วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เจียม

๏ ทันทีที่คิดถึงรอยยิ้มหวาน
ใจร้าวรานก็แหลกลาญลงตรงหน้า
ทันทีที่เผลอซึ้งถึงแววตา
ก็เหมือนว่าจะขาดใจในบัดดล

๏ เขียนกวีอกหักปักข้างฝา
ความว่าต้องหักใจอย่าไปสน
ไกลสุดฟ้าคือดวงดาว, เราแค่คน
คิดคว้าดาวคงต้องหล่นลงกองดิน

๏ แม้รู้ว่าแค่ฝันก็พลันผิด
แต่หยุดคิดเมื่อไหร่ใจคงสิ้น
เขียนกลอนพร่ำรำพันไปใครยลยิน
คงถวิลถึงนวลนางอยู่ข้างเดียว

๏ เขียนกวีถึงดวงดาวเจ้าสาวจันทร์
กี่หมื่นพันก็พ่ายแพ้ใครแลเหลียว
เขียนถึงจันทร์ปั้นเป็นแหวนวงแสนเรียว
ไม่ถึงเสี้ยวของแหวนเพชรเด็ดใจเธอ

๏ เขียนกวีอกหักปักข้างฝา
เตือนว่าเจียมใจบ้างอย่าพลั้งเผลอ
ซ่อนน้ำตาแล้วอย่าให้ใครพบเจอ
อย่าสะเออะไปรักใครให้เจ็บเลย ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ร่องรอย

แต่แรกเริ่ม ฉันหวังเพียงว่า
ตัวตนของฉันจะแจ่มชัดขึ้นบ้างในห้วงคำนึงของเธอ
ฉันดิ้นรนพยายามเพียงเพื่อทิ้งร่องรอยเบาบางบนโลก
เพื่อให้มีใครสักคนรู้ว่าฉันเคยมีอยู่จริง
อยู่ที่นี่
อยู่ตรงนี้
ในลักษณาการนี้
เธอจะจำฉันได้ไหม
เมื่อลมหายใจของเธอแผ่วผ่านไป
เพียงเพื่อวันคืนที่ไม่มีฉัน
และการนับถอยหลังสู่ความไม่รับรู้

ร่องรอยของฉันคล้ายฝุ่นละออง
จับต้องได้เฉพาะเมื่อลมฟุ้ง
และแสงแรกตกกระทบในองศาพิเศษ
นอกเหนือจากนั้นคือมลพิษ
นั่นเพราะเธอชอบห้องสะอาดสะอ้าน
ทุกซอกมุมจึงอัดแน่นด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
ไม่มีแม้ที่อยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ร่องรอยเบาบางคล้ายจะจางลงจนลบเลือน

น้ำหมึกและกระดาษมีมิติเวลาไม่มากไปกว่าหนึ่งช่วงชีวิต
โดยเฉพาะกับชีวิตในเลขฐานสอง
ตัวตนของฉันจะแจ่มชัดขึ้นบ้างไหมในห้วงคำนึงของเธอ
เหมือนที่ฉันจำไม่ได้ว่าตัวละครบางตัวของฉันชอบกินไอศกรีมเป็นพิเศษ
ม้าโยกในความทรงจำอาจเคยมีอยู่จริง
แต่มันก็บิดเบี้ยวเป็นชิงช้าได้จากจินตนาการที่ต่อไม่ติด
เช่นนั้นความดิ้นรนของฉันจะทิ้งร่องรอยอย่างไร
ตัวตนของฉันจะแจ่มชัดแบบใดในห้วงคำนึงของเธอ

ในท่วงทำนองความโศกเศร้า ฉันหวังแต่เพียงว่า
ไม่ว่าตัวตนของฉันจะเป็นแบบใดในห้วงคำนึงของเธอ
แต่ที่สุดแล้ว ร่องรอยเบาบางของฉันจะบอกเธอ
ว่านี่คือบางเศษเสี้ยวของความทรงจำ
เพียงเพื่อให้ระนาบความนิ่งงันในใจของเธอเคลื่อนไหวบ้าง
แม้เพียงเล็กน้อยจนเธอเองไม่ทันสังเกต


๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ห้วงคำนึงเบาบางที่ไกลห่างกว่าปลายนิ้ว

(๑.)

บางครั้ง---ฉันได้แต่นึกสงสัย

เทคโนโลยีทำให้เรามีช่องทางติดต่อกันมากมาย แต่ช่องว่างระหว่างเรากลับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนไม่มีวันจะถมเต็ม

(๒.)

วันหนึ่งฉันพบกล่องเก็บของเก่า ๆ บรรจุจดหมายหลายสิบฉบับ กระดาษเหลืองกรอบบ่งบอกอายุของจดหมาย นอกเหนือจากวันเดือนปีที่ลงไว้อย่างน่ารักว่า วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ. ที่คอย

นั่นคือจดหมายรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นคู่รักสูงวัย

วันที่ในจดหมาย ระบุระยะห่างของการสื่อสาร นอกจากระยะทางที่เป็นอุปสรรค ระยะห่างของช่วงเวลาก็เว้นวรรคนานนับเดือน หรือสองสามเดือน

วันที่ไม่มีโทรศัพท์ สองหนุ่มสาวติดต่อกันด้วยกระดาษรายงานและซองจดหมายสีชมพู นอกจากวจีรักออดอ้อน ยังมีเนื้อหาสัพเพเหระทำนองว่า วันนี้กินข้าวกับอะไร ไปทำบุญที่ไหน ผลการสอบได้คะแนนเท่าไหร่ ราวกับลูกชายรายงานสถานการณ์ชีวิตกับแม่จอมเฮี้ยบ

นั่นคือจดหมายรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ผ่านมาสิบปี หรือยี่สิบปี หรือห้าสิบปี ทั้งสองยังคงแน่นแฟ้นในความรัก

บางครั้ง---ฉันได้แต่นึกสงสัย

ในวันที่เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดคือจดหมาย ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์บ้าน ทำไมคนสองคนกลับรักกันได้ยาวนานหลายสิบปีขนาดนั้น

(๓.)

ฉันมีแอคเค้าท์อีเมล์ ฉันมีเฟซบุ้ค ฉันมีแอนดรอยด์โฟนหนึ่งเครื่องซึ่งเข้าได้ทั้งอีเมล์และเฟซบุ้ค แถมในนั้นบรรจุแอพพลิเคชั่นสำหรับการติดต่อสื่อสารอย่าง Whatsapp และ Line เธอจะติดต่อหาฉันเมื่อไหร่ก็ได้ทั้ง 24 ชั่วโมง หากฉันไม่ได้นอนหลับไปเสียก่อน

ห้วงคำนึงระหว่างเรากลับเบาบาง

เธอเคยคิดเหมือนกันไหมว่า การสื่อสารที่ง่ายเกินไปกลับทำให้ความคิดคำนึงที่มีถึงกันกลับน้อยลง

ข้อความสั้น ๆ ที่ส่งมาอย่างผิวเผินผ่านโปรแกรมติดต่อสื่อสารสำเร็จรูป ไม่อาจหยั่งวัดความเข้มข้นของห้วงคำนึงได้ว่าฉันคิดถึงเธอมากเพียงไร

เพราะวันหนึ่ง ๆ เธออาจจะมีข้อความว่า "คิดถึงนะ" ส่งถึงเธอผ่าน Whatsapp นับสิบข้อความ

แต่ทางฝั่งฉัน ฉันส่งข้อความนี้ให้เธอเพียงคนเดียว

(๔.)

หากเธอเคยเปิดสมุดสารพัดจดของฉันอ่าน จะเห็นว่านอกจากความคิดจิปาถะ และเศษบทกวีตก ๆ หล่น ๆ แล้ว ในนั้นยังมีที่อยู่ทางไปรษณีย์ของคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด

ฉันเป็นมนุษย์เดินช้า ผู้หล่นจากขบวนรถไฟ 4G ที่วิ่งฉิวไปสู่อนาคต ใครที่รู้จักฉันอาจจะต้องรำคาญหน่อย ถ้าตื่นขึ้นมาพบว่ามีซองจดหมาย หรือกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ติดตราไปรษณีย์มาหล่นอยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน

นั่นคือผลผลิตจากห้วงคำนึงแน่นแฟ้นที่มีต่อคนที่อยู่ปลายทางของไปรษณีย์

ฉันอยากให้เธอได้สัมผัสความรู้สึกขณะที่เขียนจดหมายหรือโปสการ์ด นอกจากรอยยิ้มที่หุบไม่ลงแล้ว ทั้งหมดของความคิดคำนึงยังผูกพันอยู่กับคนเพียงคนเดียว หากความคิดถึงมีรูปร่างเป็นเส้นใย มันก็ค่อย ๆ ถักทอขึ้นเป็นผ้าผืนงามและแข็งแรงทนทานในขณะที่กระดาษแผ่นนั้นค่อย ๆ ถมเต็มด้วยตัวอักษร เช่นเดียวกับช่องว่างในหัวใจที่เว้าแหว่งไปด้วยความคิดถึงเธอที่ค่อย ๆ เต็มขึ้น

นั่นคงเป็นเหตุผลเดียวกันกับเหตุผลที่ว่า ทำไมในวันที่เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดคือจดหมาย ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์บ้าน ทำไมคนสองคนกลับรักกันได้ยาวนานหลายสิบปีขนาดนั้น

บางครั้ง---ฉันได้แต่นึกสงสัย

โทรศัพท์ของเธอก็ใช้งานสารพัดโปรแกรมติดต่อสื่อสารได้เช่นเดียวกับโทรศัพท์ของฉัน เช่นนั้นเธอยังยินดีจะรับการสื่อสารตกรุ่นที่ฉันพยายามส่งไปให้รึเปล่านะ

(๕.)

บุรุษไปรษณีย์ชื่อกาลเวลา นำพาจดหมายรักข้ามผ่านกาลเวลามาให้ฉันแอบอ่าน ทุกตัวอักษรในนั้นยังคงมีตัวตนอยู่แม้จะผ่านไปหลายสิบปี เช่นเดียวกับความรักของเจ้าของจดหมาย

ขณะที่แอนดรอยด์โฟนของฉัน อำนวยความสะดวกในการลบเลือนความทรงจำทั้งหมดด้วยคำสั่ง Clear all History หากไม่สำรองข้อมูลไว้ มันก็จะเป็นเพียงความทรงจำเลือนรางที่พร้อมจะจางหายไปในเสี้ยวเวลา

การติดต่อสื่อสารของเราง่ายดายและผิวเผินเกินไป ที่สุดมันอาจจะเป็นความทรงจำสีจาง คล้ายกับห้วงคำนึงที่เธอมีต่อฉัน

การเชื่อมต่อกับผู้คนมากเกินไป อาจทำให้สายสัมพันธ์ของเราเบาบางลง หรืออันที่จริงสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันไม่มีตั้งแต่แรก ทั้งหมดเป็นเพียงความเพ้อฝันของฉันเอง ข้อนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้

อินเตอร์เน็ตยังคงเชื่อมต่อ เธออาจส่งเมล์ โพสหน้าวอลล์ในเฟซบุ้ค ส่งข้อความใน Whatsapp หรือ Line มาถึงฉันได้ตลอดเวลา แต่เสียงเตือนในโทรศัพท์นั้นเงียบงัน ขณะที่ฉันกำลังเติมตัวอักษรในจดหมายที่คิดจะส่งไปให้เธอ

บางครั้ง---ฉันได้แต่นึกสงสัย

เทคโนโลยีทำให้เรามีช่องทางติดต่อกันมากมาย แต่ช่องว่างระหว่างเรากลับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนไม่มีวันจะถมเต็ม


๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนุ่มอักษร, นอนตื่นสาย, ร่ายแคนโต้ (๕)

(๒๑)

ระหว่างบรรทัด มีบางสิ่งซ่อนอยู่
ระหว่างเรา
ไม่มี

๐๙/๐๒/๒๕๕๕

(๒๒)

แม่คนนั้นแสดงความรักลูก
โดยเร่งให้ข้ามถนน
ขณะไฟเขียวสว่าง

๑๐/๐๒/๒๕๕๕

(๒๓)

รอยดินสอที่ถูกลบทิ้ง
เป็นส่วนสำคัญที่สุด
ของรูปที่ฉันวาดให้เธอ

๑๑/๐๒/๒๕๕๕

(๒๔)

ฉันไม่ได้หลงรักเธอ
ฉันหลงรัก
ความรักที่มีให้เธอ

๑๔/๐๒/๒๕๕๕

(๒๕)

เธอหลงรักคนในนิยาย
นิยายเล่มนั้น
ฉันไม่ได้เขียน

๑๕/๐๒/๒๕๕๕


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ในนิยาย

ฉันตื่นในความหลับ
เพียงเพื่อพบว่า
เธอพยายามมีความรักเหมือนในนิยาย

ฉันเคยเขียนหนังสือ
เสกตัวละครจากลมหนาว
คล้ายว่าขณะที่เพลงวิวาห์ดังกระหึ่ม
ความเงียบตะโกนใส่ฉัน
บอกถึงทุกถ้อยคำที่ฉันต้องเขียน
นิยายของฉันวิ่งวนอยู่ข้างหลังเธอ
ตราบเท่าที่มันยังไม่มีตอนจบ
ฉันสูดหมอกเข้าไปเต็มปอด
ชดเชยความเว้าแหว่ง
ยามเมื่อเผลอเฉือนเนื้อตัวเอง

ฉันลองหลับในความตื่น
เพื่อให้พบว่า
ฉันไม่เคยพยายามมีความรักเหมือนในนิยาย


๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ลูก

"---พี่ไม่อยากมีลูก เพราะพี่คิดว่าลูกเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ชีวิตเล็ก ๆ ที่เกิดจากเราอีกชีวิตหนึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับมนุษย์ มันไม่ใช่แค่การทำให้ใครคนหนึ่งเกิดมา แต่มันคือพันธสัญญาชั่วชีวิต---พันธสัญญาที่บอกว่าจะดูแลเขา จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขา จะต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงแค่ทั้งหมดของชีวิต แต่ต้องทุ่มเททั้งจิตวิญญาณลงไปด้วย เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งจิตวิญญาณของพี่ตอนนี้ไม่พร้อมที่จะแบกรับภาระยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้

"ใช่ พี่อาจจะยังไม่อยากทิ้งความหนุ่ม ไม่ใช่เรื่องของอายุ แต่เป็นความคิด ความฝัน ความเชื่อ อาจจะรวมถึงความเห็นแก่ตัวที่ต้องการจะพาตัวเองไปให้ถึงความฝัน เพื่อการนั้นพี่จึงยังไม่อยากจะสูญเสียความหนุ่มสาว---เพราะหนุ่มสาวจะไม่ยอมรับใช้ใครนอกเสียจากจิตวิญญาณของตนเอง ไหล่ของหนุ่มสาวไม่ใหญ่มากพอที่จะแบกอีกชีวิตหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไปชั่วชีวิตได้ มีแต่ไหล่ของผู้ใหญ่ที่กว้างมากพอจะรับภาระนั้นได้ชั่วชีวิต หากเราจะมีลูก เราต้องทิ้งความหนุ่มสาวของเราไป แล้วให้ความหนุ่มสาวนั้นเติบโตขึ้นในวิญญาณของลูกเราแทน---"

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เล่นสันติภาพ


“เล่นอะไรดีนะ เล่นอะไรดีนะ”
“เล่นสันติภาพจ้ะ ดีไหม”
“เล่นอย่างไร เล่นอย่างไร”
“จับมือกันไว้ แล้วยิ้มให้กัน”
เด็กเด็ก จับมือ ยิ้มร่า
สบตา มอบรัก ผูกพัน
เราต่าง มีกัน และกัน
ความฝัน ขอให้เชื่อ-ขอให้เชื่อ
...
...
...
แล้วเด็กคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา
“เลิกเล่นดีกว่า-สันติภาพน่าเบื่อ”


๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คนยิ้มหวาน (๒)

๏ ราวกับฉันเดินหลงดงดอกไม้
เพียงเธอยิ้มหวานใสให้ฉันเห็น
โรคภูมิแพ้คนน่ารักฉันมักเป็น
อย่าล้อเล่นกับมัน, ฉันขอร้อง

๏ รอยยิ้มเอียงอายเมื่อทายทัก
น่ารักแบบนี้ไม่มีสอง
หากว่าไม่มีใครคอยจับจอง
จะตระกองกอดไว้ไม่ปล่อยมือ

๏ คำกวีกี่ล้านคำพร่ำพรรณนา
ฟังว่าแต่ละถ้อยยังน้อยหรือ
พลิ้วเพลงอ้อนอ่อนไหวเพลงใดฤา
หวานเท่ารอยยิ้มซื่อแสนหวานนั้น

๏ โรคหัวใจอ่อนแอแพ้ยิ้มหวาน
ยิ่งยิ้มนานยิ่งหวานนวลชวนใจฝัน
ได้แต่เขียนคำกลอนอ้อนจำนรรจ์
ว่าใจฉันพ่ายยิ้มใสหมดใจแล้ว! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนุ่มอักษร, นอนตื่นสาย, ร่ายแคนโต้ (๔)

(๑๖)

ความฝันจะเป็นจริง
ก็ต่อเมื่อ
เราฝัน

๐๔/๐๒/๒๕๕๕

(๑๗)

ในความฝัน เราทำได้ทุกอย่าง
เว้นแต่
ความจริง

๐๕/๐๒/๒๕๕๕

(๑๘)

ฉันเขียนแต่เรื่องมนุษย์ผู้ทุกข์ทน
จนหลงลืม
เรื่องเล่าถึงเทพธิดาผู้แสนใจดี

๐๖/๐๒/๒๕๕๕

(๑๙)

เพราะอยากให้เธอหัวเราะ
ฉันจึงเขียนเรื่องขำขัน
ทั้งน้ำตา

๐๗/๐๒/๒๕๕๕

(๒๐)

เต็มเวิ้งฟ้ารัตติกาล
คือช่องว่างสีดำ
ที่อยู่ระหว่างดวงดาว

๐๘/๐๒/๒๕๕๕


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"

* ปล. ขอบคุณหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้โครงการเขียนแคนโต้ของผีกวีหนุ่มอักษรฯ ไม่ถูกพับเก็บไปพร้อมกับความพ่ายแพ้และสิ้นหวังที่กินระยะเวลามานานเกือบปี

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 7

เสี้ยวชีวิตเบาบางระหว่างสถานี

(1.)

ตอนสายของวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ผมพบตัวเองนั่งอยู่ในซอกมุมหนึ่งของสนามบินสุวรรณภูมิ ในมือมีข้าวกล่องเซเว่นอุ่นร้อน ๆ และกำลังรอคอยการเรียกเช็คอิน ผมไม่ชอบการรอคอยนานนับชั่วโมง เช่นเดียวกับที่ไม่ชอบข้าวกล่องเซเว่น พูดให้ถึงที่สุดแล้วคือผมไม่ชอบเดินทางไปยังที่ไกล ๆ แต่ชีวิตคนเราต้องมีสักครั้ง หรือหลายครั้งที่ไม่อาจปฏิเสธการเดินทางได้ และในทุกครั้ง การเคลื่อนที่ของหัวใจจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งก็ย่อมทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอ อย่างน้อยวันนี้การเดินทางก็ทำให้ผมที่ไม่ชอบการเดินทาง ไม่ชอบรอคอยนาน ๆ ไม่ชอบข้าวกล่องเซเว่น ต้องมานั่งกินข้าวกล่องเซเว่น รอคอยเวลาเช็คอินนานนับชั่วโมง เพื่อที่จะเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

เงยหน้าขึ้นมองป้ายไฟแสดงข้อมูลการบิน ขณะที่ปากเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ เที่ยวบินของผมปรากฏอยู่บนสุด เข้าใจว่าเครื่องบินมาถึงแล้วและกำลังเช็คสภาพ  คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกัน ต่างคนต่างก็จดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ตนเองต้องการจะไปถึง โชคดีที่เป้าหมายของผมมาปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้ว ขณะที่เป้าหมายของบางคนอาจจะยังไม่มา หรืออีกนานมากกว่าจะมาถึง เก้าอี้ชุดบางตัวจึงถูกจับจองเป็นที่นอน กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใช้ต่างหมอน

การรอคอยที่สถานีของบางคนอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วเคี้ยวข้าวหมดกล่อง แต่สำหรับบางคนอาจจะใช้เวลาทั้งวัน หรืออาจเป็นอาทิตย์ แต่ไม่มีใครที่ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในสถานี เพราะทุกการเดินทางของทุกคนล้วนมีเป้าหมาย ส่วนสถานีเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เขาจะใช้เป็นทางผ่าน เป้าหมายที่จะไปต่างหากเป็นสถานที่ที่เขาจะพำนักอยู่อย่างถาวร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชีวิตไม่เคยเกิดขึ้นที่สถานี ทุกสถานีเป็นเพืยงสถานที่ผ่านพบไม่ผูกพันเท่านั้นเอง

หรืออันที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น?

(2.)

"ถ้าเป็นไปได้ เราไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยกันนะ"

ใครบางคนทิ้งตะกอนความฝัน ทิ้งบางร่องรอยของความทรงจำเอาไว้ สำหรับเธอแล้วมันอาจเป็นเพียงฝุ่นผง เพียงลมแผ่วผ่านก็จางหาย แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือการจารึกถ้อยคำลงป้ายหินซึ่งคงอยู่ยาวนานกว่าชั่วชีวิตของใครบางคน

"ฝรั่งเศสมีอะไรน่าเที่ยว"

"จะไปดูลูฟว์" เธอหมายถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดัง ไม่รู้ว่าเธออยากจะไปดูลูฟว์เพราะอยากดูโมนาลิซ่า หรือแค่เพราะเธอชอบอ่านดาวินชีโค้ด

"ไม่อยากไปดูหอไอเฟลเหรอ"

"มีแต่โครงเหล็ก ไม่เห็นน่าสนใจ"

เธอว่าผู้ชายส่วนใหญ่ก็เหมือนหอไอเฟล กระด้าง ไร้ความรู้สึก ไม่ละเอียดอ่อนละเมียดละไม อวดกร่างว่าใหญ่แต่ข้างในกลวงเปล่า ส่วนลูฟว์เหมือนผู้ชายที่ดูน่าค้นหา มีความงามและความลับซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด แต่เธอไม่ได้บอกว่าผมเหมือนลูฟว์ ผมได้แต่คิดไปเอง คาดเดาเอาเองทั้งนั้น

ตอนนี้เธอคบหาอยู่กับผู้ชายที่เหมือนหอไอเฟล

สำหรับเธอแล้ว เขาคือปารีส เขาคือปลายทางที่เธออยากจะไป แม้ว่าสิ่งที่เธอต้องพบพานทุกวันคือหอไอเฟล แต่เธอก็ยังคงหวังว่าเขาคงจะพาไปดูลูฟว์ในสักวัน ส่วนผมเป็นเพียงสถานีหนึ่งที่เธอบังเอิญเดินผ่านมาเท่านั้นเอง

(3.)

ข้าวหมดกล่อง อีกประมาณสิบนาทีถึงเวลาเช็คอิน ผมโยนกล่องข้าวลงถังขยะ ล้างมือในห้องน้ำ พนักงานทำความสะอาดกระเตงลูกเดินเข้ามาทำความสะอาดห้องน้ำ ผมยิ้มบาง ๆ ให้ เธอยิ้มตอบ และดูเหมือนเจ้าหนูที่อยู่หลังเธอก็ยิ้มให้ผมด้วย

เดินผ่านร้านอาหาร ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมเดาว่าเป็นแม่กำลังซับน้ำตา ขณะที่พ่อกำลังให้โอวาทลูกสาวผู้มีกระเป๋าใบใหญ่วางอยู่ข้าง ๆ เธออาจจะกำลังเดินทางไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ไกลแสนไกล และความคิดถึงอย่างเป็นรูปธรรมของพ่อแม่อาจเดินทางไปไม่ถึง

เดินผ่านร้านกาแฟ ผู้หญิงคนหนึ่งหันหน้าออกมานอกร้าน ทำเหมือนไม่สนใจคนร่วมโต๊ะ ขณะที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำทีท่าพยายามงอนง้อขอคืนดี ผมได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ยกเลิกเที่ยวบินราคาแพงเพียงเพราะโกรธคนที่กำลังจะร่วมเดินทางไปกับเธอในอีกไม่กี่ชั่วโมง

เสียงกรี๊ดกร๊าดของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ผมหันกลับไปมอง เธอกำลังหมุนวนในอากาศเหมือนใบพัด โดยมีอ้อมกอดของแฟนหนุ่มเป็นแกนกลางหมุนเธอไปรอบ ๆ ท่ามกลางสายตาแห่งความยินดีของคนรอบข้าง และสายตาปนอิจฉาเล็ก ๆ ของผม

คุณตาจูงมือคุณยายเดินผ่านตรงหน้าผม ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ๆ ติดตัว ทั้งสองอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรือเพิ่งกลับมาจากสถานที่นั้น และกำลังจะกลับไปยังบ้านของตนซึ่งเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของชีวิต

ทุกเสี้ยวชีวิตของคนอื่น ทำให้ผมนึกถึงเสี้ยวชีวิตเบาบางระหว่างสถานีของตนเอง

แม้ว่าชีวิตอาจไม่เกิดขึ้นที่สถานี แต่สถานีก็เป็นสถานที่สำหรับการชุมนุมกันของเสี้ยวชีวิตที่สำคัญของแต่ละคน เป็นเสี้ยวชีวิตที่มีทั้งความดีใจ ความเสียใจ เศร้าใจ การพานพบ การพลัดพราก และการเริ่มต้น ทั้งหมดล้วนเป็นเสี้ยวชีวิตหนึ่งที่น่าประทับใจในช่วงชีวิตของมนุษย์เราทั้งนั้น เพียงแค่เราลืมไปว่าเสี้ยวชีวิตนั้นเกิดขึ้นที่สถานี เกิดขึ้นในระหว่างรอยต่อของการเดินทาง

รอยจุมพิตแรกเมื่อพบพาน และรอยจุมพิตสุดท้ายเมื่อพรากจาก ล้วนเกิดขึ้นในสถานีหนึ่งซึ่งเราหลงลืมไว้ในซอกมุมของความทรงจำ

(4.)

ขณะที่ผมกำลังจะเปลี่ยนสัญญาณมือถือเป็น Flight Mode ก่อนขึ้นเครื่อง ก็มีข้อความสั้น ๆ ส่งเข้ามาเสียก่อน

"เดินทางปลอดภัยนะคะ"

เธออาจจะเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังคงจำได้ว่า มีเศษเสี้ยวชีวิตที่น่าประทับใจตกค้างอยู่ระหว่างรอยต่อของการเดินทาง มีหลายความทรงจำที่เธออาจจะเผลอหลงลืมไว้ในซอกมุมหนึ่งของความทรงจำ แต่ไม่เคยหล่นหาย

ผมไม่ชอบการเดินทาง ไม่ชอบรอคอยนาน ๆ ไม่ชอบข้าวกล่องเซเว่น แต่วันนี้ผมเพิ่งจะนั่งกินข้าวกล่องเซเว่น รอคอยเวลาเช็คอินนานนับชั่วโมง และกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลหลายพันกิโลเมตร ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้พร้อมกับคิดถึงเธอ โหยหาอ้อมกอดที่ไม่มีวันจะหวนกลับมาอีกแล้ว ทั้งหมดอาจเป็นเพียงเพราะการเดินทางของเราทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้เธออาจยังคงเดินทางอยู่ ส่วนผมกลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม

บางที เสี้ยวชีวิตเบาบางระหว่างสถานีที่ตกค้างอยู่ในใจผม อาจเป็นเพราะผมยังไม่กล้าเดินทางออกจากสถานีของตนเอง

ปิดสัญญาณโทรศัพท์ ก้าวขึ้นเครื่องบิน ล็อกเข็มขัดพร้อมเดินทาง ชีวิตคนเราต้องมีสักครั้งที่ไม่อาจปฏิเสธการเดินทาง และในทุกครั้ง การเคลื่อนที่ของหัวใจจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งก็ย่อมทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอ ผมได้แต่หวังว่าคำพูดนี้จะจริงมากพอสำหรับลมหายใจที่ยังเหลืออยู่ และหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่อย่างแผ่วเบา

วุฒินันท์ ชัยศรี

2 กุมภาพันธ์ 2555