วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คนไทยเป็นคนเศร้า?

"คนไทยเป็นคนเศร้านะคะ" พลอย-นักศึกษาจากเยอรมนีตั้งข้อสังเกตขณะที่เรากำลังฝึกร้องเพลงภาษาไทย
"ทำไมล่ะ"
"ก็เพลงไทยที่หนูเคยฟังมีแต่เพลงเศร้าค่ะ"

เออว่ะ หน้าแรกของยูทูปที่พวกเรากำลังเปิดอยู่ก็มีแต่เพลงเศร้า เพลย์ลิสต์เพลงไทยในโทรศัพท์ตัวเองสามสิบกว่าเพลง มีเพลงแฮพพรี่อยู่เพลงเดียวคือเพลงใหม่ของน้องอิ้งค์ วรันธร นอกนั้นเศร้าหมด! (แม้ชีวิตช่วงนี้กำลังแฮพพรี่ก็ตาม 555)

นึกถึงคำถามของลูกศิษย์คนนึงที่เคยถามว่า ทำไมเพลงรักที่ไพเราะมักจะเป็นเพลงเศร้า ๆ จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่มีคำตอบให้เด็ก ได้แต่คาดเดาว่าคงเพราะคนที่ผิดหวังจากความรักบนโลกใบนี้มีมากกว่าคนที่สมหวัง เพลงอกหักจึงทัชชิ่งหัวใจคนได้มากกว่า มั้งนะ 555

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

งานแต่งพี่ท็อป

ผู้คนในวงการนักเขียนรู้จักพี่ท็อป อดิศร ไพรวัฒนานุพันธ์ ในฐานะนักเขียนหนุ่มที่สร้างผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันก็ยังดำรงตำแหน่งอุปนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยอีกด้วย สำหรับผมแล้ว ผมรู้จักพี่ท็อปครั้งแรกผ่านรวมเรื่องสั้น "เด็กทารกแห่งเมืองหมองหม่น" รางวัลดีเด่น Young Thai Artist Award และรวมเรื่องสั้น "อนาคด" ซึ่งพี่ท็อปกลายเป็นภาพจำของผมในฐานะนักเล่าเรื่องสไตล์ Allegory และนักเขียน Sci-fi ที่น่าจับตา

หลังจากนั้นเราก็รู้จักกันผ่านเว็บบอร์ด Thaiwriter และได้ติดต่อพูดคุยกันเสมอมา ตัวตนนอกงานเขียน พี่ท็อปเป็นคนน่ารัก เป็นพี่ชายและน้องชายที่ดูแลเอาใจใส่ทุกคนในวงการนักเขียน ผมเองก็ได้รับกำลังใจจากพี่ท็อปบ่อยครั้งในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต

วันนี้นับเป็นหนึ่งวันสำคัญของชีวิตพี่ท็อป ในใจผมก็คงจะไม่ต่างจากทุกคนที่รู้จักพี่ท็อป คือเต็มไปด้วยความยินดีที่เห็นพี่ท็อปได้เดินหน้าไปยังอีกก้าวของชีวิตอย่างมีความสุข ขอให้รอยยิ้มในวันนี้เป็นรอยยิ้มที่จะคงอยู่ตลอดไปในชีวิตคู่ของพี่นะครับ

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

อดีตเด็กประวัติศาสตร์

สมัยเรียนที่ศิลปากร เราเรียนวิชาโทประวัติศาสตร์ ซึ่งหากจะมีแบ่งสายย่อย เราต้องอยู่สายประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่แน่นอน เพราะแปดตัวของวิชาโท เราเก็บวิชาของ อ.สัญชัย กับ อ.อนันต์ชัยไปซะครึ่งหนึ่ง (แต่เหมือนจะได้ A แค่วิชา Nazi Germany เพราะเรียนเช้า นอกนั้นบ่ายหมด ซึ่งหลับทุกที ไม่ใช่อาจารย์สอนไม่ดีนะ แต่ตกบ่ายแล้วง่วงมากทุกวิชา 555)

ภาพจำถึงอาจารย์ทั้งสองมีอยู่สองภาพ ภาพแรกคือด้วยความที่เป็นประวัติศาสตร์ยุโรป อาจารย์ก็เลยชอบสรรหา text ภาษาอังกฤษมาให้เรียนในห้อง ซึ่งอาจารย์มักจะพูดว่าอ่านไม่ยาก ๆ นี่คือบทความระดับเด็กมัธยมฯ ของฝรั่งเขาอ่านกันนะ ซึ่งไม่รู้จะเชื่ออาจารย์ดีหรือเปล่า 555 แต่ก็มีผลทางอ้อมให้เราอดทนอ่านข้อความภาษาอังกฤษยาว ๆ ที่ไม่ใช่นิยายได้มากขึ้น แม้จะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ส่วนภาพที่สองคือ ทุกครั้งที่เข้าไปพบอาจารย์ จะเห็นอาจารย์ง่วนอยู่กับหนังสือภาษาอังกฤษกองโตและเขียนอะไรอยู่สักอย่าง ทำให้รู้ว่ากว่าอาจารย์จะเตรียมสอนหรือเขียนตำราขึ้นมาสักเล่มต้องใช้ความเพียรพยายามมากขนาดไหน จึงรู้สึกผิดทุกครั้งที่นั่งหลับตอนอาจารย์เลคเชอร์ (แต่ก็หลับอยู่ดี 555)

คุณูปการสำคัญของอาจารย์ทั้งสองท่านที่ควรยกย่องเป็นพิเศษคือหนังสือของอาจารย์ที่นับเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการประวัติศาสตร์ยุโรปในประเทศไทย ถ้าใครศึกษาประวัติศาสตร์ยุโรปภาคภาษาไทยโดยไม่ได้อ่านหนังสือของอาจารย์ ก็คงเหมือนศึกษาวรรณกรรมอินเดียแต่ไม่อ่านมหาภารตะและรามายณะยังไงยังงั้น ทุกครั้งที่เห็นหนังสือเล่มใหม่ของอาจารย์ในร้านหนังสือ เราคว้าทันทีโดยไม่ต้องอ่านข้างในก่อน เพราะเรารู้ว่าคุณค่าของหนังสือจากปลายปากกาอาจารย์มีมูลค่ามากกว่าราคาหนังสือเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน

ในโอกาสที่อาจารย์ทั้งสองท่านได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ อดีตลูกศิษย์วิชาโทตัวเล็ก ๆ ที่ชอบนั่งหลับหลังห้องก็รู้สึกตัวพองขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจที่เคยได้เรียนกับอาจารย์ทั้งสองท่าน จึงขอแสดงความยินดีกับอาจารย์อยู่ไกล ๆ จากพื้นที่ออนไลน์ และยังระลึกถึงบุญคุณของอาจารย์เสมอครับ

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ปิยมหาราชาศิรวาท

สรวมชีพน้อมศิรเกล้าประนมกรประดิษฐ์
ด้วยกายวจีจิต ประสาน

บังคมองค์ปิยราชประกาศกิรติการ
ทรงยังประโยชน์ผ่าน ประชา

ทรงเลิกทาสสุขมานสราญพระกรุณา
ปวงราษฎร์ประสาธน์พา ภิวัฒน์

ส่งเสริมวิทยการประสานสกลรัฐ
ทั่วไทยไผทพัฒน์ ภิรมย์

เทียบเทียมเท่า ณ ยุโรปและอารยนิยม
ไทยทันวิเทศสม วิศาล

รวมใจไทยและวิเทศนิทัศนประการ
เทอดนาม ธ กล่าวขาน มิขาด

ล้วนเพียบพร้อมจริยานุวัตรวรวิลาศ
ย่อมองค์พระจอมปราชญ์ วิศิษฏ์

ยืนยงยศศิริยิ่งพระมิ่งชนสถิต
เกริกนามเฉลิมนิจ นิรันดร์

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2562

พิลาลสพิมพิลา

สถานที่ธรรมดา กลับมีความหมายมากมายขึ้นมา เพราะเติมเต็มด้วยสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำดี ๆ

ลานช้างและใต้ตึก 36 ลานซ้อมละครเคยตั้งอยู่ตรงนั้น บางครั้งก็กลายสภาพเป็นรายการตลกหกฉาก บางคราวเป็นคลับฟรายเดย์ หรือแม้กระทั่งช็อคเอฟเอ็ม แต่ไม่มีครั้งไหนที่ไม่อัดแน่นด้วยความตั้งใจทุ่มเทกับการซ้อมละครแบบเกินร้อยของพวกคุณ

สรรพนาม "พวกคุณ" ฟังดูห่างเหิน ผมใช้เรียกเพราะรู้ว่าโปรเจคท์นี้กินระยะเวลาไม่นานนัก และตำแหน่งหน้าที่ของผมก็เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในการขับเคลื่อนละครเรื่องนี้ทั้งหมด ถ้าปล่อยใจให้ผูกพันมากเกินไป พอละครจบคงมีหลุมเปล่าโหวงผุดโผล่ในใจอีกหลุม เลยอยากวางระยะห่างของหัวใจไว้สักหน่อย

แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอรักพวกคุณหมดหัวใจ ก็ตอนที่แอบน้ำตาไหลตอนละครแสดงวันจริงจบครั้งแรก ขนาดจับงานแค่นิดเดียวยังเป็นไปขนาดนี้ แล้วคนที่ดูแลโปรเจคท์นี้ทั้งหมดมาแต่ต้นล่ะ จะรักและผูกพันกับพวกคุณมากขนาดไหน

มีผู้กำกับคนไหนจำได้รึเปล่านะ ผมเคยพูดว่าเราจะมาสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยกัน ไม่รู้ว่าในใจคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่สำหรับผม ทุกคนทำสำเร็จแล้ว เพราะผมได้เห็นสิ่งยิ่งใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจวบจนวันสุดท้ายที่เราต้องลาจากกัน

พวกคุณทุกคนคือความทรงจำที่ดีที่สุดของผมในปีนี้เลยล่ะ ขอบคุณนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Joker : เราจะเป็นคนปกติได้นานแค่ไหนในโลกที่ป่วยไข้แสนสาหัส

(บันทึกความรู้สึกหลังชมภาพยนตร์ ไม่เปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์)

หาก The Killing Joke คือคอมิคส์ระดับตำนานที่เปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องตัวละครวายร้าย Joker ไปตลอดกาล ภาพยนตร์ Joker (2019) ก็น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องในระดับเดียวกัน

Joker ตีความตัวละครคู่ปรับตลอดกาลของอัศวินรัตติกาลออกมาใหม่อีกครั้ง ลงลึกในจิตใจที่เจ็บปวดรวดร้าวแหลกสลายของใครคนหนึ่ง ให้รายละเอียดว่าเพื่อนมนุษย์และสังคมฟอนเฟะแบบไหนกันที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา

หนังใช้เวลาในองก์แรกอย่างเนิ่นนานและเนิบช้า (จนรู้สึกว่าน่าเบื่อ) คงเพื่อให้รู้สึกว่าท่ามกลางมรสุมร้ายยังมีประกายความหวังบางเรื่องให้หัวใจเรายังคงเป็นมนุษย์อยู่ ก่อนที่จะเอาภาพความหวังเหล่านั้นมาเหยียบขยี้ทิ้งทีละเรื่องอย่างไม่ไยดีในองก์ต่อมา เพื่อพาคนดูไปสู่ความบ้าคลั่งในยี่สิบนาทีสุดท้าย แต่เป็นช่วงสุดท้ายที่คนดูคงต้องถามใจตัวเองว่า จริง ๆ แล้วใจเราอยู่ตรงข้ามหรืออยู่ข้างเดียวกับความบ้าคลั่งกันแน่

ในคอมิคส์ The Killing Joke นั้น Joker เคยพูดไว้ว่า "All it takes is one bad day to reduce the sanest man alive to lunacy...Just one bad day." แต่สำหรับเรื่องนี้แม่งไม่ใช่แค่ one bad day แต่เป็น All of your fucking Life เกือบร้อยนาที ซึ่งขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแม้แต่เราเองยังร้องในใจว่า โอ้ย พอแล้วไอ้เหี้ย แค่นี้คนเราก็แหลกสลายมากพอจะบ้าคลั่งได้แล้ว แต่บางที การจะกลายเป็นปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดของเมืองโสมมนี้ อาจจะต้องหล่นลงไปในนรกขุมที่ลึกที่สุดเสียก่อน จึงไม่แปลกที่คนดูหลายคนสงสาร หรือเผลอเอาใจช่วยให้เขาปีนกลับมาจากขุมนรก ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไร ไม่ว่าสิ่งที่ Joker ทำจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

ว่าด้วยพล็อต แทบไม่มีอะไรใหม่หรือความเซอร์ไพรส์ใดเลย เรื่องราวของชนชั้น การถูกกดขี่ สังคมที่บีบคั้นคนให้กลายเป็นบ้า หรือตอนจบที่เฉลยตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วว่าสุดท้ายเขาจะกลายเป็นวายร้าย Joker ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักกันดี แต่ด้วยการแสดงระดับสุดยอดของ Joaquin Phoenix ก็ทำให้หนังเรื่องนี้ยกระดับเป็นผลงานขึ้นหิ้งได้เลย ถ้าอยากรู้ว่าคนคนเดียวตรึงคนทั้งโรงให้จดจ่อกับเขาได้อย่างไรตลอดสองชั่วโมงก็ต้องลองมาดูจากเรื่องนี้กัน

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Joaquin Phoenix ที่เราชอบคือแววตาที่โคตรเศร้า เศร้าระดับชิบหายวายวอด แววตาแบบนี้เป็นอาวุธสำคัญของเขามาตั้งแต่เรื่อง Her คือแค่มึงนั่งทอดสายตาเฉย ๆ กูก็จะร้องไห้ตามมึงแล้วเนี่ย ความขัดแย้งกันระหว่างแววตากับเสียงหัวเราะ (และการพยายามกลั้นหัวเราะในหลายฉาก) ยิ่งทำให้การหัวเราะแต่ละครั้งของ Joker ทรงพลังมากขึ้นไปอีก ชนิดที่ว่าทุกครั้งที่เขาเริ่มหัวเราะ ไม่มีใครกล้าหัวเราะตามเลยแม้แต่คนเดียว

อันที่จริงหนังจบไปตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว แต่นี่ยังไม่ออกจากลานจอดรถเลย (จนยามเดินมาดูสองรอบแล้ว 55) เพราะสิ่งที่ Joker ทิ้งไว้ให้เราคือก้อนความคิดด้านลบที่ทั้งหนัก เหนื่อย กดดัน หดหู่ ดิ่งลงกดทับใจเราจนแทบขยับไม่ได้ ถ้าไม่เขียนอะไรออกมาเสียก่อน กลับไปคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่น่าจะเหมาะกับคนที่อยากดูอะไรสนุก ๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ ส่วนแฟนแบทแมนจะดูหรือไม่ดูก็ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ไปเชื่อมกับจักรวาล DCEU เรื่องใด ๆ แต่ถ้าถามว่าปี 2019 มีหนังเรื่องไหนน่าดูบ้าง เรื่องนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562

เจ้าฟ้าคนเดินดิน ณ ถิ่นมังกร

หมื่นลี้ใต้หล้าฟ้ากว้าง
หมื่นล้านเส้นทางทั่วถิ่น
รอยพระบาท "เจ้าฟ้าคนเดินดิน"
ล้วนประทับหมดสิ้น ณ แดนไกล

หมื่นพันพระราชกรณียกิจ
เชื่อมชีวิตเชื่อมสัมพันธ์แผ่นดินใหญ่
น้ำโขงสายธารแห่งสายใย
ยังน้อยกว่าน้ำพระทัยมิตรไมตรี

ความสัมพันธ์ไทย-จีนจึงแน่นหนัก
เชื่อมร้อยด้วยรักดุจน้องพี่
แสงสว่างทั่วหล้าพระบารมี
คือหนึ่งแสงสุรีย์สุขสำราญ

มิตรภาพจีน-ไทยใช่เพียงพูด
ล้วนพิสูจน์ด้วยย่างก้าว ธ ก้าวผ่าน
ทุกหยาดพระเสโทที่ทรงงาน
คือสายธารอันยิ่งใหญ่เชื่อมไทย-จีน

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

Weathering With You : แม่สาวปักตะไคร้/เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว

(บันทึกความรู้สึกหลังชมภาพยนตร์ ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญในภาพยนตร์)

มึน ๆ อึน ๆ หลังออกจากโรงนิดหน่อย แต่น้อยกว่าสมัยดู Your Name ซึ่งอึนกว่านี้แต่ยังว้าว! กับฉากจบ ขณะที่เรื่องนี้เราก็ยิ้มกับฉากจบ แต่เป็นยิ้มแบบ ฮื่อ นั่นสินะ เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้วใช่ไหม

มาโคโตะ ชินไค ยังคงเก่งเรื่องการนำแนวคิดชินโตมาขยายและผูกกับพล็อตความรักของหนุ่มสาว เรื่องนี้ไม่ได้ขยี้เส้นเรื่องหลักมากเท่า Your Name และพยายามเปิดทางให้ซับพล็อตของตัวประกอบมีบทบาทมากขึ้น แต่ที่สุดแล้ว พอเข้าสู่องก์สุดท้ายในเรื่องซึ่งกลับมาโฟกัสที่เส้นเรื่องหลัก ตัวละครบางตัวก็กลับจมหายไปกับสายน้ำซะเฉย ๆ พอมาถึงฉากจบ ตัวละครอื่นที่ปูเรื่องมาก็ทำได้แค่กลับมาตบหลังตบบ่าตัวเอก เฮ้ย เอาน่ะ โอเคแล้วน่ะ ซะอย่างนั้น ทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่ชินไคถนัดจริง ๆ ก็คือการเล่าลงลึกในขอบเขตความสัมพันธ์ของสองเรา และการเติบโตของตัวละครหลักมากกว่า

ส่วนที่อยากชมคืองานภาพที่สวยมาก และที่ยิ่งกว่านั้นคือเพลงประกอบในเรื่องไพเราะมาก มากแบบอุทานในใจตลอดเวลาว่า ไอ้เชี่ย เพร๊าาาาะะโว้ยยยย จนต้องมานั่งหาเพลงจากหนังฟังอยู่นานสองนานไม่ได้กลับหอซะที แต่ความไพเราะของเพลงบางครั้งก็กลับเป็นข้อเสีย เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ฉากใน Your Name ที่ใช้ 'ความเงียบ' ให้คนดูได้ปล่อยอารมณ์ไปกับเนื้อหาเอง แต่ในเรื่องนี้ บางจังหวะเหมือนพยายามส่งเพลงมาบิ๊ลต์อารมณ์คนดูมากไปหน่อย แต่ช่างแม่งเถอะ ก็เพลงมันเพราะจริง ๆ นี่หว่า 555 แค่คิดว่าเสียค่าตั๋วไปนั่งฟังเพลงยังคุ้มแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ บางคนอาจจะเก็บเกี่ยวเรื่องการข้ามผ่านวัย บางคนอาจจะเก็บเกี่ยวเรื่องความรักอันยิ่งใหญ่ที่ยอมแลกด้วยทุกสิ่ง แต่สำหรับเราเก็บเกี่ยวมาได้แต่ความสิ้นหวัง และจากนี้คือความเศร้าทุกครั้งที่แหงนหน้ามองฝอยฝนอนันต์ เพราะเราเข้าใจแล้วว่า ความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้เป็นอภิสิทธิ์ของคนหนุ่มสาวเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2562

ฝอยฝนอนันต์

(1.)
"ฝอยฝนอนันต์อีกแล้ว..."
ผมจำได้เสมอ คำพูดติดปากของพิมเวลาที่ฝนตกติดต่อกันเกินสองวัน ช่วงเวลานั้นเธอมักทำรอยยิ้มหล่นหาย เหม่อมองนอกหน้าต่าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉาบทาด้วยเฉดสีเศร้าหม่น บางครั้งเธอหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนแล้วขีดฆ่าข้อความซ้ำไปมา ราวกับไม่มีถ้อยคำใดจะทดแทนมวลความรู้สึกในขณะนั้นได้ บางคราวผมพยายามจะแกะสลักประติมากรรมใบหน้าสวยโศกนั้นเป็นบทเพลงสักเพลง แต่ไล่นิ้วได้สักพัก เส้นลวดหกสายในมือก็จะออกเสียงเป็นทำนอง Endless Rain ด้วยความเคยชินเสมอ

(2.)
"พวกเราแม่งป่วยว่ะพี่"
อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พิมโพล่งออกมาท่ามกลางสายฝนในวันหนึ่งที่ท้องฟ้าเป็นสีเทา
"หมายความว่าไง"
"พวกนักเขียน กวี ศิลปินห่าเหวอะไรเนี่ยแม่งป่วยเป็นโรคจิตอ่อน ๆ แน่ แค่เห็นฝนตกก็เศร้าจนจะร้องไห้ตามได้"
ผมหัวเราะในลำคอ บรรเลงกีตาร์เป็นทำนองเพลงเศร้าเบาบาง
"เมื่อไรฝนจะหยุดตกนะพี่"
"เห็นพยากรณ์อากาศบอกว่าพายุเข้าวันนี้วันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้คงได้เห็นแดดบ้างล่ะ"
"ไม่ใช่ หนูหมายถึง...เมื่อไรเรื่องแบบนี้มันจะจบลงเสียที"

(3.)
วันนี้ละอองฝนโปรยปรายแต่เช้ามืด ผมงัวเงียขึ้นมาจากเตียง ไข้หวัดทุเลาลงแล้วเพราะยาแรงที่หมอจ่ายให้เมื่อวาน
"คุณช่วยไปส่งตาหนูทีนะ ฉันมีประชุมเช้า"
ประกาศิตจากคุณภรรยา นอกจากจะยึดรถคันใหม่ไปใช้แล้ว ยังส่งให้ผมกับเจ้าเด็กน้อยต้องมาแข่งกันบิดขี้เกียจในรถคันเก่าท่ามกลางรถหรูนับร้อยที่จอดแน่นิ่งบนถนนหน้าโรงเรียน ผมพยายามหมุนวิทยุหาเพลงฟัง ได้ยินแต่เสียงสัญญาณขาดหาย
"หนูไม่ชอบฝนเลยพ่อ...ฝนตกแล้วต้องนั่งในรถน๊านนาน เมื่อยอะ หนูอยากเจอเพื่อนเร็ว ๆ"
"ฮื่อ พ่อก็ไม่ชอบฝน"
"ทำไมคะ"
"บางครั้งเวลาฝนตกก็ทำให้พ่อเศร้า" ผมยิ้มให้ลูก
"ทำไมเศร้าล่ะค้าา" เจ้าลูกตัวแสบทำเสียงยานคาง "พ่อจะไม่ได้เจอเพื่อนเหรอ"
ยังไม่ทันได้ตอบ รถของผมถึงคิวจอดหน้าประตูโรงเรียน เจ้าเด็กน้อยร้องดีใจ เปิดประตูกระโดดโลดเต้นลงจากรถ แต่ก็ไม่ลืมจะหันมาสวัสดีผมก่อนวิ่งปร๋อเข้าโรงเรียน

(4.)
ฝนหยุดตกแล้ว แสงแดดเข้มขึ้นตามเวลา ผมเหยียบคันเร่งมุ่งตรงไปยังออฟฟิศ วันนี้คงสายตามเคย ลองหมุนวิทยุอีกครั้ง จู่ ๆ เพลง Endless Rain ก็ดังขึ้นมาห่มคลุมความเงียบในรถ
ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกว่าฝอยฝนอนันต์ของใครบางคนยังคงโปรยปรายไม่ขาดสาย

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เรื่องสั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเพราะเฌอปราง

ปลายเดือนพฤศจิกายน ณ Yuxi Normal University ชายหนุ่มไกลบ้านผู้เปลี่ยวเหงาต้องปีนภูเขาขึ้นไปหาข้าวกิน กิจกรรมระหว่างเดินคือไถทวิตเตอร์ตามข่าวเฌอปราง ซึ่งช่วงนั้นกิจกรรมหลักของวงคือการเลือกตั้งเซ็มบัตสึ พออ่านทวิตมากเข้าก็เกิดข้อสังเกตว่า ทำไมคนที่ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบที่สุดในวงอย่างเฌอปราง เมื่อเข้ามาอยู่ในการเลือกตั้งของ BNK48 ก็กลับกลายเป็น 'น้องสาวข้างบ้านที่มีความฝัน' ซึ่งแฟนคลับต้องเข้ามา 'ทำฝันของน้องให้เป็นจริง' เกิดการต่อรองอำนาจขึ้นระหว่างไอดอลกับแฟนคลับไม่แพ้น้องคนอื่น ๆ ในวง

หนึ่งในสมมติฐานที่พอจะนึกได้ท่ามกลางอากาศศูนย์องศาคือ ระดับอำนาจของเฌอปรางไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธออยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจแบบไหนต่างหาก

ต้นเค้าไอเดียนี้นำมาสู่งานสองชิ้น คือ 'เปเปอร์เฌอปราง' บทความที่ไปนำเสนอในศูนย์มานุษยวิทยา และเรื่องสั้น 'อำนาจ' ที่เข้ารอบพานแว่นฟ้าปีนี้ งานสองชิ้นนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า หากอาจารย์มหาวิทยาลัยมีเวลาว่างมากพอ (อยู่ที่จีนสอนอย่างเดียว ว่างมาก ๆ) อาจารย์จะไม่มัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ แต่จะมาสร้างสรรค์ผลงานที่ทำชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัย (จริง ๆ แล้วไม่จริงหรอก ว่างแล้วก็เรื่อยเปื่อย สุดท้ายกลับมาเขียนที่ไทยตามเดดไลน์ทั้งสองเรื่อง 555)

โดยส่วนตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยชอบเท่าไร อาจจะเพราะประเด็นมันจริงจัง พอได้เล่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่า ไม่มีช่องให้ 'เล่น' มากนัก ถ้าเทียบกับงานที่เข้ารอบตอนปี 60 ซึ่งมีทั้งฉากเข้าพระเข้านาง ฉากฉายหนังโป๊ออกทีวี ออกชื่อดารา AV อย่างโจ่งแจ้ง (ยอมใจกรรมการที่ให้เข้ารอบ) งานของปีนี้ดู 'คลีน' ไปเลย ยิ่งตัวเอกผู้เล่าเรื่องเป็นคนจริงจังตั้งใจ ซีเรียสกับชีวิต เรื่องก็เลยจริงจังไปตามเสียงเล่า ขัดกับบุคลิกจริงของคนเขียนที่เป็นคนกะล่อน ทะลึ่งทะเล้น ปากร้าย ช่างประชดเสียดสีเป็นที่สุด 555

กำลังคิดว่าจะไปต่อแถวสามชั่วโมงรอจับมือเฌอปรางเพื่อบอกว่า "เฌอครับ เฌอเป็นแรงบันดาลใจให้พี่สร้างสรรค์ผลงานหลายเรื่องเลยครับ" จะดีไหม แต่คิดว่าถ้าได้เจอน้องในระยะใกล้พอจะจับมือได้น่าจะเสียอาการถึงขั้นเป็นลมต่อหน้าน้องไปเลย ลำบากน้องไปอีก เลยไม่เอาดีกว่า 555

ปล. ปีนี้ส่งบทกวีด้วย แต่ตกรอบไปตั้งแต่รอบแรกแล้วครับผม อดเป็นกวีไปตามเคย แฮร่

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562

รอยยิ้มของคุณเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก

อายุเพิ่มขึ้นอีกปีแล้วนะคุณ ยิ้มกว้าง ๆ ให้เห็นฟันสวย ๆ บ่อย ๆ นะ ผมว่ารอยยิ้มของคุณนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลกได้เลย

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เฉลิมพระนามพระชนนีพันปีขจร

เฉลิมพระชนม์มงคลสวัสดิ์พิพัฒน์พิสิฐ
เฉลิมพระเกียรติองค์สิริกิติ์สฤษฎิ์สมร
เฉลิมพระนามพระชนนีพันปีขจร
ถวายพระพรขอพระองค์ทรงพระเจริญ

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562

อาลัยอาจารย์บุญส่ง

อาจารย์บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ เป็นอาจารย์ที่เด็กอักษรฯ ศิลปากรทุกคนรู้จักและน่าจะตราตรึงในความทรงจำมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะทุกคนจะต้องเคยผ่านวิชาบังคับ 3 ยำ (อารยธรรมตะวันตก/อารยธรรมตะวันออก/อารยธรรมไทย : เรียกสั้น ๆ ว่า ยำตก/ยำออก/ยำไทย) และในวิชาอารยธรรมไทยนี่เองที่เด็กอักษรฯ หลายคนได้ "เปิดหูเปิดตา" กับชุดความเชื่อ/ความจริงหลายเรื่องในสังคมไทย (หรือบางคนก็เรียกอาการนี้ว่า "เปิดกะลา/เบิกเนตร") บางคนตกใจเมื่อหมดคาบแรก บางคนเรียนจนจบก็ไม่เชื่อ บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนชื่นชอบถึงขั้นตามไปเก็บ "(สา)ขาปรัชญา" เป็น 1 ใน 4 สาขาวิชาในใบปริญญาของตน หรือเลือกเรียนเอก/โทปรัชญาเพราะจุดเริ่มต้นจากวิชานี้

ไม่ว่าจะชื่นชอบหรือเฉยชากับวิชาอารยธรรมไทยของอาจารย์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตั้งคำถามกับชุดความเชื่อที่เป็นแกนหลักของสังคมไทยและกระบวนการ Critical Thinking คือสมบัติชิ้นสำคัญที่เด็กอักษรฯ ปีหนึ่งทุกคนได้ติดตัวมาจากการเรียนวิชานี้ สิ่งนี้ทำให้พวกเรารู้จักคิดวิเคราะห์และตั้งคำถามกับชุดความเชื่อ/ความจริง/วาทกรรมทั้งหลายที่ได้พบในอีกสี่ปีตลอดการเรียนปริญญาตรี และตลอดชีวิตนับจากนั้น

เช้าวันนี้ เด็กอักษรฯ ศิลปากรทุกคนได้ทราบข่าวที่น่าใจหาย (ทั้งที่วันก่อนยังได้อ่านโพสต์ที่อาจารย์เขียนถึงซีรีส์ Hotel Del Luna แล้วก็คิดว่า เออ ถ้าอาจารย์เปิดวิชาปรัชญาจากซีรีส์จะไปขอซิตอินอยู่เลย) ผมเองนอกจากวิชาอารยธรรมไทยแล้วก็ไม่ได้เรียนกับอาจารย์อย่างใกล้ชิด จึงไม่แน่ใจว่าอาจารย์เชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายอย่างไรบ้าง แต่เมื่อวันนี้มาถึงก็ขอให้อาจารย์ได้สมหวังตามความเชื่อของอาจารย์นะครับ และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของอาจารย์ ภาควิชาปรัชญา และคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรที่สูญเสียบุคลากรผู้ทรงคุณค่าไปครับ

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว

ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว
เกดแก้วพิกุลยี่สุ่นสี
จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี
จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ

บทครวญลาสั่งเรือนคราวที่ขุนแผนพานางพิมหนีนั้นบ่งบอกลักษณะนิสัยของนางพิมได้หลายอย่าง คนที่อาลัยลากระทั่งดอกไม้ในเรือนชาน จิตใจต้องละเอียดอ่อนขนาดไหน คนเช่นนี้จะรู้สึกอย่างไรกับความผูกพันที่เกิดขึ้นในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ว่าจะดอกไม้ที่เคยตัดแต่งรดน้ำ สัตว์เลี้ยงที่เคยป้อนข้าวปลาอาหาร บรรดาบ่าวไพร่บริวารที่คอยช่วยเหลือเลี้ยงดูกันมายาวนาน ไม่เคยทิ้งกันยามทุกข์ยากจนเห็นน้ำใจกันหมดแล้ว เมื่อวันหนึ่งนางต้องเผชิญหน้ากับคำขาดจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คนเช่นนี้จะหันหลังทำเหมือนว่าเรื่องราวสิบกว่าปีในบ้านขุนช้างไม่เคยเกิดขึ้นได้หรือเปล่า?

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ความรู้สึกเกี่ยวกับความทรงจำ

สิ่งที่คนเขียนบทจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตัวละคร ไม่ใช่รายละเอียดแห้งแล้งผิวเผินอย่างหน้าตา ฐานะการศึกษา ฯลฯ แต่คือ "ความรู้สึกเกี่ยวกับความทรงจำ" ต่างหาก

การจะรู้จักและเข้าใจตัวละครอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การรู้ว่า "เคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเขาบ้าง" แต่คือ "เขารู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์นั้น" ฉะนั้นถ้าคุณอยากตั้งคำถามอะไรกับตัวละคร จงอย่าถามว่าเขาจบมาจากโรงเรียนไหน ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร แต่ลองถามว่าเหตุการณ์ไหนในชีวิตที่ทำให้เขารู้สึกอับอายมากที่สุด อะไรคือเรื่องเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเขา เคยทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้น้ำตาทะลักในที่สาธารณะหรือเปล่า

สิ่งที่คนเขียนบทจะต้องดึงออกมาจากตัวละครให้ได้นั้นไม่ใช่แค่ "ข้อมูลในอดีต" แต่คือ "อารมณ์และความรู้สึกต่อสิ่งที่เขาเคยประสบมา" เพราะอารมณ์และความรู้สึกเฉพาะตัวนั้นต่างหากที่ตัวละครจะพกพามาสู่แต่ละฉากแล้วมีปฏิกิริยาต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบในปัจจุบัน จนทำให้ชีวิตของเขามีสีสันในแบบที่ไม่ซ้ำใคร

(Frank Pierson : นักเขียนบทและผู้กำกับชาวอเมริกัน)

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พิมพิลาไลย

ไม่ได้อยากเห็นตัวละครที่ถูกสร้างตามแบบแผนในวรรณคดี (แบบที่เค้าเล่า ๆ กันมา) แต่อยากเห็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งหวานซึ้งดูดดื่มกับรักแรกที่ไม่เคยเลือนราง มนุษย์คนหนึ่งซึ่งเคยเรียนรู้ ผิดพลาด เจ็บปวด อ่อนไหว ครวญคร่ำร่ำไห้ ยึดยื้อและปล่อยวางบางห่วงโซ่ความสัมพันธ์ที่รัดรึงร้าวใจ มนุษย์คนหนึ่งซึ่งใช้เวลาค่อนชีวิตค้นหาตัวตนและตำแหน่งแห่งหนที่จะยืนอยู่ตรงนั้น และกล้าที่จะบอกกับคนอื่นได้อย่างเต็มปากว่า นี่แหละคือตัวฉัน ท่ามกลางสังคมที่ฉุดกระชากลากถูพร้อมตะโกนใส่หูเธอว่าเธอจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ หากมีใครเขียนให้พิมพิลาไลยกลายเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและน้ำตาขึ้นมาได้ ความตายของเธอจะไม่สูญเปล่า เพราะตัวละครที่ทำให้หัวใจของคนอ่านสั่นไหวจะไม่มีวันตายไปจากหัวใจผู้อ่าน

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Pain is inevitable. Suffering is optional.

"Pain is inevitable. Suffering is optional. Say you’re running and you think, ‘Man, this hurts, I can’t take it anymore. The ‘hurt’ part is an unavoidable reality, but whether or not you can stand anymore is up to the runner himself."

(Haruki Murakami, What I Talk About When I Talk About Running.)

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

วิ่งเคลียร์ใจ

ออกวิ่งเพื่อเคลียร์หลาย ๆ อย่างในหัว
เข้ามาสู่โลกที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากลู่วิ่งตรงหน้า ฟังเสียงลมหายใจ ปล่อยวางทุกอย่างไว้ชั่วขณะ
ไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนี้กำลังวิ่งหนี หรือวิ่งตามอะไรอยู่
รู้แค่ต้องก้าวไปข้างหน้า แม้หนทางจะว่างเปล่าไร้จุดหมาย
ใครบางคนเคยบอกว่า ถ้าเราแข็งแกร่งขึ้น โลกก็จะน่ากลัวน้อยลง
ฉันหัวเราะ ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อขมปร่าริมรอบขอบตา
ทำไมฉันไม่เคยเชื่อเลยนะ

ไม่อยากเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า

 

ก็มีแต่เธอที่ทำได้
มีแต่เธอที่ใจไม่ไหวหวั่น
ก็เธอไม่ใช่เหรอที่ทิ้งกัน
แล้วยัดเยียดคำนั้นให้ฉันเป็น

ว่า, เพื่อนพิเศษ-เพื่อนสนิท
แล้วแต่จะประดิษฐ์ตามคิดเห็น
เรื่องเก่าก็ฝังกลบหลบเร้น
ลมปากเพียงพูดเล่นไม่จริงจัง

หมดรักก็อย่าอ้างคำว่าเพื่อน
ยกคำมาย้ำเตือนกักขัง
แสร้งอยากเก็บมิตรภาพจีรัง
แกล้งลืมทุกความหลังเพราะหมดใจ

มีแต่เธอที่อยากจะเป็นเพื่อน
มีแต่เธอที่ลืมเลือนความหวั่นไหว
หมดรักก็เลิกกันทิ้งกันไป
อย่ายัดเยียดคำใดให้ฉันเลย

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เปเปอร์เฌอปราง

ครั้งแรกกับการนำเสนอบทความในห้องประชุมใหญ่... คือก่อนเดินทางมาลืมดูว่าตัวเองนำเสนอห้องไหน พอเปิดกำหนดการดู เฮ้ย ห้องนี้เลยนี่หว่า ปกติเสนอเปเปอร์เคยลงแต่ห้องเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อบอุ่น ๆ วันนี้คือสไลด์ที่อดหลับอดนอนทำ (ใช้เวลาเลือกรูปไปแปดสิบชั่วโมง) ได้ฉายความน่ารักของเฌอปรางอย่างยิ่งใหญ่เต็มจอ ตายตาหลับแล้วครับ แฮร่
ขอบคุณศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรที่ให้โอกาสเปเปอร์เล็ก ๆ จากประเด็นความสนใจที่เกิดขึ้นขณะไถทวิตเตอร์ตามข่าวเฌอปรางระหว่างเดินขึ้นภูเขาไปหาข้าวกิน (ช่วง Senbatsu General Election ยังสิงอยู่ที่ประเทศจีน) แน่นอนว่ามันยังมีช่องโหว่หลายด้าน โดยเฉพาะช่องโหว่ใหญ่ที่สุดคือลักษณะของบทความที่ควรเอาทฤษฎีสังคมศาสตร์-รัฐศาสตร์ไปจับให้แม่น แต่สุดท้ายในภาควิเคราะห์ เราก็ยังใช้การวิเคราะห์ในเชิงการใช้ภาษาอยู่ดี (เพื่อนที่ไปฟังบอกว่า ถ้าจะวิเคราะห์แบบนี้ ใช้ CDA ไปจับแต่แรกดีกว่า เออว่ะ 555) และหากมีข้อผิดพลาดอื่นใดอีกก็กราบขออภัยผู้ที่ตั้งใจมาฟังการนำเสนอทุกท่านครับ

อีกสองท่านที่ต้องขอบพระคุณอย่างยิ่งคือ ผศ.ดร.จเร สิงหโกวินท์ ซึ่งอาจารย์แม่นมากเรื่องงานวิจัยเกี่ยวกับแฟนคลับ และได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์หลายข้อในการพัฒนาเปเปอร์นี้ต่อไป และอีกท่านคือ ผศ.ดร.โดม ไกรปกรณ์ นักวิชาการโอตะระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ตัวจริงเสียงจริง (คามิโอชิเฌอปรางเหมือนกันด้วย กรี๊ดมาก ๆ) ที่ช่วยเปิดโลก BNK48 ในเชิงวิชาการอย่างลึกซึ้ง และช่วยผมตอบคำถามในห้องชนิดละเอียดทุกเม็ดจนผมไม่ต้องพูดอะไรต่อเลย 555 หวังว่าจะได้ฟังเปเปอร์ BNK48 ของอาจารย์ต่อไปอีกเรื่อย ๆ นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ฝูงเสือเฒ่า

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมีเรื่องเล่า
ฝูงเสือเฒ่าออกปล้นคนหนุ่มสาว
พวกมันต่างวางแผนแสนยืดยาว
ถึงคราวก็สำเร็จสมดังฤดี

หนุ่มสาวต่างร้องกู่-กูไม่เอา
สุดท้ายลุงคนเก่ากอดเก้าอี้
โอ้อำนาจของกู-ของกูนี้
หวงเกินเหลือที่จะแบ่งใคร

คำพระว่าหิริโอตตัปปะ
คนควรอายต่อสัจจะอันเคยให้
แต่ชาติเชื้ออสรพิษหาเข้าใจ
กลับแว้งกัดคนไปตามสันดาน

มีแววตาละอายไหมในกระจก
เมื่อคราวยกมือให้โจรมาปล้นบ้าน
ผลประโยชน์วาดฝันสวรรค์วิมาน
เสร็จแผนการโจรคงหันมาเชือดคอ

เสพอำนาจหอมหวานมานานเนิ่น
หอมเกินจะส่งให้ใครต่อ
เชอญท่านกอดอำนาจไว้ให้พอ
หนุ่มสาวก็นับรอความภินท์พัง

นรชาติวางวายมลายร่าง
ความดียังคงค้างเป็นความหลัง
อวชาตตายไปใครก็ชัง
เขี่ยดินกลบหน้ายังเสียดายดิน

๖ มิ.ย. ๖๒

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

คิดถึง (๑๐)

ข่มตาช้าลงวันละนิด
เพราะต้องทนกับพิษความคิดถึง
ห้ามใจ, ใจก็ยื้อดื้อดึง
จมในห้วงคำนึงเนิ่นนาน

ข่มใจไม่ให้คิดก็ยิ่งคิด
ถึงปากนิดจมูกหน่อยรอยยิ้มหวาน
ต้องข่มตาข่มใจไปกี่กาล
จึงจะพ้นความทรมานร้าวรานใจ

จมอยู่กับพิษความคิดถึง
ที่ตอกตรึงกับความเศร้าร้าวไหว
โถเจ้าความคิดถึงโบยบินไป
หาคนที่จะไม่คิดถึงกัน

ข่มตาช้าลงวันละนิด
ดิ่งจมพิษในใจที่ไหวหวั่น
ข่มใจให้พ้นไปอีกวัน
ในค่ำคืนเงียบงันและฝันร้าย

๒ มิ.ย. ๒๕๖๒

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

สุขวันต์วันเกิดนะ...คุณความรัก

สุขวันต์วันเกิดนะ...คุณความรัก
ยินดีที่รู้จักความรักใหม่
ขอบคุณที่เป็นหลักพักพิงใจ
ฉันจึงผ่านเรื่องร้ายไปไม่กังวล

สุขสันต์วันเกิดนะ...เจ้าแมวเฌอ
ขอให้ยิ้มอยู่เสมอไม่สับสน
ทำสิ่งใดก็สมหวังดังใจตน
เป็นความรักของทุกคนนานนานนะ!

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ด้วยดวงใจอันไม่รู้จักหยุดนิ่ง

"ด้วยดวงใจอันไม่รู้จักหยุดนิ่ง" รวมงานเขียนของนักเขียนศิลปากร 75 ชีวิต ในวาระครบรอบ 75 ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร การที่งานเขียนของคนที่เขียน ๆ หยุด ๆ จนผ่านมาสิบปีแล้วยังไม่มีรวมเล่มเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ยังได้ร่วมเป็นเกียรติอยู่ในเล่มนี้ หากจะใช้คำว่า 'รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง' ก็ยังนับว่าน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับคลื่นความรู้สึกปีติยินดีที่เอ่อล้นท่วมท้นใจเหลือคณานับ

นึกย้อนกลับไป ตอนอยู่ปีหนึ่งเราเคยซื้อ 'พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว' หนังสือรวมงานเขียนของนักเขียนศิลปากรในวาระครบรอบ 50 ปีจากร้านหนังสือเก่ามาอ่าน พออ่านจบเรารู้สึกว่า คำว่า 'นักเขียน' กับคำว่า 'ศิลปากร' เมื่ออยู่รวมกันแล้วรู้สึกว่ามีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด หากเปรียบเป็นหญิงสาวก็คือมีความงามลึกลับน่าค้นหา แต่ตอนนั้นยังไม่แม้แต่จะคิดว่าตัวเองจะเขียนหนังสือได้ และยิ่งไม่กล้าคิดฝันว่า ในก้าวที่ยิ่งใหญ่ในปีที่ 75 จะมีเราร่วมอยู่ในหน้ากระดาษแห่งประวัติศาสตร์นี้ได้

"การตามหาหนังสือนิยายที่หล่นหายไปในเทศกาลรางวัลซีไรต์" เรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศนายอินทร์อะวอร์ด หนึ่งในเรื่องสั้นที่เรารักมากเป็นพิเศษคือเรื่องที่ได้รับเกียรติให้รวมอยู่ในเล่ม ยินดีและซาบซึ้งใจมากที่ครูหนู อ.สกุล บุณยทัต ได้ให้เกียรติเรื่องสั้นเรื่องนี้หลายวาระเหลือเกิน จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนมีลูกศิษย์ของครูนำไปทำละครเวทีอักษรฯ ซึ่งทำออกมาได้ยอดเยี่ยมกว่าที่ผู้เขียนคิดเอาไว้ และในวันนี้ก็กลายเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเล่มนี้ในฐานะศิษย์เก่าศิลปากร ต้องกราบขอบพระคุณครูที่มอบเกียรตินี้ให้ แม้ว่าเราจะไม่เคยเรียนกับครูโดยตรง แต่ในด้านการเขียน เราอ่านผลงานของครูและนับถือครูเป็นหนึ่งในครูทางการเขียนเสมอ

"ด้วยดวงใจอันไม่รู้จักหยุดนิ่ง" หนังสือที่ทำให้เราได้ใช้คำว่า 'นักเขียน' กับคำว่า 'ศิลปากร' คู่กันซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าความฝันที่เคยคิดฝันเอาไว้ เป็นความรู้สึกที่ไม่มีถ้อยคำใดมาพรรณนาความอิ่มเต็มในใจครั้งนี้ได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

อยากให้เธอเป็นภาพแรกเมื่อลืมตา

อยากให้เธอเป็นภาพแรกเมื่อตื่นมา
อยากให้ตาสองตาสบประสาน
หยุดเวลาอย่างนั้นนิรันดร์กาล
ประโลมใจให้ข้ามผ่านวันโหดร้าย

อยากให้เธอเป็นภาพแรกเมื่อลืมตา
ชีวิตจึงมีค่ามีความหมาย
พรุ่งนี้ต้องฝ่าฟันภยันตราย
ใจก็คล้ายจะแข็งแกร่งเปี่ยมแรงผจญ

อยากให้เธอเติมเต็มใจอันไหวว่าง
ใจซึ่งร้างรานร้าวมากี่หน
ใจที่จะคิดถึงเพียงหนึ่งคน
ใจที่ยอมจำนนเพียงคนนั้น

อยากให้เธอเป็นภาพแรกของรุ่งเช้า
กลับพบความว่างเปล่าเต็มภาพฝัน
ข่มตานอนแต่หัวใจยังจำนรรจ์
ฉันยังคิดถึงเธอเสมอนะ

๑๔ ก.พ. ๖๒