วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภาพยิ้ม

ยิ้มอันอ่อนหวานไร้เดียงสา
พลังแห่งการชม้ายชายชำเลืองอย่างซื่อ ๆ
กระแสแห่งถ้อยคำอันมีเสน่ห์ด้วยคำพูดหลากหลายที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ
และท่าทีเยื้องกรายอันมีลีลาแห่งช่อใบไม้อ่อน
ในตัวหญิงดรุณีผู้มีตางามประหนึ่งนัยน์ตาลูกกวางน้อยนั้น
มีอะไรบ้างหนอที่ไม่งดงามชวนให้น่าหลงใหล

(จาก ศตกตระยัม ของ ภรรตฤหริ)

๏ แล้วรอยยิ้มก็เติมยิ้มให้ผลิแย้ม
แล้วดวงตาก็แต่งแต้มนัยน์ตาหวาน
แล้วความฝันก็เต็มฝันนิรันดร์กาล
เพียงพบเธอในห้วงธารกาลเวลา

๏ เธอจะมาจากไหนไม่เคยรู้
แต่จู่จู่ก็ประสบได้พบหน้า
แล้วดวงตาที่เผลอมองเต็มสองตา
ก็เลือนพร่าและวูบดับไปกับใจ

๏ สิ้นแล้วภาพงามอื่นให้ฝืนมอง
สิ้นแล้วภาพหม่นหมองหรือหม่นไหม้
เหลือแต่ภาพยิ้มเขินหวานเกินใคร
แล้วฤทัยก็พูดพร่ำแต่คำรัก

๏ ราวกับลมรำเพยมาเชยชื่น
ซากใจค่อยตื่นฟื้นตระหนัก
ราวกับลมรำเพยมาเชยชัก
ยิ้มหวานซ่านใจนักประจักษ์ตา

๏ ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน
ความคิดถึงชั่วกาลยาวนานกว่า
ถูกบ่วงห้วงฝันพันธนา
ถึงดวงหน้าหวานซึ้งตราตรึงใจ

๏ แล้วรอยยิ้มที่อ่อนไหวนัยน์ตาหวาน
ก็แผ่ซ่านอยู่เต็มฝันจนหวั่นไหว
เศษซากรักเคยสลายหายไป
ก็กลับรวมกันใหม่ในยิ้มเธอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๙/๑๐/๒๕๕๔

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รำพึงถึงเพื่อนรัก

จู่ ๆ คิดถึงเพื่อนคนดีคนหนึ่งขึ้นมาจับใจ วันนี้อยากไปร่ำสุรากับมึงจนซอดแจ้งเลยว่ะ ในวาระของบางวันเวลาที่ความโศกเศร้าแม่งควรจะบดขยี้เราให้ตายให้พ้น ๆ จากโลกแห่งความปวดร้าวไปนานแล้ว ไม่ใช่ยังทนอยู่ในซากสังขารที่ปราศจากหัวใจเหมือนเช่นตอนนี้ เราทั้งสองแสร้งทำเป็นหัวเราะไม่ยี่หระต่อโลก แต่กูรู้ว่าหัวใจมึงแม่งเหลือแต่ผุยผงเหมือนกู เหี้ยเอ้ย! ขณะที่กูพร่ำรำพันถึงความร้าวรานในหัวใจอย่างยืดยาวกว่าสี่หมื่นแปดพันหน้ากระดาษเอสี่ จนใครบางคนแม่งห่วงว่ากูจะฆ่าตัวตาย มึงแม่งไม่ร้องสักแอะ! กูนับถือใจมึงจริง ๆ นรกเป็นพยานเถอะไอ้เพื่อนรัก! กูแค่อยากจะบอกว่ามึงไม่ผิดหรอก คนมีความรักน่ะไม่มีความผิด โดยเฉพาะคนที่มีหัวใจอันแสนอ่อนโยน แค่โลกนี้มันโหดร้ายเกินกว่าที่คนหัวใจอ่อนโยนอย่างมึงจะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีบาดแผล จริงอยู่ว่าสุราแม่งไม่ช่วยรักษาแผล แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราลืมเจ็บได้ชั่วคราว มันก็แค่ช่วยซื้อเวลาให้เรารักษาตัวเองได้อีกนิดหน่อย เวลาอาจไม่ใช่ยา แต่การเยียวยาต้องใช้เวลา เราซื้อเวลาไปวัน ๆ เพราะหวังว่าสักวันเราจะหายดี แต่ที่จริงมันไม่เคยมาถึง คำว่าสักวันคือวันที่ไม่เคยเดินทางมาถึง มึงรู้ กูรู้ ระยำเถอะ! เราแม่งควรจะลืมเรื่องทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ใช่ไหม แต่กูรู้ว่ามึงทำไม่ได้ เพราะกูก็ไม่เคยลืม ใครแม่งจะลืมลงวะกับความทรงจำที่สวยงามขนาดนั้น แม้สุดท้ายมันจะทำให้เราเจ็บปวดก็ตามที มึงกอดเกี่ยวกุหลาบไว้ในหัวใจ ก็ไม่พ้นหนามแหลมทิ่มแทง ถึงมึงไม่ยอมเปิดปาก แต่ถ้าหากมึงอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา กูจะฟัง ถึงเค้าไม่เห็นคุณค่าของน้ำตามึง แต่กูรู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหนสำหรับน้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งที่รักผู้หญิงเพียงคนเดียวมาตลอดหลายปี ไอ้เหี้ย! มึงแม่งเป็นพิพิธภัณฑ์รักแท้ในรูปทรงของมนุษย์ มึงแม่งควรจะสูญพันธุ์ไปแล้วในโลกหลอกลวงที่คนแม่งแสวงหารักแท้เหมือนเอ็มวีสามนาทีกว่า ๆ ถ้าสถาบันวิจัยรักแท้มีอยู่จริง กูแม่งจะเสนอชื่อมึงเป็นคนแรกและคนเดียวในโลกให้เค้าจับไปทำวิจัย ให้เค้าผ่าหัวใจมึงออกดูว่ามันประกอบขึ้นจากอะไรทำไมมันถึงมีรักมั่นคงได้ขนาดนั้น ไปตายเถอะ! กูไม่ได้ไล่ กูชวน เราสองคนแม่งต้องไปตาย โลกสมบูรณ์แบบของเค้าไม่อนุญาตให้สิ่งชำรุดอย่างเราสองคนมีชีวิตอยู่ นั่นแหละสิ่งดีที่สุดที่เราจะให้เค้าได้ คือการตายไปจากชีวิตของเค้าเสีย แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบความรู้สึกลึกล้ำที่เราสองคนมีต่อเค้าก็ตามที แต่ก็คงดีกว่าที่เราสองคนยังมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ทรมานให้เค้ารำคาญใจ วิญญูชนย่อมไม่สร้างความลำบากยากใจแก่ผู้คน เราแม่งเป็นวิญญาณชน คือมีสภาพเป็นวิญญาณในสายตาของเค้า ก็ไม่ควรทำให้เค้าลำบากใจ สิ่งที่เราทำได้ก็แค่นี้แหละ แค่ร่ำสุราปรับทุกข์ ราดรดแผลใจให้ลืม น้ำเมาแม่งอาจจะขมปาก แต่มันก็ไม่ขมเท่าน้ำคำที่ไม่เคยเอ่ยจากปาก โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่เคยลืม สุดท้ายมันก็จบลงที่ความทุกข์ทรมานสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่กับความทรงจำอย่างเราสองคน โกวเล้งแม่งยังเคยกล่าวไว้ "คิดอาศัยสุราราดรดทุกข์ ทุกข์กลับทับถมทวีคูณ รักยิ่งล้ำลึก ทุกข์ยิ่งเพิ่มทวี"

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เหมือนเดิม

"กะเพราไก่ไข่ดาว"

ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปาก ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งก็จัดแจงเมนูให้ผมเสียเสร็จสรรพ ก่อนถามย้ำว่า เหมือนเดิมใช่ไหม ใช่ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปจากเดิม ชีวิตของผมเป็นเช่นนั้นเสมอมา เสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนเดิม ร้านข้าวปากซอยเหมือนเดิม สั่งอาหารเมนูเดิม น้ำส้มไบร์เล่ย์หนึ่งขวดเหมือนเดิม ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ

วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีงานฉลอง ไม่มีของขวัญ สำหรับผมคนที่เหมือนเดิมทุกอย่าง ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวลวก ๆ เดินออกมากินข้าวร้านปากซอย หาหนังสืออ่านในร้านหนังสือหรือห้องสมุด นั่งริมแม่น้ำเหม่อมองทิวทัศน์ตอนเย็น ๆ แล้วกลับไปขังตัวเองในห้องเงียบเหงา ใช่ วันนี้เป็นแค่วันหนึ่ง ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ หากจะมีความหมายอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครจำได้แล้ว เว้นแต่ผมคนที่ไม่เหมือนเดิมเท่านั้นที่ไม่เคยลืม วันนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดปีที่เราสองคนคบกัน หากเรายังคบกันอยู่

ใช่-หากเรายังคบกันอยู่ แต่เธอหายไปจากชีวิตผมมานานนับปีแล้ว

เรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนเหมือนความฝัน เธอผู้มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ และมีโลกใบใหม่ที่น่าตื่นเต้นเดินเข้ามาในโลกเดิม ๆ ของผม เสื้อยืดกางเกงยีนส์ของผมเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตในบางวัน และร้านข้าวที่เธอพาไปก็ไกลกว่าปากซอย คงมีก็แต่เมนูอาหารที่ยังไม่เปลี่ยน

"กินเหมือนเดิมอีกแล้ว" เธอว่า

"ไม่เหมือนเดิมหรอก" ผมยิ้ม "อร่อยกว่าเดิมตั้งเยอะ"

หกปีที่คบกัน นานเกินจะฝัน สั้นเกินจะตื่น เธอทำให้ผมพบโลกใบใหม่ ผมตื่นเต้นกับโลกของเธอในทุกเช้าที่ตื่นนอน แต่สำหรับเธอ เธอพบโลกใบเดียวของผมซ้ำซากทุกวัน ผมยังเป็นคนเดิม คุยแต่เรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ชีวิตที่แสนแห้งแล้ง เดินตรงเหมือนนาฬิกา วนเวียนในหน้าปัดขนาดเล็กพอจะกักขังเข็มนาฬิกาสามเข็มให้วิ่งวนอย่างนั้นไม่รู้จบ เธอไม่อยากเป็นเข็มนาฬิกา จึงเดินออกจากโลกที่มีขอบเขตแค่หน้าปัดเล็ก ๆ ไปหาคนอื่นที่มีโลกใบใหญ่ไม่ซ้ำซากจำเจ

"เหมือนเดิมใช่ไหม" ป้าเจ้าของร้านย้ำคำ

ผมตื่นจากภวังค์ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปาก ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าให้ อันที่จริงวันนี้ผมตั้งใจจะมาสั่งเมนูอื่น เมื่อวานเธอโทรมาหาผม เธอบอกให้ผมลองเปลี่ยนเมนูอาหารดูเสียบ้าง ถ้าไม่ลองเปลี่ยนเมนูจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรดีกว่าเดิมรออยู่หรือเปล่า เธอบอกผมอย่างนั้นหลังจากบอกข่าวสำคัญว่าเธอกำลังจะแต่งงาน สำหรับเธอวันนี้คือวันแต่งงานของเธอ เป็นวันพิเศษที่สุดในชีวิตของเธอ แต่สำหรับผมวันนี้ก็แค่วันหนึ่ง ๆ เป็นวันหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างยังคงเป็นไปเหมือนเดิม เว้นก็แต่ความตั้งใจที่จะลองเปลี่ยนเมนูอาหาร แต่สุดท้ายก็จบลงที่เมนูเดิม ผมจะเปลี่ยนอะไรได้อย่างไรในเมื่อยังไม่กล้าพอแม้แต่จะดึงรูปถ่ายของใครคนหนึ่งออกจากหัวเตียง ใครคนนั้นที่มีรอยยิ้มหวานมองดูไม่รู้เบื่อ

อาหารเมนูเดิม น้ำไบร์เล่ย์วางบนโต๊ะเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่วันนี้รสชาติของมันขมปร่าสิ้นดี

๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

LOST IN THE ECHO


I can't fall back, I came too far
Hold myself up and love my scars
Let the bells ring wherever they are
Cause I was there saying...

In these promises broken, deep below
Each word gets lost in the echo
So one last lie, I can see through
This time I finally let you... Go...

ฉันมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับ
จำต้องรับบาดแผลความแพ้พ่าย
ตะโกนก้องกว่าจะสิ้นเสียงสุดท้าย
แม้ความหมายจะไม่มีจากนี้ไป

เพราะทุกคำสัญญานั้นอาสัตย์
ปรากฏชัดทุกภาพลวงเกินรับไหว
แว่วเสียงล่มสลายทั้งกายใจ
สะท้อนก้องในซากวิญญาณ์ ฯ

๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
แด่ค่ำคืนแห่งการล่มสลายทางจิตวิญญาณ

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอ

สิ่งดีที่สุดที่ฉันจะทำให้เธอได้
คือการตายไปให้พ้นจากชีวิตของเธอเสีย
ก่อนที่เขาจะทันได้รับรู้เรื่องราวระหว่างเรา
แม้ว่ามันจะไม่ช่วยลบล้างทุกความรู้สึกลึกล้ำที่ฉันมีต่อเธอ
ซึ่งซุกซ่อนอยู่ทุกวรรคตอนในบทกวีที่ฉันเขียน


๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
ด้วยความระลึกถึง