วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

แม่วงก์


จะชะนะหรือแพ้นะแม่จ๋า
วันก่อนเห็นคนบ้ามาพูดเล่น
กูจะล้างหมดป่าหาใช่ประเด็น
ต้องมุ่งเน้นเรื่องน้ำท่วม, จงร่วมมือ

บางทีเราอาจแพ้นะแม่จ๋า
จะพูดดีหรือก่นด่าเขายังดื้อ
ไม่มีคนมาสนใจไม่หืออือ
กฎหมู่คือประชาธิปไตย-ตามใจกู!

แน่ล่ะ, เราอาจแพ้นะแม่จ๋า
แต่หัวใจสั่งมาว่าต้องสู้
มีก็แต่สองเท้าลองก้าวดู
ก้าวเดินสู่ศิวิไลซ์กลางใจเมือง

บางทีเราอาจชะนะ, นะแม่จ๋า
เมื่อคลื่นคนยังเคลื่อนมาคอยหนุนเนื่อง
บางทีฟ้าสีทองอาจรองเรือง
และคนเขื่องจะหมดค่าราคาคน!

หวังว่าเราจะชะนะ, นะแม่จ๋า
ลูกของแม่ทยอยมาเหมือนห่าฝน
กลายเป็นคลื่นมวลมหาประชาชน
จะถั่งท้นไปพังเขื่อนคนเถื่อนแล้ว!


๒๒ กันยายน ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

จดหมายถึงหญิงสาวในโลกคู่ขนาน ฉบับที่ 1


ฉันจะเริ่มต้นจดหมายนี้อย่างไรดี อันที่จริงแล้วการเริ่มต้นจดหมายที่เขียนถึงเธอไม่เคยเป็นเรื่องยากสำหรับฉันเลย ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ กระดาษเปล่าวางตรงหน้า มือขวากุมกำปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน ขนาดเส้น 0.7 (ไม่รู้ว่าเธอจำได้หรือเปล่าว่าอันที่จริงฉันชอบปากกาที่มีขนาดเส้น 1.0 ขึ้นไป มันทำให้ความคิดของฉันพรั่งพรูราวกับตาน้ำนิรันดร์ แต่ฉันก็เกรงว่ากระดาษจะเลอะเปรอะเปื้อนจนทำให้เธอรำคาญ) แล้วทุกคำที่ฉันอยากพูดก็ไหลลงสู่กระดาษ ไม่มีการเรียบเรียง ไม่ขึ้นต้นด้วยเปิดเรื่อง ตามด้วยเนื้อหา ลงท้ายด้วยสรุปความเหมือนในเรียงความที่เคยเรียนกันในตอนมัธยมฯ ฉันพูดโพล่งถึงสิ่งที่อยากพูด แล้วจบลงเมื่ออยากจบทั้งที่ข้อความอาจจะยังค้างเติ่งอยู่กลางเรื่อง ฉันคิดว่าเธอคงจะชินเสียแล้วกับจดหมายไม่มีที่มาที่ไป แล้วจบลงเช่นเดียวกับตอนเริ่ม ซึ่งไม่ได้มีสาระอะไรมากไปกว่าคำบ่นเบื่อไร้สาระของฉัน แม้เธอเคยบอกว่าฉันควรจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าให้แม่ฟังดีกว่า แต่ฉันก็พอจะจำได้ว่าฉันเคยเปรียบเธอกับแม่ของฉันว่าเป็นคนที่มีบรรยากาศคล้าย ๆ กัน จึงทำให้ฉันไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะเล่าเรื่องโดยไม่ผสมความเกรงใจให้เธอฟังมาโดยตลอด แต่วันนี้เงื่อนไขทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป เธอกลายเป็นอีกคนซึ่งฉันไม่เคยรู้จัก อันที่จริงฉันควรจะรู้นับตั้งแต่วันที่เราได้พบกันอีกครั้ง แต่เป็นฉันเองแหละที่แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เพียงเพราะฉันต้องการเวลาอีกสักนิด แม้จะรู้ว่าเวลาไม่ใช่ยา แต่การเยียวยาจำเป็นต้องใช้เวลา เธอคงไม่ใจร้ายถึงขนาดรีบร้อนผลักไสให้ความจริงอันน่ากลัวเหมือนแทร็กเตอร์ยักษ์เคลื่อนเข้ามาบดขยี้ฉันซึ่งเปราะบางกว่าฟองสบู่ที่บังเอิญเกิดขึ้นตอนเธออาบน้ำ

อาจจะเป็นสองเดือน สามเดือน หรือครึ่งปีที่ฉันไม่ได้เขียนจดหมายถึงเธอ ฉันไม่แน่ใจ ฉันไม่ได้จดวันที่ลงท้ายจดหมายฉบับก่อนหน้าเอาไว้ ทั้งที่ฉันรู้อยู่แก่ใจว่านั่นจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันจะส่งถึงเธอในโลกแห่งความจริง (ซึ่งมันก็จบห้วน ๆ ราวกับจะมีภาคต่อ และอาจทำให้เธอคาดหวัง หรือเธออาจไม่เคยคาดหวัง) ทั้งที่นิสัยของฉันน่าจะต้องมีตัวเลขในใจอยู่บ้าง เช่นว่าฉันจำได้ว่าฉันเคยคบกับผู้หญิงคนหนึ่งนาน 2 ปี 2 เดือน 13 วัน นั่นหมายถึงฉันจำวันแรกและวันสุดท้ายที่ทั้งสองคนคบกันได้ แต่กับจดหมายฉบับสุดท้ายที่ส่งถึงเธอ ฉันจำไม่ได้เสียแล้วว่าเป็นวันไหน แต่นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องดี เพราะเพียงแค่เรื่องราวรางเลือนในกระแสสำนึกซึ่งฉันพยายามเติมมันให้อัดแน่นด้วยทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากเรื่องของเธอ กระนั้นภาพของเธอก็ยังติดตรึงอยู่ในนั้นไม่เคยจางหาย หากมันผสมรวมกับตัวเลขละเอียดลออ ยิ่งจะทำให้เรื่องของเธอชัดเจนกว่านี้ นั่นคือใบมีดคมกริบที่พร้อมจะสร้างแผลในซอกหลืบของใจได้ทุกเมื่อ

อ่านมาสองสามย่อหน้า ฉันก็ยังไม่เข้าเรื่องเสียที เธอคงสงสัยว่าฉันเขียนจดหมายมาบอกอะไร ข้อนี้ฉันอาจตอบได้ไม่ชัดเจนพอ แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็นเพื่ออะไร แล้ววิสัชนาว่าฉันต้องการเพียงเปิดเปลือยความรู้สึกอันน่าสมเพชเพื่อเรียกร้องขอความเห็นใจจากเธอ  ฉันลองถามตัวเองด้วยคำถามนั้นซึ่งคำตอบคือไม่ใช่ แน่นอนว่ามันเป็นความรู้สึกที่น่าสมเพช แต่ที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมาของฉันซึ่งไม่ได้ผ่านการคิดอย่างซับซ้อนแล้วซ่อนมันด้วยคำโกหกสั้น ๆ ที่ให้ผลลัพธ์เดียวกัน ฉันไม่อยากใช้วิธีการเช่นนั้นกับเธอ ยกตัวอย่าง สมมติว่าวันนี้ฉันไม่อยากกินข้าวเย็น โดยไม่มีเหตุผลอะไรที่หนักแน่นพอฟัง เพียงแค่ไม่อยากกินข้าวเย็นเท่านั้น เมื่อเพื่อนถามว่ากินข้าวเย็นหรือยังเพื่อชวนฉันไปร่วมโต๊ะ ฉันคิดล่วงหน้า ถ้าฉันตอบว่ายังไม่กินแต่ไม่อยากกิน เพื่อนก็ต้องถามเหตุผล คาดเดาไปต่าง ๆ นานา อาจคิดว่าฉันป่วย หรือจะไดเอ็ตลดความอ้วน ฉันแก้ต่างว่าไม่ใช่แต่ก็ไม่มีเหตุผลดีพอ เพื่อนคงคิดว่าฉันโกหก และพยายามซักไซ้อย่างนักสืบเพียงเพื่อให้ตรรกะของพวกเขาสมบูรณ์ ฉันคิดไว้หมดแล้วว่าเรื่องราวของฉันพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตรรกะและจะกลายเป็นเรื่องยืดยาว ฉันจึงตัดบทคำชักชวนกินข้าวเย็นของเพื่อนด้วยคำโกหกสั้น ๆ ว่าฉันกินแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ ฉันพร้อมจะเล่าทุกสิ่งที่ฉันคิดแม้ว่ามันไม่มีเหตุผลมากพอที่เธอจะเชื่อ และไม่มีความใกล้เคียงกับตรรกะชุดใด ๆ ในโลก แต่ฉันก็พร้อมจะเปิดเปลือยความรู้สึกทั้งมวลต่อหน้าเธอ เพราะเธอมีค่าเกินกว่าจะตัดบทด้วยคำโกหก เอาล่ะ กลับมาที่คำถามแรก ฉันต้องการบอกอะไร ฉันลองสรุปเป็นข้อความสั้น ๆ ได้ความว่า: ฉันไม่เคยเจ็บปวดกับเรื่องของเธอแม้ว่าบางครั้งมันจะทำให้เกิดบาดแผลในใจ แต่ฉันกลับอยากลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเราไปให้สิ้น กระนั้นฉันก็ยินดีให้เธอดำรงชีวิตอยู่ในความคิดคำนึงของฉันในฐานะบาดแผลชั่วนิรันดร์ ดีกว่าให้เธอมีตัวตนจับต้องได้ในอ้อมกอด

เห็นไหมล่ะว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ไม่มีเหตุผลไหนที่สอดคล้องกับประโยคข้างต้นแม้แต่น้อย ทำไมฉันถึงอยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราทั้งที่ฉันไม่ได้เจ็บปวด และหากไม่เจ็บปวดทำไมฉันถึงให้เธอดำรงชีวิตอยู่ในฐานะบาดแผล ฉันตอบคำถามเหล่านี้ด้วยตรรกะไม่ได้เลยสักข้อ แต่เธอเชื่อได้ว่ามันไม่ใช่คำโกหก เพียงแค่ทุกสิ่งเป็นไปเช่นนั้นเท่านั้นเอง หากเธอจะลองจับประโยคนี้มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ คำเชื่อมประโยคนี้ล้วนมีแต่ความขัดแย้งอย่าง -แม้ว่า แต่ กระนั้น- ฉันพยายามเชื่อมประโยคหลักและอนุประโยคให้สอดคล้องกันแล้วหลายวิธี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันรู้สึกอย่างแท้จริง (อันที่จริงประโยคที่ว่ามานั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันรู้สึกจริง ๆ เป็นเพียงประโยคที่ใกล้เคียงสิ่งที่ฉันรู้สึกมากที่สุด เหมือนแบบจำลองอันไม่ผิดแผกซึ่งจำลองมาจากโลกของแบบตามหลักปรัชญาของเพลโต) ความจริงแล้วฉันอาจจะตัดบทด้วยคำโกหกสั้น ๆ ว่า ฉันมีแฟนใหม่แล้ว ซึ่งมันพอจะรวมใจความของประโยคหลัก ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ให้สอดคล้อง เช่นว่า ฉันไม่เคยเจ็บปวดกับเรื่องของเธอ ฉันอยากลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ฉันไม่อยากกอดเธอ แถมยังทำให้เธอรู้สึกสบายใจที่จะได้จบความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอเสียที แต่นั่นก็จะเป็นการไม่เคารพความรู้สึกแท้จริงที่ฉันมีต่อเธอ ซึ่งแท้จริงมันเป็นเพียงเส้นด้ายเบาบางที่ไม่เคยขาด แม้ว่าฉันจะพยายามฉุดกระชาก แต่ที่สุดมันก็เป็นการยึดยื้อของฉันเองเพียงเพื่อให้เส้นด้ายดำรงอยู่อย่างเบาบางที่สุดเท่านั้น

เธออาจกล่าวหาว่าฉันอ่านนิยายมากเกินไป และพยายามสมมติตัวเองให้เหมือนพระเอกที่เปล่าเปลี่ยวปวดร้าว จมจ่อมอยู่ในห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ ที่มีมวลสารความเหงาอัดแน่นเต็มทุกพื้นที่ เพื่อจะได้รู้สึกดีกับความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญทุกเมื่อเชื่อวันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ฉันเองก็พยายามคิดเช่นนี้ แต่ที่สุดแล้วฉันกลับพบว่า ฉันไม่ได้เลียนแบบคนในนิยาย นิยายต่างหากที่เลียนแบบคนในชีวิตจริงของฉัน เธอจำไม่ได้หรือ ในวันที่เธอบอกฉันว่ากำลังคบใครอยู่ ฉันหัวเราะลั่น เพียรถามซ้ำเรื่องคนที่เธอคบ ไม่ใช่เพื่อเยาะเย้ยเธอ หรือเย้ยหยันโชคชะตาบัดซบ เพียงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นพล็อตของนิยายที่ฉันชอบ เธอดูสับสนกับตัวเอง ไม่แน่ใจกับคนที่เธอคบหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องแล้วหรือ ซ้ำยังมาปรึกษาฉันซึ่งเธอรู้อยู่เต็มอกว่าฉันรักเธอ ไม่ต่างจากนางเอกในนิยายเรื่องนั้นที่เธอเองก็ไม่เคยอ่าน ฉันเชื่อจริง ๆ ว่าคนเขียนคงต้องมีไทม์แมชชีนสักเครื่อง ตั้งเวลาในอนาคตเพื่อมาลอบดูความสัมพันธ์ของเราที่เกิดขึ้น แล้วเอาไปเขียนนิยายเรื่องนั้นแน่นอน จึงได้เลียนแบบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทบทุกกระเบียด หรืออันที่จริงเรื่องราวพิลึกพิลั่นเป็นสิ่งปกติในความสัมพันธ์ของมนุษย์

แต่ที่สุดแล้วนิยายเรื่องนั้นก็ไม่ได้เขียนเรื่องของเราจนจบ หรือจะกล่าวอีกแบบหนึ่งคือตอนจบนั้นไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของเรื่องของเราเท่านั้น เขาอาจเอาสายสัมพันธ์ของเราไปขยายความต่อ หรืออาจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย เป็นเพียงการทบซ้อนอย่างบังเอิญที่สุดของสายสัมพันธ์ซึ่งมนุษยชาติพึงถักทอต่อกัน เพราะอันที่จริงเรื่องราวของเราล้วนแต่ทบซ้อนอยู่ด้วยกันไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่ฉันเคยบอกกับเธอว่าโลกนี้จะไม่มีตัวบทอีกต่อไป มีแต่บริบทอันซับซ้อน เธอเป็นบริบทของฉัน ฉันเป็นบริบทของเธอ นิยายเรื่องนั้นเป็นบริบทของเรา เราเป็นบริบทของนิยายเรื่องนั้น ฉัน เธอ นิยาย และสายสัมพันธ์ทั้งมวลล้วนเป็นบริบทต่อกัน หรือที่จริงเส้นด้ายเบาบางที่ไม่เคยขาดลงเพราะมันไม่อาจขาดลงได้จริงในโลกแห่งบริบท แต่เมื่อฉันตั้งสติและลองคิดดูอีกทีก็ไม่ใช่อยู่ดี มีหลายสิ่งซึ่งไม่ได้ดำรงอยู่ในบริบทของฉัน และฉันคิดว่าฉันเองก็อาจไม่ได้ดำรงอยู่ในบางบริบทของเธอ ขอบเขตของบริบทอาจไพศาลแต่ความจริงแล้วการทบซ้อนนั้นอาจเพียงเล็กน้อยเกินกว่าจะรู้สึก จนพูดได้ว่ามันไม่มี ฉันไม่รู้เพราะนั่นเป็นบริบทของเธอ ไม่มีใครรู้จักบริบทของใครมากพอจะบอกได้ว่ารู้จักเว้นแต่เขาจะละเอียดมากพอจนจับแรงกระเพื่อมเล็ก ๆ ซึ่งเกิดจากแรงกระทบเบาบางซ่อนอยู่ในสายสัมพันธ์นั้น สำหรับคนอื่นแล้วฉันไม่ใจเย็นพอจะหยุดนิ่งจนรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมเล็กน้อย แต่สำหรับเธอ ฉันรับรู้ แต่ก็นั่นแหละ เธอคงต้องกล่าวหาว่าฉันอ่านนิยายมากเกินไป

ฉันอาจไม่ใช่คนที่อธิบายอะไรได้ดีพอ เธออาจจะบอกว่าฉันเสียสติไปแล้วตั้งแต่ย่อหน้าที่พูดถึงความรู้สึกทั้งมวล แม้ว่าฉันจะพยายามบอกเธอแล้วว่าฉันอยากจะเปิดเปลือยความรู้สึกทุกอย่าง และระมัดระวังในการทยอยปล่อยมวลความคิดให้หลั่งไหล แต่ที่สุดมันก็กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนของความรู้สึก ไม่มีประเด็นแจ่มชัดพอจะจับต้องได้ ซ้ำยังเต็มไปด้วยคำเชื่อมที่แสดงความขัดแย้ง แตกแขนงความคิดออกไปหลายประเด็น ฉันเพียงพยายามหาทางที่จะกล่าวถึงเธออย่างสัตย์ซื่อ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งซึ่งทำให้เธอมีชีวิตอยู่ในห้วงคำนึงของฉัน และกำลังเต้นรำด้วยท่วงท่าแปลกใหม่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน เขาเรียกว่าอะไรกันนะ คอนทราสต์ทำให้ฮาร์โมนีสอดประสาน ขับเน้นให้นักเต้นรำอย่างเธอเริงร่าย และฉันโคจรอยู่รอบเธอโดยไม่เคยสัมผัสถึง หรืออันที่จริงเธอไม่เคยมีดาวบริวาร ฉันเป็นเพียงแค่สะเก็ดอุกกาบาตที่เคยเฉียดกราย

ฉันคงต้องจบจดหมายฉบับนี้ลงโดยไร้ข้อสรุป เนื่องเพราะฉันได้กล่าวถึงสิ่งที่ฉันต้องการบอกเธอไปสิ้นแล้ว เพียงแต่มันไม่ได้เรียบเรียงอยู่ในรูปตรรกะซึ่งสั้นกระชับมากพอกับคำโกหกตัดบทปัดรำคาญ เธออาจอ่านเพียงสรุปข้อความสั้น ๆ สองสามบรรทัดที่อยู่ตรงกลางจดหมาย หรือไม่อ่านเลยทั้งหมด นั่นขึ้นอยู่กับความละเอียดลออในการจับแรงกระเพื่อมของความรู้สึก แน่นอนล่ะ มันแปรผันตรงกับความสำคัญของสายสัมพันธ์ ซึ่งฉันไม่แน่ใจว่าสำหรับเธอแล้วมันมีค่าเพียงใด ป่วยการที่ฉันจะคิด ที่สุดแล้วเรื่องราวในบันทึกนี้อาจกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสั้นหรือบทกวีที่ฉันเขียนเพื่อเธอแต่เธอไม่เคยอ่านหรือไม่ ฉันไม่รู้ มีเพียงความหวังอันเลือนรางว่าจดหมายฉบับสุดท้ายในโลกคู่ขนานนี้คงยังไม่มาถึงในเร็ววัน

กันยายน ๒๕๕๕