:: พื้นที่รวบรวมงานเขียนเก็บเล็กผสมน้อยเป็นไทม์แมชชีนความรู้สึกของวันวาน ::
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ฟ้า (๒)
๏ รักเราเหมือนเมฆน้อย
ลอยตามลมแล้วผ่านไป
คิดเอื้อมมือคว้าไขว่
รักก็หายตามสายลม
๏ เหลือแต่ฝนน้ำตา
กลั่นมาตามความตรอมตรม
น้ำตารสขื่นขม
จมรอยเศร้าความร้าวราน
๏ รักเราเหมือนเมฆลอย
เพียงลมคล้อยรอยจูบหวาน
แล้วเธอก็อันตรธาน
เพียงผ่านพบไม่ผูกพัน
๏ ความรักอันเลือนราง
จึงจางหายคล้ายความฝัน
มีแต่ใครคนหนึ่งนั้น
ที่ไม่ลืม, ไม่เคยลืม ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๙ ส.ค. ๕๖
เที่ยวบินกลับจากภูเก็ต
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556
บางบทบันทึกในวัสสานฤดู (จากนักอุดอู้ในมหานคร)
(๑)
พลันที่น้ำตาฟ้าหยดแรกถลาลงสู่พื้น เสียงถอนหายใจของบางกอกเกี้ยนกว่าหกล้านชีวิตก็มาชุมนุมบนรูจมูกของแต่ละคนโดยมิได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่พวกไร้วาสนาจะหย่อนก้นลงบนเบาะหนังเทียมของก้อนหนี้สินเคลื่อนที่ซึ่งรัฐบาลลดราคาให้หนึ่งแสนบาท
ฝนเหมือนยางยืด หยดแหมะก็เหนียวหนับ ผสานกับกลิ่นอับใต้วงแขนซึ่งต้องเสนอหน้าผึ่งผายยามแสดงกายกรรมบนรถเมล์ ราวกับเอาขยะเน่าบูดยัดเยียดทวารหายใจแทนยาดม
ซื้ด...ซื้ด
หากหลีกหนีไม่ได้ ก็จงเริงใจกับการถูกข่มขืน ทุภาษิตจากปากสปอนเซอร์ตัวยงของโรงกลั่นสุราได้กล่าวไว้ นึกขึ้นพอให้อาการถูกข่มขืนทางรูจมูกด้วยกลิ่นเหม็นเน่าได้ทุเลาลงบ้าง อย่างน้อยก็ได้เจริญอานาปานสติ เพราะรับรู้ได้ถึงทุกลมหายใจเข้าซึ่งพ่วงช้างเน่าครั้งละสิบตัว
อาการเคลื่อนที่ของรถเมล์เนิบช้า คล้ายกับความพยายามของหอยทากเมื่อจะเต้นมูนวอร์ค
บางกอกทราฟฟิคแยม เหมือนแยมหมดอายุข้นเหนียว โรยไว้ทุกฟันเฟืองเครื่องสี่ล้อ ประดับประดาด้วยไฟแดงระบัดใบอยู่ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมกับการเกิดขึ้นของมหกรรมมอเตอร์โชว์บนถนนทุกสายในมหานคร มาตรวัดระยะทางซึ่งเคยนับเป็นกิโลเมตร พลันกลายเป็นการนับชั่วโมงซึ่งยาวนานกว่าอสงไขย ความเท่าเทียมของเข็มไมล์เกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตราคาระยับหรือรถญี่ปุ่นซึ่งทำด้วยกระป๋องโค้กและค้างค่าผ่อนอีกสิบปี
ร่องรอยเม็ดฝนชำระคราบไคลของพาหนะและสังขารคน เหมือนน้ำตาเปื้อนมาสคาร่าของหญิงสาวช้ำรัก
เม็ดฝนในมหานคร ไม่เคยทำให้อะไรงอกงามนอกจากเสียงแช่งด่า
(๒)
ห้ากิโลเมตรด้วยแรงตีน นับแล้วว่าเหนื่อยอ่อน แต่คาดว่าเร็วกว่าการแน่นิ่งของสองพันแรงม้าบนถนนตายซาก จึงสละการบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยกลิ่นเหม็นบูดมารองรับแรงอารมณ์ของเมฆฝนเอาแต่ใจ และเม็ดฝนดำมะเมี่ยมเพราะมีมลพิษยี่สิบชั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องกรองบนท้องฟ้า ต่างอะไรกับเล่นกรีฑาในคลองแสนแสบ
เรียมเอ๋ย, พี่หนาวสั่น และไม่ได้อยากจะเป็นพระเอกเอ็มวี แต่มึงบีบให้กูทำ
เมตาฟอร์แห่งการงอกงามและการกำเนิดใหม่ ไฉนเมื่อปรากฏร่างในเมืองฟ้าอมรจึงกลายเป็นความขื่นขม? กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เมืองท่าดินดำน้ำดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว กลับงอกงามด้วยตึกอันใหญ่อันรามซึ่งไม่ต้องการหยดน้ำจากฟากฟ้าเพื่อเติบโต
ธรรมชาติของต้นไม้นั้นอ่อนน้อม มันจึงค้อมตัวอยู่ใต้คอนกรีต และไม่เคยงอกงามนับแต่ถูกถมทับด้วยศิวิไลซ์เซชั่น
ฝีเท้าก้าวช้าลง จะเร่งหรือจะย่องกูก็เปียกเท่ากัน สู้ถนอมพลังงานให้เผาผลาญช้าลงน่าจะดีกว่า ทัศนียภาพซึ่งชุมนุมอยู่รอบระยะมองเห็นของดวงตาจึงค่อยเผยตัวมากขึ้น
หยดฝนมหานครแตกร้าวไร้อ้อมกอด กลิ้งเกลือกทุรนทุรายใต้น้ำครำน่าเวทนา
สุนทรียรสอย่างหนึ่งของเด็กบ้านนอกหลังฝนหมาดคือการเฝ้ามองหยดน้ำกลิ้งกลอกหยอกเย้าอย่างเริงใจบนใบบอน มิผิดแผกจากชายชำนาญรักหยอกเย้าดรุณีแรกรู้รสซ่านสุข
ทว่าสำหรับสุนทรียรสของที่นี่ ปรากฏเพียงหยดน้ำเสือกไสร่างไปตามพื้นถนนซึ่งฉาบทาด้วยความหยาบคายของคอนกรีต แว่วเสียงผู้รับเหมาซึ่งฝังคำสาปแช่งเอาไว้เนื่องจากได้รับเงินไม่เต็มจำนวน
อากาศร้อนไหววูบเพียงเสี้ยววินาที ท่ามกลางความหนาวยะเยือกของห่าฝน, เมืองนรก!
(๓)
ราวกับปาฏิหาริย์, ใบไม้อ่อนระบัดใบในซอกคอนกรีตปริร้าว พ้นรอยบดทับของก้อนยางทั้งสองล้อและสี่ล้อ งดงามเหมือนแก้มเด็กขวยเขิน
ฉันหยุดมองด้วยความชื่นชมล้นพ้น, ราวจะระเหิดในฉับพลัน
ฝนหยุดแล้ว
อย่างน้อยก็ยังมีอีกลมหายใจหนึ่งที่ปีติกับม่านน้ำแห่งความคิดถึงจากฟากฟ้า และใช้ประโยชน์จากมันมากกว่าเมตาฟอร์หรือเสียงแช่งด่า
แม้จะเป็นช่วงสั้นจนน่าใจหาย
เพราะฉันรู้แก่ใจว่า อีกไม่นานคงต้องมีก้อนยางไร้หัวใจสักล้อหนึ่งบดขยี้มันให้กลับไปจมดินเหมือนเดิม พร้อมกับการซ่อมแซมรอยแตกร้าว เพื่อให้คอนกรีตหยาบกระด้างสถิตอยู่ชั่วกัลปาวสาน
นั่นคือวิถีธรรมดาของมหานครซึ่งเซ็งแซ่ด้วยเสียงสาปแช่งยามท้องฟ้าให้พร
วุฒินันท์ ชัยศรี
๖ สิงหาคม ๒๕๕๖
พลันที่น้ำตาฟ้าหยดแรกถลาลงสู่พื้น เสียงถอนหายใจของบางกอกเกี้ยนกว่าหกล้านชีวิตก็มาชุมนุมบนรูจมูกของแต่ละคนโดยมิได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่พวกไร้วาสนาจะหย่อนก้นลงบนเบาะหนังเทียมของก้อนหนี้สินเคลื่อนที่ซึ่งรัฐบาลลดราคาให้หนึ่งแสนบาท
ฝนเหมือนยางยืด หยดแหมะก็เหนียวหนับ ผสานกับกลิ่นอับใต้วงแขนซึ่งต้องเสนอหน้าผึ่งผายยามแสดงกายกรรมบนรถเมล์ ราวกับเอาขยะเน่าบูดยัดเยียดทวารหายใจแทนยาดม
ซื้ด...ซื้ด
หากหลีกหนีไม่ได้ ก็จงเริงใจกับการถูกข่มขืน ทุภาษิตจากปากสปอนเซอร์ตัวยงของโรงกลั่นสุราได้กล่าวไว้ นึกขึ้นพอให้อาการถูกข่มขืนทางรูจมูกด้วยกลิ่นเหม็นเน่าได้ทุเลาลงบ้าง อย่างน้อยก็ได้เจริญอานาปานสติ เพราะรับรู้ได้ถึงทุกลมหายใจเข้าซึ่งพ่วงช้างเน่าครั้งละสิบตัว
อาการเคลื่อนที่ของรถเมล์เนิบช้า คล้ายกับความพยายามของหอยทากเมื่อจะเต้นมูนวอร์ค
บางกอกทราฟฟิคแยม เหมือนแยมหมดอายุข้นเหนียว โรยไว้ทุกฟันเฟืองเครื่องสี่ล้อ ประดับประดาด้วยไฟแดงระบัดใบอยู่ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมกับการเกิดขึ้นของมหกรรมมอเตอร์โชว์บนถนนทุกสายในมหานคร มาตรวัดระยะทางซึ่งเคยนับเป็นกิโลเมตร พลันกลายเป็นการนับชั่วโมงซึ่งยาวนานกว่าอสงไขย ความเท่าเทียมของเข็มไมล์เกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตราคาระยับหรือรถญี่ปุ่นซึ่งทำด้วยกระป๋องโค้กและค้างค่าผ่อนอีกสิบปี
ร่องรอยเม็ดฝนชำระคราบไคลของพาหนะและสังขารคน เหมือนน้ำตาเปื้อนมาสคาร่าของหญิงสาวช้ำรัก
เม็ดฝนในมหานคร ไม่เคยทำให้อะไรงอกงามนอกจากเสียงแช่งด่า
(๒)
ห้ากิโลเมตรด้วยแรงตีน นับแล้วว่าเหนื่อยอ่อน แต่คาดว่าเร็วกว่าการแน่นิ่งของสองพันแรงม้าบนถนนตายซาก จึงสละการบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยกลิ่นเหม็นบูดมารองรับแรงอารมณ์ของเมฆฝนเอาแต่ใจ และเม็ดฝนดำมะเมี่ยมเพราะมีมลพิษยี่สิบชั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องกรองบนท้องฟ้า ต่างอะไรกับเล่นกรีฑาในคลองแสนแสบ
เรียมเอ๋ย, พี่หนาวสั่น และไม่ได้อยากจะเป็นพระเอกเอ็มวี แต่มึงบีบให้กูทำ
เมตาฟอร์แห่งการงอกงามและการกำเนิดใหม่ ไฉนเมื่อปรากฏร่างในเมืองฟ้าอมรจึงกลายเป็นความขื่นขม? กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เมืองท่าดินดำน้ำดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว กลับงอกงามด้วยตึกอันใหญ่อันรามซึ่งไม่ต้องการหยดน้ำจากฟากฟ้าเพื่อเติบโต
ธรรมชาติของต้นไม้นั้นอ่อนน้อม มันจึงค้อมตัวอยู่ใต้คอนกรีต และไม่เคยงอกงามนับแต่ถูกถมทับด้วยศิวิไลซ์เซชั่น
ฝีเท้าก้าวช้าลง จะเร่งหรือจะย่องกูก็เปียกเท่ากัน สู้ถนอมพลังงานให้เผาผลาญช้าลงน่าจะดีกว่า ทัศนียภาพซึ่งชุมนุมอยู่รอบระยะมองเห็นของดวงตาจึงค่อยเผยตัวมากขึ้น
หยดฝนมหานครแตกร้าวไร้อ้อมกอด กลิ้งเกลือกทุรนทุรายใต้น้ำครำน่าเวทนา
สุนทรียรสอย่างหนึ่งของเด็กบ้านนอกหลังฝนหมาดคือการเฝ้ามองหยดน้ำกลิ้งกลอกหยอกเย้าอย่างเริงใจบนใบบอน มิผิดแผกจากชายชำนาญรักหยอกเย้าดรุณีแรกรู้รสซ่านสุข
ทว่าสำหรับสุนทรียรสของที่นี่ ปรากฏเพียงหยดน้ำเสือกไสร่างไปตามพื้นถนนซึ่งฉาบทาด้วยความหยาบคายของคอนกรีต แว่วเสียงผู้รับเหมาซึ่งฝังคำสาปแช่งเอาไว้เนื่องจากได้รับเงินไม่เต็มจำนวน
อากาศร้อนไหววูบเพียงเสี้ยววินาที ท่ามกลางความหนาวยะเยือกของห่าฝน, เมืองนรก!
(๓)
ราวกับปาฏิหาริย์, ใบไม้อ่อนระบัดใบในซอกคอนกรีตปริร้าว พ้นรอยบดทับของก้อนยางทั้งสองล้อและสี่ล้อ งดงามเหมือนแก้มเด็กขวยเขิน
ฉันหยุดมองด้วยความชื่นชมล้นพ้น, ราวจะระเหิดในฉับพลัน
ฝนหยุดแล้ว
อย่างน้อยก็ยังมีอีกลมหายใจหนึ่งที่ปีติกับม่านน้ำแห่งความคิดถึงจากฟากฟ้า และใช้ประโยชน์จากมันมากกว่าเมตาฟอร์หรือเสียงแช่งด่า
แม้จะเป็นช่วงสั้นจนน่าใจหาย
เพราะฉันรู้แก่ใจว่า อีกไม่นานคงต้องมีก้อนยางไร้หัวใจสักล้อหนึ่งบดขยี้มันให้กลับไปจมดินเหมือนเดิม พร้อมกับการซ่อมแซมรอยแตกร้าว เพื่อให้คอนกรีตหยาบกระด้างสถิตอยู่ชั่วกัลปาวสาน
นั่นคือวิถีธรรมดาของมหานครซึ่งเซ็งแซ่ด้วยเสียงสาปแช่งยามท้องฟ้าให้พร
วุฒินันท์ ชัยศรี
๖ สิงหาคม ๒๕๕๖
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เหงา
เคยบอกเธอว่าทนเหงาได้
ความเหงาปวดร้าวใจแค่บางช่วง
ข่มตาหลับหรือนับดาวสักล้านดวง
คืนเหงาคงลับล่วงไปอีกคืน
แต่คืนนี้ความเหงากลับร้าวลึก
ความรู้สึกทุกข์ทนเกินทนฝืน
กอดหมอนนอนหนาวน้ำตารื้น
กัดฟันกลั้นสะอื้นขมขื่นใจ
ทั้งที่บอกตัวเองว่าจะต้องทน
แต่สุดท้ายก็จำนนทนไม่ไหว
ความเหงามันหนาวเหน็บเกินเก็บไว้
บาดลึกกลางฤทัยไม่รู้จาง
หลับตายังเห็นภาพเธอเต็มตา
แต่ตื่นมาไม่มีใครอยู่เคียงข้าง
กลิ่นหอมยังรับรู้อยู่เลือนราง
ทั้งที่ไม่มีทางจะพบกัน
เคยบอกเธอว่าทนเหงาได้
แล้วก็ทนไม่ไหวใจหวาดหวั่น
คืนนี้แส้ความเหงาเฝ้าลงทัณฑ์
หลับฝันทั้งน้ำตาอาลัยรัก
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๖ ส.ค. ๕๖
ความเหงาปวดร้าวใจแค่บางช่วง
ข่มตาหลับหรือนับดาวสักล้านดวง
คืนเหงาคงลับล่วงไปอีกคืน
แต่คืนนี้ความเหงากลับร้าวลึก
ความรู้สึกทุกข์ทนเกินทนฝืน
กอดหมอนนอนหนาวน้ำตารื้น
กัดฟันกลั้นสะอื้นขมขื่นใจ
ทั้งที่บอกตัวเองว่าจะต้องทน
แต่สุดท้ายก็จำนนทนไม่ไหว
ความเหงามันหนาวเหน็บเกินเก็บไว้
บาดลึกกลางฤทัยไม่รู้จาง
หลับตายังเห็นภาพเธอเต็มตา
แต่ตื่นมาไม่มีใครอยู่เคียงข้าง
กลิ่นหอมยังรับรู้อยู่เลือนราง
ทั้งที่ไม่มีทางจะพบกัน
เคยบอกเธอว่าทนเหงาได้
แล้วก็ทนไม่ไหวใจหวาดหวั่น
คืนนี้แส้ความเหงาเฝ้าลงทัณฑ์
หลับฝันทั้งน้ำตาอาลัยรัก
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๖ ส.ค. ๕๖
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)