หากยังจำกันได้ในค่าย IBook2 ผมได้อ่าน "บทอัศจรรย์" ของขุนช้างขุนแผน สำนวน "ครูแจ้ง" ให้หลาย ๆ คนฟัง ซึ่งปฏิกิริยาหลังได้ฟังแล้ว... คงไม่ต้องสาธยายมาก ^_^
นั่นคือสำนวนแบบชาวบ้านของแท้ โลดโผน เห็นภาพ และใช้สัญลักษณ์อย่างชาญฉลาดที่สุด แม้แต่เรื่อง "โจ๋งครึ่ม" โต้ง ๆ ขนาดนี้ ยังเขียนออกมาเป็นกลอนได้อย่างไพเราะและลงตัว
น่าเสียดายที่อาจจะโลดโผนเกินไปในสายตาของผู้ชำระ เมื่อรวบรวมเข้าเป็นฉบับหลวง จึงต้องตัดออกไป เรา ๆ ท่าน ๆ เลยได้อ่านแต่ฉบับที่สวยงาม ขาวสะอาด แม้จะมีคำโลดโผนโผล่มาบ้างก็แค่พอวับ ๆ แวม ๆ อาทิ บทอัศจรรย์ระหว่างพลายแก้วกับสายทอง (พี่เลี้ยงนางพิม) ที่ว่า
๏ พลางเป่าปัถมังกระทั่งทรวง
สายทองง่วงงงงวยระทวยนิ่ง
ทำตาปริบปรอยม่อยประวิง
เจ้าพลายอิงเอนทับลงกับเตียง
๏ ค่อยขยับจับเลื่อนแต่น้อยน้อย
ฝนปรอยฟ้าลั่นสนั่นเปรี้ยง
ลมพัดซัดคลื่นสำเภาเอียง
ค่อยหลีกเลี่ยงแล่นเลียบตลิ่งมา
๏ พายุหนักชักใบได้ครึ่งรอก
แต่เกลือกกลอกกลับกลิ้งอยู่หนักหนา
ทอดสมอรอท้ายเป็นหลายครา
เภตราหยุดแล่นเป็นคราวคราว
๏ สมพาสพิมดุจริมแม่น้ำตื้น
ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว
ปะสายทองดุจต้องพายุว่าว
พอออกอ่าวก็จมล่มลงไป
เรือน้อยลำนั้นคงเจอพายุหนักไปหน่อย เลยล่มที่ปากอ่าวซะงั้น (ฮา)
แต่ฉบับหลวงก็จะประมาณนี้ครับ มีวับ ๆ แวม ๆ ให้หัวใจตึ๊กตั๊กเล่น แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ประเดี๋ยวจะไม่ได้เป็น "ยอดแห่งกลอนสุภาพ" นัยว่าคงต้องสุภาพไว้ เพื่อให้เด็ก ๆ อ่านแล้วใจไม่แตกไปเสียก่อน
แต่เมื่อพูดถึงฉบับชาวบ้าน แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ขับกันแบบเอาฮา และมุกของชาวบ้านส่วนมากก็จะพูด "เรื่องอย่างว่า" อย่างโจ่งแจ้ง เพราะเป็นมุกที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดเวลา และฮามาก ไม่เชื่อไปฟังเวลาชาวบ้านเล่นเพลงปฏิพากษ์ หรือไม่ต้องไปหาไกล ตลกคณะเสียงอีสานนี่แหละ ชุดไหนก็ได้ ดูได้เลย ชุดไหนไม่มีมุกสองแง่สองง่าม ผมยอมให้อมขี้หมามาพ่นใส่หน้าผมได้เลย และมุกพวกนี้ถือเป็นมุกที่ฮาสุด ๆ เสียด้วย
นี่ก็เรืออีกเหมือนกัน มาเจอสำนวนครูแจ้งกันหน่อย (บทนี้แหละครับที่อ่านในค่าย)
๏ เกิดพยับพยุห์พัดอัศจรรย์
สลาตันเป็นละลอกกระฉอกฉาน
ทะเลลึกดังจะล่มด้วยลมกาฬ
กระทบดานกระแทกดังกำลังแรง
๏ สำเภาจีนเจียนจมด้วยลมซัด
สลุบลัดเลียบบังเข้าฝั่งแฝง
ไหหลำแล่นตัดแหลมแคมตะแคง
ตลบตะแลงเลาะเลียบมาตามเลา
๏ ถึงปากน้ำแล่นส่งเข้าตรงร่อง
ให้ขัดข้องแข็งขืนไม่ใคร่เข้า
ด้วยร่องน้อยน้ำอับคับสำเภา
ขึ้นติดตั้งหลังเต่าอยู่โตงเตง
๏ พอกำลังลมจัดพัดกระโชก
กระแทกโคกกระท้อนโขดเรือโดดเหยง
เข้าครึ่งลำหายแคลงไม่โคลงเคลง
จุ้นจู๊เกรงเรือหักค่อยยักย้าย
๏ ด้วยคลองน้อยเรือถนัดจึงขัดขึง
เข้าติดตึงครึ่งลำระส่ำระสาย
พอชักใบขึ้นกบรอกลมตอกท้าย
ก็มิดหายไปทั้งลำพอน้ำมา
๏ พอฝนลงลมถอยเรือลอยลำ
ก็ตามน้ำแล่นล่องออกจากท่า
ทั้งสองเสร็จสมชมชื่นดังจินดา
ก็แนบหน้าผาสุขมาทุกวัน
เป็นไงครับ อึ้ง ทึ่ง สยิวกิ้วกันไหม เอ... นี่เขาพูดถึงการแล่นเรือนี่นะ อิอิ ขอบอกว่า ต่อให้คนที่ไม่มีความลามกติดตัว อ่านแล้วก็ยังพอจะรู้ครับว่าเป็นเรื่องของ "การแล่นเรือ" จริง ๆ ส่วนคนที่มีความลามกติดตัวอยู่บ้าง อ่านแล้วฮาก๊ากแน่นอน โดยเฉพาะคนที่มีคลังศัพท์ทำนองนี้ในสมอง เพราะ "ครูแจ้ง" เล่นเอามาพูดเสียแพรวพราว ได้อารมณ์ "การแล่นเรือ" จริง ๆ
นี่แหละครับคือ "เสภา" สำนวนชาวบ้าน ที่ขับกัน เล่นกันแบบไม่ต้องไว้มาดผู้ดี ก็เป็นผู้ดีแล้วขำก๊ากไม่ได้นี่นา (ตามทฤษฎีรสของสันสกฤตเขาว่าไว้อย่างนั้น)
อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนคงอยากรู้ว่า "ครูแจ้ง" คือใคร?
กล่าวสั้น ๆ คือครูเพลงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมโด่งดังในการเล่นเพลงพื้นบ้าน หันมาเล่นเสภาในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ และมีชื่อเสียงในด้านเสภาช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ ดังนั้น ลีลากลอนเสภาของครูแจ้งจึงกระเดียดไปทางเพลงยาวสองแง่สองง่าม สำนวนถึงพริกถึงขิงถูกใจชาวบ้านยิ่งนัก สำหรับประวัติยาวกว่านี้ก็ไปหาอ่านใน "ตำนานเสภา" พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพต่อละกันครับ
แน่นอนว่าสำนวนครูแจ้งนั้น หลายสำนวนโลดโผน ลือเลื่องกระเดื่องไปทั่วแผ่นดิน แต่บางครั้งคนในวังก็มองว่า "หยาบ" ไปหน่อย จึงไม่ได้รวมเข้าฉบับหลวง แต่ก็ใช่ว่าฉบับที่อ่านกันอยู่ไม่มีสำนวนครูแจ้ง เพราะมีหลายตอนที่ครูแจ้งแต่งได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง เรื่องทำนองนี้ในขุนช้างขุนแผนฉบับหลวง ส่วนมากเป็นฝีมือครูแจ้งทั้งสิ้น เช่นตอนตีดาบฟ้าฟื้น
๏ จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก
ตรองตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา
ได้เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา
ท่านวางไว้ในมหาศาสตราคม
๏ เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
ยอดปราสาททวารามาประสม
เหล็กขนันผีพรายทั้งตายกลม
เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร
และเหล็กอื่น ๆ อีกกว่าสิบชนิด พร้อมวิธีตีดาบอย่างละเอียด ไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ในฉบับหลวงครับ
สำนวนครูแจ้งเป็นที่นิยมเช่นนี้เพราะครูแจ้งแต่งได้กระชับและเห็นภาพ คือ "ถึง" แต่สำนวนของครูแจ้งบางครั้งดู "ซาดิสม์" ไปหน่อย เช่นตอนขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ทำกุมารทอง
๏ เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก
เลือดทะลักหลวมทะลุตลอดสัน
นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน
เลือดก็ดั้นดาษแดงดังแทงควาย
๏ แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก
แหวะหวะฉะรกให้ขาดสาย
พินิจแน่แลเห็นว่าเป็นชาย
ก็สมหมายดังใจไม่รั้งรอ
อืยยยส์... โหดจนเห็นภาพจริง ๆ แต่ถ้าไม่ได้อารมณ์แบบนี้ ก็คงไม่ใช่ "ครูแจ้ง" แน่นอน
นอกจาก "เรื่องแล่นเรือ" เรื่องไสยศาสตร์ของขลัง กับเรื่องซาดิสม์ ครูแจ้งก็ยังเขียนเรื่องอื่น ๆ รวมถึงเรื่อง "สองแง่สองง่าม" ไว้อีกหลายสำนวน แต่หลายบทถูกตัดออกจากสำนวนหลวงเพราะ "ทะลึ่ง" เกินไป แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ผมเชื่อ (อย่างเหลือเกิน) ว่า คนไทยชอบนักแหละเรื่องแบบนี้ พอตัดออกไป รสมันส์ ๆ ในวรรณคดีก็จืดจางลงไปนิด ผมจะยกตัวอย่างมาสักหน่อยพอให้ครึกครื้น โดยยกมาจาก "ขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่" ของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านพูดถึงตอนนางศรีประจันอบรมนางพิม ก่อนจะส่งตัวเข้าหอ สำนวนหลวงดูเป็นการอบรมธรรมดา ๆ แต่ลองดูสำนวนครูแจ้งกัน
๏ งามปลื้มอย่าลืมแม่สอนสั่ง
อุตส่าห์ฟังจำไว้ให้ถ้วนถี่
อันการปรนนิบัติของสตรี
เมื่อทำดีแล้วชายไม่หน่ายใจ
๏ สู้ถ่อมตัวปรนนิบัติคอยจัดแจง
เมื่อเขาแข็งแล้วอย่าขัดอัชฌาสัย
รู้จิตผัวว่าสมัครรักเท่าไร
ก็ยักย้ายส่ายให้ถูกใจกัน
หึ หึ... คงไม่ต้องอธิบายมั้งครับสำหรับบทนี้
ลองดูอีกสักบทหนึ่งตอนที่สอนให้ทำกับข้าวเอาใจสามี คุณแม่ก็แสนดีบอกสูตรอาหารเด็ดให้เหมือนในฉบับหลวง คือมีต้มตีนหมู ไข่ไก่สด และปลาไหลต้มยำ แต่ที่แถมมาต่างกับฉบับหลวงคือ "สรรพคุณ" ของกับข้าวว่าดีเหลือหลาย
๏ อุตส่าห์จำทำให้ผัวกินลอง
ล้วนแต่ของมีกำลังทั้งสามสิ่ง
ทำให้กินเนืองเนืองเปรื่องขึ้นจริง
ทุกสิ่งของแท้เป็นแน่นอน
๏ ทำให้กินทุกวันหมั่นสำเหนียก
แม้อ่อนเปียกก็จะแข็งเป็นไม้ท่อน
พอตกค่ำขึ้นท้ายไม่หลับนอน
พายเรือคอนเหยาะเหยาะจนเคาะระฆัง
หึ หึ... เป็นอีกบทที่คงไม่ต้องอธิบาย เชื่อว่าผู้ที่มีความสัปดนอยู่ในหัวใจเล็ก ๆ คงจะขำกิ๊กได้บ้าง
ทุกวันนี้เด็กไทยไม่ชอบอ่านวรรณคดี อาจเป็นเพราะอ่านยาก แต่ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเรื่องราวในฉบับหลวงหรือที่สอน ๆ กันในหลักสูตรอาจจะราบเรียบไปหน่อย ผมคิดว่าหากเด็ก ๆ (ที่อาจจะโตแล้วสักหน่อยก็ได้เอ้า) ที่ชินชากับสำนวน "คุณหนู" ในรั้วโรงเรียน มีโอกาสได้อ่านสำนวน "ทะลึ่ง" ของชาวบ้าน ที่ถูกจริตของคนไทยแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะ "ติดใจ" และเผลอตกหลุมรักวรรณคดีไทยโดยไม่รู้ตัวอย่างผมก็ได้
บทอัศจรรย์ ว่าด้วยเรื่องเพศในสังคมไทย
ตอบลบต่ายว่าน่าขันดีนะ เอาเข้าจริงเรื่องเพศก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ชาวบ้านสมัยก่อน หรือในชนบทเห็นว่าเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิตแหละ
เหมือนกิน นอน มันขาดไม่ได้ ...
แต่พอมายุคหนึ่ง เราก็เห็นว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งไม่สุภาพ หยาบคาย
เพื่อพยายามทำให้ตัวเองดูมีอารยะ มีวัฒนธรรม ไม่ป่าเถื่อนก็เท่านั้น
จริงหรอ....
ยิ่งเราปกปิดแสร้งทำว่า ไม่เคยสัมผัสมันในชีวิต ก็เหมือนกับว่า
เราบ้าไปกันใหญ่เนาะ
วัฒนธรรมหลวงบางทีลดทอนวัฒนธรรมราษฎร์ ไปอย่างน่าเสียดาย ตัดรากอะไรบางอย่างแยกออกไปจากตัว เหมือนกับการตั้งชื่อให้กับอำเภอทางภาคอีสานอย่างหมดจดงดงามก็เช่นกัน...
(Rabbit)
เปนเพราะวัฒนธรรมวิคเตอเรียนครับ
ลบซึ่งเข้ามาในราวรัชกาลที่3-4
วัฒนธรรมนี้สอนให้รักนวลสวนตัว
เรื่องเพศเปนเรื่องน่ารังเกียจ
ค่านิยมนี้จึงติดมาในปัจจุบันครับ