม่ควรรัก
จึงอิ่มรสอกหักรักขื่นขม
เพราะเธอมีคนอื่นไว้ชื่นชม
จึงเจ็บจมใจช้ำน่วมน้ำตา

ต่อให้ฉันควักหัวใจให้เธอเก็บ
แล้วล้มเจ็บขาดใจไปต่อหน้า
แม้ร้องร่ำทุรนทุรายวายชีวา
ก็ไร้ค่าเกินกว่าเธอจะเผลอมอง

๒๖ เม.ย. ๕๗

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

นิรโทษกรรม (๔)

และคุณจะยกโทษให้คนฆ่า
คุณจะไม่ตามหาว่าใครผิด
คุณจะทำนิติรัฐให้สิ้นฤทธิ์
ปกปิดความริยำย่ำคนตาย

คุณเหยียบหัวประชาชนยืนบนแท่น
เอ่ยวาทะหนักแน่นในความหมาย
โอ้อาลัยแด่ซากร่างวางวาย
แสร้งเศร้าฟูมฟายไม่อายฟ้า!

คุณบอกรักประชาชนจนล้นปาก
จึงตกต่ำสำรากเหยียบรากหญ้า
นิรโทษฯ ให้หมดเข่งตะเบ็งมา
ใครจะฆ่าก็ไม่ผิดไม่ติดใจ

หากวันหนึ่งคุณตาย - คนร้ายฆ่า
วิญญาณคุณจะตามหาคนผิดไหม
จะธำรงนิติรัฐหรืออย่างไร
หรือคุณยินดีให้นิรโทษกรรม!

๒๔ เม.ย. ๕๗

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

แววตา

ฉันเกลียดแววตาแบบนั้น
โปรดอย่าใช้มองฉันได้ไหม
ขอโทษที่มากวนใจ
จะรีบหนีให้ไกลไปให้พ้น

ขอโทษที่เผลอใจไปแอบรัก
คงลำบากใจนักจึงหมองหม่น
ขอโทษหากเธอต้องทุกข์ทน
ฉันคือคนที่ไม่ควรผ่านเข้ามา

หากเธอเกลียดก็บอกมาว่าเธอเกลียด
จะหยามเหยียดอย่างไรก็ไม่ว่า
แต่โทษทัณฑ์ทรมานผ่านแววตา
กรีดใจอย่างแช่มช้ากว่าคำใด

ฉันเกลียดแววตาแบบนั้น
ขอเธออย่ามองฉันได้ไหม
หากเธอรังเกียจมากจะจากไป
แต่อย่าใช้แววตาฆ่าฉันเลย

๒๒ เม.ย. ๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

วาทกรรม (๒)

นั่นแหละคือวาทกรรมย่อยง่าย
รอเขาเคี้ยวแล้วคายมาให้
บวกวาทะอคติเข้าไป
ก็อร่อยบรรลัยรอคุณกลืน

นั่นแหละคือวาทกรรมแดกด่วน
ล้วนแต่คำประกาศดาษดื่น
เหมาะกับเหล่ามนุษย์หาจุดยืน
โดยไม่ฝืนใช้สมองตรองชั่วดี

ยึดมั่นถือมั่นในวาทะ
ท่องบ่นต่างคำพระไว้ปราบผี
โอ้ว่าสิทธิ์เสมอภาคและเสรี
โดยไม่มีบริบทปรากฏการณ์

เอ้าเร่งสร้างวาทกรรมนำความคิด
แปะติดคำปราชญ์สะอาดสะอ้าน
กลบเกลื่อนเรื่องชั่วช้าสามานย์
พอให้คนดักดานได้มั่นใจ

นั่นแหละคือวาทกรรมย่อยง่าย
เขาเคี้ยวแล้วถุยน้ำลายแถมมาให้
กลืนแล้วก็เชิญพ่อพ่นต่อไป
อย่าเผลอใช้เศษสมองตรองเลยนะ!

๑๗ เม.ย. ๕๗

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

คิดถึง (๕)

ฆ่าฉันให้ตายยังง่ายกว่า
โปรดเลิกเอ่ยคำว่าห้ามคิดถึง
ทุกห้วงความรู้สึกลึกซึ้ง
เร้ารึงแต่ดวงหน้าแววตานั้น

สลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่หลุด
เว้นแต่หยุดลมหายใจฉัน
แม้หยุดห้วงโคจรตะวันจันทร์
ฤๅหยุดฝันหยุดได้หัวใจตน

รอยยิ้มดุจดวงตะวันหวาน
แววตาร้าวรานเหมือนจันทร์หม่น
เธอคือโลกความคิดถึงของหนึ่งคน
เป็นจักรวาลที่เวียนวนจนชั่วกัลป์

อย่าห้ามความคิดถึงเลยที่รัก
คงอยู่ได้ไม่นานนักหรอกใจฉัน
คลื่นคิดถึงเมื่อถาโถมโรมรัน
คงสักวันทุรนทุรายตายไปเองฯ

๙ เม.ย. ๕๗

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

ไยจึงเอ่ยคำรักอย่างง่ายง่าย

ไยจึงเอ่ยคำรักอย่างง่ายง่าย
หรือรักไร้ความหมายเมื่อเอื้อนเอ่ย
รู้สึกจากใจหรือไม่เคย
ใจเต้นแรงหรือชาเฉยเมื่อเอ่ยมา

กี่หมื่นแสนความคำนึงจึงเรียกรัก
กว่าข้ามพ้นคนรู้จักนานหนักหนา
บ่มหัวใจข้ามผ่านกาลเวลา
จึงได้รักอันมีค่ามาครอบครอง

คำว่ารัก, เธอเอื้อนเอ่ยเผยเพียงฉัน
หรือแบ่งคำนั้นออกเป็นสอง
ฤๅอ้อมกอดชิดใกล้เคยได้ตระกอง
เป็นละอองภาพฝันลวงตา

เมื่อเธอเอ่ยคำรักอย่างง่ายง่าย
จึงมีรักมากมายไม่ซ้ำหน้า
ฉันก็แค่คนหนึ่งซึ่งผ่านมา
เธอเบื่อแล้วก็เอ่ยลาไม่อาลัย

คำว่ารัก, เธอเอื้อนเอ่ย-ไม่เคยจำ
แต่บางคนยังเจ็บช้ำร่ำไห้
ขอโทษที่ยังรักยังฝังใจ
เพราะอ่อนแอเกินไป, ไม่กล้าลืม

๘ เม.ย. ๕๗

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

ไม่รัก

เออ-ไม่รัก, พูดก็ได้ว่าไม่รัก!
อยากฟังฉันพูดนักจะพูดให้
หากฟังแล้วรู้สึกสบายใจ
พูดก็ได้, จะกี่ครั้งก็ฟังเอา

คำรักของฉันมันน่าชัง
เธอพูดไม่รู้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉันมันแสร้งไม่รู้ตัวมัวเมา
ปิดหูตาอย่างคนเขลาไม่เข้าใจ

เออ-ไม่รัก, จะพูดให้ว่าไม่รัก
อยากฟังนักก็จะพูดพอใจไหม
ขอโทษที่ฝันสูงเกินไป
เกินจะคิดคว้าไขว่ - ดีไม่พอ

เลิกอ้างเหตุผลร้อยพัน
รู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์คิดร้องขอ
เมื่อมิใช่คนแสนดีที่เธอรอ
เป็นหัวหลักหัวตอก็ขอลา

เออ-ไม่รัก, ฟังอีกไหม-ไม่ได้รัก!
อยากฟังนักจะพูดพร่ำด้วยเสียงพร่า
จะตะโกนให้เธอฟังทั้งน้ำตา
ทั้งที่รักเกินกว่าจะกล้าลืม

๑ เม.ย. ๕๗

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

คิดถึง (๔)

เมื่อความคิดถึงคือยาพิษ
ออกฤทธิ์เป็นน้ำตารินไหล
หากหยุดคิดถึงก็ขาดใจ
แต่คิดถึงต่อไปใจก็ร้าว

สุมความคิดถึงดังกองไฟ
เผาหัวใจต่างฟืนในคืนหนาว
เป็นสะเก็ดความสุขเสี้ยวแสงสกาว
ก่อนความมืดอันยืดยาวจะย่างกราย

รู้ว่าความคิดถึงคือยาพิษ
แต่หยุดคิดก็เกินทนใจหล่นหาย
จึงกลืนพิษต่างฤทธิ์ยามาทำลาย
ใจขาดตายคงลบเลือนรอยเปื้อนรัก

ไม่มีแม้สิทธิ์จะคิดถึง
ยังดื้อดึงเหมือนว่าใจไม่รู้จัก
ว่าพิษความคิดถึงตราตรึงนัก
ยิ่งคิดยิ่งร้าวหนักในฤทัย

เพราะความคิดถึงเธอคือยาพิษ
ออกฤทธิ์เป็นความช้ำร่ำไห้
สะอึกสะอื้นทุกคืนค่ำจะโทษใคร
ต้องโทษใจไม่รักดี, ที่ไม่ลืม

๑๗ มี.ค. ๕๗

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

Magic Hour

Magic Hour รสขมปร่า
เห็นแต่ม่านน้ำตาหนาหนัก
ส่องเพียงแสงขื่นขมของความรัก
อย่างไม่เคยรู้จักความปวดร้าว

Magic Hour เหมือนความหวังของชีวิต
ไยจึงมืดมิดเหน็บหนาว
ดาวแห่งหวังยังไม่เห็นเป็นแสงดาว
เหลือแต่ความขื่นคาวก่อนค่ำคืน

หวังให้ Magic Hour ช่วยปลอบปลุก
แต่หายใจยังเจ็บจุกจนเกินฝืน
ทรุดร่างร้าวระทมล้มทั้งยืน
กลืนไปกับแสงสว่างอย่างมืดมน

Magic Hour เมื่อสิ้นวันแสนหวั่นไหว
เพียงหายใจยังใจหายคล้ายร่วงหล่น-
ลงสู่ห้วงความหลังวังวน
มัวหม่นหมองไหม้ใจด้านชา

ไม่มี Magic Hour สำหรับฉัน
ภาพที่มองเห็นนั้นช่างเลือนพร่า
แสงของคนไม่มีใจไม่ส่องมา
ให้กับคนไร้ค่าไม่คู่ควร
---
แสงสุดท้ายคล้ายต้องมนตร์เมื่อเอ่ยลา
คือวาวแสงแห่งน้ำตาขมปร่านัก!

"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

แววตาหมดใจ

แววตาหมดใจ...
แอบซ่อนอย่างไรใจก็เห็น
กับท่าทีเหินห่างอย่างที่เป็น
บางคำที่ซ่อนเร้นในความลวง

เมื่อสบตา...
เธอแสร้งทำทีท่าว่าแสนห่วง
ความรู้สึกที่ให้กันมันเปล่ากลว
อ้อมแขนเคยคล้องควงคงเปล่าดาย

กับคนหมดใจ...
ฝืนอยู่ต่อไปไร้ความหมาย
นานวันยิ่งหนาวเหน็บเจ็บเจียนตา
เมื่ออีกฝ่ายยังรักมั่นมิผันแปร

รักคนหมดรัก...
เหมือนทอถักหลุมพรางเป็นร่างแห
แปลกนักรักมากมายยิ่งพ่ายแพ้
เกินจะแก้ความเหินห่างที่ค้างคา

แววตาหมดใจ...
ฉันขอเดินจากไปเสียดีกว่า
ไม่อยากอ่านความหมายผ่านสายตา
หากไม่รักก็บอกลาอย่าช้าเลย

"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หากหลงรักคนไม่ควรจะหลงรัก

หากหลงรักคนไม่ควรจะหลงรัก
ก็เหมือนเราอกหักแล้วครึ่งหนึ่ง
แต่ยิ่งหักใจห้ามความคำนึง
อกอีกครึ่งย่อมหักลงต้องปลงใจ

อกฉันแหลกร้าวแล้วเมื่อแรกรัก
แรกรู้จักแรกสบตาพาหวั่นไหว
ทั้งที่รู้ทั้งรู้เธอมีใคร
ดวงฤทัยจึงร้าวหนักไม่รักดี

ยิ่งเลิกคิดถึงเธอยิ่งเผลอคิด
ยิ่งหนียิ่งตามติดเกินหลบหนี
ยิ่งตัดรักรักยิ่งล้นท่วมท้นทวี
ใจดวงนี้ยังเพ้อพร่ำคอยรำพัน

หลับตายังเห็นภาพเธอเต็มตา
แม้ตื่นมายังละเมอเหมือนภาพฝัน
หากว่าเธอถือโทษโปรดลงทัณฑ์
ช่วยฆ่าฉันด้วยรอยยิ้มพิมพ์ฤทัย

เพราะหลงรักคนไม่ควรจะหลงรัก
อกจึงแหลกร้าวหนักกว่าครั้งไหน
หากสงสารคนจวนเจียนจะสิ้นใจ
โปรดใช้ความเมตตาฆ่าฉันที
...
หากเธอมีเมตตามากกว่าใคร
โปรดขยี้เศษซากใจในมือเธอ

๕ ก.พ. ๕๗

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาวนา

ในท้องบ่มีข้าว
ในยุ้งเฮามีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย
ไผสิทราบสิได้ยิน

สอสอกี่ยุคสมัย
ไม่เคยพาเฮาพ้นดิน
ตอนขอคะแนนกิน
ให้เลียตีน, มันก็เลีย

ได้เสียงก็เชิดหน้า
เฮาเอิ้นหาจนว่าเพลีย
ข้าวเสียเงินก็เสีย
ตอนขอทวงแทบกราบเท้า

หนึ่งเสียงเพียงคะแนน
ความยากแค้นไม่ถือเอา
หนึ่งเสียงเพียงกูเข้า
ครองอำนาจในรัฐสภา

ส่งเสียงด้วยหนึ่งเสียง
กี่แสนครั้งในคูหา
เสียงนี้ของชาวนา
ถูกเอาเปรียบอยู่ซ้ำซ้ำ

เอาเสียงไปอ้างเสียง
ไปสอดไส้กฎหมายริยำ
เลือกเขาเพราะจำนำ
เป็นหนี้ต้องจำนองนา

วันนี้วันเลือกตั้ง
ยังรับบัตรลงชื่อกา
อำนาจในมือข้าฯ
ฤาเปลี่ยนแปลงประเทศเหวย?

๒ ก.พ. ๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

เกลียดชัง

๏ เกลียดชังมอบพิษผู้......เกลียดชัง
พ่ายพิษร้อนร้ายยัง..........บ่อนไส้
ใจร้อนเร่าประดุจดัง.........สัตว์นรก สิงใจ
เรามุ่งเกลียดเขาให้..........พิษร้าย ทำลายตน ๚ะ๛

๏ เกลียดชังมอบพิษผู้เกลียดชังพ่าย
พิษร้อนร้ายยังบ่อนไส้ใจร้อนเร่
ประดุจดังสัตว์นรกสิงใจเรา
มุ่งเกลียดเขาให้พิษร้ายทำลายตน ๚ะ๛

"Resentment is like drinking poison and then hoping it will kill your enemies." (Nelson Mandela)

(กลบทโคลงกลอน)
๑๑ มกราคม ๒๕๕๗

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

จำนำข้าว


จำนำข้าว ค้างชำระ สี่เดือนแล้ว
แม่นกแก้ว ยุบสภา จะหาไหน
เขาขู่ว่า ถ้าไม่เลือก กลับเข้าไป
เงินหลายแสน ค้างจ่ายไว้ ก็อดเอย