วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

หญิงสาวชาวร็อค!

อา! หญิงสาวชาวร็อค!
ตัวเล็กน่ารัก แต่แม่งโคตรร็อค!
นั่นรอยสักรูปกะโหลกผุดพ้นบั้นท้ายงอน
คอเสื้อคว้านลึกเผยเนินอกสล้าง ตัวอักษรโกธิคโผล่วับแวม
Touch it and you DIE! คล้ายคล้ายไม่ได้ขู่
ผิวเธอข๊าวขาว-หญิงสาวชาวร็อค
ระยับตากระทั่งซอกไคลในซอกคอ
เพลิงอิจฉาคุโชนเมื่อเห็นหูฟังอินเอิยร์หื่นกระหายนั้นประทับจุมพิตแนบแน่นในหูเธอ
ยี่ห้ออะไรเห็นไม่ชัด รู้แค่ก้านขับเบสยาวเป็นคืบ
เสียงเบสตึบ-ตึบ สะท้านสะเทือนถึงหัวใจฉันระดับร้อยริกเตอร์
อา! หญิงสาวชาวร็อค!
ตัวเล็กน่ารัก แต่แม่งโคตรร็อค!
ไลน์กีตาร์แสบสันต์ คงมันส์พอฟัดพอเหวี่ยงกับแจ็คเก็ตหนังกลับที่เธอสวม
ผุดภาพยามเธอขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ บิดคันเร่งสุดแรง
ฉันจะปรี่เข้าไปขวางเพียงเพื่อให้เธอบดขยี้ความเป็นชายของฉันให้กระจุย
ท่ามกลางการระรัวกลองจังหวะ Single Stroke Roll ในความหฤหรรษ์ไม่รู้จบ
ฉันจะแผดเสียงร้องแหลกละเอียดให้คอแหบแห้ง
ถั่งโถมทุกเส้นเสียงให้เกี่ยวกระหวัดในทุกจังหวะดนตรีที่เธอสอดประสาน
เพื่อให้ทุกท่วงทำนองร็อคของสองเราเร้ารึงถึงห้วงอารมณ์แห่งสวรรค์
อา! หญิงสาวชาวร็อค!
ตัวเล็กน่ารัก แต่แม่งโคตรร็อค!

๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ใครกันใช้ตะเกียบไม้






ใครกันใช้ตะเกียบไม้
แท่งสองแท่งที่คนรุ่นใหม่ ๆ ใช้กันไม่เป็นเริ่มล้มหายตายจาก
วัตถุดิบขาดแคลนพอ ๆ กับไม้ซึ่งสงวนไว้ให้นายทุนตัดไปปลูกบ้าน
ว่าแล้วก็หลอมด้วยพลาสติกเสียให้รูปทรงคล้ายคลึงเป็นใช้ได้
โดยที่ต้นทุนต่ำกว่ากันเป็นสิบเท่า
ทำความสะอาดง่ายไม่ต้องกลัวขึ้นรา
แม้ว่าบางจังหวะความร้อนจะหลอมสารพิษลงสู่อาหาร
เรา, ชนชั้นผู้เสพมลพิษเป็นนิจศีลใยต้องหวั่นเกรง
ใครกันใช้ตะเกียบไม้
มันจะต่างอะไรกับตะเกียบพลาสติก
พวกเขายังคงไม่รู้ตัว
ต่อเมื่อตะเกียบพลาสติกคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวพ้นถ้วยสูงลิบ
เส้นก๋วยเตี๋ยวลื่น ๆ ไม่รักดีผละจากการโอบกอดอันเย็นชาของตะเกียบพลาสติก
ทิ้งตัวหล่นเผละลงชาม น้ำก๋วยเตี๋ยวกระจายเต็มเสื้อสวย

ใครกันใช้ตะเกียบไม้
ได้ความว่ามีร้านหนึ่งยังใช้อยู่
ร้านอาหารจีนหรูหรา ตกแต่งแบบย้อนยุค จนเกือบเผลอเรียกบริกรว่า-เสี่ยวเอ้อ
เติมเต็มอารมณ์ถวิลหาได้ชะงัดนัก
โต๊ะ เก้าอี้ ช้อน ตะเกียบ ทุกอย่างรังสรรค์จากไม้เนื้อดี
โชยกลิ่นหอมอ่อนของป่าลอยมาเร้าทุกผัสสะ
เส้นบะหมี่รักดีกอดรัดตะเกียบไม้แน่นหนา
เช่นเดียวกับข้าวสวยซึ่งซึมซับร่องรอยน้ำเลี้ยงแห่งชีวิต
แม้ซอกก้นกักขฬะของฉันยังสัมผัสจุมพิตแผ่วเบาจากเก้าอี้
ฉัน, ผู้ชาชินกับโต๊ะ เก้าอี้ ช้อน ตะเกียบพลาสติกตามฟู๊ดฮอลล์ เสพความสุขจากเครื่องใช้และภาชนะที่ทำด้วยไม้จนล้นปรี่
พลันสำนึกได้ว่า สิ่งที่เราละเลย หลงลืม จนสูญเสียไปนั้นมีค่ามากเพียงใด
ถามกระเป๋าตังค์เหี่ยวแห้งหลังเดินออกจากร้านก็คงรู้!


๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เสี้ยวขณะจิตของชายหนุ่มถูกหวยผู้อุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นนักเขียนเรื่องสั้น



กระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อถือเช็คราคาห้าหมื่นในมือ
เรื่องสั้นเจ็ดเรื่อง ถูกหวยรางวัลดีเด่นยังไทยอาร์ตติส นี่คงจะเป็นราคาค่าเรื่องที่สูงลิ่ว ตกเรื่องละ 7,142.857142857142857142857142857142857142857142857142857142 ฯลฯ บาทไทย
ระหว่างรอคอยพนักงานสาวบรรจุเลขในเช็คลงไปในบัญชี
พลันรู้สึกต่ำเตี้ยเรี่ยดินเมื่อแขวนตาชั่งเทียบราคากับความทุกข์ทน
รวมเรื่องสั้นที่ขอดเกล็ดความทรมานในจิตใจ เคี่ยวกรำด้วยน้ำตาต้มเดือด เล่าถึงความบัดซบในเสี้ยวชีวิตอย่างเจ็บปวด ใช้จ่ายเวลาอย่างสิ้นเปลืองโดยไม่รู้ว่าจะมีผลตอบรับกลับมาหรือเปล่า ทุกหยาดเหงื่อแรงงานอาจสิ้นไร้ความหมายเหมือนเมื่อครั้งที่ตกรอบในปีก่อน ฯลฯ
รวมความว่าทนทุกข์กับมันมาหลายเดือน
ราคาความทุกข์ฉิบหายวายป่วง เท่ากับเงินเดือนเพื่อนผู้ล่ำซำทางทรัพย์สินและหน้าที่การเงินเพียงเดือนเดียว
น้อยกว่าลายเซ็นต์มหาเศรษฐี แกร๊กละสิบล้าน!
ระยำ! กูเลิกเขียนเรื่องสั้นดีกว่า
เคาะโต๊ะเรียกโดเรมอน เพื่อให้พาขึ้นไทม์แมชชีนย้อนกลับไปยังอดีต
จะกลับไปเคาะหัวตัวเองในห้องสมุด อา! วัยรุ่นนักฝัน นักเดินทางผู้โง่เขลากับเส้นทางชีวิตจริง
ไม่รู้เสียแล้วว่าสมัยนี้ต้องพึ่งเนวิเกเต้อร์นำทางจากสถาปนิกชีวิตนามทุนนิยม
มันไม่มีแล้วยุคของความฝัน เมื่อผ่านมาสิบปี ราคาข้าวแกงแม่งพุ่งยิ่งกว่าดัชนีดาวโจรไปตกอยู่ที่จานละ 50 บาท แต่ค่าเรื่องสั้นเรื่องละพันเหมียนเดิม
ประมาณการว่า เรื่องสั้นหนึ่งเรื่องแดกข้าวแกงได้ยี่สิบจาน โดยมีข้อแม้ว่ามึงต้องแดกน้ำก็อก!
แล้วมึงเสือกโดดเรียนมานั่งอ่านเรื่องสั้นในห้องสมุดทำไม
กลับไปนู่น! ไปห้องเรียนฟิสิกส์ ท่องเข้าไป เรียนเข้าไป เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ ยัดหัวเข้าไป
กูจำได้ว่ามึงเคยกวาดเกรด 4 วิชาพวกนี้เรียบตอน ม.4 นี่นา แล้วมึงใจแตกตอนไหนวะ!
มาแรดร่านในแวดวงวรรณกรรมตั้งแต่ตอนไหน อีช้างลาก!
กลับไปตั้งใจเรียน จบออกมาเป็นหมอหรือวิศวะให้โก้เก๋ ให้แม่ได้อวดคนข้างบ้านบ้าง
เขียนเรื่องสั้นแบบนี้จะเอาไปอวดใครได้วะ
อวดเพื่อนในวงเหล้ามันยังด่า มึงเขียนห่าอะไร กูอ่านไม่รู้เรื่อง
เคาะโต๊ะไปหลายสิบที โดเรมอนไม่โผล่มา
อีห่า! โต๊ะกูไม่มีลิ้นชัก!

"เรียบร้อยแล้วค่ะ"
เสียงหวานหวานของพนักงานสาวเป็นสัญญาณว่า ตัวเลขในเช็คย้ายเข้าไปอยู่ในบัญชีแล้ว รอดพ้นจากภาวะไม่มีเงินใช้ไปอีกระยะหนึ่ง จากนี้ไปจะเขียนเรื่องสั้นเรื่องอะไรดีนะ?


๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ

รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ
รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ
รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ

แล้วฉันก็ตัดสินใจบอกว่ารักคนอื่น
ฉันบอกว่ารักคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
วินาทีที่ฉันบอกว่า-ฉันรักคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
กำแพงความรู้สึกของเธอที่เคยกางกั้น
จนเกือบกลายเป็นรังเกียจเดียดฉันท์
พลันพังทลายลงในพริบตา
แหลกสลายเป็นผุยผงจนฉันเองยังแปลกใจ
พื้นที่ว่างอันกว้างไกลกว่าอีกฟากฝั่งของจักรวาล
หดเล็กเหลือเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจุมพิต

รอยยิ้มของเธอทำให้ฉันรู้ว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน
เมื่อได้ยินจากปากฉันว่า
ฉันมองผู้หญิงคนนั้น
ฉันพร่ำวจีหวานกับผู้หญิงคนนั้น
ฉันคบหาดูใจผู้หญิงคนนั้น
ฉันบอกรักผู้หญิงคนนั้น
ฉันแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น
ฉันสัญญาจะรักผู้หญิงคนนั้นตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่ใช่เธอ

"เพื่อนคือความสัมพันธ์ที่เป็นนิรันดร์"
โดยไม่ต้องจำนรรจามากเกินกว่านั้น
เธอเฆี่ยนฉันด้วยแส้ความรู้สึกที่ไม่เคยมีใครมองเห็น
เว้นแต่ฉันซึ่งรู้จักเธอมากกว่าใครอื่น
และสำนึกถึงถ้อยคำที่ไม่เคยหลุดจากปากเธอ
ว่าฉันจะรักใครก็ได้
รักใครก็ได้ตามที่หัวใจปรารถนา
ฉันจะรักใครก็ได้ตามที่หัวใจปรารถนา
เว้นแต่เธอเพียงผู้เดียว

รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ
รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ
รักใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ
เธอ, เพียงคนเดียวที่ฉันรัก


๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

นายข้าวมันไก่กับยัยข้าวหมูแดง: บทที่ 1 แรกพบ

“ว้าย!”

โครม!

เสียงโครมครามปลุกเขาตื่นจากภวังค์ ปรือตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ดูเหมือนว่าทุกสายตากำลังจ้องมองมาที่เขา ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจว่ามองอะไรกันวะ ขณะที่ความสงสัยกำลังวิ่งวุ่นอยู่ในใจ เขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องโอดโอยอยู่ข้างหลังเสียก่อน หันไปตามต้นเสียง พบใครคนหนึ่งล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า หนังสือเรียน เครื่องอัดเสียง สมุดปากกาหล่นพื้นกระจัดกระจาย

“โอ้ย เจ็บจัง”

“เป็นอะไรมั้ยอ้อ”

“ไม่เป็นอะไรได้ไงล่ะ อู้ย แขนขาหักรึเปล่าก็ไม่รู้”

ชายหนุ่มหันมามองสองสาว ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็ถูกสายตาอาฆาตของหญิงสาวที่นอนกองอยู่กับพื้นจ้องมาที่เขาเสียก่อน “นี่นายตั้งใจแกล้งฉันใช่ไหม”

“ผม?---ผมเนี่ยนะแกล้งคุณ” เขาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ขมวดคิ้วผูกโบด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครล่ะ ทำไมต้องมาแกล้งขัดขาฉัน” เธอลุกขึ้นมานั่ง ยิงเสียงแหลมแว้ด ๆ กระแทกรูหูเขาด้วยความโมโหสุดขีด ขณะที่เพื่อนของเธอกำลังเก็บเครื่องเขียนที่ตกหล่นบนพื้น

แกล้งขัดขา? ชายหนุ่มมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามเรียกสติคืนมา จำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายของเขาคือเสียงหนืด ๆ เย็น ๆ ของอาจารย์สอนวิชากฎหมายปกครองที่ชวนให้หลับดีแท้ จากนั้นเขาก็นึกอะไรไม่ออกอีก จนกระทั่งตื่นด้วยเสียงโครมคราม อาจจะเป็นสาเหตุนั้นก็ได้---ภาพแรกที่เขามองเห็นตัวเองหลังตื่นนอนคือขาที่กางออกมากกว่าปกติ เขาคงเอนหลังมากไปหน่อย ขาเลยกางออกไปเป็นอุปสรรคให้คนเดินมาสะดุด แต่นั่นก็คงเพราะหญิงสาวไม่มองทางด้วยกระมัง มีแต่คนซุ่มซ่ามเท่านั้นแหละที่จะเดินสะดุดนั่นสะดุดนี่

“เงียบอยู่นั่นแหละ นี่จะไม่ขอโทษสักคำเลยใช่ไหม” หญิงสาวเจ้าของเสียงร้อยแปดสิบเดซิเบลยิงระเบิดกัมปนาทใส่เขาอีกครั้ง

“เอ่อ---โอเค ผมขอโทษ ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำอะไรคุณไปก็เถอะ มาเดี๋ยวผมช่วยเก็บ” เขาลุกขึ้นมาหมายจะช่วยเก็บของที่หล่นพื้น แต่โดนอาวุธเสียงของเจ้าหล่อนแว๊ดขึ้นมาอีกรอบซะก่อน

“ไม่ต้อง ฉันเก็บเองได้ คนอะไรผิดแล้วไม่ยอมรับผิด” เธอสะบัดหน้าหนี ก่อนจะหันไปเก็บของที่หล่นบนพื้น

“เอ้า ผมผิดอะไรคุณ นี่ผมหลับ ๆ อยู่ ตื่นมาก็เห็นคุณล้มตึงไปแล้ว ผมจะละเมอเตะขาคุณรึไงเล่า ผมว่าคุณนั่นแหละที่เดินมาสะดุดขาผมเอง มัวแต่คุยกับเพื่อนล่ะสิ”

“เอ๊ะนายนี่---ทำเค้าเจ็บแล้วยังมาว่าเค้าผิดอีกเหรอ นายนี่มันไม่แมนเอาซะเลย”

“ผมก็พูดไปตามเนื้อผ้า จริงไม่จริงคุณเองก็คงรู้”

“หนอย ตาบ้า---”

“พอเถอะอ้อ ไปกันเถอะ” หญิงสาวอีกคนปราม ขณะที่หอบหนังสือและเอกสารทั้งของตัวเองและของเพื่อนไว้เต็มมือ

หญิงสาวชื่ออ้อทำหน้าเง้า พ่นลมหายใจฟึดฟัดแล้วบ่นเบา ๆ “จำไว้เลยนะ”

ชายหนุ่มยักคิ้ว ร้องเพลงเขย่าลูกคอล้อเลียน “ม่ายยยลืมมมม---”

“นายนี่มัน---”

“ไปเถอะน่าอ้อ” เพื่อนสาวของของเธอรีบลากหญิงสาวออกไป ก่อนที่คนในห้องเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนจะจับจ้องสายตามาที่การทะเลาะของทั้งสองไปมากกว่านี้ ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนยิ้มระรื่นอยู่ข้างหลัง

-------------------------------------------

“เธอจะรีบดึงฉันออกมาทำไม”

“ไม่เห็นเหรอว่าคนมองกันใหญ่แล้ว”

“มองก็มองไปสิ ฉันสนที่ไหนล่ะ คนอะไรน่าตบชะมัด”

“ตบแล้วจะจูบด้วยมั้ย” เพื่อนสาวหัวเราะคิก

“บ้าสิ ใครจะไปจูบลง หน้าตาท่าทางกวนเท้าซะขนาดนั้น แถมยังผมยาวกระเซอะกระเซิง ไว้หนวดเคราอย่างกะโจร”

“ฉันว่าเขาเซอร์ดีออก สเปคเธอเลยไม่ใช่เหรอ”

“เซอร์ถุลน่ะสิ หนอย ผู้ชายอะไรปากจัดเถียงผู้หญิงฉอด ๆ สงสัยเลี้ยงหมาไว้ในปาก”

“เขาก็ไม่ได้เถียงอะไรเธอนี่ เธอนั่นแหละไปแว้ด ๆ ใส่เค้าก่อน”

“นี่ยัยจ๋อม ทำไมเธอถึงไปเข้าข้างนายคนนั้นนักนะ แอบชอบเค้ารึไง”

“จะบ้าเหรอ เพิ่งเคยเจอกันเนี่ยนะ” จ๋อมรีบซ่อนสีหน้ามิดชิด

“ฮึ อย่างนายคนนี้น่ะ ต่อให้ทั้งโลกเหลือแค่ฉันกับเค้า ฉันก็ไม่เอาเค้าหรอก”

“เธอน่ะนะเห็นบอกเกลียดใครทีไรก็ตกหลุมรักทุกทีแหละ”

“ยกเว้นตาคนนี้---แน่นอน!” อ้อย้ำเสียงหนักแน่นในสองพยางค์สุดท้าย

“ให้มันจริงเถอะ” จ๋อมยิ้มให้อ้อ ขณะที่หญิงสาวอารมณ์ฉุนเฉียวยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ โดยไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของเพื่อนตนเริ่มแดงซ่านด้วยความสะเทิ้นเขินอาย

-------------------------------------------

สนธยาเดินทางมาถึงอย่างเนิบช้า ดวงตะวันทิ้งแสงสุดท้ายไว้ที่เส้นขอบฟ้า ชายหนุ่มหน้าตาระดับที่พอจะจัดได้ว่าหล่อ แต่ความยาวของผมและหนวดเครานั้นทำให้น้ำหนักความเซอร์มากกว่าความหล่อแบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น เขานั่งอยู่คนเดียวในมุมหนึ่งของร้านอาหาร ชื่อตามบัตรประชาชนว่านายรัฐกรณ์ ดูเข้าทีกับการเป็นนักศึกษารัฐศาสตร์ เรียกกันเล่น ๆ ว่าก้อง เขากำลังนั่งอมยิ้มคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเลิกเรียน ขณะที่ปากเคี้ยวข้าวหมุบหมับ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้เจอเหตุการณ์ที่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงแบบนี้ อันที่จริงพ่อสอนเขามาว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำถูกต้องเสมอ ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็อย่าไปขัดใจเธอ ตอนนี้เขาอยากจะกลับไปเถียงพ่อว่าผู้หญิงบางคนก็น่าขัดใจมากกว่าน่าตามใจ เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ ๆ ก็มาโยนระเบิดใส่เขาตูม ๆ หน้าตารึก็---ก็น่ารักดีนะ เมื่อนึกถึงตอนนี้เขาก็อมยิ้มอีกครั้ง แต่ก็นึกถึงเสียงแว้ด ๆ ขึ้นมาพร้อมกัน ไอ้ตอนไม่โมโหก็คงน่ารักดี แต่ตอนโมโหน่ากลัวชะมัด อย่างกับนางยักษ์ขมูขี ดีที่มีเพื่อนมาห้ามไว้ ไม่งั้นคงได้เถียงกันยาว ก้องคิดพลางกวาดข้าวคำสุดท้ายตักเข้าปาก ร้านข้าวมันไก่เจ้าประจำยังอร่อยเช่นเคย หากใครได้มากินเหมือนเขาคงติดใจ แต่จะได้มีโอกาสมากินก็คงยากหากไม่เสาะแสวงหาสักหน่อย เพราะร้านนี้อยู่ค่อนข้างลึกจากหลังมหาวิทยาลัย เป็นร้านที่ขายทั้งข้าวมันไก่และข้าวหมูแดง ว่ากันว่าอร่อยทั้งสองเมนู แต่สำหรับเขาที่ชื่นชอบข้าวมันไก่แล้ว ยังไงเมนูสุดยอดประจำร้านก็ต้องเป็นข้าวมันไก่แน่นอน

ขณะที่กำลังเดินไปจ่ายเงิน เท้าของเขาก็สะดุดกับของบางอย่างที่หล่นอยู่บนพื้น ก้มลงมองก็พบกระเป๋าสตางค์สีชมพูหวานแหววใบหนึ่ง เขาเก็บขึ้นมาเปิดดูว่าเป็นของใคร แวบแรกที่เห็นบัตรนักศึกษาก็จำได้ทันที ยัยผู้หญิงซุ่มซ่าม! เขาแทบจะได้ยินเสียงแปดหลอดของเธอลอยมาตามรูป ทั้งที่รูปนั้นเป็นรูปนักศึกษาธรรมดาเรียบ ๆ เธอชื่อณกมล รหัสนักศึกษาของเธอทำให้เขารู้ว่าเธอเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ปีเดียวกัน ในกระเป๋ามีบัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็มและเงินอีกเล็กน้อย เขาพลิกกระเป๋าดูทุกซอกมุมเผื่อจะมีที่อยู่ให้ติดต่อส่งคืนบ้าง กลับมีรูปชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งหล่นออกมาจากกระเป๋า สงสัยจะเป็นแฟน หล่อใช้ได้เลยนะ เขาคิดในใจ เมื่อไม่เจออะไรอื่นก็จนปัญญา ไม่รู้จะติดต่อเธอยังไง ป่านนี้คงกำลังร้องห่มร้องไห้ตามหากระเป๋าสตางค์อยู่แน่ ๆ แต่หน้าตาอย่างนั้นน่ะเรอะจะร้องไห้เป็นด้วย คิดแล้วก็ยักไหล่ เขาจึงลองถามลุงเจ้าของร้านดูเผื่อว่าจะรู้จักเธอ ยังไงเธอก็คงต้องมากินข้าวที่ร้านนี้แหละ ไม่งั้นกระเป๋าจะมาหล่นไกลถึงที่นี่เลยหรือ

“ลุงครับ รู้จักคนนี้ไหม” เขาหยิบบัตรนักศึกษาให้ลุงเจ้าของร้านดู

“อ่อ รู้จัก ๆ เค้าเป็นลูกค้าประจำของลุงเลยล่ะ เค้ามากินข้าวที่นี่บ่อย ๆ”

“จริงเหรอครับ” เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเธอหรือเปล่า เพราะเขาเองก็
เป็นลูกค้าประจำของลุงเหมือนกัน “แล้วลุงติดต่อเธอได้ไหม เธอทำกระเป๋าตังค์หล่นไว้”

“เหรอ เอ้อ เดี๋ยวนะรู้สึกว่าลุงจะมีเบอร์อยู่” ลุงเจ้าของร้านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ “บางทีเธอก็โทรมาสั่งข้าวน่ะ ลุงก็ให้เด็กในร้านเอาไปส่งให้ นี่ไง เบอร์นี้แหละ”

ก้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์แล้วโทรไปหาเจ้าของเบอร์ เสียงเพลงรอสายดังนานเอาเรื่อง ก่อนจะได้ยินเสียงหวานใสที่ปลายสาย

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ คุณณกมลใช่ไหมครับ”

“ค่ะ” เขานึกในใจว่าเสียงเธอหวานจนไม่คิดว่าเป็นเสียงเดียวกับที่แว้ด ๆ ใส่เขา นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วเขาก็อยากจะแกล้งเธอเล่นสักหน่อย

“คุณณกมลที่เดินสะดุดขาผมวันนี้ใช่ไหมครับ”

“นาย---นายผู้ชายปากจัด”

“อ๊ะ อ๊ะ อย่าด่าผมนะ ตอนนี้ผมมีตัวประกันอยู่ในมือ”

“ตัวประกันอะไรของนาย”

“ตัวประกันสีชมพูหวานแหวว ข้างในบรรจุเงินสี่ห้าร้อย พร้อมบัตรนักศึกษา บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม และรูปแฟนหนุ่มสุดหล่อ”

“กระเป๋าตังค์ฉัน! ไปอยู่กับนายได้ไง”

“ผมขโมยมาจากกระเป๋าคุณมั้ง”

“นายนี่มัน---ฉันจะฟ้องนาย หน้าเหมือนโจรแล้วยังจะทำตัวเหมือนโจรอีก ฟังนะ ความผิดฐานลักทรัพย์น่ะ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ติดคุกสามปี ปรับหกพันบาท นายติดคุกหัวโตแน่”

“โห แม่นเชียวคุณนักศึกษากฎหมาย นี่ถ้าอยากเอากระเป๋าตังค์คุณคืน คุณเอาเงินมาไถ่ผมสักสามพันสิ ผมอาจจะเปลี่ยนใจยอมคืนให้ ไม่งั้นผมอาจจะโยนลงท่อน้ำนะ”

“นายอยากโดนฟ้องฐานกรรโชกทรัพย์ด้วยใช่ไหม ฟังนะ กรรโชกทรัพย์น่ะจำคุกห้าปี ปรับ---”

“โอ้ย พอ ๆ พอเถอะคุณ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน “ผมล้อเล่นน่า ผมก็แค่เก็บกระเป๋าตังค์คุณได้เท่านั้นเอง นี่จะโทรมาให้คุณมาเอาคืน”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ เมื่อกี้ผมแค่หยอกเล่น”

“นายอยู่ไหน”

“อยู่ตรงที่ที่คุณทำกระเป๋าตังค์ตกนั่นแหละ”

“อย่ามากวนนะ ถ้าฉันรู้ว่าฉันทำกระเป๋าตังค์ตกที่ไหนก็คงเจอเองแล้ว”

“อยู่ที่ร้านเฮียเหน่ง ร้านข้าวมันไก่น่ะ”

“ร้านข้าวหมูแดงต่างหาก”

“ข้าวมันไก่สิคุณ อร่อยกว่า”

“แหวะ ข้าวหมูแดงอร่อยกว่าตั้งเยอะ ฉันเกลียดข้าวมันไก่ เออช่างเถอะไม่ใช่เวลาเถียง เดี๋ยวฉันจะรีบไปนะ คุณรอฉันสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม”

“โห ปกติของอย่างนี้มันต้องรีบมาในห้านาทีไม่ใช่เหรอคุณ ผมไม่ได้ว่างทั้งวันนะ”

“ก็ฉันยังไม่ได้แต่งตัว นี่ฉันหากระเป๋าตังค์จนกระเซอะกระเซิงไปหมดแล้วเนี่ย”

“สิบนาทีขาดตัว มาไม่ทันผมก็กลับล่ะ โยนกระเป๋าทิ้งท่อระบายน้ำด้วย”

“นี่ เดี๋ยวสิ---” ก้องรีบวางหูก่อนที่เธอจะได้ต่อรองอะไรอีก นั่งยิ้มรออยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม

สิบห้านาทีผ่าน หญิงสาววิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้าน เขาได้แต่ยิ้มกับท่าทางร้อนรนของเธอ อ้อพูดด้วยเสียงเหนื่อย ๆ

“นึกว่านายจะไปซะแล้ว” แล้วตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววโมโห “ขำอะไรยะ”

“ก็แหม---ไม่คิดว่าคุณจะเชื่อผมขนาดนี้ ถึงกับรีบแจ้นมาเลยเหรอ ไกลมากไหม ดูสิผมยังฟูเป็นสิงโตอยู่เลย” เขาคิดในใจว่าหน้าตาเธอตอนยังไม่แต่งหน้าก็น่ารักดี น่ารักแบบธรรมชาติ---ลงโทษ!

“นายนี่มัน---”

ก่อนที่เธอจะพูดอะไรมากกว่านี้ ก้องรีบยื่นกระเป๋าสตางค์ให้หญิงสาว “เอ้า ของคุณ ตรวจดูสิว่าของครบรึเปล่า”

อ้อรีบคว้ากระเป๋าสตางค์ของเธอมาไว้ในมือ คลี่ออกตรวจดูของทุกอย่าง เมื่อยังอยู่ครบก็ยิ้มโล่งใจ “โชคดีจัง” รอยยิ้มที่กำลังหวาน ๆ หุบลงทันทีที่เห็นมือของชายหนุ่มแบมาตรงหน้า

“นายนี่มันงกจริง ๆ น้า เอ้า ค่าตอบแทนที่เก็บของไว้ให้” เธอกำลังจะควักธนบัตรใบสีแดงออกมาจากกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขัดคอเสียก่อน

“จะบ้าเหรอ เห็นผมเป็นขอทานรึไงคุณ ที่แบมือเนี่ยจะขอคำว่า ขอบคุณค่ะ สักคำ”

“ฮึ ขอบคุณค่ะ” อ้อพูดเสียงสะบัด ทำปากเบะ

“ไม่ไพเราะเสนาะหูเลย ขอหวาน ๆ ได้ไหม” ก้องทำเมินเหมือนไม่ได้ยิน

กำลังจะเหวี่ยงใส่ชายหนุ่ม แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าอย่างน้อยเขาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณ จึงเก็บความไม่พอใจที่ถูกยียวนกวนประสาทไว้ในใจ แกล้งยิ้มหวาน พูดด้วยน้ำเสียงใส “ขอบคุณค่ะ”

ก้องยิ้มด้วยมุมปาก “พอบอกให้หวานนี่จัดเต็มมาเลยเชียว”

“นายจะเอายังไง” สองมือของหญิงสาวเลื่อนมาเท้าสะเอว

“อ่ะ ๆ ๆ ผมล้อเล่น โอเค คุณได้กระเป๋าตังค์คืนแล้วก็หมดหน้าที่ผมล่ะ” เขาลุกจากเก้าอี้ เดินย่ำเท้าไปทางทิศตะวันตก

อ้อกัดริมฝีปาก จากกันได้ก็ดีเหมือนกัน เธอไม่อยากอยู่ใกล้นายคนนี้เลย ไม่งั้นประสาทจะกินเอา คนอะไรไม่รู้กวนชะมัด แต่ใจหนึ่งก็บอกเธอว่าควรจะต้องตอบแทนบุญคุณเขาบ้าง เพราะเขาอุตส่าห์เก็บกระเป๋าสตางค์เธอเอาไว้ ไม่เอาเงินไปไหนสักบาท ความรู้สึกระหว่างอยากให้เขาไปไกล ๆ กับการต้องตอบแทนบุญคุณตีกันวุ่น ในที่สุดฝ่ายหลังก็ปล่อยหมัดน็อคชนะ

“นี่คุณ คุณ---”

“ครับคุณณกมล จะตามมาฟ้องผมเหรอครับ”

“ฉันอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ”

“โอ้ย ไม่ต้องหรอก ผมไม่ถือเป็นบุญคุณอะไร”

“ไม่ได้” เธอเท้าสะเอว “สำหรับฉันมันถือเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน ถ้าคุณไม่เอาเงิน อย่างน้อยก็ให้ฉันเลี้ยงข้าว หรืออะไรก็ได้” เธอไม่ได้พูดความคิดที่ดังอยู่ในใจว่า ถ้าวันนี้ไม่เลี้ยงตอบแทนให้จบไป จะต้องติดหนี้บุญคุณตานี่แน่ ๆ แล้วอาจจะต้องไปชดใช้กันในชาติหน้า จะให้ไปเจอตาคนนี้ในชาติหน้าอีกเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ!

“ไม่เอาล่ะ ผมเพิ่งกินข้าวอิ่ม ๆ จะให้กินอะไรอีกคงไม่ไหว”

“ไม่ได้ ๆ ให้ฉันเลี้ยงคุณเถอะนะ เอางี้ ฉันรู้จักร้านกาแฟอร่อย ๆ ร้านนึง เราไปกินด้วยกันสักแก้วละกันนะ”

“โอ้ย ไม่เอาล่ะ ผมกลับไปห้องก็จะนอนเลย ขืนกินกาแฟอีกได้ตาค้าง”

“เถอะน่า นะ กินแก้วเดียวไม่เป็นไรหรอก” แม้ว่าในใจอยากจะกระโดดถีบผู้ชายเรื่องมากคนนี้สักป๊าป แต่เธอก็โปรยยิ้มหวานทำนองว่ากลัวเขาจะไม่ตามมา

พอเวลายิ้มหวานก็น่ารักดีเหมือนกันนี่นา ก้องยิ้มในใจขณะกำลังเดินตามหลังหญิงสาว

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 8

(1.) เครื่องอัดเสียง

เรื่องมันเริ่มง่าย ๆ ว่า เครื่องอัดเสียงเครื่องเก่าเริ่มจะชาร์จไฟไม่เข้าแล้ว อีกไม่นานมันก็คงลาโลกไปตามอายุขัย ตามประสาเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยนี้ที่อายุการใช้งานสั้นเสียเหลือเกิน อันที่จริงจะฝืนชาร์จก็พอไหว เพราะเสียบคอมแล้วไฟยังวิ่งอยู่ แต่ด้วยความที่กำลังจะมีเงินเลยอยากได้เครื่องใหม่ ฮาฮา

ผมเป็นพวกหลงใหลในอารยธรรมของโซนี่ มีเครื่องอัดเสียงรุ่นหนึ่งของโซนี่ที่เห็นแล้วชอบมาก ดูเท่สุด ๆ ถ้าเอามาใช้คงดูเป็นโฟรเฟสชั่นแนลดี ติดอยู่แค่ราคาเกือบเจ็ดพันเลยคิดหนัก พอจะถอยลงไปหารุ่นราคาห้าพัน ก็บอกตัวเองว่า เพิ่มอีกสองพันก็ได้รุ่นที่อยากได้แล้วนะ แต่พอเลื่อนงบขึ้นมาหาไอ้เครื่องอัดเสียงที่อยากได้ ภาพไอพอดคลาสสิคที่อยากได้ก็วิ่งเข้ามาในหัว ด่าตัวเองหน้ากระจก ไอ้ห่า บวกอีกสองพันมึงก็ได้ไอพอดคลาสสิค 160 Gb แล้วนี่นา อัดเสียงได้ด้วย (มั้ง) การต่อสู้ระหว่างกิเลสอยากได้นู่นนี่ตามประสายาจกถูกหวยกับความงกเลยเริ่มขึ้น

หยิบประเด็นมาคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง คุยไปคุยมาเลยบรรลุสัจธรรมด้วยตัวเองซะงั้น บอกตัวเองว่า เออ อีกเดี๋ยวก็จะออกจากวงการไปทำงานประจำอะไรสักอย่างแถวบ้านแล้วนี่นา จะซื้อเครื่องอัดเสียงเทพ ๆ ให้ดูเป็นนักเขียนสารคดีมืออาชีพไปหาพระแสงของ้าวอะไร

"ทำไมพี่กอล์ฟไม่ทำต่อล่ะ" เธอหมายถึงทำงานเขียนสารคดีเป็นอาชีพต่อไป

ชะงักความคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้

"พี่อยากกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่" คำตอบสร้างภาพให้ตัวเองหล่อสุด ๆ แต่ก็ตั้งใจอย่างนั้นล่ะนะ

"ก็เอาเวลาตอนที่ไม่ได้ทำงานกลับไปอยู่บ้าน ทำงานเมื่อไหร่ก็ค่อยขึ้นมากรุงเทพฯ"

ชะงักความคิดรอบสอง อันที่จริงจะทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะตอนทำงานสารคดีแบบฟรีแลนซ์ก็มีระยะเวลาในการเก็บข้อมูลช่วงหนึ่ง นอกนั้นจะทำงานเวลาไหนก็ได้ เอากลับไปทำที่บ้านก็ได้ เวลาตรวจแก้งานค่อยขึ้นมาอีกที ถ้าตอนนี้ไม่ติดว่าทำวิทยานิพนธ์ต้องใช้หนังสือหอสมุด ผมก็คงกลับไปนอนตีพุงที่บ้านสบายใจ

จากนั้นคู่สนทนาก็ยกตัวอย่างรุ่นน้องอีกคนที่ใช้เวลาครึ่งเดือนกลับไปช่วยงานที่บ้าน อีกครึ่งเดือนมาทำงานที่กรุงเทพ บาลานซ์ความฝันกับความจริงได้อย่างสมดุล ผมมองเข็มนาฬิกาที่กำลังวิ่งไม่หยุด เสียงดังติ๊กต่อก ๆ ๆ ไม่รู้เทอมนี้การเรียนของผมจะจบลงหรือชีวิตของผมจะจบลงกันแน่ แต่ที่เลี่ยงไม่ได้คือ ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจกับชีวิตจริง ๆ เสียแล้ว

(2.) หัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต

หลังจบปริญญาตรี ผมเคยหลบหนีช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับชีวิต โดยเลือกเรียนต่อปริญญาโทและคิดตามประสาง่าย ๆ ว่า เอาน่า---จบไปเป็นอาจารย์มหาลัยก็โอเค คิดเอาเองว่าอาชีพนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะทำอะไรนอกจากเขียนหนังสือ จะให้ไปทำหนังสือ-นิตยสารก็คงไม่ใช่แนวทางที่ชอบ แต่เขียนหนังสืออย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้

แต่สองสามปีที่เรียนต่อ เป็นช่วงที่รับเขียนสารคดีฟรีแลนซ์จากที่นู่นที่นี่ ภาพร่างที่เคยปรากฏจาง ๆ ในใจก็ค่อยชัดขึ้น ผมพบว่า เอาเข้าจริง ๆ เขียนหนังสืออย่างเดียวก็อยู่ได้ โดยเฉพาะจากการช่วยงานพี่อรสม (อรสม สุทธิสาคร) การทำงานกับพี่อรสมเป็นการทำงานฟรีแลนซ์ที่ดีที่สุดในสามโลก เงินดี ข้อมูลครบ เป็นข้อมูลที่เขียนได้จริง ไม่ใช่ข้อมูลจากการนั่งเสิร์ชในกูเกิ้ลซึ่งไม่พอสำหรับการเขียน ร่วมงานแล้วสบายใจ มีปัญหาอะไรก็บอกกล่าวกันได้ ที่สำคัญคือ พี่อรสมช่วยปกป้องเราจากเจ้าของงาน ไม่ปล่อยให้เกิดงานงอก แก้แล้วแก้อีกกลับไปกลับมาจนน่ารำคาญ ต่างจากงานฟรีแลนซ์ที่อื่นที่มีข้อมูลให้ในระดับกูเกิ้ล ส่วนคนประสานงานก็พูดหวานกับเราแต่ลมปาก สุดท้ายก็ปล่อยให้งานงอก แก้แล้วแก้อีกตามใจเจ้าของงานทุกอย่างจนมูลค่าความเหนื่อยเพิ่มไปสองสามเท่าในราคาจ้างเท่าเดิม

เลยคิดว่า ถ้าเกาะความดังพี่อรสม ช่วยงานแกไปเรื่อย ๆ คงจะพออยู่ได้ (ฮา) ประกอบกับช่วงที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน พอได้อยู่แบบประหยัดก็พบว่า คนเราแม่งไม่ต้องใช้เงินมากหรอกในการมีชีวิตอยู่ ยิ่งที่บ้านผมปลูกข้าวกินเองยิ่งสบาย

ชักลังเล-ชักลังเล

(3.) ความมั่นคง
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ไหน ก็คงอยากให้ลูกมีความมั่นคงในชีวิต-อย่างน้อยก็ความมั่นคงทางการเงิน เช่นว่า มีเงินเดือนประจำทุกเดือน มีเงินผ่อนรถมาขับ มีเมีย-มีลูก ชีวิตเดินทางไปตามสเตป Gen X ครั้นจะกลับไปนั่ง ๆ นอน ๆ ที่บ้าน มีงานทีค่อยขึ้นมากรุงเทพฯ ชาวบ้านร้านตลาดคงนินทาได้ว่าลูกชายบ้านนี้ไม่เอาอ่าว ดูสิรถก็ไม่มีจะขับไปไหนมาไหน

คอนเซปต์เรื่องความมั่นคงของแต่ละคนอาจแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ผมคิดว่าโดยหลักใหญ่ใจความแล้วคงเหมือน ๆ กัน

สำหรับผมที่คิดกับชีวิตแบบมินิมอล กลับพบว่าชีวิตตัวเองตอนนี้ก็มั่นคงมากพอควร อย่างน้อยก็มีบ้านซุกหัวนอน มีข้าวกินไม่ขาดแคลน ไม่ต้องสนว่าราคาข้าวจะขึ้นไปเท่าไหร่เพราะปลูกกินเอง ส่วนเรื่องลูกเมียนั้นคิดว่าพอจะตัดทิ้งไปได้ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ทั้งเรื่องที่ว่าเราคงเป็นคนที่อยู่กับใครลำบาก เว้นแต่จะเป็นคนที่เข้าใจวิถีชีวิตแบบนี้ ส่วนเรื่องลูกก็เหมือนจะเคยเขียนไว้ในสเตตัสสักที่หนึ่ง

สำหรับงานประเภทฟรีแลนซ์ (พุ่งหลาวฟรี) แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันว่าจะมีคนจ้างอยู่ตลอด แต่เท่าที่ผ่านมาสองสามปีก็พอจะมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ให้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน เว้นแต่ช่วงนี้ที่โดนเจ้าของงานและเจ้าของรางวัลต่าง ๆ ออกเงินช้าพร้อมกันหลายงาน บวกกับใช้เงินอนาคตไปซื้อหูฟังใหม่ ตัดแว่นใหม่ เลยกรอบหนักไปหน่อย

ถ้าความมั่นคงของชีวิตที่ว่า มันต้องแลกมาด้วยการต้องตื่นไปทำงานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น นั่งรถเมล์วันละสองสามชั่วโมงกลับมาสลบที่ห้อง ไม่เหลือพลังมากพอจะเขียนงานที่อยากเขียน หรือถึงจะพอเขียนได้ก็คงกระปริบกระปรอยไปทีละนิด ๆ ผมไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะปรับตัวให้เข้ากับความมั่นคงของชีวิตที่ว่าได้

นึกถึงคำพูดของพี่โดมลูกพี่อรสมที่แกบอกว่า ชีวิตตอนนี้มีความสุขมากจนอยากจะสตาฟฟ์ชีวิตช่วงนี้ไว้เลย ผมกลับมาคิดถึงชีวิตตัวเองในตอนนี้ก็พบว่าความรู้สึกไม่ต่างกัน ได้ตื่นในเวลาที่อยากตื่น ได้นอนในเวลาที่อยากนอน วันนี้วันจันทร์รึ? อยากตื่นสักเที่ยง ๆ นะเพราะเมื่อคืนเชียร์แมนยูหนักไปหน่อยก็ทำได้  (เว้นแต่วันที่มีนัดสัมภาษณ์หรือประชุมงาน) อาทิตย์นี้ต้องหมุนเวลากลับด้าน นอนกลางวันทำงานกลางคืนก็ทำได้ อยากกินอะไรก็ซื้อมากินได้ อยากได้ Gadget ฟุ่มเฟือยเช่นว่ามือถือ Xperia Arc S มาถือโก้ ๆ ถอยหูฟัง Beats ก็มีเงินพอซื้อได้ไม่ต้องขอแม่

ไปรับงานขององค์กรขนาดใหญ่งานหนึ่งมา ระยะเวลาการทำงานหนึ่งปี ได้เงินเฉลี่ยเดือนละหมื่น อาจไม่มากไม่มายเมื่อเทียบกับงานประจำ แต่เมื่อคิดว่าเวลาทำงานจริง ๆ เอางานยิบย่อยทั้งปีมาตีเป็นสามเดือน คือหกสิบวันเก็บข้อมูล สามสิบวันเขียน เวลาที่เหลืออีกเก้าเดือนคือเวลาที่ได้มาฟรี ๆ ซึ่งเราก็ใช้มันได้ดังใจ จะเอาไปเขียนอย่างอื่นได้ เช่นว่าเขียนเรื่องสั้นส่งหน้านิตยสารหรือส่งประกวดบ้าง ถ้ายังมีงานอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ เราก็ยังใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ได้เรื่อย ๆ ดังนั้นพอคิดว่าอีกไม่นานต้องจากชีวิตแบบนี้ไปก็ใจหาย

สำหรับผมนี่คือความมั่นคงในชีวิต แต่น่าเสียดายที่ไม่ตรงตามที่สังคมบอกไว้

(4.) วัยหนุ่ม

หรือจะกลับไปทำงานประจำตามที่ตั้งเป้าหมายไว้แต่เดิม พ้นจากภาระและความคาดหวังทั้งหลายจากครอบครัวแล้วค่อยกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้

เช่นนั้นวัยหนุ่มของผมอาจจะหล่นหาย

วัยหนุ่มเราก็เขียนงานได้อย่างหนึ่ง พอแก่ตัวไปงานก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ผมไม่เคยอ่านงานในวัยแก่ของตัวเอง (ฮา) แต่ผมคิดว่าค่อนข้างพอใจกับงานในวัยหนุ่ม เพราะได้พูดในสิ่งที่อยากพูดทั้งหมดแบบตรงไปตรงมา ไม่มีจริตเสแสร้งไปตามสภาพความเจนโลก จอห์น สไตน์เบ็คยังเคยบอกว่าอยากตายตอนอายุ 19 ปี เพราะในวัยนั้นเขาได้เขียนในสิ่งที่อยากเขียนอย่างตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว

ผมไม่ใช่นักเขียนที่เก่งอาจอะไรพอจะเทียบกับตำนานเหล่านั้น งานของผมก็ไม่ได้ดีเด่อะไรกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ เพียงแค่คิดว่า ถ้าปล่อยให้วัยหนุ่มช่วงนี้หล่นหาย พอแก่ตัวไปจะมาเสียดายทีหลังมั้ยว่า--- ไอ้ห่าเอ้ย ทำไมตอนนั้นมึงไม่เขียนเรื่องนี้ด้วยวัยหนุ่มนะ มาเขียนตอนแก่แล้วแม่งดัดจริตชิบหาย

เงื่อนเวลาและเงื่อนไขหลาย ๆ อย่างมันเริ่มกระชั้นเข้ามา ทำให้ผมต้องคิด---คิดมากขึ้นกับหัวเลี้ยวหัวต่อที่แท้จริงของชีวิต เพื่อนคนหนึ่งหล่นปรัชญาฮาเฮไว้ในวงเหล้าว่า ชีวิตถ้าคิดมากเกินไปแม่งก็ไม่สนุก ผมเห็นด้วยแต่ก็แอบเติมประโยคท้ายไปว่าถ้าคิดน้อยเกินไปมันก็ไม่ใช่ชีวิตที่ดี คนเราต้องบาลานซ์ตัวเองให้ได้ระหว่างความจริงกับความฝัน

แต่---ด้วยวิธีใด

    "ฉันคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพียงวันเดียว มันเป็นห้วงเวลาที่น่าตื่นเต้น และมีความหมายอย่างที่สุด แต่ละวินาที คือการเรียนรู้ การหาประสบการณ์ มันคงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แม้ห้วงเวลาจะสั้น แต่ความรู้สึกกลับประทับใจ

    พวกเรามีชีวิตยาวนานเกินไป ความงดงามในชีวิตของพวกเราจึงลดน้อยลง โดยที่พวกเราไม่รู้สึกตัว"


โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก ของฟ้า พูลวรลักษณ์ บอกความจริงอันน่าเศร้านี้ไว้ในซอกมุมหนึ่ง

มิน่าล่ะ ทำไมอาว์ 'รงค์ ถึงชอบพูดว่า "ไม่มีพรุ่งนี้" เพราะหากไม่มีพรุ่งนี้ วันนี้เราคงจะวิ่งชนสิ่งที่อยากทำโดยไม่ต้องคิดเรื่องไร้สาระอะไรให้มากความ

"ทำไมพี่กอล์ฟไม่ทำต่อล่ะ" แว่วเสียงน้องคนนั้นขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง

ตอนนี้ผมยังตอบเธอให้ชัดไม่ได้ เพราะคิดไม่ออกว่าทำไม หวังว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ผมจะคิดคำตอบที่เหมาะสมที่สุดได้เสียที


วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

Tian xia wu shang (เดียวดายใต้ฟ้ากว้าง)



๏ เศษเสี้ยวความทรงจำ
คือรอยช้ำสลักลง
แผลใจใครผจง
กรีดจุมพิตกลางจิตนี้

๏ ท่องไปไกลสุดหล้า
จะหาใครไม่เคยมี
อ้อมแขนแสนอุ่นที่
เคยอิงแอบแนบอุ่นไอ

๏ เร้นร่างเพื่อร้างรัก
จึงตระหนักในฤทัย
ทุ่งบุปผาร่ำอาลัย
ใจอีกครึ่งซึ่งหล่นหาย

๏ หนักแน่นในความรัก
และนานเนิ่นเกินความตาย
ตราบสิ้นวิญญาณสลาย
รักคงมั่นนิรันดร

๏ หากแม้นมิเคียงคู่
จำพลัดพรากลาจากจร
เงากระบี่ที่อาวรณ์
กวัดแกว่งซ้ำรำลึกถึง

๏ กระบี่คู่ไร้เคียงข้าง
คือรอยจางกลางห้วงคะนึง
ท่ามกลางโลกกว้างจึง
หลั่งน้ำตาความอาลัย

๏ ก้าวพ้นจนสุดหล้า
แต่มิกล้าก้าวพ้นใจ
รักไกลกว่าฟ้าไกล
จึงตรอมตรมระทมนัก! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕
*แรงบันดาลใจจากเพลง Tian xia wu shang (Ost. มังกรหยก ภาคจอมยุทธอินทรี)

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไม่อยากแอบรัก

๏ ฉันเกลียดความรู้สึกแอบรัก
คิดอยากจะอกหักให้สิ้นเรื่อง
คนแอบรักต้องทุ่มใจให้เปล่าเปลือง
ใจขุ่นเคืองไม่สมใจ-ไม่สักนิด

๏ ก็แอบรักตามวิสัยต้องไม่บอก
ล่อหลอกเธอให้เข้าใจผิด
แอบคิดแต่ก็ทำเหมือนไม่คิด
ปกปิดเอาไว้ไม่ให้รู้

๏ อยากตะโกนว่ารัก-รัก สักหมื่นครั้ง
แล้วกระซิบให้เธอฟังข้างข้างหู
ส่งยิ้มหวานผ่านหัวใจให้เธอดู
ดีกว่าอยู่อย่างแอบรักหนักฤทัย

๏ อยากกอดเธอจะตายไม่ได้กอด
อยากจะพลอดคำหวานให้หวั่นไหว
อยากจุมพิตเป็นรอยจางกลางดวงใจ
จะอย่างไรก็สิ้นทางเสียอย่างนั้น

๏ ต้องทนแอบรักอีกนานไหม
แล้วเมื่อไหร่จะสมหวังเหมือนดังฝัน
ตายเป็นตาย! ทุ่มทุกทางวางเดิมพัน
พรุ่งนี้เธอจะเกลียดฉันก็จำใจ

๏ ฉันตะโกนคำว่ารักเป็นล้านครั้ง
ฟังสิฟัง-ฉันรักเธอ-ได้ยินไหม
แล้วเธอจะคิดเห็นเช่นไร
ตอบไวไวนะเธอนะ, ฉันจะรอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

เด็กกับผู้ใหญ่

เด็กน้อยยืนเขย่งสุดปลายเท้า
ผู้ใหญ่นั่งย่อเข่าให้เท่าเด็ก
หนึ่งตัวเล็กทำตัวใหญ่
หนึ่งตัวใหญ่ทำตัวเล็ก
เด็กเด็กอยากเป็นผู้ใหญ่
แต่ผู้ใหญ่ไม่อยากเป็นเด็ก
แค่ย่อเข่าให้เท่ากัน
ไม่คิดฝันจะตัวเล็ก
เด็กไม่รู้เรื่องผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่รู้ว่าเด็กเด็ก
ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่
ผิดกับผู้ใหญ่แต่ใจเล็ก
ใจไม่ใหญ่เหมือนตอนเด็ก
ยิ่งเติบใหญ่ใจยิ่งเล็ก
เด็กเด็กอาจเป็นผู้ใหญ่
แต่ผู้ใหญ่ไม่อาจเป็นเด็ก
เพราะใจใหญ่อยู่ไม่ได้
ในโลกแคบใบเล็กเล็ก
หนึ่งตัวเล็กทำตัวใหญ่
หนึ่งตัวใหญ่เตือนตัวเล็ก
จงเป็นเด็กตลอดไป
อย่าโตเป็นผู้ใหญ่นะเด็กเด็ก


๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

คนเข้าใจ

"ขอบคุณนะที่เข้าใจ"
...
๏ ภูมิใจที่ได้เป็น "คนเข้าใจ"
แต่น้ำตาก็รินไหลเมื่อรู้ว่า-
"คนเข้าใจ" มิใช่คนในสายตา
คนที่เธอมองหาไม่ใช่เรา

๏ "คนเข้าใจ" นั้นมิใช่ "คนรู้ใจ"
"คนเข้าใจ" จึงเป็นได้แค่คนเหงา
เมื่อความรักเป็นเพียงฝันอันบางเบา
แล้วใครเล่าจะเข้าใจ "คนเข้าใจ"

๏ รู้ว่าเธอไม่พร้อมรับภาระหนัก
ภาระรักนั้นหนักล้นเกินทนไหว
ฉันรู้, ฉันเข้าใจ, เป็นเช่นไร
จึงถอยไกลไม่เหลือแม้แต่เพียงเงา

๏ เพราะเข้าใจจึงมิได้อยู่ข้างใจ
และมิเคยชิดใกล้อย่างใครเขา
"ขอบคุณนะที่นายเข้าใจเรา"
แล้วเธอเล่า? เธอเข้าใจฉันไหมเธอ ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๙ มีนาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

เด็กน้อยน่ารำคาญ

ข้าพเจ้าไม่ใช่นางสาวไทยจึงไม่ได้รักเด็ก ติดจะรำคาญด้วยซ้ำถ้าเป็นเด็กขี้โวยวายหรือชอบงอแงในที่สาธารณะ ระหว่างการเดินทางบนรถเมล์ที่ไม่ค่อยมีคนในวันนี้ ข้าพเจ้าพบเด็กน้อยน่ารำคาญคนหนึ่ง เขาร้องอยู่ตลอดเวลาว่า พ่อจ๋า พ่อจ๋า ด้วยเสียงเบา ๆ ในระดับที่ได้ยินไปทั่วทั้งรถ แม้ข้าพเจ้าจะพยายามทุ่มสมาธิให้กับหนังสือตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้ผล ได้แต่ปิดหนังสืออย่างเสียอารมณ์ มองไปยังต้นเสียง เด็กน้อยน่ารำคาญคนนั้นยิ้มเริงร่าอยู่ในอ้อมกอดแม่อย่างไม่รู้สึกรู้สากับความไร้มารยาทของตนเอง ถ้ามีความสุขดีแล้วเขาร้องหาพ่อทำไม ข้าพเจ้าได้แต่นึกในใจ ยังไม่ทันจะคิดจบ เสียงผู้ชายเบาะข้าง ๆ กันก็บอกฝ่ายหญิงให้เอาลูกมาให้เขา เพราะลูกร้องเสียงดังรบกวนชาวบ้าน

เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อแม่ยื่นเจ้าหนูให้พ่ออุ้ม ก่อนจะกลับไปนั่งยังเบาะตนเอง ข้อสงสัยที่ว่าทำไมสองคนนี้ถึงไม่นั่งด้วยกันปรากฏชัดตั้งแต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตั้งคำถามกับตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อสังเกตจากแววตาเย็นชาและท่าทีเมินหมางที่ทั้งสองหยิบยื่นให้แก่กันผ่านปราการความรู้สึกหนาแน่นที่กั้นกางอยู่ระหว่างเบาะรถเมล์ทั้งสองฟาก

เด็กน้อยน่ารำคาญเมื่ออยู่ในอ้อมอกของพ่อจ๋าแล้วก็มิวายร้องขึ้นมาอีกว่า แม่จ๋า แม่จ๋า ด้วยเสียงระดับเดซิเบลเท่าเดิม พ่อจ๋าอุ้มเด็กน้อยพลางบอกให้ลูกหยุดร้องหาแม่สักพัก เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลก็ส่งกลับไปให้แม่จ๋า แม่จ๋ารับลูกไปอุ้มสักพักเด็กก็ร้องหาพ่อจ๋า ทั้งสองผลัดกันรับส่งเด็กน้อยน่ารำคาญคนนี้ไปมาเหมือนโยนลูกบอล เจ้าลูกบอลเสียงแปดหลอดหัวเราะอารมณ์ดีเหมือนกำลังเล่นเกมสนุก ๆ กับพ่อจ๋าแม่จ๋า

ข้าพเจ้ายิ้มบาง ๆ มองไปนอกหน้าต่าง รถราในกรุงเทพฯ ยังติดเป็นตังเมเช่นเคย เสียงร้องพ่อจ๋าแม่จ๋าของเด็กน้อยอาจจะเพิ่มความหงุดหงิดให้กับผู้โดยสารคนอื่นเป็นทบทวี เว้นแต่ข้าพเจ้าที่รู้สึกต่างไปจากครั้งแรกที่ได้ยิน บางจังหวะในเสียงร้องของเด็กน้อยน่ารำคาญชวนให้ข้าพเจ้านึกถึงท่วงทำนองเศร้า ๆ ของบทกวีสักบทที่ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้


วุฒินันท์ ชัยศรี
๘ มีนาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไกล

ยิ่งรักยิ่งอยากอยู่ไกล
ฉันตั้งใจว่าจะไม่รักใคร
เพราะฉันยิ่งรักใคร ยิ่งอยากอยู่ให้ไกลคนที่รัก
ด้วยว่าฉันคือกลุ่มก้อนของความทุกข์
แวดล้อมด้วยบรรยากาศหม่นเศร้า
มีน้ำตาและเสียงสะอึกสะอื้นโคจรเสมือนดาวบริวาร
หากฉันเข้าไปใกล้เธอมากกว่านี้
เธอจะมองเห็นทุกสิ่งที่ฉันเป็น
คนที่ฉันรักไม่สมควรต้องเผชิญกับความทุกข์
คนที่ฉันรักต้องไม่ถูกดูดกลืนเข้าไปในบรรยากาศหม่นเศร้า
รับเอาน้ำตาและเสียงสะอื้นไปโคจรรอบตัว
คนที่ฉันรักควรรู้จักฉันแค่เปลือก
เปลือกของฉันที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากตัวตลก
คือคราบไคลสกปรกเหนียวเหนอะหนะ
เธอยังคงหัวเราะได้ตราบเท่าที่ไม่รู้ว่าน้ำตาตัวตลกกำลังไหล
ฉันยิ่งรักใคร ยิ่งอยากอยู่ให้ไกลคนที่รัก
ระยะห่างทำให้เธอไม่รู้จักฉันอย่างที่เป็น
วันใดวันหนึ่งเธออาจยืนอยู่ใกล้ฉันมากพอจะกุมมือ
นั่นคือวันที่ฉันอยู่ห่างไกลเธอจนสุดสายตา


๑ มีนาคม ๒๕๕๕