วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หน้ากาก

สวมใส่ใบหน้าแปลกปลอมเพื่อทุกคนยอมรับ
แม้หนาหนักก็เต็มใจสวม
อีกไม่นานคงได้ถอดออก

ใบหน้าปลอมแน่นสนิท
คนดูนิยมชมชอบ
หน้ากากฝังรากลงหัวใจช้า ๆ
แปลกปลอมแต่จำเป็น
หัวใจหยั่งรู้และปฏิเสธสิ้น
สองมือกลับกดหน้ากากแนบแน่นบนใบหน้า

หลอกลวงคนทั้งโลก
แต่หลอกตัวเองไม่ได้เลยสักวินาที
อึดอัดไม่มีทางออก
ตีสองหน้าเพื่อเอาตัวรอด
วันแล้ววันเล่า
ความจริงอยู่ตรงหน้าแต่ไม่กล้าเอื้อมมือออกไป
แทนที่ความจริงด้วยการหลอกลวง
คนทั้งโลกต่างปรบมือชื่นชม ยิ้มรับชื่นบาน
แต่ทุกคำชมกรีดหัวใจไม่เหลือชิ้นดี

ถอดหน้ากากคือแผลฉกรรจ์บนใบหน้า
แต่ผลคือไม่ต้องแบกหน้ากากหนาหนัก
หัวใจไม่กล้าพอแม้แต่จะออกแรงดึง
ได้แต่ปล่อยให้ฝังรากลึกบนใบหน้า
สุดท้ายติดแน่นกว่าเดิม
ดึงออกคือแผลหนักหนากว่าเดิม

ลังเลถดถอยเป็นถอดใจ
ความกล้าถูกกัดกร่อนจนไม่เหลือ
ปล่อยชีวิตตามยถากรรม
หน้ากากติดแน่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
รับอวัยวะแปลกปลอมบนใบหน้าอย่างเต็มใจ
ตีสองหน้าคือปกติชีวิต
ยิ้มรับคำชมเมื่อการแสดงจบลง

โค้งคำนับ
เสียงผู้ชมปรบมือเพื่อใคร?


๓๐/๑๐/๒๕๕๑

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บางคำที่ไม่อาจบอก

๏ อัดอั้นอะไรไว้มากมาย
คำที่มีความหมายในใจฉัน
"คิดถึง" "ห่วงใย" "ผูกพัน"
แต่ไม่กล้าพูดมันแม้เพียงนิด

๏ พูดคุยทักทายคล้ายเป็นเพื่อน
กลบเกลื่อนน้ำเสียงเสียสนิท
เธอคงมองเหมือนมิ่งมิตร
ที่ไม่คิดอะไรในใจเลย

๏ ทั้งที่คิดถึงเสมอมา
รอเวลาให้หัวใจได้เปิดเผย
เธอไม่รู้ใครคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคย
เขาเฉลยคำหวานผ่านแววตา

๏ ไม่เคยมั่นใจว่าดีพอ
จึงท้อทุกครั้งนั่งแหงนหน้า
เฝ้ามองดวงดาวที่พราวฟ้า
ไม่กล้าคว้าดาวดวงนั้น

๏ แต่จะลืมอย่างไรก็ไม่ลืม
ภาพคนเคยปลื้มยังเต็มฝัน
รอยยิ้มพิมพ์ใจเคยให้กัน
แล้วจะลบเลือนมันได้อย่างไร

๏ ไม่รู้จะมีหรือไม่มี
วันที่ก้อนดินเคียงดาวได้
กว่าจะถึงวันนั้น,อาจสายไป
ดาวคงเผลอมอบใจให้แก่เดือน

๏ อัดอั้นอะไรไว้มากมาย
คำที่มีความหมายมากเกินเพื่อน
คำ "รัก" จะเก็บไว้ไม่ลบเลือน
แม้สุดท้ายอาจต้องเปื้อนรอยน้ำตา ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓/๑๐/๒๕๕๓ แค่ได้ยินเสียงในรอบปี ก็ดีแค่ไหนแล้วนะ

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ขอโทษนะ... ถ้าทำให้ลำบากใจ


๏ บังเอิญพบกันวันนี้...
รู้สึกดีอย่างที่ฉันรู้สึกไหม
รู้สึกตื่นเต้นดีใจ
หรือว่าไม่... ไม่มีอะไรสักนิดเดียว

๏ เจ็บนะ... รู้ไหม
รู้ว่าเธอไม่มีใจจะแลเหลียว
ทั้งที่เคยสนิทสนมกลมเกลียว
กลับปล่อยฉันให้เปล่าเปลี่ยวทรมาน

๏ เผลอคิดว่าเราจะรักกัน
ใฝ่ฝันถึงวันคืนชื่นหวาน
เวลาเดินไปเพียงไม่นาน
วันวานกลับเลือนลางอย่างเงียบงัน

๏ เธอไม่ใช่คนผิดเลยสักนิด
คนเดียวที่ผิดคือฉัน
ข้อบังคับระหว่างใจ "ไม่รักกัน"
คนที่เผลอลบมันคือฉันเอง

๏ ทั้งที่ย้ำกับใจจะไม่รัก
ทำแน่นหนักเสแสร้งแกล้งปากเก่ง
กว่ารู้ตัวลำนำรักก็บรรเลง
อยู่ในใจวังเวงเดียวดาย

๏ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม...
อย่ามองเหมือนหมดใจไร้ความหมาย
หรืออย่างน้อยก็เพียงทักทาย
อย่าทำหน้าเหนื่อยหน่ายแบบนี้เลย

๏ ขอเวลาฉันสักพักนะคนดี...
จะเก็บความรู้สึกนี้ไม่เปิดเผย
จะกลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเช่นเคย
นะ... อย่าเฉยเมยเหมือนเป็นเช่นคนไกล

๏ บังเอิญพบกันวันนี้...
รู้สึกไม่ค่อยดีใช่ไหม
เพียงแววตาหมางเมินเดินจากไป
น้ำตาก็รินไหล... เพียงลำพัง
....
ไม่เป็นไรหรอกนะ, ไม่เป็นไร
น้ำตาที่รินไหล... จะเช็ดเอง ๚ะ๛



"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๖/๑๐/๒๕๕๓

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กวีฝันถึงสันติภาพใช่อ่อนแอ


๏ เธอไม่ผิดหรอกกวี...
คงจะดีหากโลกไร้เรื่องเข่นฆ่า
เติมไฟเกลียดเคียดแค้นไปมา
สุดท้ายก็ตายห่- ไปทั้งเมือง

๏ ฤๅกวีควรสุมไฟในใจมนุษย์
ชักฉุดเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เร่งเร้าคนตายให้เปล่าเปลือง
ขุ่นเคืองกันต่อไปหลายชั่วคน

๏ ย้อมโลกเคยสวยด้วยสีเลือด
สุมไฟให้ใจเดือดหมองหม่น
สนองกิเลสความบ้าตัณหาตน
จมในวังวนไม่เว้นวัน

๏ พันธกิจของปากกาคือไม่ฆ่า
พันธกิจของปากหมาคือห้ำหั่น
ปากกาที่ยุใครให้ฆ่ากัน
คือปากกาอาธรรม์เป็นแน่แท้!

๏ ปากกาต้องเป็นโล่ใช่เป็นดาบ
ใช่ใช้ปราบใครใครแต่ใช้แก้
กวีฝันถึงสันติภาพใช่อ่อนแอ
เพียงไม่อยากเดินแห่ศพประจาน

๏ ที่สุดของชัยชนะคือไม่ฆ่า
คือได้ชัยชนะมาไม่ร้าวฉาน
คืนที่พระพุทธองค์ผจญมาร
ท่านมิได้ประหารมารสักตน

๏ สงครามเกิดขึ้นแล้วกี่ครั้ง
น้ำตาต้องรินหลั่งแล้วกี่หน
แค่มีใครตายเพียงหนึ่งคน
ก็พ้นเรื่องผิดถูกชั่วดี

๏ ใช้ปากกาปกป้องปวงประชา
ใช่เร่งเร้าให้เข่นฆ่ากันเร็วรี่
นั่นคือพันธกิจของกวี
มิให้มารมาย่ำยีบีฑาเรา

๏ ก้าวให้พ้นความคลั่งแค้นระหว่างคน
ก้าวให้พ้นการเข่นฆ่าความขลาดเขลา
อย่าเร่งฆ่าเพราะไม่รู้เพราะหูเบา
ปล่อยไฟแค้นแผดเผาปิดหูปิดตา

๏ เธอไม่ผิดหรอกกวี...
คงจะดีหากสิ้นไร้เรื่องเข่นฆ่า
(เพราะพวกเราล้วนเกิดจากอวิชชา
อีกเดี๋ยวก็ตายห่- กันหมดแล้ว!) ๚ะ๛


แด่... โอบอ้อม หอมจันทร์ กวีสาวผู้ฝันถึงสันติภาพ ในโลกที่ยังเต็มไปด้วยสงคราม
๐๓/๑๐/๒๕๕๓