วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ในความเป็นคน

ดราม่าอาจารย์คอลัมนิสต์ของสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่งทำให้นึกอะไรได้สองเรื่อง
เรื่องแรก เราบอกเพื่อนและน้อง ๆ ของเราเสมอว่า อย่าหลงเชื่อคนที่มีฐานะทางสังคม หรือพวกนักเขียนมากนัก (รวมทั้งตัวเราเองด้วย อุ่ย!) จริงอยู่ว่าคนชั่ว ๆ มันก็มีอยู่ทุกวงการ แต่ในคราบของชนชั้นปัญญาชน คนชั่วเหล่านี้มีวิธีปกปิดหรือกลบเกลื่อนความชั่วของตัวเองได้แนบเนียนกว่าวงการอื่น ๆ และในฐานะที่เราก็เคยใช้การเขียนทำมาหากินมาบ้าง บอกเลยว่าเราจะเลือกหยิบคำอะไรมาใช้ให้ตัวเองดูหล่อได้ทั้งนั้น (อย่างเช่นในสเตตัสนี้) หรือหยิบคำหวานแบบไหนก็ได้มาปรนเปรอหญิงสาวที่กำลังจีบ บางทีเราพูดพร่ำไปว่าแววตาของคุณทำให้หัวใจผมสลาย ทว่ามีแต่เราที่รู้ว่าใจเราสลายเพราะแววตาจริงหรือแกล้งพูดสวย ๆ ไปอย่างนั้นเอง ดังนั้นอย่าไปสนใจคำพูดเค้ามาก การกระทำเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเค้าเป็นคนแบบไหน หรือไม่ก็ไปถามแฟนเก่า (ฮา)
เรื่องที่สอง เราเองก็เป็นคนชั่วในหลายเรื่อง เพราะถ้าเราเป็นคนดีจริงก็คงไม่ทำให้ผู้หญิงที่เรารักเสียใจและปัจจุบันก็เสียเค้าไปทุกคน แต่เรื่องสุดท้ายในชีวิตที่จะทำ (และไม่คิดจะทำ) คือการลงไม้ลงมือกับผู้หญิง อันที่จริงถ้าเรื่องทำร้ายจิตใจอาจเผลอไปบ้างเพราะเราปากไว ปากหมา และปากจัดมาก (ปัจจุบันก็พยายามลดลงบ้าง) แต่เรื่องต่อยตีผู้หญิงนี่เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของเราจริง ๆ ทำไมเขาไม่คิดว่าผู้หญิงไม่ควรถูกผู้ชายทำร้ายร่างกายไม่ว่าในกรณีใด ๆ การที่เรามองผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าผู้ชายและควรได้รับการปกป้อง พวกเฟมินิสต์อาจจะด่าเราก็ไม่ว่ากัน แต่สำหรับเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสรีระ กล้ามเนื้อ มวลกระดูก ความอ่อนไหวทางอารมณ์ และโซ่ตรวนจากค่านิยมบ้าบอในสังคม แค่นี้มันก็พันธนาการความเข้มแข็งของผู้หญิงไว้เกือบเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์แล้ว มึงยังกล้าซ้ำเค้าด้วยกำปั้นอีกเหรอวะ ผู้ชายที่ซ้อมผู้หญิงนี่เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน แต่ถึงรู้ภูมิหลังอันแสนเศร้า (ถ้ามี) ก็คงไม่ได้ทำให้ความเห็นใจเราเพิ่มขึ้นแม้สักน้อย คนพรรค์นี้อย่าว่าแต่จะถามหาความเป็นลูกผู้ชายเลย แค่จะถามหาความเป็นคน บางทีอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ

วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เสือดำและเพชรพระอุมา


เห็นข่าวการยิงเสือดำ นอกจากความโกรธแค้นแทนสัตว์ป่าอย่างที่สามัญสำนึกของมนุษย์จะพึงมีแล้ว ใจผมก็ยังนึกกระหวัดไปถึงฉากแรกในนวนิยายระดับขึ้นหิ้งของไทยอย่าง "เพชรพระอุมา" ซึ่งเป็นการเปิดตัวตัวละครเอกอย่าง รพินทร์ ไพรวัลย์ ได้อย่างตราตรึงใจสมชื่อชั้นนักเขียนชั้นครูอย่างพนมเทียน

ในวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ คำหนึ่งที่ผมมักจะยกมาพูดกับเด็กเสมอคือคำพูดคลาสสิกของปาป้าเฮมิงเวย์ที่ว่า Show the Readers everything, Tell them nothing. ซึ่งใช้ได้ทั้งกับการเล่าเรื่องและการสร้างตัวละคร อย่าเขียนว่าผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นคนขยันและอดทน แต่ควรเขียนถึงกิจวัตรที่สะท้อนความขยันและอดทนของเขา

ทีนี้ลองมาดูว่าพนมเทียนเปิดตัวรพินทร์ ไพรวัลย์ อย่างไรบ้าง

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อคนงานในสถานีกักสัตว์ประมาทเลินเล่อ ทำให้เสือดำหลุดจากกรงและทำร้ายคนในละแวกนั้นด้วยความตื่นกลัว ส่วนคนงานที่หนีพ้นบ้างก็ใช้ปืนยิงส่ง ๆ บ้างก็หนีเข้าตึก มีก็แต่รพินทร์ ไพรวัลย์ที่อยู่ในสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีสติที่สุด

...............................................

"...ผู้จัดการก็วิ่งหน้าเริดมาหาเขา ซึ่งในขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ในที่โล่งบริเวณสถานีกักสัตว์ใกล้กับรถที่จอดอยู่..."

...............................................

ในที่สุดผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้จ้างวานการขนย้ายสัตว์ป่าก็ตัดสินใจให้รพินทร์ปลิดชีวิตเสือดำเคราะห์ร้ายตัวนั้นเสียก่อนจะมีใครตาย แม้รพินทร์ไม่อยากฆ่าแต่ด้วยความจำเป็นจึงต้องทำ แต่การฆ่าของเขานั้นไม่ใช่การระดมยิงไรเฟิลจากระยะไกล แต่เป็นการยิงอย่าง "เยนเทิลแมน" โดยใช้กระสุนเพียงนัดเดียว ถ้าพลาดก็เท่ากับตาย เป็นการเดิมพันการฆ่าอีกชีวิตหนึ่งด้วยชีวิตตัวเอง

...............................................

"...ว่าแล้วเขาก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋าย่ามของเสื้อล่าสัตว์ที่สวมอยู่ หยิบลูกซิลเวอร์ทิปออกมา กระชากลูกเลื่อนออก ยัดลูกปืนเข้าไปในรังเพลิงนัดเดียว กระแทกลูกเลื่อนปิดแล้วเดินดุ่ม ๆ ตามรอยของเจ้าดำ ซึ่งเห็นมันเผ่นหายไปทางกรงสัตว์ที่ขังไว้เก่า ๆ ด้านซ้ายของบริเวณ..."

...............................................

นอกจากจะใช้กระสุนนัดเดียวแล้ว รพินทร์ยังให้โอกาสเจ้าเสือดำต่อสู้ป้องกันตัวเอง เป็นการให้เกียรติในฐานะคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกัน โดยการรอจังหวะให้เสือตัวนั้นกระโจนเข้ามาแล้วยิงสวน

...............................................

"...เขาตวัดไรเฟิลขึ้นอย่างใจเย็น ตาจับอยู่ที่เป้าหมายอันมีระยะห่างประมาณไม่เกิน 10 เมตร โดยมีกรงนกเงือกกั้นกลาง ไอ้ดำเผ่นพรวดพราดขึ้นโดยเร็ว กระโจนไต่ตะกุยตะกายขึ้นไปบนต้นฉำฉา พอถึงคาคบ ก็หมอบทำตัวหูลู่ อ้าปากแสยะเขี้ยวมาทางเขา พร้อมด้วยดวงตาอันลุกจ้าดุร้าย
และพริบตานั้นเอง มันก็เผ่นพรวดสยายเล็บพุ่งลงมาใส่อย่างดุเดือด โดยข้ามหลังกรงนกเงือกลงมา
30-06 แผดระเบิดกึกก้องไปทั่ว
เป็นการยิงสวนในระยะเผาขน!
ร่างของเสือดำขนาดใหญ่ ปะทะร่างของจอมพรานโดยแรง เขาล้มกระแทกลงไปเบื้องหลัง ปืนหลุดกระเด็นจากมือ ส่วนเสือร้ายม้วนตัวสั่นริก ๆ อยู่กับที่ตรงนั้น มีแต่ส่วนหางยาวเท่านั้นที่แกว่งกวาดไปมาอยู่สองสามครั้ง แล้วก็สงบนิ่ง
ผู้จัดการของสถานที่ และคนงานทั้งหลายพากันวิ่งพรูเข้ามา เป็นเวลาเดียวกับที่รพินทร์ลุกขึ้นยืนช้า ๆ เดินมาโคลงศีรษะอย่างสุดเสียดายอยู่ที่ซากของไอ้ดำร้ายกาจตัวนั้น
กระสุน 30-60 เจาะแสกหน้าของมันทะลุเลยออกต่ำกว่าต้นคอเล็กน้อย!"

...............................................

ฉากการยิงเสือดำของรพินทร์ ไพรวัลย์ จึงเป็นหนึ่งในฉากเปิดตัวตัวละครที่ 'คลาสสิก' น่าประทับใจฉากหนึ่ง เพราะมันสามารถอธิบายลักษณะนิสัยของตัวละครทำนองว่า กล้าหาญ มั่นใจตัวเอง กล้าได้กล้าเสีย คุ้นเคยชำนาญพงไพรเป็นอย่างดี กล้าเดิมพันด้วยชีวิตตัวเอง ให้เกียรติสัตว์ป่าที่ตนล่า เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจนักกีฬา ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องใช้คำพวกนี้ให้รุงรังน่าเบื่อ

(แต่จะด้วยความที่กลัวคนอ่านบางกลุ่ม "ไม่เก็ต" หรืออย่างไรไม่ทราบ พนมเทียนก็ให้ตัวละครอีกตัวแอบอธิบายเฉลยการกระทำไว้ในย่อหน้าต่อมาอีกนิดหน่อย อาจจะเพื่อให้คนอ่านที่พรรษายังไม่แข็งกล้าได้เข้าใจความหมายของฉากเสี่ยงตายนั้น)

...............................................

"...ทีแรกผมนึกว่าเขาจะยิงผ่านลูกกรงตาข่ายของนกเงือกเข้าไปเสียอีก แต่เขากลับรอจังหวะให้มันพุ่งเข้าใส่และยิงในขณะนั้น ผมก็อยากจะเชื่อตามคุณอำพลว่า ในข้อที่รับรองว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษและนักกีฬาคนหนึ่ง เพราะแม้กระทั่งสัตว์เขาก็ยังให้โอกาสกับมัน ถ้ามือเขาไม่ดีจริง เมื่อกี้นี้เขาอาจถึงแก่ชีวิต มันเป็นการแลกกันอย่างยุติธรรมดีเหลือเกิน..."

...............................................

เขียนมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงท่านประธานบริษัทคนนั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฉากการล่าเสือดำของท่านจะ "สุภาพบุรุษ" "นักกีฬา" "แลกกันอย่างยุติธรรม" อย่างรพินทร์ ไพรวัลย์ หรือเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่เล็งยิงสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ด้วยปืนไรเฟิลจากระยะพ้นอันตรายเพียงเพื่อสนองตัณหาบ้าบอของตนเอง

วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สัตว์ชรากับเสือหนุ่ม


ในห้วงเวลาปัจจุบัน ทุกครั้งที่ผมสอน เรื่องที่เรียกเสียงหัวเราะ เสียงเฮฮา หรือถึงขั้นโห่ฮาได้ดังที่สุดก็คือการยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลปัจจุบัน หรือบางประเด็นของรัฐบาลที่อ่อนไหวหากจะพูดในที่สาธารณะ เมื่อยกขึ้นมาพูดคุยกับนักศึกษา (ปิดไมค์) ก็มักจะมีหลายคนกระตือรือร้นช่วยกันตอบ (ซึ่งต่างจากประเด็นทั่ว ๆ ไปที่นักศึกษามักจะเออออห่อหมกขี้เกียจพูด) ราวกับว่าพวกเขาอัดอั้นกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ไม่มีพื้นที่จะพูดหรือไม่มีคนกล้าฟังเขาพูด

สิ่งที่เกิดขึ้นชวนให้ผมนึกแปลกใจว่า เด็กต่างจังหวัด (นี่เราดูแคลนเด็กใช่ไหม ทั้งที่เราก็เด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน-แฮ่) ที่แม้ไม่ได้เรียนคณะที่เกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง ดูภายนอกไม่น่าจะสนใจการเมือง ยังมีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์บ้านเมืองในระดับที่เข้มข้นเกินธรรมดา ซึ่งปะทุออกมาผ่านน้ำเสียงยามเปิดวงสนทนา หรือเสียงโห่ฮาเวลาผมหลุดคำพูดที่น่าจะถูกใจพวกเขาไม่น้อย แล้วคนที่อยู่วงในเข้าไป คนที่สนใจการเมือง คนที่สูญเสียคนสำคัญจากความขัดแย้ง คนที่เจ็บปวดหรืออกหักจากรัฐบาล อุณหภูมิอารมณ์จะระอุแค่ไหน เสียงโห่ฮาในใจจะดังเพียงใด

ประเทศวัยชราที่ปกครองด้วยลุงคนนั้นคนนี้ ไม่มีที่ว่างให้เสียงของพวกเขาซึ่งควรจะเป็นอนาคตของประเทศเลย บางทีนักศึกษาหลายกลุ่มในสถานที่ไกลปืนเที่ยงแห่งนี้คงพอจะรู้สึกได้แล้วกระมังว่าตนเองมีตรวนอะไรล่ามมือล่ามเท้าอยู่บ้าง และตรวนที่ว่าเกิดจากอะไรหรือเกิดจากใคร เมื่อมีโอกาสได้พูดจึงค่อนข้างเผ็ดร้อน และเสียงของพวกเขาก็ออกจะเกรี้ยวกราดเมื่อพูดถึงลุง ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น

นี่ก็ครบรอบสี่ปีการเลือกตั้งครั้งหลังสุด นึก ๆ ไปก็นึกเห็นใจรัฐบาลที่พยายามยื้อเวลาเลือกตั้งไปให้นานที่สุด พยายามเข็นกฎหมายและใช้เล่ห์ร้ายต่าง ๆ ที่จะทำให้ตัวเองสืบทอดอำนาจไปให้นานแสนนาน เพราะหากผมอยู่ในจุดนั้น แถมยังเล่นกระโดดเหยง ๆ ขี้รดหลังเสือเล่นอย่างไม่เกรงศักดิ์ศรีเสือ (ก็ลื้อหมอบคลานมาให้อั๊วะขี่เองนี่หว่า-ฮา) ผมเองก็คงหาทางอยู่บนหลังเสือให้นานที่สุดเช่นกัน ขืนลงมาตอนนี้ เสือมันคงไม่จบแค่ขย้ำคอ แต่คงอยากฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ให้สมแค้น

โชคดีที่ยังพอจะมีเสือหนุ่มแน่นหลายตัวในประเทศนี้ แม้จะมีความพยายามควบคุมประชากรเสือหนุ่มที่มีเขี้ยวเล็บอยู่บ่อย ๆ แต่พวกเสือซ่อนเล็บรอเวลาคนแก่เหลาเหย่ลงจากหลังก็ยังมีอีกไม่น้อย อาจเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงกลัวจนไม่ยอมคืนอำนาจที่ปล้นมาเสียที ผมก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาทั้งหลายจะไม่เผลอพลัดตกลงมาในวันที่อุณหภูมิในใจของเสือหนุ่มเหล่านี้เดือดดาลถึงขีดสุด

ไม่เช่นนั้น เสียงโห่ฮาที่ผมเคยได้ยินในวันก่อนจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอะไรในอนาคต-ผมก็ไม่อาจคาดเดาได้

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เฌอปราง


วิธีฆ่าเขานั้นไม่ยาก เพียงแค่เธอเลิกรักเขา แล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย...
(ต้นส้มแสนรัก)

วิธีฆ่าผมนั้นไม่ยาก เพียงแค่เฌอเลิกรักผม แล้ววันหนึ่งผมก็จะตาย...
(เฌอปรางแสนรัก)