วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทบันทึกระหว่างการเดินทางสู่อดีตที่ไม่เคยไปถึง

เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
มนุษย์อาจเดินทางไปยังอนาคตที่อยู่ไม่ไกลได้
แต่ไม่มีทฤษฎีใดบอกมนุษย์ถึงวิธีการเดินทางย้อนไปสู่อดีต
นอกเสียจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของความเร็วแสง
ซึ่งทำให้เราดำรงสถานะเทียบเท่าพลังงาน
เพื่อก้าวข้ามไปอีกยังมิติเวลาหนึ่งที่ทับซ้อนกันอยู่
ซึ่งไม่แน่ว่าอีกมิติหนึ่งของเราเป็นอดีตหรืออนาคต
แต่เมื่อแสงแดดไม่อาจเปลี่ยนกลับมาเป็นก้อนกรวด
แล้วเราที่กลายเป็นพลังงานไปแล้วจะกลับมาเป็นเราได้ล่ะหรือ?

แม้แต่พลังแห่งจินตนาการก็พาเรากลับไปไม่ถึงอดีตอย่างสมบูรณ์
อาจเก็บเกี่ยวได้เพียงบางเศษเสี้ยว แต่ไม่มีทางได้ชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ครบทั้งหมด
ใครจำได้บ้างตอนที่พูดคำว่าแม่เป็นครั้งแรก สมองเรามีจินตภาพถึงแม่จริงหรือเปล่า หรือเหตุผลมีแค่คำนี้เป็นคำที่ออกเสียงง่ายที่สุด
มีคนบอกว่า สมองมนุษย์จะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในซอกมุมหนึ่ง รอเวลาที่จะมีอะไรกระตุ้น แล้วความทรงจำจะพรั่งพรูออกมาเอง
เช่นนั้น, ฉันหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบสร้างอนุสาวรีย์
นอกเสียจากว่ามนุษย์นั้นมักจะลืมสิ่งสำคัญเสมอ

เพียงถอนลมหายใจครั้งเดียว เวลาก็ผ่านไปแล้วยี่สิบปี
จำไม่ได้เลยว่าตอนสี่ขวบมีกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละวัน
แม้แต่ภาพคุ้นตาที่มองเห็นเป็นประจำก็ไม่อาจเรียกได้ว่าภาพคุ้นตา
เพราะมันเลือนหายไปเร็วพอ ๆ กับการซ่อนโฆษณาไว้ในเฟรมที่ 24
เรามักจะรู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของอดีตเมื่อสายไปแล้ว
เช่นเดียวกับการหันกลับมามองสายลมที่พัดผ่านไปไกลแสนไกล

การตัดต่อพันธุกรรมคือการล่วงล้ำเข้าไปในขอบเขตอำนาจของพระเจ้า
ความเหิมเกริมของมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น, เป็นเช่นนั้นตลอดมา
แต่การที่มนุษย์ยังไม่มีแม้แต่ทฤษฎีที่จะนำตัวเองกลับไปสู่อดีตนั้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่ามนุษย์ยังไม่ฉลาดมากพอ
หรือการกลับไปสู่อดีตนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้
เพราะมันเป็นกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา หรืออยู่เหนือกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้

เราได้แต่หันกลับมามองสายลมแห่งอดีตที่พัดเลยผ่านไปอีกครั้ง, และอีกครั้ง
ความเหิมเกริมของมนุษย์ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออดีตเริ่มเคลื่อนไหว
เราจึงตระหนักรู้ว่าแท้จริงมนุษย์นั้นช่างเปราะบาง
และวาระสุดท้ายคือจมจ่อมอยู่ในห้วงความทุกข์ทรมานอันเป็นนิรันดร์ของอนาคต


วุฒินันท์ ชัยศรี
25 มิถุนายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น