วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Bangkok Traffic Love Stories

1.

วันก่อน ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง อย่าไปสนเลยในรายละเอียดของเรื่อง เพราะเรื่องที่ผมจะพูดถึงมีแค่พาหนะในเรื่องที่ชวนให้ผมนึกถึงคำว่า ไทม์แมชชีน นั่นคือ รถเมล์

ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำฉากรถเมล์นั้นมีหลายเรื่อง บ้างก็เอามาเป็นการดำเนินเรื่องหลักเลยก็เช่น เมล์นรก หมวยยกล้อ เป็นต้น ส่วนเรื่องที่ผมได้ชมนี้ รถเมล์ปรากฎเป็นฉากยาวพอสมควร น่าแปลกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำมานานแล้ว ผ่านมายี่สิบกว่าปี รถเมล์เคยเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง (มีเพียงการขับเร็วขึ้น กระเป๋าหยาบคายขึ้น ไม่ค่อยสนใจจะจอดให้ตรงป้าย ขี่แซงปาดเลนเหมือนรถมอเตอร์ไซค์ - เท่านั้นที่เปลี่ยนไป)

น่ายินดีที่ประเทศไทยยังคงอนุรักษ์พาหนะนี้ไว้ในรูปแบบเดิมที่สุด หากใครคิดจะทำหนังแนวพีเรียดย้อนยุคไปสักสิบยี่สิบปี มาถ่ายทำในรถเมล์น่าจะเหมาะ คงได้บรรยากาศเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน

นี่คือไทม์แมชชีนของความรู้สึก (รุ่นย้อนเวลาได้อย่างเดียว) นวัตกรรมที่ชาวไทยจะต้องภูมิใจ

2.

ป้ายนั้นเป็นภาพนักธุรกิจใส่สูท ใส่หมวกกันน็อค สะพายเป้ ปั่นจักรยาน โปรยด้วยคำชวนเชื่อว่า หันมาปั่นจักรยาน ลดการใช้พลังงาน ลดโลกร้อน พร้อมแปะตรากรุงเทพมหานคร

สวนทางกับภาพรถติดยาวเหยียดบนท้องถนน ไฟแดงจากท้ายรถนับหมื่นตลอดถนนรามคำแหงวาวโรจน์เหมือนดวงตาของยักษ์ที่กำลังโกรธเคือง ผมมองลอดเข้าไปในรถ แต่ละคันบรรจุคนไว้คันละคน ทิ้งที่ว่างของคนนั่งข้าง ๆ และคนนั่งข้างหลังไว้ให้กลวงเปล่าพอ ๆ กับหัวใจ

ยักไหล่ ปั่นจักรยานต่อ อาจจะมีผมเพียงคนเดียวในย่านนี้ที่ปั่นจักรยานจากลำสาลีไปทำธุระที่หน้ารามฯ โดยลัดเลาะไปตามฟุตบาท ระยะทางนั้นอาจไกล แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะปั่นไปได้ ระยะทางไกลที่สุดที่ผมทำไว้คือจากจุฬาฯ มาที่รามคำแหง เพราะจักรยานใหญ่เกินกว่าจะใช้รถขนมาได้ จึงต้องปั่นมาเองเมื่อต้องย้ายหอพัก

หันไปยิ้มให้กับป้ายนักธุรกิจใส่สูทปั่นจักรยาน ความฝันอันแสนหวานของคนกรุงเทพฯ ขณะที่โลกความจริง กรุงเทพฯ ไม่มีพื้นที่ไว้สำหรับจักรยานแม้แต่มิลลิเมตรเดียว และบางจุดบนฟุตบาทก็เป็นพื้นที่สำหรับแม่ค้าไว้เรียกร้องสิทธิในการขายของโดยอ้างคำว่าเป็นคนจน และเพิกเฉยต่อสิทธิในการเดินของประชาชน ยังไม่รวมถึงอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างตีนผี และรถเมล์หรือแท็กซี่ที่เร่งร้อนจะไปส่งรถ ซึ่งมักจะเหยียบคันเร่งเหมือนกำลังแข่งกับรถเก็บศพของปอเต็กตึ้ง

มีก็แต่คนที่รักชีวิตเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นแหละที่เอาจริงเอาจังกับการเดินทางด้วยจักรยานในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร

3.

ข่าวว่าภาษีรถคันแรกจะลดลงเป็นแสน น่าจะเป็นข่าวดีของประชาชนคนไทยที่นิยมซื้อรถมาขับราวกับเป็นประเทศที่ผลิตรถและกลั่นน้ำมันเองได้ แถมด้วยข่าวน้ำมันลดราคา ช่างเป็นความฝันอันแสนหวานสำหรับคนที่อยากได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิตโดยขับรถโก้หรูกลับไปอวดญาติที่บ้านนอก แม้ว่าชีวิตในกรุงเทพฯ จะต้องนั่งแช่อยู่บนถนนนานกว่าครึ่งชีวิต โดยไม่เกี่ยวว่าถนนนั้นจะชื่อว่าทางด่วนหรือไม่ด่วน ไม่เคยมีทางด่วนไหนทำหน้าที่ของมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อมันถูกบรรจุด้วยปริมาณรถมากพอ ๆ กับถนนธรรมดา

ไทม์แมชชีนของความรู้สึกที่ชื่อรถเมล์ บรรจุคนไว้จนไม่เหลือที่ว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว กลิ่นตัวของนักวิ่งและนักบอลเพิ่งเลิกเล่นที่ขึ้นรถกันมาเป็นทีมชวนให้คลื่นเหียนจวนเจียนจะเป็นลม เพลงหมอลำเพลงโปรดของคนขับที่เปิดเสียงเบา ๆ ระดับหูแตกยิ่งชวนให้ใครหลายคนที่ไม่ซาบซึ้งกับวัฒนธรรมอีสานรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ รถเมล์คันนั้นรายล้อมด้วยรถเก๋งหลากสีสันที่บรรจุคนไว้คันละคน ไม่น่าแปลกที่ใครก็แห่ไปซื้อรถ อย่างน้อยมันก็ส่วนตัว สบาย เปิดฟังเพลงที่ชอบได้ในโลกส่วนตัวเล็ก ๆ นี้

ไทม์แมชชีนของความรู้สึก (รุ่นย้อนเวลาได้อย่างเดียว) ยี่สิบปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น แถมยังห่วยกว่าเดิมเรื่อย ๆ

แต่จะโทษเขาได้ล่ะหรือ ผมเคยฟังคนขับบ่นกับกระเป๋ารถเมล์ ในเมื่อรถเยอะขึ้นทุกวัน รถจึงติด ส่งรถไม่ทัน ขาดทุน วิ่งได้วันละรอบก็บุญโข รอบวิ่งก็น้อยลง รถขาด แต่ละรอบจึงต้องยัดคนเยอะ ๆ เข้าไว้ คนเยอะก็ยิ่งน่าอึดอัด อากาศก็ร้อน รถก็มาติดหนักกว่าเดิมอีก แล้วจะสำมะหาอันใดกับการบริการ (วะ)

รถเยอะ-รถติด-รถเมล์ห่วย-คนหันไปซื้อรถ-รถเยอะ-รถติด-รถเมล์ห่วย-คนหันไปซื้อรถ-รถเยอะ-รถติด-ฯลฯ

4.

ไม่น่าเชื่อว่า ถนนสุขุมวิท โดยเฉพาะสี่แยกหน้าสยามพารากอน จะเป็นถนนที่รถติดที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นอีกหนึ่งอะเมซิ่งไทยแลนด์ที่ควรภาคภูมิใจ ข่าวนี้มาพร้อมกับข่าวว่าแอร์พอร์ตลิ้งค์กำลังขาดทุนหนัก เนื่องจากมีผู้โดยสารน้อยมากในแต่ละวัน

ข่าวว่าในประเทศที่เจริญแล้ว ระบบขนส่งมวลชนนั้นทันสมัย ไม่มีการอนุรักษ์ไทม์แมชชีนเหมือนบ้านเรา และยังสนับสนุนให้ประชาชนเดินทางโดยใช้จักรยานมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น จีน เยอรมัน โดยจะมีรถไฟเชื่อมต่อในแต่ละเมือง และในรถไฟก็จะมีโบกี้เก็บจักรยานโดยเฉพาะ เมื่อพาจักรยานมาถึงรถไฟ ก็แค่เอาไปเก็บไว้ในโบกี้ เมื่อเดินทางถึงเมืองจุดหมายก็นำจักรยานออกมาปั่นต่อไปจนถึงจุดหมาย

จักรยานของผมไม่ใช่จักรยานพับได้ จึงนำเข้าไปในแอร์พอร์ตลิ้งค์ หรือ MRT ไม่ได้ มีก็แต่ BTS เท่านั้นที่นำไปด้วยได้ แต่ก็ต้องถูกเขม่นจากผู้โดยสารคนอื่นว่าเกะกะชะมัด

หลายเรื่องประดังประเดเวียนวนอยู่ในสมองผม ลดภาษีรถคันแรก, ลดราคาน้ำมัน, ค่านิยมมีรถขับเท่ากับประสบความสำเร็จ, รถเพิ่มปริมาณ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาจราจร, ระบบขนส่งมวลชนเหมือนไทม์แมชชีนรุ่นย้อนเวลาได้อย่างเดียว แถมยังห่วยแตก, คนหันไปซื้อรถ, ลดภาษีรถคันแรก, ลดราคาน้ำมัน, ค่านิยมมีรถขับเท่ากับประสบความสำเร็จ, รถเพิ่มปริมาณ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาจราจร ฯลฯ ขณะที่กำลังคร่อมอยู่บนอานรอไฟเขียวกลางสี่แยก ผมอาจเหม่อลอยไปหน่อย เมื่อไฟเขียวมาจึงยังไม่ปั่นออกไป จนรถข้างหลังต้องบีบแตรยาวเตือนสติ

เมื่อปั่นขึ้นไปบนฟุตบาท พ้นอันตรายจากบรรดารถใจร้อนทั้งหลาย จึงบ่นกับตัวเองเบา ๆ "ก็บอกแล้ว มีก็แต่คนที่รักชีวิตเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นแหละที่เอาจริงเอาจังกับการเดินทางด้วยจักรยานในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร"

5.

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ แล้วยังไม่โดนรถชนตายโหง ขณะปั่นเข้าซอยอย่างเงียบ ๆ จู่ ๆ รู้สึกรักชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองขึ้นมาซะเฉย ๆ

เอาล่ะ ช่างกรุงเทพฯ เถอะ ไม่ใช่บ้านผมสักหน่อย ผมจะเพิ่มมลพิษใส่อากาศในกรุงเทพฯ อีกคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ไหน ๆ เขาก็ลดภาษีรถคันแรกแล้ว แถมน้ำมันยังถูกลงเยอะ หากผมทำงานมีเงินเดือนเมื่อไหร่ ผมจะต้องออกรถมาขับสักคันบ้างเสียแล้ว


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๗/๐๘/๒๕๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น