เรื่องแรก เราบอกเพื่อนและน้อง ๆ ของเราเสมอว่า อย่าหลงเชื่อคนที่มีฐานะทางสังคม หรือพวกนักเขียนมากนัก (รวมทั้งตัวเราเองด้วย อุ่ย!) จริงอยู่ว่าคนชั่ว ๆ มันก็มีอยู่ทุกวงการ แต่ในคราบของชนชั้นปัญญาชน คนชั่วเหล่านี้มีวิธีปกปิดหรือกลบเกลื่อนความชั่วของตัวเองได้แนบเนียนกว่าวงการอื่น ๆ และในฐานะที่เราก็เคยใช้การเขียนทำมาหากินมาบ้าง บอกเลยว่าเราจะเลือกหยิบคำอะไรมาใช้ให้ตัวเองดูหล่อได้ทั้งนั้น (อย่างเช่นในสเตตัสนี้) หรือหยิบคำหวานแบบไหนก็ได้มาปรนเปรอหญิงสาวที่กำลังจีบ บางทีเราพูดพร่ำไปว่าแววตาของคุณทำให้หัวใจผมสลาย ทว่ามีแต่เราที่รู้ว่าใจเราสลายเพราะแววตาจริงหรือแกล้งพูดสวย ๆ ไปอย่างนั้นเอง ดังนั้นอย่าไปสนใจคำพูดเค้ามาก การกระทำเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเค้าเป็นคนแบบไหน หรือไม่ก็ไปถามแฟนเก่า (ฮา)
เรื่องที่สอง
เราเองก็เป็นคนชั่วในหลายเรื่อง
เพราะถ้าเราเป็นคนดีจริงก็คงไม่ทำให้ผู้หญิงที่เรารักเสียใจและปัจจุบันก็เสียเค้าไปทุกคน
แต่เรื่องสุดท้ายในชีวิตที่จะทำ (และไม่คิดจะทำ)
คือการลงไม้ลงมือกับผู้หญิง
อันที่จริงถ้าเรื่องทำร้ายจิตใจอาจเผลอไปบ้างเพราะเราปากไว ปากหมา
และปากจัดมาก (ปัจจุบันก็พยายามลดลงบ้าง)
แต่เรื่องต่อยตีผู้หญิงนี่เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของเราจริง ๆ
ทำไมเขาไม่คิดว่าผู้หญิงไม่ควรถูกผู้ชายทำร้ายร่างกายไม่ว่าในกรณีใด ๆ
การที่เรามองผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าผู้ชายและควรได้รับการปกป้อง
พวกเฟมินิสต์อาจจะด่าเราก็ไม่ว่ากัน แต่สำหรับเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสรีระ
กล้ามเนื้อ มวลกระดูก ความอ่อนไหวทางอารมณ์
และโซ่ตรวนจากค่านิยมบ้าบอในสังคม
แค่นี้มันก็พันธนาการความเข้มแข็งของผู้หญิงไว้เกือบเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์แล้ว
มึงยังกล้าซ้ำเค้าด้วยกำปั้นอีกเหรอวะ
ผู้ชายที่ซ้อมผู้หญิงนี่เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง
ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน แต่ถึงรู้ภูมิหลังอันแสนเศร้า (ถ้ามี)
ก็คงไม่ได้ทำให้ความเห็นใจเราเพิ่มขึ้นแม้สักน้อย
คนพรรค์นี้อย่าว่าแต่จะถามหาความเป็นลูกผู้ชายเลย แค่จะถามหาความเป็นคน
บางทีอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ