วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แม่สาย



วันก่อนวิทยุเปิดเพลง "แม่สาย" เลยคุยกับพี่ในที่ทำงานว่า คนสมัยก่อนนี่ช่างมีเวลาละเมียดละไมกับเนื้อเพลงเหลือเกิน เพลงนี้ใช้เวลาเล่าเรื่องเกือบ ๆ 5 นาที แถมกว่าจะเข้าเรื่อง ยังมีเกริ่นนำอย่างกับเรื่องสั้นสมัยก่อน

"ฟากฟ้ายามเย็น เห็นแสงรำไร อาทิตย์จะลับโลกไป พระจันทร์จะโผล่ขึ้นมา..." เปิดด้วยการบรรยายฉากว่าถึงตอนเย็นแล้วนะ อันนี้เรื่องสั้นสมัยก่อนทำกันเยอะจริง ๆ (แม้แต่สมัยนี้) คิดอะไรไม่ออกเกริ่นฉากไว้ก่อน

"หมู่มวลวิหค เหินลมอยู่กลางเวหา จะกลับคืนสู่ชายคา ชายป่าคือแหล่งพักพิง..." ตามด้วยการเล่าว่าเย็นแล้วนกมันก็บินกลับรัง แต่มีนกบางตัว (คือนางเอกในเพลง) ยังไม่กลับบ้าน เอาล่ะเข้าเรื่องซะที เบ็ดเสร็จใช้เวลาเกริ่นเรื่องนาทีกว่า ๆ ยังไม่เข้าท่อนบริดจ์ ท่อนฮุกเลย นี่ถ้าเพลงสมัยนี้ต้องยิงเข้าฮุคตั้งแต่ต้นนาทีแล้ว

"เมื่อรู้สึกตัวว่าสายเกินไป หมื่นพันที่เธอผ่านชาย หัวใจเธอจึงเย็นชา สังคมกระหน่ำ ซ้ำสองเธอต้องติดยา ไม่คิดหวนคืนบ้านนา ปรารถนาเพียงยาเมา" นั่นไง ยิงฮุคแล้วไม่พอ ยังทวีความขัดแย้งเข้าไปอีก นี่เพลงรึเรื่องสั้นวะเนี่ย แล้วก็ส่งมาที่ไคล์แมกซ์ของเรื่องว่า "ผู้เฒ่าล้มป่วย คนช่วยไปบอก เธอจึงจากเมืองบางกอก หวังไปให้ทันเวลา...นกน้อยกลับมาแค่ทันพระสวด ใครเล่าเจ็บปวดรวดร้าวเท่าสาวเมืองเหนือ"

ยังไม่พอ ตอนจบยังตั้งคำถามกับ "ความเป็นเรื่องเล่า" อีก ว่า "สังคมเมืองไทย ใครฟังเขาคงไม่เชื่อ..." ทำนองว่าเรื่องบางเรื่องเหมาะจะเป็นเรื่องจริงมากกว่า

ยังไม่นับภาษา การเล่นคำ "แม่สายที่เธอจากมา เหมือนวาจาว่าสายเกินไป" ความเปรียบ (metaphor) ให้เธอเป็น "นกน้อยจากท้องนาราคาถูก" ฯลฯ

ฟังจบเพลง เหมือนอ่านเรื่องสั้นจบเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก่อนนี่มีเวลาฟังเพลงเยอะกันจริง ๆ ถ้าเป็นคนสมัยนี้เวลาไม่ค่อยมี เพลงเปิดมาก็ ฉันรักเธอ อะอึ๊อ๊ะ... จบ ล่ะมั้ง 555

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ช่อการะเกด ลด 50%!!



ได้ยินข่าวว่าหนังสือช่อการะเกดรุ่น 3 ลดราคา 50% ก็ใจหาย ในที่สุดก็ถึงคิวลดราคาสะบั้นหั่นแหลกของสนามเรื่องสั้นในตำนาน นึกถึงหนังสือช่อการะเกดรุ่น 3 ราคาเต็มทุกเล่มของตัวเองที่บ้าน แถมยังถ่อไปซื้อถึงออฟฟิศ ฅ. คน สมัยอยู่ซอย 43/1 แทบทุกเล่มอีกต่างหาก สมดังที่ศิษย์เก่าช่อฯ ร่วมรุ่นคนหนึ่งแซวว่าเป็น "ศิษย์ช่อฯ ผู้รักสถาบัน"

การกลับมาและการมีอยู่ของช่อการะเกด ยุค 3 ทำให้ผม "มีไฟ" เขียนเรื่องสั้นอย่างเป็นบ้าเป็นหลังในช่วงหนึ่ง (แม้ว่าการ "เปิดซิง" ตีพิมพ์ครั้งแรกจะไม่ได้เริ่มที่ช่อการะเกดก็ตามที) ในทุก ๆ ไตรมาสก็จะมีงานส่งไปให้พี่สุชาติได้ผ่านตาอยู่เสมอ แล้วพอถึงแต่ละรอบไตรมาสก็จะคิดขึ้นมาว่า เอ... คราวนี้จะเขียนอะไรให้ชนะใจพี่สุชาติดีนะ คิดแค่นี้ก็ดูเหมือนว่าประดาพล็อตพิลึกๆ  กลวิธีเล่าเรื่องแปลกๆ ฯลฯ พากันไหลมาเทมาให้ลองเขียนอย่างสนุกสนาน แม้ว่าแทบทุกไตรมาสจะลงเอยด้วย "ผ่านเลย" นาน ๆ ครั้งก็ "ผ่านรอ" ให้ชื่นใจเล่น แต่ก็ไม่เคยเข็ด ยังทำหน้ามึนขยันส่งไปให้แกอยู่เรื่อย ๆ

อาจจะเพราะเหตุนี้ พี่สุชาติจึงเกิดความเมตตากรุณาปนสงสารที่เห็นเด็กอ้วน ๆ คนหนึ่งส่งเรื่องสั้นมาแทบทุกไตรมาส จึงทำให้เล่มรองสุดท้ายคือเล่ม 54 ได้ผ่านเกิดสมใจ จำได้ว่าคอมเม้นต์เรื่องสั้นที่ได้ผ่านเกิด พี่สุชาติเขียนไว้ว่า "ขอให้ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบร้อนที่จะมีชิ้นงานในทุกฉบับ..." คงเพราะเค้าเห็นว่าไอ้อ้วนนี่ขยันส่งมาเหลือเกิน ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ขัดเกลาให้ถึงที่สุดก่อนค่อยส่งมาก็ได้นะ 555

ผลจากการมีอยู่ของช่อการะเกดตลอด 3 ปี นับแต่เล่ม 42 - 55 นอกจากจะทำให้ผมได้ฝึกฝีมือเขียนเรื่องสั้นโดยมีแรงผลักดันว่า "อยากชนะใจ บก. ในตำนานอย่างพี่สุชาติสักครั้ง" ยังทำให้มีเรื่องสั้นในมืออีกกลุ่มหนึ่งที่เอามาขัดเกลาใหม่และได้ผ่านเกิดในเวทีอื่น ๆ เช่นเรื่องสั้นแนวทดลองที่รวมเล่มส่งรางวัลยังไทยอาร์ตติส 2011 และแนวไม่ทดลอง (55) ที่รวมเล่มส่งในปี 2012 หรือกระทั่งเรื่องสั้น "การตามหาหนังสือนิยายฯ" ที่ได้รองชนะเลิศนายอินทร์ฯ ปีก่อน ก็เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่ตั้งใจว่าจะส่งเป็นลำดับถัดจากการได้ผ่านเกิด (แต่ขัดเกลาไม่ทันส่ง ช่อการะเกดปิดตัวไปซะก่อน)

ยอมรับว่าการจากไปของช่อการะเกดส่งผลสะเทือนต่อแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องสั้นของผมอยู่พอสมควร จากแสงไฟที่เคยทนฟ้าฝนเป็นตะเกียงเจ้าพายุ วันนี้เหลือแค่แสงเทียนเล่มเล็กๆ กลางสายฝนจวนจะดับมิดับแหล่ แม้ว่ายังเหลือนิตยสารอีกหลายหัวและงานประกวดอีกหลายงานให้ประลองฝีมือก็ตามที ที่สุดแล้วมันอาจเร้าใจน้อยกว่าการนึกถึงหน้า บก. เครางาม แล้วบอกกับตัวเองว่า ไหนลองเขียนอะไรใหม่ ๆ ไปชนะใจแกสักครั้งซิ แต่ก็คงพยายามเขียนต่อไป ลับฝีมือไว้ด้วยความหวังว่าอีกไม่นานคนรักวรรณกรรมสักคนหรือสักกลุ่มคงจะปลุกปั้นให้ช่อการะเกดกลับมาได้อีกครั้ง

สุดท้ายนี้อย่าลืมไปซื้อตำนานอีกบทหนึ่งของวงการเรื่องสั้นไทยมาเก็บสะสมไว้นะครับ โดยเฉพาะเล่ม 54 ที่กล่าวกันว่ามีนักเขียนหน้าตาดีได้ผ่านเกิดเปิดซิงช่อการะเกดเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในยุคที่ 3 อิอิ (โฆษณาแฝง)

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เธอรักฝน


เธอที่รัก...เธอรักฝน
เป็นไปได้ว่าชาติที่แล้วเธอเกิดเป็นกบอ๊บอ๊บ
จึงเริงร่ายามท้องฟ้าโรยน้ำเย็นชุ่มฉ่ำ
และผลิบานราวบุปผาต้องละอองน้ำค้าง

เธอที่รัก...ฉันเกลียดฝน
เมื่อม่านฟ้าเทาหอบมวลสารความเศร้ามาทับถม
มันหนาวเหน็บเกินกว่าการกอดตัวเองของฉันจะทานทน
น้ำตาฟ้าทยอยร่วงหล่นแข่งกับน้ำตาฉันเอง

เธอที่รัก...ฉันรักเธอ
แม้ม่านฝนจะทำให้ความสุขของเราสวนทาง
แต่ฉันก็หลงรักรอยยิ้มของเธอในวันฝนตกเสมอมา
ขอแค่เธอแบ่งปันอ้อมกอดซึ่งโอบล้อมเมฆฝนอย่างเริงใจ
มาให้ฉันที่กำลังร้องไห้และหนาวเหน็บบ้างเท่านั้น

๑๖ ต.ค. ๕๖

*ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

6 ตุลา


๖ ตุลาฯ หวนมาอีกคราครั้ง
ทุกร่องรอยความหลังความคลั่งบ้า
มรดกความเกลียดชังยังติดตา
เราเข่นฆ่ากันในนามของความดี

ปลุกระดมคนไทยคอยไล่ล่า
ลงเอยด้วยการฆ่าน่าบัดสี
สามทศวรรษผ่านนานปี
ถึงวันนี้มีอะไรไม่เหมือนเดิม?

ยังมีฝ่ายรักล้นเสียจนคลั่ง
ส่วนฝ่ายชังก็เกลียดชังทั้งส่งเสริม
รอยเลือดและน้ำตามาต่อเติม
ยิ่งพูนเพิ่มเรื่องราวปวดร้าวใจ

๖ ตุลาฯ หวนมาอีกคราครั้ง
เราก็ยังแค้นเคียดเกลียดกันใช่ไหม
เราส่งต่อมรดกสุมอกใคร
เราต้องฆ่ากันต่อไปใช่ไหมที่รัก?

เก้าอี้ในมือต่างถือไว้
เราจะเข่นฆ่าใครใจคงประจักษ์
ตราบที่สุมไฟเกลียดเคียดแค้นนัก
เราคงชักมาฟาดฟันกันต่อตา

ประวัติศาสตร์อัปยศแสนอดสู
เราเรียนรู้, หรือจะรั้งความคลั่งบ้า
ผ่านคืนวันสกปรก ๖ ตุลาฯ
เราเข่นฆ่าความเกลียดชังหรือยังนะ?


วุฒินันท์ ชัยศรี
๖ ตุลาคม ๒๕๕๖