วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอเชิญร่วมงาน “ชุมนุมช่างวรรณกรรม” ประจำปี 2553 ส่งท้าย ช่อการะเกด ยุคที่ 3

ขอเชิญร่วมงาน “ชุมนุมช่างวรรณกรรม” ประจำปีพุทธศักราช 2553 ส่งท้าย ช่อการะเกด ยุคที่ 3

"ลาที...มิใช่ลาก่อน"

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2553

ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป

14.00 น.ลงทะเบียน เพื่อทราบว่ามีผู้ใดบ้างมาเป็นเกียรติ
14.30 น.อันเนื่องมาจากราชประสงค์ “หนังทดลอง” ชุดที่ 2 ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
15.00 น.เปิดตัวหนังสือ เพื่อนพ้องแห่งวันวาร : รวมเรื่องสั้น ‘สุภาพบุรุษ’ สนทนากับผู้ชำระต้นฉบับ วรรณา สวัสดิ์ศรี และบรรณาธิการ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ดำเนินการสนทนาโดย นกป่า อุษาคเณย์
16.00 น.ปาฐกถาช่างวรรณกรรมประจำปี 2553 “เรื่องสั้นไทยสมัยใหม่” โดย รศ.ดร.สรณัฐ ไตลังคะ นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยฯ
17.00 น.ประกาศเกียรติ “นักเขียนช่อการะเกดเกียรติยศ” ประจำปีพุทธศักราช 2553 “มกุฏ อรฤดี”
17.30 น.พักดื่มน้ำชา-กาแฟ (ย้ายมาที่ลานน้ำพุ)
18.00 น.ประกาศผลการ “ประดับช่อฯ” ในฐานะ รางวัลช่อการะเกดยอดเยี่ยมประจำปี 2553
19.30 น.เปิดใจตัวแทน ช่อการะเกด รุ่นที่ 1, รุ่นที่ 2 และรุ่นที่ 3
20.00 น.เจาะใจผู้สนับสนุน ช่อการะเกด รุ่นที่ 3 (สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ และเวียง-วชิระบัวสนธ์)
20.30 น.ปัจฉิมกถา "ลาที...มิใช่ลาก่อน" โดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี
21.00 น.สังสรรค์ตามอัธยาศัย จนกว่าเราจะพบกันอีก

--------------------------------------

ในที่สุด ช่อการะเกด ยุคที่ 3 ก็ถึงเวลาของมันแล้ว แม้จะเตรียมใจมา่ก่อนหน้า แต่เมื่อถึงเวลาก็ใจหาย

สำหรับผม ช่อการะเกดเป็นอะไรมากกว่าหนังสือรวมเรื่องสั้น เพราะมันเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในใบปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิตของผม ถ้าไม่มีช่อการะเกด ยุคที่ 3 ผมก็ไม่มีหัวข้อทำสารนิพนธ์ และเรียนไม่จบ

ถึงแม้ว่าลักษณาการจบของผมจะออกอาการป่วย ๆ อยู่บ้าง เพราะความขี้เกียจตัวเป็นขนในการทำสารนิพนธ์ ทำให้ผลงานสารนิพนธ์ชื่อว่า "วิเคราะห์ช่อการะเกดยุคที่ 3" เป็นผลงานที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับชื่อหัวข้อ กล่าวได้ว่าผมเอาหัวข้อดี ๆ มาปู้ยี่ปู้ยำไปเสียอย่างนั้น จึงไม่กล้าเอาให้ใครดูจริง ๆ จัง ๆ อย่าว่าแต่จะเผยแพร่ให้คนในวงการช่อการะเกดรู้เลย หากกลับไปที่ตู้เก็บสารนิพนธ์ที่ภาควิชา จะไปเซ็นกำกับไว้ตรงหน้าปกว่า "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน"

น่าแปลกใจที่การเว้นช่วงของยุคที่ 1,2 และ 3 จะมีระยะห่างประมาณ 8-9 ปีเสมอ ดังนั้นในอีก 9 ปีข้างหน้า ผมจะมีอายุ 32 ปี เวลานั้นผมหวังเล็ก ๆ ไว้ในใจว่า คงจะมีกลุ่มคน หรือแรงกระเพื่อมทางวรรณกรรมในระดับเดียวกับช่อการะเกด และจะยินดีอย่างยิ่งหากแรงกระเพื่อมนั้นมาจากหนังสือที่ชื่อ "ช่อการะเกด" เอง สมดังคำที่ทิ้งท้ายว่า "ลาที...มิใช่ลาก่อน"

ขอพลังสร้างสรรค์จงอยู่คู่กับพวกเราทุกคน ...อย่างน้อยก็จนกว่าโลกนี้จะหมดศรัทธาในศิลปะ


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๔/๑๑/๒๕๕๓

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ค่ำบางคืนไม่กล้าเมา แต่คืนนี้เราไม่เมาไม่ได้!

๏ เพราะสุรานั้นมีฤทธิ์เป็นพิษร้าย
อาจประหารเราให้ตายยากถ่ายถอน
จึงตัดใจจากสุราไม่อาวรณ์
เป็นนักกลอนดวดนมสดงดสุรา

๏ แต่ผิดหวังครั้งนี้ช่างหนักนัก
พิษรักแฝงเร้นคอยเข่นฆ่า
กรีดใจให้ตายช้าช้า
นานเนิ่นเกินกว่าจะหลุดพ้น

๏ ร่ำร่ายกลอนกานท์กี่ล้านบท
ผจงจดบทกวีกี่ล้านหน
มิอาจลืมภาพใครเพียงคน
ที่เวียนวนอยู่ทุกวันหวั่นฤทัย

๏ แม้เลิกดื่มนานแล้วนะเหล้าจ๋า
แต่จะกินเพียงน้ำตาก็ไม่ไหว
ต้องรินรดความช้ำร่ำเมรัย
ลืมความร้าวรานใจไปอีกวัน

๏ ดื่มเพื่อลืมว่าใจนี้เคยมีรัก
ดื่มให้หนักรำงับใจที่ไหวหวั่น
ดื่มให้ใจได้ลืมใครเคยใกล้กัน
เพื่อมีสุขในห้วงฝันแม้ชั่วคราว

๏ น้ำเมาขมแต่น้ำคำเธอขมกว่า
ขมที่สุดคือน้ำตาที่ไหลผ่าว
เอ้าริน! แล้วชนแก้วกับแสงดาว
ทิ้งรักในห้วงหาวให้หายไป

๏ "ค่ำบางคืนไม่กล้าเมา แต่คืนนี้เราไม่เมาไม่ได้
เพราะความรักที่พลัดพรากไป ยากเกินใจจะตัดได้ลง
คงเป็นเพราะสวรรค์ไม่ส่ง นรกไม่สร้าง รักจึงจางร้างใจ
เหลือแต่ตัวบาดรักท่วมกาย หล่นจมลงในสายธารที่สิ้นหวัง..."* ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓/๑๑/๒๕๕๓

*จากเพลง ดอกไผ่บาน ของ หนุ่มบาว-สาวปาน

ใยจึงมาสมานฉันท์ในวันนี้

๏ ใยจึงมาสมานฉันท์ในวันนี้
วันที่เลือดยังไม่หยุดไหล
วันที่น้ำตายังท่วมใจ
วันที่เลือดไทยยังท่วมแดน

๏ ใยจึงคิดสมานฉันท์วันนี้หนอ
ควรต้องรอให้มีศพสักหมื่นแสน
โหมกระพือให้คลุ้มคลั่งเถิดไฟแค้น
อัดแน่นลงในใจมนุษย์

๏ อย่าคิดสมานฉันท์กันดีกว่า
เมื่อทุกคนอยากเข่นฆ่าไม่สิ้นสุด
ปล่อยสันดานออกมาอย่ายื้อยุด
จนกว่าจะคิดหยุดประหารกัน

๏ ปรองดองอะไรนั่นฝันไปเถอะ
สันติภาพน่ะหรือ เฮอะ! เพียงภาพฝัน
ประวัติศาสตร์ของผองเราคือโรมรัน
การเข่นฆ่านั้นเที่ยงธรรม

๏ ผู้ชนะนั้นหรือคือเหนือกว่า
ผู้แพ้ย่อมด้อยค่าราคาต่ำ
ผิดถูกดีเลวขาวดำ
แท้เป็นเพียงวาทกรรมอำพรางตน

๏ เมื่อเราล้วนเกิดจากอวิชชา
คือไม่ควรเกิดมาตั้งแต่ต้น
เมื่ออำนาจเสือกมีค่ากว่าชีพคน
เถิด! เชิญฆ่าให้ศพล้นจนพอใจ

๏ จงรบกันให้ชนะอย่าละลด
หรือจนกว่าจะตายหมดก่อนดีไหม
แล้วค่อยร่ำน้ำตาอาลัย
ถึงทุกคนที่จากไปไม่หวนคืน
...
แด่... ทุกคนที่จากไปไม่หวนคืน ๚ะ๛


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๓/๑๑/๒๕๕๓

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คืนลอยกระทง

"ทำไมเราต้องยอมเสียตัววันลอยกระทงด้วยนะ ไม่เข้าใจเลย วันอื่นยังจะมีความหมายพิเศษ ๆ กว่าอีก เช่นว่า วันวาเลนไทน์ วันเกิด..."
"เกิดอยาก จึ๋ย ๆ อะเหรอตัวเอง" เขายิ้มกว้าง กอดแน่นขึ้น พลางทำนิ้วปูไต่
"บ้า อย่ามาทำอ้อนนะ คนยิ่งเหนื่อย ๆ อยู่"
"เหนื่อยเหรอ... เดี๋ยวช่วยให้หายเหนื่อยเอามั้ย?"
จากนิ้วปูไต่ กลายเป็นมือปลาหมึกชอนไชไปทั่วร่าง ปากกว้าง ๆ นั่นก็ไม่อยู่สุข คอยงับหูให้ขนลุกเกรียว
"นี่ พอได้แล้ว ซนนักนะ"
เผี๊ยะ!
"อู๊ยยย ตีจริงนี่นา"
"ก็ตีจริงน่ะสิ คนอาไรซนอย่างกะลูกลิงโด๊ปยาบ้า"
"ก็ลิงจั๊ก ๆ รักจริง ๆ ไงจ๊ะ"
"แหม ลื่นเป็นปลาไหลถูสบู่เลยนะ"
ก๊อก ๆ ๆ
"ใครมาล่ะเนี่ย แป๊บนะจ๊ะ" เขาเงยหน้าขึ้นจากการซุกไซ้ ลุกขึ้นเดินไปดูอาคันตุกะผ่านช่องแอบมอง ก่อนจะทำหน้าตกใจสุดขีด
"ฉิบหาย! แฟนพวกเรามา รีบแต่งตัวเร็ว"
ก๊อก ๆ  ๆ
"พี่ขา... นี่หนูเองนะ"
"จ้า... จ้า" เขาทำเสียงยานคางเหมือนเมากรึ่ม ๆ ทั้งที่กำลังใส่เสื้อกางเกงด้วยสปีดเร็วกว่านรก
ประตูเปิดผลัวะ!
เราสองคนแต่งตัวลวก ๆ นั่งอยู่คนละฟาก มีเหล้าและกับแกล้มเล็กน้อยที่เหลือจากเมื่อเย็นคั่นกลางอยู่
"ฮั่นแน่ ตั้งวงกินเหล้ากันอีกแล้วสองหนุ่ม ดูสิเมาแล้วเสื้อยับหมดเลย นี่ถึงเวลานัดแล้วนะจ๊ะ"
"จ้า... ก็รอพวกเธออยู่นานแล้วล่ะ ไปกันเถอะ" ผมควงแฟนผม ส่วนเขาก็เดินไปกับแฟนเขา คู่ใครคู่มัน

ไม่รู้คืนนี้คู่นั้นจะลงเอยอย่างไร แต่ขอแค่คืนนี้แฟนผมอย่ามาอ้อนละกัน คนยิ่งเหนื่อย ๆ อยู่!

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ถ้าหากพรุ่งนี้ฉันตาย...

๏ ถ้าหากพรุ่งนี้ฉันตาย...
มันจะมีความหมายกับเธอไหม
ถ้าหากต้องพลัดพรากจากกันไป
เธอจะเหลือสิ่งใดในความจำ

๏ เธอจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไหม...
เพลงรักเพลงใดเคยดื่มด่ำ
เรื่องราวความหลังอยากฟังซ้ำ
ทุกถ้อยคำจำได้ไม่ลบเลือน

๏ เธอจะลืมเรื่องราวของเราไหม
หรืออาจลืมว่าใครเคยเป็นเพื่อน
ในค่ำคืนของลมหนาวและดาวเดือน
ใจย้ำเตือนรอยน้ำค้างต่างน้ำตา

๏ เธอจะลืมเพลงรักของเราไหม
บรรเลงให้เธอฟังยังยิ้มร่า
เพลงรักเคยร้องร่วมกันมา
จะเหลือค่าแค่ไหนในใจเธอ

๏ เธอจะลืมบทกวีเหล่านี้ไหม
ลำนำรักที่ใครเคยพร่ำเพ้อ
ลืมคนเคยฝันใฝ่ใจละเมอ
คนที่เจอความเจ็บช้ำอยู่ร่ำไป

๏ พรุ่งนี้ฉันอาจไม่ตาย...
แต่คงหมดความหมายแล้วใช่ไหม
ไม่มีแล้ว... คนเคยห่วงใย
เจ็บเหลือเกินนะใจ... ตายทั้งเป็น ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๕/๑๑/๒๕๕๓

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไม่รู้เลยว่าเผลอรักได้อย่างไร

๏ เคยถามตัวเองอยู่หลายครา
แต่ก็หาคำตอบไม่ได้
ไม่รู้เลยว่าเผลอรักไปเมื่อใด
เราเดินทางอย่างไรในสัมพันธ์

๏ ไม่เคยคิดไกลเกินเพื่อน
ความรักรางเลือนเหมือนภาพฝัน
ไม่เคยรู้ว่ามีใครอยู่ใกล้กัน
จนถึงวันต้องลาร้างห่างกันไป

๏ จึงรู้วันวานนั้นหวานซึ้ง
คิดถึงเสียจนทนไม่ไหว
ความรักเร้ารุมราวสุมไฟ
หัวใจคร่ำครวญรัญจวนฤดี

๏ กว่ารู้ตัวก็สายไป...
คนที่เคยชิดใกล้กลับห่างหนี
จนเมื่อมารู้ตัวอีกที
มิอาจถอนรักนี้กลับคืนมา

๏ รู้ว่ารักเมื่อหัวใจเธอไร้รัก
ใจแน่นหนักวันที่ใจนี้ไร้ค่า
ความหวั่นไหวเคยวูบไหวในแววตา
พอเวลาห่างลับกลับหายไป

๏ เฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครา
แล้วก็หาคำตอบไม่ได้
ไม่รู้เลยว่าเผลอรักได้อย่างไร
รู้เพียงแค่หัวใจจะไม่ลืม ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๑/๑๑/๒๕๕๓

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความรักคือการให้?

๏ เคยคิดว่ารักคือการให้
จึงมอบทั้งใจไม่มีเหลือ
และมิได้มีใจเหลือเฟือ
จึงไม่เผื่อเหลือไว้ให้ใครแล้ว

๏ สุดท้ายเธอจากไป...
เหลือเพียงลมหายใจแผ่วแผ่ว
กับเสี้ยวความหวังที่ไร้แวว
และความเหงาที่ทอดแนวเป็นทางเดิน

๏ เพราะฉันรักเธอจึงให้เธอ
แต่เป็นเพียงความหลงเพ้อตื้นเขิน
ใจทั้งใจที่มอบให้ใครเขาเชิญ?
เธอจึงหมางเมินไม่ใยดี

๏ ใจทั้งใจที่มอบให้จึงไร้ค่า
เป็นขยะอุจาดตาน่าบัดสี
ใจทั้งใจฉันพร้อมยอมพลี
จึงไม่มีคุณค่ามาแลกกัน

๏ เคยคิดว่ารักคือแลกใจ
จึงมอบดวงฤทัยของฉัน
เป็นเครื่องหมายบอกนัยสัมพันธ์
หวังเพียงเธอนั้นเหลียวมอง

๏ แล้วมอบหัวใจให้คืนบ้าง
จะไม่ห่างกันไกลใจทั้งสอง
แต่เมื่อเผลอมอบใจให้จับจอง
เธอกลับครองแล้วปล่อยไว้ไม่ใยดี

๏ เพราะให้ไปหมดแล้วไม่มีเหลือ
ไม่เคยเผื่อหัวใจไว้หลีกหนี
ใจจึงทุกข์ทนทบทวี
จนกว่าซากใจนี้จะแหลกไป

๏ เศษเสี้ยวใจหวังจะได้จากเธอนั้น
เธอไม่มีให้ฉันแล้วใช่ไหม
ฉันรักใครก็ให้ใจไปทั้งใจ
หรือว่าเธอจะไม่ให้คนไม่รัก? ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๑/๑๑/๒๕๕๓

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เถิดความรักจงอิ่มเอมเต็มหัวใจ

๏ ให้ความรักอิ่มเอมเต็มหัวใจ
แล้วค่อยค่อยผลิใบให้รักหวาน
รู้ไหม.. เมื่อ "รักจริง" เบ่งบาน
รักจักอยู่ยาวนานนิรันดร

๏ เพาะบ่มรักไว้ในฤดี
เติมใจดวงนี้ให้เต็มก่อน
ค่อยสะสมรักไว้อย่าใจร้อน
ประเดี๋ยวรักจักจากจรไปจากใจ

๏ อย่าเพิ่งบอกว่ารัก
จนกว่าจะแน่นหนักมิหวั่นไหว
จนกว่ารักมากกว่ารักที่พูดไป
จนมิกล้าห่างไกลไปกว่านี้

๏ เพาะบ่มความรักไว้เสียก่อน
รดน้ำความอาทรเต็มที่
เติมปุ๋ยความห่วงใยให้เต็มฤดี
กุหลาบรักหลากสีจึงผลิบาน

๏ เติมรักจนอิ่มเอมเต็มหัวใจ
แล้วจึงค่อยระบัดใบให้รักหวาน
ให้รักอยู่ในใจไปชั่วกาล
ให้ผู้คนได้กล่าวขานตำนานรัก! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๗/๑๑/๒๕๕๓

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สาวแว่นสุดยอด!!

สาวแว่นสุดยอด!
สาวแว่นสุดยอด?
นั่นสิ ทำไมสาวแว่นสุดยอด??

พยายามจะคิดวิเคราะห์ปมปัญหาในจิตใจข้อนี้ของตัวเองมานาน แต่ก็หาคำตอบที่กระจ่างใจไม่ได้สักที แม้จะพยายามใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ มาจับแล้วก็ตาม (เพราะไม่รู้ว่าซิกมันด์ ฟรอยด์ พูดอะไรถึงแว่นรึเปล่า ฮ่วย!)

ปมปัญหาในจิตใจนั้นมักจะเกิดจากเรื่องราวในวัยเด็ก นึกย้อนไปถึงวัยเด็กว่ามีปมอะไรเกี่ยวกับแว่น นึกออกเรื่องเดียวคือชอบอ่านการ์ตูน ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่มาก โตมาแล้วยังนึกอยู่ว่าชอบได้ไง เพราะมันเป็นการ์ตูนจิตป่วนขนานแท้!! (แต่ปัจจุบันก็ซื้อ Ultimate Edition เก็บไว้ 555) สาเหตุที่สาวแว่นสุดยอด! ก็อาจเป็นเพราะชอบอาราเล่จังมาก แล้วอาราเล่ก็๋ใส่แว่นซะด้วยสิ

หรือจะเป็นตอน ม.ต้น ที่ริอ่านมีรักครั้งแรก รักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง แอบซึ้งรุ่นพี่ ม. 5 คนหนึ่งอยู่ข้างเดียวแต่เขาไม่เหลียวแล จำได้ว่ารุ่นพี่คนนั้นเป็นสาวแว่นสุดยอด! ประมาณว่าถอดแว่นแล้วสวย ใส่แว่นแล้วน่ารัก เลยเป็น Imagine ติดในใจว่า สาวแว่นต้องหน้าตาดี! โอ้... สาวแว่นสุดยอด!

หรือแว่นจะเป็น Symbolic ของอะไรสักอย่าง อะไรล่ะ... เด็กเรียนขั้นเนิร์ดเมพ? ความเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้? ความอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง? สาวแว่นใน Imagine ของหลายคนมักจะเป็นไปว่าเป็นเด็กเรียนจัด อยู่แต่กับตำรา เป็นคนขี้อาย ไม่ประสีประสาโลก ดังนั้นจึงต้องให้เราเหล่าชายฉกรรจ์กร้านโลกคอยสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้ เหอ เหอ (หัวเราะหื่น) หลายครั้งก็รู้ว่ามันไม่จริงหรอก แต่ทำมั๊ย ทำไม เจอสาวแว่นแล้วต้องบอก สาวแว่นสุดยอด! ทุกที

แต่น่าแปลกที่มีแฟนกี่คน ๆ ไม่มีใครใส่แว่นเลย เอ๊อะ งง

สรุปว่าบันทึกนี้เป็นบันทึกจิตป่วน เขียนขึ้นตอนจิตใจเรรวนป่วนปั่นฝันเฟื่อง เพื่อจะบอกอะไรใครก็ไม่รู้ ไร้สาระสุด ๆ 555
แต่ที่แน่ ๆ...
สาวแว่นสุดยอด!!!