ยิ้มอันอ่อนหวานไร้เดียงสา
พลังแห่งการชม้ายชายชำเลืองอย่างซื่อ ๆ
กระแสแห่งถ้อยคำอันมีเสน่ห์ด้วยคำพูดหลากหลายที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ
และท่าทีเยื้องกรายอันมีลีลาแห่งช่อใบไม้อ่อน
ในตัวหญิงดรุณีผู้มีตางามประหนึ่งนัยน์ตาลูกกวางน้อยนั้น
มีอะไรบ้างหนอที่ไม่งดงามชวนให้น่าหลงใหล
(จาก ศตกตระยัม ของ ภรรตฤหริ)
๏ แล้วรอยยิ้มก็เติมยิ้มให้ผลิแย้ม
แล้วดวงตาก็แต่งแต้มนัยน์ตาหวาน
แล้วความฝันก็เต็มฝันนิรันดร์กาล
เพียงพบเธอในห้วงธารกาลเวลา
๏ เธอจะมาจากไหนไม่เคยรู้
แต่จู่จู่ก็ประสบได้พบหน้า
แล้วดวงตาที่เผลอมองเต็มสองตา
ก็เลือนพร่าและวูบดับไปกับใจ
๏ สิ้นแล้วภาพงามอื่นให้ฝืนมอง
สิ้นแล้วภาพหม่นหมองหรือหม่นไหม้
เหลือแต่ภาพยิ้มเขินหวานเกินใคร
แล้วฤทัยก็พูดพร่ำแต่คำรัก
๏ ราวกับลมรำเพยมาเชยชื่น
ซากใจค่อยตื่นฟื้นตระหนัก
ราวกับลมรำเพยมาเชยชัก
ยิ้มหวานซ่านใจนักประจักษ์ตา
๏ ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน
ความคิดถึงชั่วกาลยาวนานกว่า
ถูกบ่วงห้วงฝันพันธนา
ถึงดวงหน้าหวานซึ้งตราตรึงใจ
๏ แล้วรอยยิ้มที่อ่อนไหวนัยน์ตาหวาน
ก็แผ่ซ่านอยู่เต็มฝันจนหวั่นไหว
เศษซากรักเคยสลายหายไป
ก็กลับรวมกันใหม่ในยิ้มเธอ ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๙/๑๐/๒๕๕๔
:: พื้นที่รวบรวมงานเขียนเก็บเล็กผสมน้อยเป็นไทม์แมชชีนความรู้สึกของวันวาน ::
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555
รำพึงถึงเพื่อนรัก
จู่ ๆ คิดถึงเพื่อนคนดีคนหนึ่งขึ้นมาจ ับใจ วันนี้อยากไปร่ำสุรากับมึงจนซอด แจ้งเลยว่ะ ในวาระของบางวันเวลาที่ความโศกเ ศร้าแม่งควรจะบดขยี้เราให้ตายให ้พ้น ๆ จากโลกแห่งความปวดร้าวไปนานแล้ว ไม่ใช่ยังทนอยู่ในซากสังขารที่ป ราศจากหัวใจเหมือนเช่นตอนนี้ เราทั้งสองแสร้งทำเป็นหัวเราะไม ่ยี่หระต่อโลก แต่กูรู้ว่าหัวใจมึงแม่งเหลือแต ่ผุยผงเหมือนกู เหี้ยเอ้ย! ขณะที่กูพร่ำรำพันถึงความร้าวรา นในหัวใจอย่างยืดยาวกว่าสี่หมื่ นแปดพันหน้ากระดาษเอสี่ จนใครบางคนแม่งห่วงว่ากูจะฆ่าตั วตาย มึงแม่งไม่ร้องสักแอะ! กูนับถือใจมึงจริง ๆ นรกเป็นพยานเถอะไอ้เพื่อนรัก! กูแค่อยากจะบอกว่ามึงไม่ผิดหรอก คนมีความรักน่ะไม่มีความผิด โดยเฉพาะคนที่มีหัวใจอันแสนอ่อน โยน แค่โลกนี้มันโหดร้ายเกินกว่าที่ คนหัวใจอ่อนโยนอย่างมึงจะมีชีวิ ตอยู่ได้โดยไม่มีบาดแผล จริงอยู่ว่าสุราแม่งไม่ช่วยรักษ าแผล แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราลืมเจ็บไ ด้ชั่วคราว มันก็แค่ช่วยซื้อเวลาให้เรารักษ าตัวเองได้อีกนิดหน่อย เวลาอาจไม่ใช่ยา แต่การเยียวยาต้องใช้เวลา
เราซื้อเวลาไปวัน ๆ เพราะหวังว่าสักวันเราจะหายดี แต่ที่จริงมันไม่เคยมาถึง
คำว่าสักวันคือวันที่ไม่เคยเดิน ทางมาถึง มึงรู้ กูรู้ ระยำเถอะ! เราแม่งควรจะลืมเรื่องทุกอย่างแ ล้วเริ่มต้นใหม่ใช่ไหม แต่กูรู้ว่ามึงทำไม่ได้ เพราะกูก็ไม่เคยลืม ใครแม่งจะลืมลงวะกับความทรงจำที ่สวยงามขนาดนั้น แม้สุดท้ายมันจะทำให้เราเจ็บปวด ก็ตามที มึงกอดเกี่ยวกุหลาบไว้ในหัวใจ ก็ไม่พ้นหนามแหลมทิ่มแทง ถึงมึงไม่ยอมเปิดปาก แต่ถ้าหากมึงอยากร้องไห้ก็ร้องอ อกมา กูจะฟัง ถึงเค้าไม่เห็นคุณค่าของน้ำตามึ ง แต่กูรู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหนสำ หรับน้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งที่รั กผู้หญิงเพียงคนเดียวมาตลอดหลาย ปี ไอ้เหี้ย! มึงแม่งเป็นพิพิธภัณฑ์รักแท้ในร ูปทรงของมนุษย์ มึงแม่งควรจะสูญพันธุ์ไปแล้วในโ ลกหลอกลวงที่คนแม่งแสวงหารักแท้ เหมือนเอ็มวีสามนาทีกว่า ๆ ถ้าสถาบันวิจัยรักแท้มีอยู่จริง กูแม่งจะเสนอชื่อมึงเป็นคนแรกแล ะคนเดียวในโลกให้เค้าจับไปทำวิจ ัย ให้เค้าผ่าหัวใจมึงออกดูว่ามันป ระกอบขึ้นจากอะไรทำไมมันถึงมีรั กมั่นคงได้ขนาดนั้น ไปตายเถอะ! กูไม่ได้ไล่ กูชวน เราสองคนแม่งต้องไปตาย โลกสมบูรณ์แบบของเค้าไม่อนุญาตใ ห้สิ่งชำรุดอย่างเราสองคนมีชีวิ ตอยู่ นั่นแหละสิ่งดีที่สุดที่เราจะให ้เค้าได้ คือการตายไปจากชีวิตของเค้าเสีย แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบความรู้สึก ลึกล้ำที่เราสองคนมีต่อเค้าก็ตา มที แต่ก็คงดีกว่าที่เราสองคนยังมีช ีวิตอยู่กับความทุกข์ทรมานให้เค ้ารำคาญใจ วิญญูชนย่อมไม่สร้างความลำบากย ากใจแก่ผู้คน เราแม่งเป็นวิญญาณชน คือมีสภาพเป็นวิญญาณในสายตาของเ ค้า
ก็ไม่ควรทำให้เค้าลำบากใจ สิ่งที่เราทำได้ก็แค่นี้แหละ
แค่ร่ำสุราปรับทุกข์ ราดรดแผลใจให้ลืม น้ำเมาแม่งอาจจะขมปาก
แต่มันก็ไม่ขมเท่าน้ำคำที่ไม่เค ยเอ่ยจากปาก โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่เคยลืม สุดท้ายมันก็จบลงที่ความทุกข์ทร มานสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่กับคว ามทรงจำอย่างเราสองคน โกวเล้งแม่งยังเคยกล่าวไว้ "คิดอาศัยสุราราดรดทุกข์ ทุกข์กลับทับถมทวีคูณ รักยิ่งล้ำลึก ทุกข์ยิ่งเพิ่มทวี"
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555
เหมือนเดิม
"กะเพราไก่ไข่ดาว"
ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปาก ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งก็จัดแจงเมนูให้ผมเสียเสร็จสรรพ ก่อนถามย้ำว่า เหมือนเดิมใช่ไหม ใช่ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปจากเดิม ชีวิตของผมเป็นเช่นนั้นเสมอมา เสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนเดิม ร้านข้าวปากซอยเหมือนเดิม สั่งอาหารเมนูเดิม น้ำส้มไบร์เล่ย์หนึ่งขวดเหมือนเดิม ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ
วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีงานฉลอง ไม่มีของขวัญ สำหรับผมคนที่เหมือนเดิมทุกอย่าง ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวลวก ๆ เดินออกมากินข้าวร้านปากซอย หาหนังสืออ่านในร้านหนังสือหรือห้องสมุด นั่งริมแม่น้ำเหม่อมองทิวทัศน์ตอนเย็น ๆ แล้วกลับไปขังตัวเองในห้องเงียบเหงา ใช่ วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ หากจะมีความหมายอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครจำได้แล้ว เว้นแต่ผมคนที่ไม่เหมือนเดิมเท่านั้นที่ไม่เคยลืม วันนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดปีที่เราสองคนคบกัน หากเรายังคบกันอยู่
ใช่-หากเรายังคบกันอยู่ แต่เธอหายไปจากชีวิตผมมานานนับปีแล้ว
เรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนเหมือนความฝัน เธอผู้มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ และมีโลกใบใหม่ที่น่าตื่นเต้นเดินเข้ามาในโลกเดิม ๆ ของผม เสื้อยืดกางเกงยีนส์ของผมเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตในบางวัน และร้านข้าวที่เธอพาไปก็ไกลกว่าปากซอย คงมีก็แต่เมนูอาหารที่ยังไม่เปลี่ยน
"กินเหมือนเดิมอีกแล้ว" เธอว่า
"ไม่เหมือนเดิมหรอก" ผมยิ้ม "อร่อยกว่าเดิมตั้งเยอะ"
หกปีที่คบกัน นานเกินจะฝัน สั้นเกินจะตื่น เธอทำให้ผมพบโลกใบใหม่ ผมตื่นเต้นกับโลกของเธอในทุกเช้าที่ตื่นนอน แต่สำหรับเธอ เธอพบโลกใบเดียวของผมซ้ำซากทุกวัน ผมยังเป็นคนเดิม คุยแต่เรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ เธอไม่อยากเป็นเข็มนาฬิกา จึงเดินออกจากโลกที่มีขอบเขตแค่หน้าปัดเล็ก ๆ ไปหาคนอื่นที่มีโลกใบใหญ่ไม่ซ้ำซากจำเจ
"เหมือนเดิมใช่ไหม" ป้าเจ้าของร้านย้ำคำ
ผมตื่นจากภวังค์ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปาก ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าให้ อันที่จริงวันนี้ผมตั้งใจจะมาสั่งเมนูอื่น เมื่อวานเธอโทรมาหาผม เธอบอกให้ผมลองเปลี่ยนเมนูอาหารดูเสียบ้าง ถ้าไม่ลองเปลี่ยนเมนูจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรดีกว่าเดิมรออยู่หรือเปล่า เธอบอกผมอย่างนั้นหลังจากบอกข่าวสำคัญว่าเธอกำลังจะแต่งงาน สำหรับเธอวันนี้คือวันแต่งงานของเธอ เป็นวันพิเศษที่สุดในชีวิตของเธอ แต่สำหรับผมวันนี้ก็แค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างยังคงเป็นไปเหมือนเดิม เว้นก็แต่ความตั้งใจที่จะลองเปลี่ยนเมนูอาหาร แต่สุดท้ายก็จบลงที่เมนูเดิม ผมจะเปลี่ยนอะไรได้อย่างไรในเมื่อยังไม่กล้าพอแม้แต่จะดึงรูปถ่ายของใครคนหนึ่งออกจากหัวเตียง ใครคนนั้นที่มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ
อาหารเมนูเดิม น้ำไบร์เล่ย์วางบนโต๊ะเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่วันนี้รสชาติของมันขมปร่าสิ้นดี
๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปาก ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งก็จัดแจงเมนูให้ผมเสียเสร็จสรรพ ก่อนถามย้ำว่า เหมือนเดิมใช่ไหม ใช่ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปจากเดิม ชีวิตของผมเป็นเช่นนั้นเสมอมา เสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนเดิม ร้านข้าวปากซอยเหมือนเดิม สั่งอาหารเมนูเดิม น้ำส้มไบร์เล่ย์หนึ่งขวดเหมือนเดิม ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ
วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีงานฉลอง ไม่มีของขวัญ สำหรับผมคนที่เหมือนเดิมทุกอย่าง ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวลวก ๆ เดินออกมากินข้าวร้านปากซอย หาหนังสืออ่านในร้านหนังสือหรือห้องสมุด นั่งริมแม่น้ำเหม่อมองทิวทัศน์ตอนเย็น ๆ แล้วกลับไปขังตัวเองในห้องเงียบเหงา ใช่ วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ หากจะมีความหมายอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครจำได้แล้ว เว้นแต่ผมคนที่ไม่เหมือนเดิมเท่านั้นที่ไม่เคยลืม วันนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดปีที่เราสองคนคบกัน หากเรายังคบกันอยู่
ใช่-หากเรายังคบกันอยู่ แต่เธอหายไปจากชีวิตผมมานานนับปีแล้ว
เรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนเหมือนความฝัน เธอผู้มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ และมีโลกใบใหม่ที่น่าตื่นเต้นเดินเข้ามาในโลกเดิม ๆ ของผม เสื้อยืดกางเกงยีนส์ของผมเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตในบางวัน และร้านข้าวที่เธอพาไปก็ไกลกว่าปากซอย คงมีก็แต่เมนูอาหารที่ยังไม่เปลี่ยน
"กินเหมือนเดิมอีกแล้ว" เธอว่า
"ไม่เหมือนเดิมหรอก" ผมยิ้ม "อร่อยกว่าเดิมตั้งเยอะ"
หกปีที่คบกัน นานเกินจะฝัน สั้นเกินจะตื่น เธอทำให้ผมพบโลกใบใหม่ ผมตื่นเต้นกับโลกของเธอในทุกเช้าที่ตื่นนอน แต่สำหรับเธอ เธอพบโลกใบเดียวของผมซ้ำซากทุกวัน ผมยังเป็นคนเดิม คุยแต่เรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ เธอไม่อยากเป็นเข็มนาฬิกา จึงเดินออกจากโลกที่มีขอบเขตแค่หน้าปัดเล็ก ๆ ไปหาคนอื่นที่มีโลกใบใหญ่ไม่ซ้ำซากจำเจ
"เหมือนเดิมใช่ไหม" ป้าเจ้าของร้านย้ำคำ
ผมตื่นจากภวังค์ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปาก ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าให้ อันที่จริงวันนี้ผมตั้งใจจะมาสั่งเมนูอื่น เมื่อวานเธอโทรมาหาผม เธอบอกให้ผมลองเปลี่ยนเมนูอาหารดูเสียบ้าง ถ้าไม่ลองเปลี่ยนเมนูจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรดีกว่าเดิมรออยู่หรือเปล่า เธอบอกผมอย่างนั้นหลังจากบอกข่าวสำคัญว่าเธอกำลังจะแต่งงาน สำหรับเธอวันนี้คือวันแต่งงานของเธอ เป็นวันพิเศษที่สุดในชีวิตของเธอ แต่สำหรับผมวันนี้ก็แค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างยังคงเป็นไปเหมือนเดิม เว้นก็แต่ความตั้งใจที่จะลองเปลี่ยนเมนูอาหาร แต่สุดท้ายก็จบลงที่เมนูเดิม ผมจะเปลี่ยนอะไรได้อย่างไรในเมื่อยังไม่กล้าพอแม้แต่จะดึงรูปถ่ายของใครคนหนึ่งออกจากหัวเตียง ใครคนนั้นที่มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ
อาหารเมนูเดิม น้ำไบร์เล่ย์วางบนโต๊ะเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่วันนี้รสชาติของมันขมปร่าสิ้นดี
๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555
LOST IN THE ECHO
I can't fall back, I came too far
Hold myself up and love my scars
Let the bells ring wherever they are
Cause I was there saying...
In these promises broken, deep below
Each word gets lost in the echo
So one last lie, I can see through
This time I finally let you... Go...
ฉันมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับ
จำต้องรับบาดแผลความแพ้พ่าย
ตะโกนก้องกว่าจะสิ้นเสียงสุดท้าย
แม้ความหมายจะไม่มีจากนี้ไป
เพราะทุกคำสัญญานั้นอาสัตย์
ปรากฏชัดทุกภาพลวงเกินรับไหว
แว่วเสียงล่มสลายทั้งกายใจ
สะท้อนก้องในซากวิญญาณ์ ฯ
๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
แด่ค่ำคืนแห่งการล่มสลายทางจิตวิญญาณ
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอ
สิ่งดีที่สุดที่ฉันจะทำให้เธอได้
คือการตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอเสีย
ก่อนที่เขาจะทันได้รับรู้เรื่องราวระหว่างเรา
แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบล้างทุกความรู้สึกลึกล้ำที่ฉันมีต่อเธอ
ซึ่งซุกซ่อนอยู่ทุกวรรคตอนในบทกวีที่ฉันเขียน
๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
ด้วยความระลึกถึง
คือการตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอเสีย
ก่อนที่เขาจะทันได้รับรู้เรื่องราวระหว่างเรา
แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบล้างทุกความรู้สึกลึกล้ำที่ฉันมีต่อเธอ
ซึ่งซุกซ่อนอยู่ทุกวรรคตอนในบทกวีที่ฉันเขียน
๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
ด้วยความระลึกถึง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)