วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

(เรื่องเล่าของ) ดินสอของนักเขียนหน้าใหม่คนหนึ่ง

ฉันเป็นดินสอของนักเขียนหน้าใหม่คนหนึ่ง

เดิมทีเรา... หมายถึงฉันกับมนุษย์ที่อ้างตัวเป็นนักเขียนคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเราเคยทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันมาหรืออย่างไร จึงได้มาพบกันในชาตินี้

สถานที่รักแรกพบของสองเราคือร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่ง (ไม่สิ จะว่าเป็นสถานที่รักแรกพบก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะฉันไม่ได้พิศวาสอะไรเขา และเขาก็คงไม่ได้รักใคร่ใหลหลงในตัวฉันมากนัก ฉันคิดว่าอย่างนั้น ถ้าเพื่อนฉันที่วางทับฉันไว้ไม่หายไปเสียก่อน เขาก็อาจจะไม่เลือกฉันก็เป็นได้) ที่เขาเลือกฉันเพราะฉันเป็นดินสอกดที่ใช้วาดรูป รูปร่างและวิธีการทำงานของฉันก็ไม่ต่างไปจากดินสอกดธรรมดาหรอก เพียงแต่ไส้ของฉันจะใหญ่กว่าดินสอทั่วไป ซึ่งสามารถเหลาให้แหลมหรือทู่ได้ เขาคงคิดว่าน่าจะเท่มากหากนำมาใช้เขียนหนังสือ (ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าความทรมานของการเหลาไส้ทุกสองย่อหน้าเป็นอย่างไร บางทีเวลาเขาเขียนไม่ออก เขาก็เฉไฉเหลาไส้ของฉันทั้งที่ตอนนั้นมันก็แหลมคมยิ่งกว่าเข็มอยู่แล้ว เขาชอบพูดอยู่เสมอว่า การเหลาไส้คือการลับสมองเชิงสัญลักษณ์ เขาทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นแหละ เวลาเขาเขียนไม่ออก เขาเหลาไส้ฉันแหลมคมจนแทบจะเจาะสมุดหนาทะลุเป็นรูได้ เขาก็เขียนไม่ออกอยู่ดี)

บนโต๊ะของเขามีหนังสือวางทับถมกันเป็นหย่อมใหญ่ เขาเป็นคนที่มีหนังสือค่อนข้างเยอะ และส่วนมากจะมีตราอะไรประทับอยู่บนปก ฉันพยายามอ่านได้ความว่าเป็นรางวัลโนเบิล รางวัลซีไรต์ และรางวัลนู้นรางวัลนี้ที่ชื่อค่อนข้างยาวจนฉันอ่านไม่ออก เวลาเพื่อนมาเยี่ยมเขาที่ห้อง ทุกคนจะทำตาโต อ้าปากหวอ ร้องอุทานว่ามีแต่หนังสือดี ๆ เขาเองก็ชอบคุยโม้โอ้อวดว่าเขาอ่านมาก อ่านมาหมดแล้ว รพินทรนาฏ ฐากูร เออร์เนส เฮมิงเวย์ จอห์น สไตน์เบค อัลแบร์ การ์มูร์ หรือไล่ไปชื่อไทยอย่าง อัศศิริ ธรรมโชติ ชาติ กอบจิตติ กนกพงษ์ สงสมพันธุ์ เดือนวาด พิมวนา วินทร์ เลียววาริณ ปราบดา หยุ่น และอื่น ๆ อีกมากมายที่ฉันสาธยายไปอีกสามวันก็ไม่หมด เขาชอบโม้ให้เพื่อนฟังอย่างนั้น (แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ฉันแอบเห็นว่าเวลาว่างของเขาหมดไปกับอย่างอื่นมากกว่าอ่านหนังสือเสียอีก ทั้งดูโทรทัศน์ ไม่ก็เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต ส่วนวรรณกรรมระดับโลกหรือระดับประเทศที่เขาอวดอ้างว่าอ่านแล้ว ฉันเห็นมันใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยมีใครเปิดอ่าน หรือบางเล่มก็คั่นไว้ที่ครึ่งเล่มเป็นปี) บางครั้งเขาก็อ่านแล้วหยิบฉันไปขีดเส้นอะไรสักอย่างในหนังสือ และทำท่าเหมือนจะบันทึกความคิดอะไรลงไป แต่พอหมุนควงฉันไปสักสองสามรอบ เขาก็โยนฉันทิ้งบนที่นอน ก่อนจะโยนหนังสือไว้ที่หัวเตียงแล้วหลับ (ฉันคิดว่าเขาคงเก็บไปคิดต่อในความฝันกระมัง)

เขาเป็นคนชอบเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ฉันพอจะจับใจความเรื่องที่เขาเขียนได้ว่าเป็นเรื่องราวของผู้ทุกข์ยากหลากหลายมุมมอง นอกจากที่เขาจะใช้ฉันเขียนเรื่องแต่งจิปาถะของเขาแล้ว เขายังใช้ฉันบันทึกไดอารีส่วนตัวของเขาอีกด้วย ฉันเลยพอจะรู้เรื่องของเขาบ้าง เขาเขียนไว้ว่าเขาเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวชนชั้นกลางที่อ่านหนังสือมาเยอะ (เขาเขียนว่าอย่างนั้นนะ ทั้งที่ฉันแทบจะนับเล่มที่เขาอ่านได้) เลยอยากถ่ายทอดเรื่องราวความยากไร้ ความทุกข์ ชีวิต จิตวิญญาณ ความลำบากของผู้ถูกกดขี่ให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้ และด้วยความที่เขาเป็นนักเขียนสดใหม่ กลวิธีการเล่าเรื่องของเขาก็ต้องแตกต่างจากคนอื่น ๆ (แต่เขานั่งอยู่ในห้องแอร์เวลาเขียน ดูเขาสบายดี ฉันเลยไม่รู้ว่าเขาจะเก็บเกี่ยวความทุกข์ยากจากไหนมาถ่ายทอดในงาน ส่วนกลวิธีแหวกแนวของเขานั้น เขาบันทึกไว้ว่าขอให้แปลกประหลาดเป็นใช้ได้ ยิ่งดูเหมือนเล่าเรื่องแบบเฉลียวฉลาดกว่านักเขียนรุ่นก่อนได้ยิ่งดี ถ้าเกิดมันเข้าทีคงจะไปโดนใจบรรณาธิการสักแห่งหนึ่ง แต่ฉันว่ายิ่งทำยิ่งเลอะมากกว่า) ฉันได้รับรู้ตามที่บันทึกประจำวันของเขาสาธยายไว้ก็รู้สึกภูมิใจว่าฉันช่างมีบุญที่ได้เกิดมาเป็นดินสอของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ (และฉันคงภูมิใจอีกนานเนิ่น ถ้าเขาไม่บังเอิญบันทึกไว้ในซอกมุมของไดอารีว่า แท้ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนไปกับมวลชนผู้ทุกข์ยากอะไรมากมายหรอก ติดจะรำคาญด้วยซ้ำหากมาทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่ที่เขายอมเขียนแบบนั้นก็เพราะต้องการให้วงวรรณกรรมยอมรับในตัวเขาว่าช่างมีฝีไม้ลายมือและจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมเหลือเกิน อยากมีชื่อเสียง อยากให้นักเขียนที่เขาชื่นชอบยอมรับในฝีมือ ฉันรู้แบบนี้แล้วก็อดเศร้าใจไม่ได้ แต่จะทำยังไงล่ะ ก็เขาซื้อฉันมาเป็นดินสอของเขาแล้วนี่นา)

.............................................................

หลายวันมานี้เขาดูเครียด ๆ พิกล ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาเครียดเรื่องอะไร เขาเอาฉันไปวงเลขบนปฏิทินไว้ แล้วเขียนว่าเป็นวันหมดเขตส่งรางวัลอะไรสักรางวัลหนึ่ง เขาเขียนไว้ในไดอารีว่ารางวัลนี้น่าจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่การเป็นนักเขียนเต็มตัว (เขาแอบบันทึกไว้ในซอกมุมหนึ่งของไดอารีอีกแล้วว่า วงการนักเขียนนั้นแจ้งเกิดกันด้วยรางวัล จะเขียนได้ดีให้ตายยังไง ถ้าไม่มีรางวัลห้อยท้ายก็อย่าหวังว่าใครจะรู้จักหรือยอมเสียเงินซื้อหนังสือ ) ดูเขามุ่งมั่นทุ่มเทกับการเขียนเรื่องส่งรางวัลนี้มาก บางวันเขาเอาฉันไปขีด ๆ เขียน ๆ เส้นระโยงระยางบนกระดาษ เขาเขียนว่า การเปิดเรื่อง การปิดเรื่อง ความขัดแย้ง แล้วลากเส้นมั่ว ๆ ไปมา เขียนอย่างนั้นไปสักสองสามแผ่นก่อนจะขยำทิ้งไปทั้งหมด สักพักเขาก็โยนฉันไว้ที่ซอกมุมหนึ่งของโต๊ะ และหลบลี้ไปอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ขยับเมาส์กริ๊ก ๆ ทั้งวัน

รุ่งเช้าเขามานั่งหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ หมุนเก้าอี้ไปมา ถอนหายใจยาวพลางเหม่อมองไปยังปฏิทิน พึมพำเบา ๆ ว่าจวนจะหมดเขตแล้ว เขาหยิบข่าววรรณกรรมที่เพิ่งปริ้นท์ออกมา คงจะเป็นข่าวที่เขาไปหามาตั้งแต่เมื่อคืน เขาพยายามกวาดสายตาไปมาขณะที่จับฉันหมุนควงจนเวียนหัว เขาขีดชื่อแปลก ๆ สองสามชื่อ ดูเหมือนเป็นชื่อของคน แล้วก็วงตรงหัวเรื่อง เป็นชื่อของการประกวดอะไรสักอย่าง (ฉันคิดว่าชื่อคนคงจะเป็นชื่อของกรรมการที่จะตัดสินรางวัลการประกวดของเขา) นอกจากนั้นยังเป็นชื่อหนังสือที่คุ้นตา "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" ระหว่างที่เขาขีดก็พึมพำว่าจะอ่านทันหรือเปล่า (ฉันจำได้ว่าฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่บนโต๊ะของเขามานานแล้ว) เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกไปจากห้อง ก่อนจะหายไปประมาณสองวัน (ฉันได้แต่สงสัยว่า เขาไปทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือหรือเปล่า)

เขากลับมาในเย็นของวันที่สองพร้อมกับหอบหนังสือมาเป็นตั้ง เขาหยิบฉันมาขีดเขียนอะไรลงในหนังสือให้วุ่นวายไปหมด ฉันเห็นหน้าปกแวบ ๆ ว่าเป็นหนังสือของกนกพงษ์ สงสมพันธุ์ ปราบดา หยุ่น กับการ์เบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นอกจากนั้นยังมีหนังสืออธิบายศัพท์วรรณกรรมอีกด้วย เขาเอาฉันไปขีดเส้นคำว่า Magical Realism สองสามรอบ วงคำว่า Post-modern Anti-plot และวงคำอื่นอีกสองสามคำแต่ฉันจำไม่ได้ จากนั้นเขาใช้ฉันขีดคำขีดเส้นโยงใยวุ่นวายไปหมด แผ่นกระดาษสองใบแรกเขาขยำทิ้งเช่นเดิม แต่ใบที่สามซึ่งเป็นใบที่ดูยุ่งเหยิงวุ่นวายมากที่สุด เขากลับทำทีท่าพออกพอใจและออกปากชื่นชมตัวเอง จากนั้นเขาจึงหยิบกระดาษเปล่าที่มีเส้นบรรทัดมาวางตรงหน้า จับฉันมาหมุนควงจนเวียนหัวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดควงและจ่อฉันไว้นิ่งนานตรงหน้ากระดาษ เขาขยับฉันครั้งสองครั้งเหมือนจะเขียนอะไรลงไป แต่สักพักก็หยุดเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง เขาอยู่ในกริยานี้สักครู่หนึ่งก็วางฉันไว้บนกระดาษ ผละออกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปเปิดโทรทัศน์ดู ฉันคิดว่าเขาแค่ไปพักสมองเพียงคราวครู่ แต่เขากลับจมอยู่กับกิจกรรมอื่นทั้งวัน ฉันรออยู่นานจนถอดใจว่าเขาคงไม่กลับมาใช้ฉันเขียนอะไรแล้ว จึงแอบพักผ่อนเสียเลย (คงไม่มีใครรู้ว่าดินสออย่างฉันก็ขี้เกียจเป็นและอยากพักผ่อนบ้างเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะหลังจากถูกหมุนควงและขีดเส้นจนลายตา)

ฉันพักผ่อนไปนานเท่าไรก็จำไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกเขาปลุกอย่างรีบเร่งและร้อนรนในเย็นวันหนึ่ง เขาพูดกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ก็หมดเขตแล้ว ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ต่อเมื่อเขาหยิบกระดาษยุ่งเหยิงใบนั้นมาดู ฉันจึงระลึกได้ว่าเขาคงหมายถึงการประกวดอะไรสักอย่างของเขา คืนนั้นเขาจับฉันเขียนบนกระดาษอย่างบ้าคลั่ง ธารอักษรไหลหลั่งออกมาราวกับน้ำป่าที่ซัดทลายเขื่อนในฤดูกาลฝนตกชุก ฉันพยายามจะเก็บความสิ่งที่เขาเขียนแต่ก็แทบจะอ่านไม่ทัน (อีกอย่างฉันก็มัวแต่เป็นห่วงเขา กลัวเขาจะเสียจริตไปก่อนเพราะใบหน้าของเขาดูซีดเซียว ทั้งยังชอบทำท่ากุมขมับ บางทีก็เดินไปเดินมาสีหน้าคร่ำเครียด ฉันคิดว่าท่าทีเขาดูแปลกไป ไม่เหมือนตอนที่ใช้ฉันเขียนเรื่องแต่งจิปาถะหรือบันทึกไดอารี ตอนนั้นใบหน้าเขาดูสดใส สีหน้าแช่มชื่น ดูมีความสุขดี)

เขาเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนตีสี่ ใบหน้าของเขาดูอิดโรยน่าสงสาร ดูคล้ายกับตัวละครในเรื่องแต่งของเขาที่สิ้นชีวิตลงอย่างน่าอนาถใจในตอนจบ ฉันไม่รู้ว่าเขาเองก็จะสิ้นชีวิตในตอนจบหรือเปล่าเพราะสภาพของเขาขณะเขียนตอนจบดูราวกับผีตายซาก ฉันนึกว่าเขาหมดเวรหมดกรรมกับต้นฉบับปึกนี้แล้ว แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ลากสังขารไปปักหลักตรงหน้าคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเริ่มเคาะคีย์บอร์ดเสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ฉันฟังเพลินจนเผลอพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์

...................................................................

ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเขาจับฉันขยับไปยังซอกโต๊ะ ด้วยความที่เผลอพักผ่อนนานไปหน่อย ฉันจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว สิ่งที่ฉันรู้ก็คือรอบโต๊ะเขียนหนังสือดูแปลกตาไป หนังสือวรรณกรรมที่เคยกองสุม ๆ กันอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะ ตอนนี้จรลีขึ้นไปอยู่บนตู้เสื้อผ้า ส่วนสิ่งที่มาแทนที่ก็คือกองหนังสือเรียนหลากหลายวิชา พร้อมกับดินสอกดไส้ธรรมดาใหม่เอี่ยมวางอวดโฉมอยู่บนโต๊ะหนึ่งแท่ง นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก แต่ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเขาหยิบฉันมาใช้น้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดฉันก็เหลือหน้าที่เพียงแค่เป็นดินสอบันทึกไดอารีของเขาเท่านั้น (ฉันมารู้ความจริงจากไดอารีเขาว่า เวลาที่เขาใช้ฉันเขียน เขาจะรู้สึกเกิดอารมณ์ศิลปิน ซึ่งนับแต่นี้อารมณ์แบบนั้นไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว เขาใช้ดินสอกดธรรมดาสะดวกกว่ากันเยอะ แล้วเขายังบันทึกในทำนองว่า เขาควรจะเลิกฟุ้งฝันแล้วกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียที ฉันไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร? และเกิดอะไรขึ้นตอนที่ฉันเผลอพักผ่อนไปนาน? แล้วการประกวดครั้งนั้นผลเป็นอย่างไร? ทำไมเขาไม่บันทึกไว้ ฉันจะได้รู้ ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันจะได้รู้ว่าต่อไปฉันจะมีชะตากรรมเช่นไร แต่ดูท่าทางเขาจะเก็บงำอะไรบางอย่างอยู่)

...................................................................

และแล้ววันหนึ่งเขาก็หยิบฉันหมุนควงไปมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้จะเวียนหัวบ้าง แต่ฉันก็ดีใจว่าเขากลับมาทำอะไรอย่างเดิมแล้ว ขณะที่กำลังถูกหมุนควงก็ได้แต่หวังว่าเขาจะกลับมาใช้ฉันเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยดังเดิม แต่ความรู้สึกที่กำลังเบ่งบานนี้ก็ถูกทำลายลงในพริบตาเมื่อเขาหยุดหมุนและขว้างฉันไปยังมุมห้อง ฉันรับรู้ได้ในวินาทีนั้นเองว่า เขาจะไม่ใช้ฉันในการเขียนอีกต่อไปแล้ว ฉันกระเด็นไปกระแทกขอบเตียง ก่อนจะกลิ้งหลุน ๆ ตกลงไปใต้เตียงอันมืดมิด ความรู้สึกทั้งมวลวูบดับลงฉับพลัน

ตอนนี้ฉันอยู่กับความมืดจนคุ้นชิน ไม่เคยนับเวลาว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว (เพราะมันนานจนกระทั่งฉันแทบจะลืมไปว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขาจะลืมฉันไปแล้วหรือยัง? ตอนนี้เขาใช้ดินสออะไรเขียน? แล้วยังเขียนเรื่องแต่งหรือบันทึกไดอารีอยู่หรือเปล่า?) หากมองในแง่ดี ฉันก็ยังคงพอจะมีความสุขอยู่บ้าง เพราะการได้พักผ่อนเป็นเรื่องที่ฉันปรารถนา แต่ครั้งนี้นานเกินไปจนฉันอยากให้เขาหยิบฉันไปเขียนอะไรสักอย่างอีกครั้ง (ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาได้รับรางวัลจากการประกวดอะไรสักอย่าง เขาจะได้มีชื่อเสียง ผู้คนยอมรับในผลงาน ไฟในการเขียนจะได้กลับมาคุโชนอีกครั้ง บางที... เขาอาจจะยังจำได้ว่ามีดินสอแท่งหนึ่งที่เขาเคยหลงใหลหลบเร้นอยู่ใต้เตียงนอนอันมืดสนิทนี้)




ตีพิมพ์ครั้งแรก : คอลัมน์จุดประกายวรรณกรรม นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 เมษายน 2552

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ขาดหาย

ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังพยายามแสวงหาสารพันภาระมาแบกให้เต็มไหล่ทั้งสองข้าง เพื่อไม่ให้หัวใจได้มีเวลาหยุดคิดและแสวงหาสิ่งที่ขาดหายไป...
แต่ฉันอาจจะรู้ หรือไม่รู้... ภาระที่แสนหนักอึ้งที่ฉันพยายามขนมาทับถมตัวเอง กลับไม่สามารถถมช่องว่างในหัวใจที่กลวงเปล่าเพราะถูกความเหงากัดกินได้
ฉันถามตัวเองอีกครั้งด้วยคำถามที่หัวใจรู้สึกมาตลอด แต่คำตอบที่ได้คือความมืดมิดและเงียบงัน ฉันจึงเลือกความนิ่ง... นิ่งเพื่อรอโดยมีเพียงความหวังเป็นแสงเทียนริบหรี่นำทาง รอจนกว่าอุษาสางจะระบายเส้นขอบฟ้า จนกว่าแสงรำไรจะโปรยหว่านลงบนผืนดิน จนกว่าเส้นทางที่ถูกอนธกาลกลืนกินจะเผยร่าง เมื่อนั้นฉันคงจะกล้าก้าวเดินต่อไป กล้าออกเดินเพื่อแสวงหาสิ่งที่ขาดหายไปอีกครั้ง...

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทสนทนาของชายหนุ่มเสื้อสีเทากับสุนัขสีขาว

สุนัข : เจ้านาย...
ชายหนุ่ม : อะไร
สุนัข : เมื่อไหร่เราจะกลับถึงบ้าน
ชายหนุ่ม : ไม่นานหรอก เดี๋ยวม็อบก็คงเลิก
สุนัข : เจ้านาย...
ชายหนุ่ม : อะไรอีก
สุนัข : ม็อบคืออะไร ม็อบคือคนที่มาชุมนุมกันเยอะ ๆ บนถนนนะหรือ
ชายหนุ่ม : ใช่
สุนัข : พวกเขามาชุมนุมกันทำไมหรือเจ้านาย มีเทศกาลรื่นเริงหรือ
ชายหนุ่ม : พวกเขามาชุมนุมกันเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
สุนัข : จุดประสงค์อะไรหรือเจ้านาย ทำไมพวกเขาไม่ยอมกลับบ้านกันเสียที
ชายหนุ่ม : พวกเขายอมเสียสละออกมาจากบ้าน เพื่อทำให้ประเทศชาติดีขึ้น
สุนัข : ประเทศชาติดีขึ้นคืออย่างไรหรือเจ้านาย
ชายหนุ่ม : คือทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ประเทศชาติสุขสงบเรียบร้อย
สุนัข : ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ประเทศชาติสุขสงบเรียบร้อยแล้วยังไงล่ะเจ้านาย
ชายหนุ่ม : ทุกคนก็จะมีความสุข กลับบ้านไปมีข้าวกินอิ่ม นอนหลับสบาย
สุนัข : บ้านของพวกเขาไม่มีข้าวให้กินอิ่ม นอนหลับไม่สบายหรือเจ้านาย
ชายหนุ่ม : บ้านของพวกเขามี แต่บ้านของคนอื่นอีกค่อนประเทศไม่มี
สุนัข : แล้วทำไมพวกเขาไม่เชิญคนที่ไม่มีข้าวกินมากินข้าวที่บ้านพวกเขาล่ะเจ้านาย
ชายหนุ่ม : ทำแบบนั้นก็คงทำได้แค่วันสองวัน มันเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถาวร จะแก้ปัญหาอย่างถาวรต้องเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ
สุนัข : ก็ให้คนที่ไม่มีข้าวกินมากินข้าวที่บ้านพวกเขาทุกวันสิเจ้านาย
ชายหนุ่ม : ฉันพูดไปแกก็ไม่เข้าใจหรอก...
สุนัข : ทำไมพวกเขาต้องใส่เสื้อสองสี
ชายหนุ่ม : พวกเขามีสองฝ่าย จึงต้องใส่สองสี
สุนัข : เจ้านายทำไมไม่ใส่เสื้อสีเดียวกับพวกเขา
ชายหนุ่ม : ฉันไม่ได้อยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
สุนัข : เจ้านายเลือกใส่สักสีสิ เผื่อพวกเขาจะเปิดทางให้ ผมอยากกลับบ้านเต็มทน
ชายหนุ่ม : ใส่สีหนึ่ง อีกสีหนึ่งก็ปิดทางไว้อยู่ดี
สุนัข : ดีกว่าไปไหนไม่ได้อย่างนี้
ชายหนุ่ม : การเลือกใส่เสื้อสีอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย
สุนัข : แค่ถอดเสื้อแล้วสวมใหม่เท่านั้นเอง
ชายหนุ่ม : มันมีอะไรที่ต้องคิดให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น
สุนัข : อะไรล่ะเจ้านาย
ชายหนุ่ม : อุดมการณ์ ความถูกต้อง
สุนัข : อุดมการณ์ ความถูกต้องคืออะไร ทั้งสองฝ่ายก็ยอมเสียสละออกมาจากบ้าน เพื่อทำให้ประเทศชาติดีขึ้นไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่ม : ฉันพูดไปแกก็ไม่เข้าใจหรอก...
สุนัข : เจ้านาย...
ชายหนุ่ม : อะไร
สุนัข : เราจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม
ชายหนุ่ม : จนกว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อย
สุนัข : ผมอยากกลับบ้านแล้ว
ชายหนุ่ม : รออีกนิดเถอะ อีกไม่นาน
สุนัข : เจ้านาย...
ชายหนุ่ม : อะไรอีกเล่า
สุนัข : ทำไมเจ้านายถึงใส่เสื้อสีเทา
ชายหนุ่ม : แกไม่ต้องรู้ แกคงไม่เข้าใจหรอก...แกมันก็แค่สุนัข!

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ขัดใจ..แต่ ไม่เป็นไร

ขึ้นหัวเรื่องมาก็ชวนงงเสียแล้ว เรื่องก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พอดีมีเพื่อนส่ง FWD Mail มา บอกว่ามีโครงการ Poem for King คือแต่งกลอนถวายในหลวง พอคลิกดู เฮ้ยย... เพื่อนพ้องพี่น้องป้า ๆ ลุง ๆ ในวงการแต่งไปหมดแล้วนี่หว่า ยาวไปแล้วหกเจ็ดหน้า ไอ้ผมก็เลยอยากแต่งบ้าง อืมมม คนก่อนลงท้ายด้วยสระไอ ลุยเลยละกัน แบบหรู ๆ

จอมกษัตริย์วัฒนาประชาราษฎร์
ร่มฉัตรชาติเชวงสฤษดิ์พิสิฐสมัย
ธ คุ้มเกล้าจิรกาลผ่านภพไผท
อุโฆษไกรเกริกเกียรติกฤดาการ

พอกำลังจะกดส่ง อ่านดูอีกที มันหรูไปหน่อยแฮะ แล้วก็อีกอย่างดูแหล ๆ ไปหน่อย 55 ผมเองก็ไม่ชอบมากนักกับกลอนแนวอาเศียรวาทหรู ๆ (แต่ทำเวอร์ประจำเวลามีงาน) ไหน ๆ ก็ไม่ได้แต่งอ่านในงานแบบว่าถวายบังคมอะไรทำนองนี้ เลยคิดว่า ขอแบบแต่งง่าย ๆ แต่ดูจริงใจ ๆ ดีกว่า เลยเปลี่ยนเป็น

เก็บดอกความรักสมัครสมาน
เสกสนธิ์กลกานท์แห่งกาลสมัย
เป็นด้ายทิพย์ร้อยรักรวมหัวใจ
ต่างมาลัยถวายพระองค์ทรงพระเจริญ

อ่า... ดูง่าย ๆ และจริงใจขึ้นเยอะ กดอัพปุ๊บ รอไปวันหนึ่ง กลอนได้ขึ้นแล้ว แต่ว่า...

เก็บดอกความรักสมัครสมาน
เสกสรรค์อนันตกานต์แห่งสมัย
เป็นด้ายทิพย์ร้อยรักรวมหัวใจ
ต่างมาลัยถวายพระองค์ทรงพระเจริญ

นั่นมันอะไรก๊านนน แล้วจะแปลวรรคนั้นว่าอาร๊ายยยย

คือก็เข้าใจครับว่า "สนธิ์" เนี่ยมันไม่มีในพจนานุกรม ก็กระผมแผลงมาจาก "สนธิ" งายคร้าบ ที่แปลว่า "รวมให้กลมกลืน" คือจะแปลวรรคนั้นว่า เอาฉันทลักษณ์แห่งกาลสมัย (ก็กลอนไง) มาร้อยเรียงหัวใจเป็นมาลัย อะไรทำนองนี้ แล้ว "กานท์" เนี่ย ไม่ได้เขียนผิดจากคำว่า "กานต์" ที่แปลว่าที่รัก แต่เป็นคำเรียกกลอนในสมัยก่อน เช่นในยวนพ่ายโคลงดั้น "สารสยามภาคพร้อง กลกานท นี้ฤๅ" แล้วก็... จะตัด "กาล" อีกคำออกทำไมเนี่ย เข้าใจอะนะว่าติดสัมผัสแบบสุนทรภู่ที่ไม่ให้สัมผัสซ้ำ แต่ทำไม ร.๒ ถึงทรงพระราชนิพนธ์วรรคที่ว่า "จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ" ได้เล่า ของอย่างนี้มันอยู่ที่จังหวะคำมิใช่หรือ?

โอ... ขึ้นชื่อพร้อมกลอนที่กระผมม่ายด้ายแต่ง (วรรคนั้น) เยย จะแปลว่าอะไร คนที่ขึ้นชื่อว่าแต่งเองยังไม่เข้าใจเลย
แต่ก็เอาวะ งานพระราชกุศล เอาไรมาก โวยวายมากเด๋วจะเป็นอกุศลไปแทน อีกอย่าง เผลอ ๆ คนแก้จะเป็นครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักน่ะซี แล้วจะหาว่าผมทำเป็นรู้นั่นรู้นี่ ไม่มีสัมมาคาราเต้ เอ้ย คารวะ เลยขอแอบมาโวยวายในบล็อกแทนละกัน รู้แค่ให้ "ใจ" ไปแล้ว ส่วนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นอะไร ก็แล้วแต่เนอะ

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ขุนช้างขุนแผน สำนวนครูแจ้ง

หากยังจำกันได้ในค่าย IBook2 ผมได้อ่าน "บทอัศจรรย์" ของขุนช้างขุนแผน สำนวน "ครูแจ้ง" ให้หลาย ๆ คนฟัง ซึ่งปฏิกิริยาหลังได้ฟังแล้ว... คงไม่ต้องสาธยายมาก ^_^

นั่นคือสำนวนแบบชาวบ้านของแท้ โลดโผน เห็นภาพ และใช้สัญลักษณ์อย่างชาญฉลาดที่สุด แม้แต่เรื่อง "โจ๋งครึ่ม" โต้ง ๆ ขนาดนี้ ยังเขียนออกมาเป็นกลอนได้อย่างไพเราะและลงตัว

น่าเสียดายที่อาจจะโลดโผนเกินไปในสายตาของผู้ชำระ เมื่อรวบรวมเข้าเป็นฉบับหลวง จึงต้องตัดออกไป เรา ๆ ท่าน ๆ เลยได้อ่านแต่ฉบับที่สวยงาม ขาวสะอาด แม้จะมีคำโลดโผนโผล่มาบ้างก็แค่พอวับ ๆ แวม ๆ อาทิ บทอัศจรรย์ระหว่างพลายแก้วกับสายทอง (พี่เลี้ยงนางพิม) ที่ว่า

๏ พลางเป่าปัถมังกระทั่งทรวง
สายทองง่วงงงงวยระทวยนิ่ง
ทำตาปริบปรอยม่อยประวิง
เจ้าพลายอิงเอนทับลงกับเตียง

๏ ค่อยขยับจับเลื่อนแต่น้อยน้อย
ฝนปรอยฟ้าลั่นสนั่นเปรี้ยง
ลมพัดซัดคลื่นสำเภาเอียง
ค่อยหลีกเลี่ยงแล่นเลียบตลิ่งมา

๏ พายุหนักชักใบได้ครึ่งรอก
แต่เกลือกกลอกกลับกลิ้งอยู่หนักหนา
ทอดสมอรอท้ายเป็นหลายครา
เภตราหยุดแล่นเป็นคราวคราว

๏ สมพาสพิมดุจริมแม่น้ำตื้น
ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว

 ปะสายทองดุจต้องพายุว่าว
พอออกอ่าวก็จมล่มลงไป


เรือน้อยลำนั้นคงเจอพายุหนักไปหน่อย เลยล่มที่ปากอ่าวซะงั้น (ฮา)

แต่ฉบับหลวงก็จะประมาณนี้ครับ มีวับ ๆ แวม ๆ ให้หัวใจตึ๊กตั๊กเล่น แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ประเดี๋ยวจะไม่ได้เป็น "ยอดแห่งกลอนสุภาพ" นัยว่าคงต้องสุภาพไว้ เพื่อให้เด็ก ๆ อ่านแล้วใจไม่แตกไปเสียก่อน

แต่เมื่อพูดถึงฉบับชาวบ้าน แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ขับกันแบบเอาฮา และมุกของชาวบ้านส่วนมากก็จะพูด "เรื่องอย่างว่า" อย่างโจ่งแจ้ง เพราะเป็นมุกที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดเวลา และฮามาก ไม่เชื่อไปฟังเวลาชาวบ้านเล่นเพลงปฏิพากษ์ หรือไม่ต้องไปหาไกล ตลกคณะเสียงอีสานนี่แหละ ชุดไหนก็ได้ ดูได้เลย ชุดไหนไม่มีมุกสองแง่สองง่าม ผมยอมให้อมขี้หมามาพ่นใส่หน้าผมได้เลย และมุกพวกนี้ถือเป็นมุกที่ฮาสุด ๆ เสียด้วย

นี่ก็เรืออีกเหมือนกัน มาเจอสำนวนครูแจ้งกันหน่อย (บทนี้แหละครับที่อ่านในค่าย)

๏ เกิดพยับพยุห์พัดอัศจรรย์
สลาตันเป็นละลอกกระฉอกฉาน
ทะเลลึกดังจะล่มด้วยลมกาฬ
กระทบดานกระแทกดังกำลังแรง

๏ สำเภาจีนเจียนจมด้วยลมซัด
สลุบลัดเลียบบังเข้าฝั่งแฝง
ไหหลำแล่นตัดแหลมแคมตะแคง
ตลบตะแลงเลาะเลียบมาตามเลา


๏ ถึงปากน้ำแล่นส่งเข้าตรงร่อง
ให้ขัดข้องแข็งขืนไม่ใคร่เข้า

ด้วยร่องน้อยน้ำอับคับสำเภา

ขึ้นติดตั้งหลังเต่าอยู่โตงเตง


๏ พอกำลังลมจัดพัดกระโชก
กระแทกโคกกระท้อนโขดเรือโดดเหยง

เข้าครึ่งลำหายแคลงไม่โคลงเคลง

จุ้นจู๊เกรงเรือหักค่อยยักย้าย

๏ ด้วยคลองน้อยเรือถนัดจึงขัดขึง
เข้าติดตึงครึ่งลำระส่ำระสาย
พอชักใบขึ้นกบรอกลมตอกท้าย

ก็มิดหายไปทั้งลำพอน้ำมา


๏ พอฝนลงลมถอยเรือลอยลำ
ก็ตามน้ำแล่นล่องออกจากท่า
ทั้งสองเสร็จสมชมชื่นดังจินดา
ก็แนบหน้าผาสุขมาทุกวัน

เป็นไงครับ อึ้ง ทึ่ง สยิวกิ้วกันไหม เอ... นี่เขาพูดถึงการแล่นเรือนี่นะ อิอิ ขอบอกว่า ต่อให้คนที่ไม่มีความลามกติดตัว อ่านแล้วก็ยังพอจะรู้ครับว่าเป็นเรื่องของ "การแล่นเรือ" จริง ๆ ส่วนคนที่มีความลามกติดตัวอยู่บ้าง อ่านแล้วฮาก๊ากแน่นอน โดยเฉพาะคนที่มีคลังศัพท์ทำนองนี้ในสมอง เพราะ "ครูแจ้ง" เล่นเอามาพูดเสียแพรวพราว ได้อารมณ์ "การแล่นเรือ" จริง ๆ

นี่แหละครับคือ "เสภา" สำนวนชาวบ้าน ที่ขับกัน เล่นกันแบบไม่ต้องไว้มาดผู้ดี ก็เป็นผู้ดีแล้วขำก๊ากไม่ได้นี่นา (ตามทฤษฎีรสของสันสกฤตเขาว่าไว้อย่างนั้น)

อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนคงอยากรู้ว่า "ครูแจ้ง" คือใคร?

กล่าวสั้น ๆ คือครูเพลงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมโด่งดังในการเล่นเพลงพื้นบ้าน หันมาเล่นเสภาในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ และมีชื่อเสียงในด้านเสภาช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ ดังนั้น ลีลากลอนเสภาของครูแจ้งจึงกระเดียดไปทางเพลงยาวสองแง่สองง่าม สำนวนถึงพริกถึงขิงถูกใจชาวบ้านยิ่งนัก สำหรับประวัติยาวกว่านี้ก็ไปหาอ่านใน "ตำนานเสภา" พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพต่อละกันครับ

แน่นอนว่าสำนวนครูแจ้งนั้น หลายสำนวนโลดโผน ลือเลื่องกระเดื่องไปทั่วแผ่นดิน แต่บางครั้งคนในวังก็มองว่า "หยาบ" ไปหน่อย จึงไม่ได้รวมเข้าฉบับหลวง แต่ก็ใช่ว่าฉบับที่อ่านกันอยู่ไม่มีสำนวนครูแจ้ง เพราะมีหลายตอนที่ครูแจ้งแต่งได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง เรื่องทำนองนี้ในขุนช้างขุนแผนฉบับหลวง ส่วนมากเป็นฝีมือครูแจ้งทั้งสิ้น เช่นตอนตีดาบฟ้าฟื้น

๏ จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก
ตรองตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา
ได้เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา
ท่านวางไว้ในมหาศาสตราคม

๏ เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
ยอดปราสาททวารามาประสม
เหล็กขนันผีพรายทั้งตายกลม
เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร

และเหล็กอื่น ๆ อีกกว่าสิบชนิด พร้อมวิธีตีดาบอย่างละเอียด ไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ในฉบับหลวงครับ

สำนวนครูแจ้งเป็นที่นิยมเช่นนี้เพราะครูแจ้งแต่งได้กระชับและเห็นภาพ คือ "ถึง" แต่สำนวนของครูแจ้งบางครั้งดู "ซาดิสม์" ไปหน่อย เช่นตอนขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ทำกุมารทอง

๏ เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก

เลือดทะลักหลวมทะลุตลอดสัน

นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน

เลือดก็ดั้นดาษแดงดังแทงควาย


๏ แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก

แหวะหวะฉะรกให้ขาดสาย

พินิจแน่แลเห็นว่าเป็นชาย
ก็สมหมายดังใจไม่รั้งรอ

อืยยยส์... โหดจนเห็นภาพจริง ๆ แต่ถ้าไม่ได้อารมณ์แบบนี้ ก็คงไม่ใช่ "ครูแจ้ง" แน่นอน

นอกจาก "เรื่องแล่นเรือ" เรื่องไสยศาสตร์ของขลัง กับเรื่องซาดิสม์ ครูแจ้งก็ยังเขียนเรื่องอื่น ๆ รวมถึงเรื่อง "สองแง่สองง่าม" ไว้อีกหลายสำนวน แต่หลายบทถูกตัดออกจากสำนวนหลวงเพราะ "ทะลึ่ง" เกินไป แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ผมเชื่อ (อย่างเหลือเกิน) ว่า คนไทยชอบนักแหละเรื่องแบบนี้ พอตัดออกไป รสมันส์ ๆ ในวรรณคดีก็จืดจางลงไปนิด ผมจะยกตัวอย่างมาสักหน่อยพอให้ครึกครื้น โดยยกมาจาก "ขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่" ของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านพูดถึงตอนนางศรีประจันอบรมนางพิม ก่อนจะส่งตัวเข้าหอ สำนวนหลวงดูเป็นการอบรมธรรมดา ๆ แต่ลองดูสำนวนครูแจ้งกัน

๏ งามปลื้มอย่าลืมแม่สอนสั่ง
อุตส่าห์ฟังจำไว้ให้ถ้วนถี่
อันการปรนนิบัติของสตรี
เมื่อทำดีแล้วชายไม่หน่ายใจ

๏ สู้ถ่อมตัวปรนนิบัติคอยจัดแจง
เมื่อเขาแข็งแล้วอย่าขัดอัชฌาสัย

รู้จิตผัวว่าสมัครรักเท่าไร
ก็ยักย้ายส่ายให้ถูกใจกัน


หึ หึ... คงไม่ต้องอธิบายมั้งครับสำหรับบทนี้

ลองดูอีกสักบทหนึ่งตอนที่สอนให้ทำกับข้าวเอาใจสามี คุณแม่ก็แสนดีบอกสูตรอาหารเด็ดให้เหมือนในฉบับหลวง คือมีต้มตีนหมู ไข่ไก่สด และปลาไหลต้มยำ แต่ที่แถมมาต่างกับฉบับหลวงคือ "สรรพคุณ" ของกับข้าวว่าดีเหลือหลาย

๏ อุตส่าห์จำทำให้ผัวกินลอง
ล้วนแต่ของมีกำลังทั้งสามสิ่ง
ทำให้กินเนืองเนืองเปรื่องขึ้นจริง
ทุกสิ่งของแท้เป็นแน่นอน

๏ ทำให้กินทุกวันหมั่นสำเหนียก
แม้อ่อนเปียกก็จะแข็งเป็นไม้ท่อน

พอตกค่ำขึ้นท้ายไม่หลับนอน

พายเรือคอนเหยาะเหยาะจนเคาะระฆัง


หึ หึ... เป็นอีกบทที่คงไม่ต้องอธิบาย เชื่อว่าผู้ที่มีความสัปดนอยู่ในหัวใจเล็ก ๆ คงจะขำกิ๊กได้บ้าง

ทุกวันนี้เด็กไทยไม่ชอบอ่านวรรณคดี อาจเป็นเพราะอ่านยาก แต่ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเรื่องราวในฉบับหลวงหรือที่สอน ๆ กันในหลักสูตรอาจจะราบเรียบไปหน่อย ผมคิดว่าหากเด็ก ๆ (ที่อาจจะโตแล้วสักหน่อยก็ได้เอ้า) ที่ชินชากับสำนวน "คุณหนู" ในรั้วโรงเรียน มีโอกาสได้อ่านสำนวน "ทะลึ่ง" ของชาวบ้าน ที่ถูกจริตของคนไทยแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะ "ติดใจ" และเผลอตกหลุมรักวรรณคดีไทยโดยไม่รู้ตัวอย่างผมก็ได้

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความรักนะ...ความรัก

๏ ความรักนะ...ความรัก
มาทายทักชั่วคราวแล้วคล้อยหนี
มาแกล้งให้ไหวสั่นหวั่นฤดี
แล้วขยี้ดวงใจให้แหลกลง

๏ ความรักนะ...ความรัก
มาลวงใจให้เสียหลักและลุ่มหลง
มาร่ายมนต์กำบังตาพางวยงง
ก่อนบรรจงกรีดใจให้เจ็บร้าว

๏ ความรักนะ...ความรัก
เหนื่อยหนักเนิ่นนานและเหน็บหนาว

คืนวันอันมืดและยืดยาว
ฉันจะก้าวผ่านไปอย่างไรกัน

๏ ความรักนะ...ความรัก
เพิ่งประจักษ์เต็มตาว่าเพียงฝัน
สะดุ้งตื่นโลกก็ดับลงฉับพลัน
และรักนั้นกลับหายคล้ายไม่มี

๏ ความรักนะ...ความรัก
ใยจึงชักความช้ำมาซ้ำที่-
ดวงใจ...ดวงร้าว ดวงนี้
จะให้แหลกเป็นธุลีหรืออย่างไร

๏ ความรักนะ...ความรัก
ที่แน่นหนักดวงฤดีมีบ้างไหม
หากสิ้นแล้วซึ่งรักจริงจะทิ้งใจ
เพื่อมิต้องมอบให้ใครอีกเลย ๚ะ๛

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ศฤงคารวสาน

พอดีกลับบ้าน ได้ไปจัดระเบียบหนังสือที่สะสมมาตลอดชีวิตให้เข้าที่ เลยมีโอกาสได้รื้นค้นหนังสือเก่า ๆ สมุดเก่า ๆ สมัยมัธยมมาอ่านเล่น จึงได้พบกลอนบทหนึ่ง อ่านแล้วฮามาก ไม่คิดว่าตัวเองจะเขียนกลอนอกหักได้ "แรง" ขนาดนี้ ดูจากวันที่เขียนคือ 18/05/2004 ประมาณห้าปีที่แล้ว...ก็คงไม่พ้นช่วงจะจบมัธยม เอ... ช่วงนั้นมีอะไรดลใจให้เขียนกลอนได้แบบนี้ ก็ลองไปสืบหาเองละกันนะ อิอิ เลยเอามาลงไว้เป็นที่ระลึก และระทึกครับ
ปล.1 ขออภัย "เธอ" คนนั้นที่กลอนนี้กล่าวถึง ตอนนี้ผมแก่แล้ว เรื่องเก่า ๆ ลืมไปหมดแล้ว จึงขอแสดงความยินดีกับเขาคนนั้นที่คบกันอยู่ด้วยความจริงใจอย่างที่สุดครับ
ปล.2 ถึงตอนนี้ผมจะกำลังอกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้กลอนบทนี้พาดพิงไปถึง "เธอ" คนปัจจุบัน (ที่เป็นอดีตไปแล้ว) ที่เอามาลงก็เพื่อเก็บกลอนไว้เป็นอนุสรณ์รักร้าว หากไม่สบายใจก็ขออภัยครับ
ปล.3 (บอกตัวเอง) ถ้ามรึงไม่สบายใจนักก็ไม่ต้องลงเดะ จะขออภัยไรมากมาย - เออน่ะ จะลง มีปัญหามะ เก็บไว้ในเครื่องเดี๋ยวหาย

ศฤงคารวสาน

๏ วิเวกหวีดหวิววางอ้างว้างนัก
พิไรรักรื่นรมย์ไม่สมสิ้น
ใจเจียนขาดอาจดับอับอาจินต์
หวังถวิลเวียนว่ายวายวิญญาณ์

๏ จำตัดใจจากจรเจ้ายากนัก
ตัดใจรักลาญลับอับจนกว่า
จำใจจนหม่นหมิ่นสิ้นชีวา
ว่ายวังวนวุ่นว้าว่ายังรัก

๏ เพียงหม่นหมองมองมืดใจจืดจด
ใครกำหนดชะตาต้องปองประจักษ์
เพียงเมียงมองม่านน้ำตามิพาพัก
ใจร้าวหนักรักแยกแตกตกตาม

๏ คำคนเคยข้างใจใสสดซื่อ
เพียงพลิกมือมืดหม่นคนคอยหยาม
ทำซื่อใสใจนุชแสนสุดทราม
เพียงทำห้ามหักห่อนผ่อนมารยา

๏ ถาม?มนุษย์มอบใจใดดลดิษฐ์
ฤาแค่คิดคอยคะนึงรำพึงหา
เพียงตัวตนตาต้อง-มองแต่ตา
มองวิญญาณ์อย่าหวังเพียงฟังยิน

๏ มธุรสปดเปื้อนที่เอื้อนเอ่ย
คอยเฉลยความเฉลียวเทียวถามสิ้น
แท้เพียงถ้อยเท็จลวงหลอกเล่นลิ้น
สมดังจินต์จึงผลักพี่พ้นทาง

๏ น้ำตารินไหลนองอาบสองแก้ม
ใจเจ้าแย้มยิ้มรับเขาเข้าเคียงข้าง
ใจพี่เจ็บจำจดไม่จืดจาง
เจ้าปล่อยร้างพี่ทุเรศดังเศษดิน

๏ ปวดปานปืนยืนจ้องมิป้องปัด
ไกลั่นซัดทรุดแสบแปลบใจสิ้น
เสียงหยามเหยียดเย้ยหยันยังแว่วยิน
เจ็บดวงจินต์เจียวขาดอาฆาตร้าย

๏ ขออวยพรอรอนงค์จงสมรัก
ชอบกันนักขอให้สมอารมณ์หมาย
เป็นนารีริหมิ่นรักศักดิ์ศรีชาย
จะไปตายที่ไหนก็ไป...เชิญ ๚ะ๛


"เศษแก้ว" (นามปากกาช่วงอกหัก) 18/05/2004

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เล่าสู่กันฟัง : ก่อนกลับบ้าน

อีกสักประมาณ 7 ชั่วโมงข้างหน้า ผมจะไปนั่งหน้าร้านรักบ้านเกิด แถว ๆ อำเภอพิมาย นั่นคือการกลับไปพบกับญาติ ๆ ครั้งแรกในรอบปี และอีกสองวันถัดไป ผมจึงจะได้กลับบ้าน

ผมเคยคิดว่าจะกลับบ้านทันทีที่ส่งงานชิ้นสุดท้ายของเทอมแรก ป.โท แต่ก็ยังไม่ได้กลับเพราะคิดว่าจะหาข้อมูลทำหัวข้อวิทยานิพนธ์ก่อน เพราะโปรแกรมต่อมาคือการเดินทางไปค่ายของ IBook 2009 ช่วง 12 - 15 ตุลาคม หลังจากนั้นจึงจะกลับบ้านยาวจนเปิดเทอม

แต่แล้วเคราะห์ก็ซ้ำ กรรมก็ซัด เมื่อ "งานเข้า" ในวันที่ 21 ตุลาคม ที่ต้องมาฟังคุณจ๋อ กฤษกร คอมเม้นต์งานที่เผาส่งไปเมื่อตะกี้ และวันที่ 25 ตุลาคมก็ต้องมาเขียนงานให้ TK Park

และจุฬาฯ ดันรีบเปิดในวันที่ 26 ตุลาคม จากที่ผมเคยคิดว่าคงเปิดสักต้นเดือน!

เวลาในการนอนตีพุงอยู่บ้าน จึงหดสั้นเหลือแค่ 19 ถึงวันที่ 21 ตอนเช้า นับเป็นการกลับบ้านที่สั้นที่สุดในรอบ 22 ปี และเป็นการกลับบ้านที่ไม่สบายใจมากนัก เนื่องด้วยมีภาระห้อยท้ายมากมายเป็นภูเขาเลากา

งานเขียนให้ TK Park และ IBook

งานวิจารณ์ในบล็อก YoungThai

หัวข้อ Thesis ที่ไม่ชัดเจนเสียที จึงยังไม่มีหน้าเข้าไปหาอาจารย์

อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ก็ยังต้องสู้ต่อไป ผมจึงขออนุญาตทุกท่าน ทั้งชาว TK กลุ่มกำลังก้าว กลุ่ม YoungThai ฯลฯ เพื่อลากลับบ้าน หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า กลับบ้านแล้วยังไงฟะ ต้องร่ำลาอย่างกับจะหายสาบสูญ ต้องขออนุญาตเรียนว่า การกลับบ้านในที่นี้ของผมเป็นการกลับแบบตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่าโทรศัพท์เข้าถึงแล้ว และจะใช้เน็ตฟรีขององค์การฯ ก็ได้ แต่คอมที่บ้านดันต่อเน็ตฟรีไม่เคยติด จึงจำต้องหายสาบสูญไปหลายวันด้วยประการฉะนี้

แล้วจะมาสานต่ออีกหลาย ๆ ภารกิจให้เสร็จสิ้นไปเมื่อกลับมาอีกครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เด็กน้อยที่อยากทำระเบิด

ฉันอยากทำระเบิดเป็น!

ฉันโตมากับเสียงระเบิด พ่อฉันบอกว่า แถวนี้มีคนวางระเบิดตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เป็นประจำ

ฉันได้ยินเสียงตูมตามแทบทุกวัน ฉันจำเสียงเหล่านั้นได้ มันเหมือนเสียงดอกไม้ไฟเวลามีงานเทศกาล ...ฟิ้ว! ตูม! แล้วดอกไม้ก็จะผลิบานชูช่อไสวบนท้องฟ้า ระเบิดเองก็คงเหมือนดอกไม้ไฟ คนถึงต้องวางไว้ตามสถานที่สำคัญ ๆ คงเพื่อเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง ไม่ต้องมีเสียง “ฟิ้ว” เพราะระเบิดไม่ต้องลอยไปไกลถึงฟากฟ้า แต่เมื่อ “ตูม” แล้ว ดอกไม้อันงดงามตระการตาก็คงจะปรากฏโฉมให้เห็นบนพื้นดิน

พ่อบอกว่าคนวางระเบิดเป็นคนไม่ดี ไม่จริงหรอก คนวางระเบิดก็เหมือนคนจุดดอกไม้ไฟ พวกเขาต่างก็ต้องการให้ทุกคนเห็นความงามหลังเสียงกัมปนาท แม้จะต้องบากบั่นสร้างดอกไม้ไฟหรือระเบิดหลายวันหลายเดือน จนอาจจะเป็นหลายปี เพียงเพื่อความงามเพียงเสี้ยววินาที

พ่อบอกให้ฉันเกลียดชังพวกวางระเบิด ฉันเกลียดพวกเขาไม่ลง เพราะเราทุกคนต่างก็มีเหตุผลและเป้าหมายของตนเองในการกระทำต่าง ๆ เสมอ อีกอย่างฉันจะเกลียดพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่มีเสียง “ตูม” ในใจฉันจะเต็มไปด้วยภาพดอกไม้ขนาดใหญ่บานสะพรั่งบนพื้นดินเสมอ

.............................................................

ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา พร้อมกันนั้นฉันได้ยินเสียงกรีดร้องโกลาหล เสียงคนวิ่งอพยพกระจัดกระจาย หลังจากทุกอย่างสงบลง พ่อบอกว่ามีคนตายเพราะระเบิดนับร้อยคน พ่อแช่งด่าคนทำระเบิดด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ นานา ฉันถามพ่อว่าระเบิดนั้นทำให้คนตายได้ด้วยหรือ เขาอาจจะตายด้วยเหตุผลอื่นในขณะที่ระเบิดกำลังฉายแสงแห่งความงาม พ่อส่ายหน้าและบอกฉันว่า ระเบิดนั้นคืออาวุธที่ใช้คร่าชีวิต ฉันไม่ถามอะไรพ่ออีก ฉันไม่ควรสงสัยอะไรเกี่ยวกับความตายหรือเหตุแห่งความตายเพราะความตายคือเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์ ความสงสัยของฉันมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะตาย พวกเขาเห็นดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ผลิบานเพียงเสี้ยววินาทีหรือไม่

...............................................................

เธออยากทำระเบิดเป็นหรือ

ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ

หน้าตาของเขาดูดุร้ายแต่เนื้อแท้คงเป็นคนใจดี ฉันรู้จักเขาเพียงไม่นานแต่ก็ไว้ใจเขาราวกับสนิทสนมกันมานานหลายปี เขาพาฉันไปรู้จักอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำระเบิด ฉันเรียนอย่างใคร่รู้และสนุกสนานอย่างที่สุด เขากำชับให้ระมัดระวังเพราะอาจจะเกิดระเบิดขึ้นมาได้ ฉันรู้ เขาคงไม่อยากให้ดอกไม้ผลิบานก่อนเวลาอันควร เพราะจะได้พบเห็นเพียงดอกเล็ก ๆ ไม่น่าประทับใจ
เมื่อเขาเห็นว่าฉันมีความรู้และความรักมากพอที่จะทำระเบิดได้แล้ว เขาก็ปล่อยให้ฉันสรรค์สร้างระเบิดตามจินตนาการเพียงลำพัง

ฉันประกอบนู่นนี่ตามที่เขาสอน ทำตามตำราเกือบทุกอย่าง ยกเว้นดินระเบิดที่ฉันอัดลงไปในระเบิดมากกว่าที่เขาสอนถึงสองเท่า เพราะฉันอยากให้ดอกไม้ของฉันเป็นดอกไม้ที่ใหญ่และสวยงามที่สุด

เมื่อถึงเวลาที่ดอกไม้ของฉันจะบาน ฉันตื่นเต้นที่สุด ฉันประคองระเบิดอย่างระมัดระวังไปที่สะพานของหมู่บ้าน อันที่จริงฉันอยากจะนำไปวางในสถานที่สำคัญกว่านี้ แต่ทุกที่ที่ฉันรู้จักก็ล้วนถูกวางระเบิดไปหมดแล้ว

ฉันจุดไฟ ก่อนจะถอยห่างออกมาเพื่อชื่นชมความงามของดอกไม้ เปลวไฟค่อย ๆ กินเส้นชนวนเข้าไปช้า ๆ หัวใจของฉันกลับเต้นเร็วแรงขึ้นทุกขณะ...
และเสี้ยววินาทีนั้น

ตูม!!

ดอกไม้ที่ใจฉันถวิลหามานานแสนนานปรากฏตรงหน้า

ฉันโอบกอดกลีบดอกไม้ด้วยความชื่นใจและอาลัยอาวรณ์ระคนกัน

...........................................................................

ฉันทำระเบิดเป็นแล้ว!

ฉันบอกถ้อยคำนี้กับพ่อซ้ำไปซ้ำมา พ่อได้แต่พยักหน้าอย่างแกน ๆ ทำหน้าเรียบเฉย จะยิ้มก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิง ทุกวันพ่อได้แต่มองสะพานของหมู่บ้านสลับกับใบหน้าของฉันก่อนจะถอนหายใจ พ่อคงเสียดายที่ไม่ได้เห็นระเบิดของฉัน –ระเบิดที่เนรมิตดอกไม้ให้เบ่งบานบนสะพานแห่งนั้น ไม่เป็นไรหรอก คราวหน้าฉันจะทำระเบิดที่ดีกว่าเดิม พ่อจะได้เห็นดอกไม้ที่งดงามกว่าเดิม แต่ฉันคงต้องเรียนรู้อีกมาก โดยเฉพาะวิธีใช้เท้าทำระเบิด

เพราะมือทั้งสองข้างของฉันอันตรธานไปพร้อมกับดอกไม้แล้ว



ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร ฅ คน ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ (เวทีทางบ้าน)

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

โปสการ์ดใบสุดท้าย


คุณรักเพื่อนมากแค่ไหน?

อาจจะเป็นคำถามเชยๆ คล้ายกับคำโฆษณาภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีคำตอบอยู่ในใจเหมือนกัน แต่จะมากน้อยก็อาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามความผูกพันที่มีให้เพื่อน สำหรับผมแล้ว ผมกล้าพูดได้ว่า ความรักของผมที่มีให้เพื่อนนั้นมีไม่น้อยกว่าใคร มันเปี่ยมล้นไปด้วยความพิสุทธิ์และเต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนเศร้า

“ผมรักเพื่อน” นี่คือถ้อยคำสั้นๆ คำเดียวที่ผมต้องการจะบอกใครสักคนที่อยากจะรับฟังเรื่องราวของผม ของเขา และของเธอ ...ใช่แล้วล่ะ ความหมายของคำพูดผมก็เหมือนสูตรสำเร็จของนิยายน้ำเน่าทั่วๆ ไปในท้องตลาด แต่บางครั้ง..มิใช่ชีวิตจริงหรือที่โศกเศร้ากว่าในนิยาย... ผมรักพงษ์..เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมมี และผมรักหนิง..ผู้หญิงที่ผมไม่ควรคิดอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อน

..................................................

ผมและพงษ์เติบโตมาด้วยกันในหมู่บ้านแถบชานเมือง พ่อแม่ของเราทั้งคู่ต่างก็ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน เมื่อถึงเวลาทำงาน บ้านหลังใหญ่ทั้งสองหลังจึงกลายเป็นสมบัติของเด็กน้อยจอมซนอย่างเราเสมอ แม้จะนิสัยต่างกันอยู่บ้างตรงที่ผมค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว ส่วนพงษ์นั้นโผงผาง มุทะลุ แต่เรื่องความซุกซนเป็นลิงทโมนนั้นพวกเราไม่แพ้กันเลย บางครั้งเราเล่นจนข้าวของเสียหายถูกพ่อแม่ตีอยู่เสมอๆ พงษ์นั้นมักจะเป็นหัวโจกในการเล่นทุกครั้ง ส่วนผมก็เป็นลูกไล่คอยทำตามภารกิจที่พงษ์สั่งการ

ผ่านมาอีกสองปี ข้างบ้านของผมก็มีครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามา เด็กหญิงแก้มยุ้ยแววตาดูตื่นกลัวอยู่บ้างเมื่อพบหน้าพวกเรา แต่หลังจากผ่านไปสองสามวัน เธอก็เดินเข้ามาทักทายเราในขณะที่เราเล่นกันอยู่หลังบ้าน

“ขอเล่นด้วยคนสิ”

จากวันนั้น เราสามคนก็ตัวติดกันเป็นตังเม

สองปีที่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกันนั้นเป็นสองปีที่ผมมีความสุขเหลือเกิน หนิงนั้นซุกซนไม่แพ้ผมและพงษ์ บางครั้งเธอจะกลายๆ เป็นหัวโจกของพวกเราด้วยซ้ำ ความผูกพันระหว่างผม พงษ์ และหนิงก่อตัวขึ้นเงียบๆ แม้เราจะเป็นเด็ก แต่ก็รู้อยู่ในใจว่า มิตรภาพและความผูกพันที่พวกเรามีต่อกันนั้นลึกซึ้งมากเพียงใด จึงไม่น่าแปลกใจว่าทั้งผมและพงษ์ต่างก็ร้องไห้เมื่อหนิงต้องย้ายตามพ่อไปอยู่ต่างจังหวัด

“หนิงต้องกลับมาหาพวกเรา...สัญญานะ”

..........................

อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละ ผมกับพงษ์แม้จะซุกซนเหมือนกันแต่ก็มีบางอย่างต่างกัน เราอาจจะเคยเล่นบอลด้วยกันตอนอายุห้าขวบ แต่เมื่อวันนี้ผมและพงษ์ต่างก็โตเป็นวัยรุ่นอายุสิบหก ฝีเท้าในเชิงกีฬาฟุตบอลของผมก็ต่างกับพงษ์ราวฟ้ากับดิน พงษ์เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มเพลย์บอยหล่อเหลา แถมยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียนอีกต่างหาก วันๆ มีสาวๆ มาห้อมล้อมมากมาย ส่วนผมน่ะเหรอ...ผมก็เป็นหนอนหนังสือตัวอ้วนๆ ที่วันๆ หมกตัวอยู่แต่กับหนังสือ

แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่รักกันมากที่สุด ไม่น่าแปลกใจว่าเราทั้งสองคนชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ทุกครั้งหลังเลิกเรียนผมมักจะมานั่งอ่านหนังสือริมสนามฟุตบอลเพื่อรอกลับบ้านพร้อมกันเสมอ

เรื่องราวของเราดำเนินไปคล้ายกับบทเพลงคลาสสิกสักบทหนึ่ง เรียบเรื่อย ไม่เร่งร้อน จนกระทั่งมีวาทยกรคนหนึ่งมาเปลี่ยนแปลงการเดินทำนอง

“วันนี้มีนักเรียนใหม่ย้ายมาห้องเรา พ่อของเธอเป็นผู้พิพากษา ต้องย้ายไปนู่นไปนี่บ่อยๆ ขอให้เพื่อนทุกคนดูแลเธอให้ดีๆ นะ ...เอ้า เข้ามาสิ”

ชั่วขณะนั้น...เด็กทุกคนในห้องต่างเงียบกริบ ต่างจากวินาทีก่อนหน้าที่คุยกันเสียงดังลั่น ใบหน้าราวกับเทพธิดาสลักด้วยหยกเนื้องามนั้นยิ้มอายๆ แก้มแดงระเรื่อบ่งบอกความรู้สึกภายในของหญิงสาว ริมฝีปากอิ่มนั้นเผยอน้อยๆ ยินเสียงอ่อนหวานแผ่วเบา

“หนิงค่ะ...ฝากตัวด้วยนะคะ”

ผมและพงษ์หันมามองหน้ากันแทบจะทันที

.............................

“ไผ่..พงษ์..พวกเธอจริงๆ ด้วย นี่ยังจำหนิงได้ใช่มั้ย” เสียงหนิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“พวกเราจะลืมหนิงได้ไงล่ะ” พงษ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ใช่หนิงจริงๆ น้ำเสียง คำพูด ท่าทาง แววตาไม่ต่างไปจากตอนเด็ก เพียงแต่ตอนนี้หนิงเติบโตเป็นสาวแล้ว ...สาววัยรุ่นหน้าตาสะสวย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ท่อนแขนงามระหง ผมยาวสยายเคลียไหล่ใบหน้าผุดผ่องราวกับพระจันทร์ทอแสงนวลในราตรี ชุดมัธยมปลายยิ่งทำให้เธอดูสดใสน่ารัก ผมอยากพูดอะไรกับหนิงบ้างแต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะพงษ์เอาแต่พูดไม่หยุด ผมได้แต่ยิ้มให้หนิง และเมื่อหนิงยิ้มตอบกลับมาด้วยไมตรี ผมก็รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นสดใสและอบอุ่นกว่าแสงตะวันในฤดูหนาว

...เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผมรู้สึกหวั่นไหวเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา

............................

หลายคนในโรงเรียนอาจแปลกใจอยู่บ้างเมื่อเห็นนักเรียนใหม่คนที่สวยที่สุดในโรงเรียนอยู่กับคู่ปาท่องโก๋อย่างพวกเราตลอดเวลา ต่างคนต่างก็ลือไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าพงษ์กับหนิงเป็นแฟนกันเสียแล้ว มีแต่เพียงผม พงษ์ และหนิงเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร สำหรับกิจวัตรประจำวันต่างๆ ที่ผมและพงษ์เคยทำร่วมกันเมื่อวันวานนั้น ในวันนี้มีหนิงเข้ามามีเอี่ยวด้วยเสมอ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าว ท่องหนังสือ เที่ยวเล่น กลับบ้านด้วยกัน หรือตอนที่พงษ์ซ้อมฟุตบอล ผมกับหนิงก็จะนั่งอ่านหนังสือรออยู่เงียบๆ

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ปีต่อมาเราก็เลื่อนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า หนึ่งปีที่ผ่านได้เพาะบ่มความรู้สึกของเราให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าตอนเด็ก สำหรับพงษ์นั้นผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับหนิง แต่สำหรับผมแล้ว...ผมรักหนิง…

ผมรักหนิง...ผมบอกคำนี้กับตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้ง แม้ในตอนแรกจะเลือนรางในความรู้สึก แต่วันเวลาก็ช่วยระบายผืนผ้าแห่งความรู้สึกนี้ให้แจ่มชัดขึ้น ทุกวันที่ผ่านไปผมเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสดใสในแววตาดำขลับคู่นั้น ผมไม่รู้ว่าตกหลุมรักเธอตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ผมไม่อาจขึ้นจากหลุมนั้นได้อีกแล้ว...

ความรู้สึกของผมมันมีมากเหลือเกิน จนหลายครั้งมันกลั่นตัวออกมาเป็นบันทึกประจำวันที่ยาวเหยียด หรือบทกวีรักหวานซึ้ง ผมเขียนออกมาทุกวันๆ จนกระทั่งผมทนเก็บความรู้สึกไว้กับตัวไม่ได้ วันหนึ่งผมจึงพิมพ์บทกวีพวกนั้นลงในโปสการ์ด แอบไปสอดไว้ในกล่องไปรษณีย์หน้าบ้านเธอ ผมอิ่มใจเหลือเกินเมื่อหนิงพลิกอ่านแล้วยิ้มอย่างเขินอาย

“มีคนส่งโปสการ์ดมาให้หนิงด้วยแหละ”

“ไหนเหรอ” พงษ์หยิบโปสการ์ดจากมือหนิงมาดู

“ต้องเป็นคนที่โรแมนติกมากแน่ๆ เลย กลอนหวานซึ้งซะขนาดนี้ เฮ้อ...หนิงชอบผู้ชายแบบนี้จัง ทำไมไม่เหลือที่อยู่ไว้ให้ติดต่อกลับบ้างนะ หนิงอยากรู้จักเขาจังเลย”

ผมแทบเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ทำทีหยิบโปสการ์ดมาพลิกอ่าน ทั้งที่ความจริงผมอ่านมันกว่าร้อยรอบทั้งก่อนและหลังพิมพ์เสร็จ ความรู้สึกดีในตอนที่แอบเอาไปให้หนิงก็มากพออยู่แล้ว ยิ่งหนิงออกปากว่าชอบใจยิ่งทำให้หัวใจของผมพองโต

จากวันนั้น ผมก็ทยอยส่งบทกวีบนโปสการ์ดให้หนิงเดือนละใบ ทุกครั้งหนิงจะหยิบมาให้พวกเราดูด้วยความตื่นเต้นและใฝ่ฝันหาเจ้าของโปสการ์ด ในขณะที่พงษ์มีท่าทีแปลกๆ ต่อโปสการ์ดของผม

จะอย่างไรก็เถอะ สำหรับผมแล้ว แค่หนิงรู้สึกดีกับบทกวีรักของผม แค่นั้นก็มากพอให้หัวใจของผมได้หายใจด้วยความรักต่อไปได้ หนิงคือหัวใจของผม หนิงคือความรัก ผมรักหนิง...

“ไผ่!”

ผมสะดุ้งสุดตัว หันหน้าไปยังต้นเสียงหวานใสนั้น ตาสีนิลจ้องผมอยู่เขม็ง

“หนิงเรียกตั้งนานก็ไม่รู้ตัว..เหม่อถึงสาวไหนอยู่ละฮึ” เธอพูดพลางหัวเราะ

“ปะ...เปล่า...ไม่ได้คิดถึงใครอยู่สักหน่อย” ผมตอบตะกุกตะกัก

“ฮั่นแน่...มีพิรุธอย่างนี้...แอบปิ๊งสาวที่ไหนล่ะซี้...บอกหนิงมาสิ เผื่อหนิงจะช่วยไผ่ได้” เธอยิ้มให้ผม ยิ่งทำให้ผมหน้าแดงขึ้นไปอีก

“อะ..เอ่อ...”

“กลับกันเถอะ” พงษ์ในชุดนักกีฬาฟุตบอล เดินสะพายกระเป๋ามาเป็นสัญญาณว่าเลิกซ้อมและถึงเวลากลับบ้านแล้ว ผมโล่งใจราวกับนักมวยที่ถูกถลุงได้ยินเสียงระฆังหมดยก รีบคว้ากระเป๋าเดินตามพงษ์ไปทันที

“ไผ่อ่ะ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับหนิงแล้วเหรอ” หนิงบ่นอุบอิบ ก่อนจะถือกระเป๋าเดินตามเรามา

“เนี่ยนะ...เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ถึงวาเลนไทน์แล้ว พ่อหนุ่มโปสการ์ดจะมาเปิดเผยตัวไหมนะ? หนิงอยากเจอเขาจังเลย หนิงชอบคนโรแมนติกแบบนี้แหละ เขียนบทกวีหวานๆ บางทีก็อบอุ่นหัวใจ หนิงว่านะ..เขาต้องเป็นผู้ชายที่ดูดีมากๆ แน่เลย...” หนิงพร่ำไปเรื่อยเปื่อย

หลังจากส่งหนิงถึงบ้านเรียบร้อย หนุ่มนักกีฬากับหนอนหนังสือตัวอ้วนก็เดินกลับบ้านด้วยกัน ผมครุ่นคิดเรื่องราวชั่วโมงก่อนมาตลอดทาง นี่ผมเผยพิรุธอะไรให้หนิงจับได้หรือเปล่า? ผมควรจะปรึกษาพงษ์ดีไหม? เพลย์บอยอย่างมันอาจจะให้คำแนะนำอะไรดีๆ แก่ผมก็เป็นได้ ผมหันไปมองหน้าพงษ์อยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก แต่กลับเป็นเสียงของพงษ์ที่พูดตัดหน้า

“ไผ่...เรามีเรื่องจะปรึกษานาย”

ผมขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย “อะไรล่ะ?”

“เราไม่ชอบนายโปสการ์ดนั่นเลยว่ะ...มันทำให้เรา...”

“ทำไมเหรอ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบซ่อนพิรุธ

“ทำให้เรารู้สึกว่า...เราอาจจะทำอะไรช้าเกินไป” พงษ์ถอนหายใจยาว “เราจะทำยังไงดี...ไผ่...เรารักหนิง”

.........................................

ข่าวว่าลมมรสุมจะพัดผ่านมาในฤดูฝนนี้ แต่จะร้ายแรงเพียงไรผมก็มิอาจคาดเดา กาลเวลาผ่านมาไม่นานนัก แต่ผมรู้สึกว่ายาวนานยิ่งกว่านิรันดร์กาล เพื่อนสนิทของผมทั้งสองคน คนหนึ่งหล่อเหลาราวเทพบุตร ดีกรีนักกีฬายอดเยี่ยม คนหนึ่งงดงามราวเทพธิดา เป็นดาวดวงเด่นประจำโรงเรียน นับเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดในสายตาของทุกคน ไม่นานนักหลังจากที่พงษ์มาปรึกษาผม ทั้งสองก็ได้เป็นแฟนกัน

วันนั้นผมบอกกับพงษ์ว่า วันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ให้พงษ์นำโปสการ์ดไปให้หนิง

“เราจะปลอมโปสการ์ดให้นายเอง”

จะปลอมยากอะไร ในเมื่อโปสการ์ดทุกใบล้วนเป็นฝีมือของผม คืนนั้นผมกลับถึงบ้านด้วยใจที่ล่องลอย หยิบบทกวีเก่าๆ ที่ผมยังไม่ได้ส่งไปให้หนิงขึ้นมา จรดมือที่แป้นพิมพ์อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะซบหน้าลงไปที่แขน น้ำตารินไหลไม่หยุด

โปสการ์ดสีสวยออกมาจากเครื่องปริ้นต์เครื่องเดิม ขณะที่ผมกอดหมอนซึ่งเต็มไปด้วยรอยน้ำตา

...................................................

หลังจากหนิงตกใจกับโปสการ์ดในวันวาเลนไทน์ เธอมองหน้าพงษ์อย่างกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ แต่เมื่อสบสายตาแน่วแน่ของพงษ์ สักพักเธอก็ยิ้มอย่างเอียงอาย ใบหน้าแดงก่ำ

“พงษ์นี่เอง หนิงไม่นึกเลยนะว่าพงษ์จะเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้...หนิงก็ว่า” หนิงกล่าวพลางพลิกโปสการ์ดไปมา “พงษ์บ้า!...บ้าๆๆๆๆ ที่สุด” หนิงทุบแขนพงษ์เบาๆ

“เราขอเป็นแฟนกับหนิงได้มั้ย?” พงษ์ยิ้มกว้าง
หนิงยิ้มให้พงษ์แทนคำตอบ เป็นรอยยิ้มที่สดใสและอบอุ่นกว่าแสงตะวันในฤดูหนาว...เป็นรอยยิ้มที่เคยทำให้หัวใจผมรู้สึกหวั่นไหวเป็นครั้งแรก ตอนนี้หนิงส่งรอยยิ้มนั้นให้เพื่อนคนที่ผมรักมากที่สุด

นับแต่วันนั้น หนุ่มหล่อกับสาวสวยเพื่อนสนิทของผมก็เป็นคู่รักที่ใครๆ ก็เหลียวมองด้วยความชื่นชม ความสัมพันธ์ของพงษ์และหนิงเป็นไปอย่างราบรื่น บทกวีรักบนโปสการ์ดถูกส่งไปยังกล่องไปรษณีย์ทุกเดือนเหมือนเดิม

“ขอบใจมากนะไผ่...ไผ่ทำได้เหมือนมากเลย อีกอย่างนายโปสการ์ดคนนั้นก็หายหน้าไปเลยเนอะ” พงษ์พูดกับผมในวันหนึ่ง

“เพราะเขารู้ว่าหนิงมีเจ้าของแล้วล่ะมั้ง...เลยไม่กล้าส่งมาอีก” ผมหัวเราะ

หลายเดือนก่อนผมทำโปสการ์ดด้วยความสุขใจอย่างล้นเหลือ แต่หลังจากพงษ์และหนิงเป็นแฟนกัน ผมก็ได้แต่พยายามนึกถึงความรู้สึกเมื่อแรกรักหนิง พยายามเขียนออกมาเป็นบทกวี และเสียน้ำตาทุกครั้งที่ทำโปสการ์ดเสร็จ

..............................................

เหมือนผมจะเคยบอกไปแล้วว่าพงษ์เป็นเพลย์บอย แน่ล่ะ หนุ่มหล่อสมาร์ทอย่างพงษ์ แถมยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียน ถึงจะมีดาวโรงเรียนอย่างหนิงอยู่ข้างกายในฐานะแฟน แต่พงษ์ก็ไม่เลิกนิสัยเจ้าชู้ กะล่อน ชอบหลีสาวๆ สวยๆ ประกอบกับรอบกายเขาก็มีสาวๆ รุมล้อมอยู่เป็นประจำ แรกๆ หนิงก็ไม่ว่าอะไร แต่พักหลังหนิงก็เริ่มทนไม่ได้ ทั้งสองมีปากเสียงกันบ่อยๆ ความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนเริ่มไม่เหมือนเดิม ...ผมเคยได้ยินใครนะที่บอกว่า ความรักมักเป็นตัวทำลายมิตรภาพ บางครั้งผมก็เห็นจริงกับคำพูดนี้

“ไผ่...เราจะทำอย่างไรดี...หนิงไม่เข้าใจเราเลย”

“ไผ่...ทำไมพงษ์ทำแบบนี้...พงษ์ไม่รักเราแล้วใช่มั้ย?”

เมื่อทั้งคู่มีปัญหากัน ต่างฝ่ายต่างก็แอบมาปรึกษากับผมเสมอๆ ซึ่งผมก็ตักเตือนพงษ์ให้ทำตัวให้ดีขึ้นบ้าง ย้ำกับหนิงว่าพงษ์ยังรักหนิงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง เสมือนว่าผมเป็นกาวใจให้ทั้งคู่ประสานรอยร้าวที่มีต่อกันได้ ผมควรจะภูมิใจกับตำแหน่งนี้หรือเปล่านะ...

“ไผ่...ช่วยเขียนโปสการ์ดง้อหนิงให้ที”

คำขอร้องอย่างหนึ่งของเพื่อนรักที่ผมไม่เคยปฏิเสธ อันที่จริงผมก็ทำเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว ถึงแม้หนิงจะโกรธอะไรพงษ์ก็ตาม เมื่อเธอได้รับโปสการ์ดที่เต็มไปด้วยบทกวีหวานๆ หรือคำขอโทษ เธอก็จะหายโกรธ หันมาคุยกับพงษ์ด้วยรอยยิ้ม

ผมรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ว่าอย่างน้อยโปสการ์ดของผมก็ทำให้หนิงมีรอยยิ้มได้...

..............................................

ลมมรสุมพัดผ่านมาในหน้าฝน สายลมแรงทำให้ต้นไม้ที่หยั่งรากลึกเริ่มหวั่นไหว เช่นเดียวกับความรักของพงษ์และหนิง ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยกว่าเดิม ผมในฐานะของคนกลางเริ่มหนักใจมากขึ้น ความร้าวฉานในสายสัมพันธ์เริ่มทวีความรุนแรง บางขณะผมสงสารพงษ์ แต่พักหลังผมสงสารหนิงมากกว่า บางครั้งพงษ์แสดงอาการเบื่อหนิงออกมาอย่างชัดเจน พงษ์เองก็คงเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ไม่ชอบผู้หญิงจู้จี้จุกจิก เขาคงอยากมีอิสระบ้าง แต่ก็ไม่น่าทำเช่นนี้กับหนิง...ไม่น่าเลย

ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ทำให้หนิงร้องไห้

ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน หนิงจะมาหาผม มาร้องไห้กับผม มาเล่าเรื่องของพงษ์ให้ผมฟัง ทุกเรื่องราวที่พงษ์ทำกับหนิงทำให้ผมเจ็บ ทุกถ้อยคำของหนิงมันกรีดแทงลงไปในหัวใจ หลายครั้งผมเคยคิดจะบอกให้หนิงเลิกกับพงษ์ แต่ต่อไปจะเป็นอย่างไร หนิงเองก็รักพงษ์มาก พงษ์เองก็ต้องเสียใจหากต้องเลิกกับหนิง ผมได้แต่พยายามประสานรอยร้าวของทั้งคู่ด้วยโปสการ์ด..โปสการ์ดที่หนิงชอบ...โปสการ์ดที่เปี่ยมไปด้วยความรักของผมที่มีต่อหนิง...หากมันทำให้หนิงมีความสุขได้ จะต้องเจ็บเพียงใดผมก็จะทำ

ผมส่งโปสการ์ดไปง้อหนิงแทนพงษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งหนิงก็ยอมยกโทษให้พงษ์ ผมดีใจที่ทำให้คนที่ผมรักทั้งสองคนมีความสุข...ผมดีใจที่ทั้งสองคนกลับมารักกันดังเดิม...อย่างที่ควรจะเป็น

...............................................

“ทำไมหนิงไม่เข้าใจเราบ้างเลย”

คำรำพันของพงษ์หลั่งออกมาพร้อมน้ำตา หลังจากดื่มเหล้าไปหลายอึก วันนี้พงษ์กับหนิงทะเลาะกันค่อนข้างแรง อาจจะร้ายแรงกว่าที่ผมคิดก็ได้ เพราะผมไม่เคยเห็นพงษ์ดื่มมากมายขนาดนี้

“เฮ้ย...ใจเย็นๆ สิ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้ เหมือนที่ผ่านๆ มาไง” ผมพยายามปลอบ

“ไม่หรอกไผ่...คราวนี้มันหนักกว่าที่ผ่านๆ มา”

“เราทำโปสการ์ดไปง้อหนิงอีกก็ได้นะ” ผมตบไหล่พงษ์เบาๆ

“ไม่...ไม่ได้หรอกไผ่ หนิงบอกว่า ไม่อยากได้โปสการ์ดพวกนั้นแล้ว”

ผมนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แม้จะพยายามคิดว่าเป็นเพราะหนิงพูดไปตามอารมณ์ แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสๆ ก้มหน้าลงมองพื้น

“เราอยากอยู่กับหนิงตลอดเวลาเลยนะ” พงษ์พูด “แต่บางครั้งเวลาเราอยู่ด้วยกันแล้วมีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวกับเรา หนิงก็จะอารมณ์ไม่ดี หาเรื่องเราบ่อยๆ หนิงไม่เข้าใจเราเลย”

พงษ์จิบเหล้าหยดสุดท้าย “เราอยากอยู่กับหนิงตลอดไป แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ เราไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานเท่าไหร่ ...ไผ่ เราจะทำยังไงดี”

..................................................

ผมไม่ลืมจรดปากกาด้วยลายมือหวัดๆ ไว้มุมล่างของโปสการ์ด คำพูดที่ออกมาจากใจของพงษ์อาจจะทำให้หนิงอารมณ์ดีขึ้นก็เป็นได้

“เราอยากอยู่กับหนิงตลอดไป”

ผมหย่อนโปสการ์ดไว้ในกล่องไปรษณีย์ที่คุ้นเคยในตอนเช้ามืด ก่อนจะรีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับมายังบ้านของพงษ์

.......................................................

“พงษ์หายไปไหนก็ไม่รู้ หลังจากไผ่ออกไปได้สักพักนั่นแหละ...น้านึกว่าไปด้วยกันซะอีก” แม่ของพงษ์พูดช้าๆ เธอตื่นมาตอนเช้ามืดหลังจากได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของลูกชายบึ่งออกจากบ้าน

ไปบ้านของหนิงหรือเปล่า? พงษ์อาจจะเมาแล้วคิดถึงหนิง อยากพบหนิง แต่ผมไม่อยากให้หนิงเห็นสภาพของพงษ์ที่เมาเต็มคราบ ดีไม่ดีอาจจะทะเลาะกันอีก ...ตอนนี้พงษ์อาจจะถึงบ้านหนิงแล้วก็ได้

ผมรีบควบมอเตอร์ไซค์ตามไปทันที

..........................................................

“หนิงบอกแม่ว่า จะไปโรงเรียนน่ะ มีซ้อมอะไรไม่รู้แต่เช้ามืด หนิงบอกแม่อย่างนั้น” แม่ของหนิงพูดพลางล้างหน้าล้างตาหลังจากตื่นนอนแต่เช้ามืด
พงษ์ก็ไม่รู้อยู่ไหน หนิงก็ไปโรงเรียน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แม้ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้หัวใจรู้สึกหวิวๆ อย่างไรชอบกล

ผมต้องรีบไปหาหนิง

.....................................

บรรยากาศในโรงเรียนตอนเช้ามืดเงียบกริบและเย็นยะเยือก ผมเห็นรถของหนิงจอดสงบอยู่ใต้อาคารเรียน แสงสว่างบางชั้นถูกเปิดขึ้น หนิงอาจจะอยู่ตรงนั้น

“หนูผู้หญิงนะเหรอ เขาบอกว่าลืมของน่ะ ลุงบอกให้รอตอนเช้าแต่เขาก็ไม่ยอม ลุงเลยให้กุญแจขึ้นไปแล้ว ประเดี๋ยวก็คงลงมา”

ผมเดินขึ้นไปตามแสงสีซีดๆ บนทางเดิน เมื่อถึงชั้นที่ไฟเปิดอยู่ คือห้องเปลี่ยนเสื้อของนักกีฬา ผมเอะใจรีบเข้าไปดูยังล็อกเกอร์ของพงษ์ ภายในนั้นมีโปสการ์ดของผมอยู่เป็นร้อยฉบับ อาจจะเป็นทุกฉบับที่ผมเคยส่งให้หนิง แล้วตอนนี้ตัวหนิงอยู่ที่ไหน?

ผมนึกถึงดาดฟ้าของตึกที่หนิงและพงษ์มักจะขึ้นไปนั่งเล่นด้วยกัน

...................................................

“ไผ่” เสียงเรียกชื่อของผมแผ่วเบาราวกระซิบ

เธอยืนอยู่บนดาดฟ้า ใบหน้าของหนิง...ผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจเต็มไปด้วยน้ำตา เธอกอดโปสการ์ดใบหนึ่งไว้แน่น น้ำตารินหลั่งออกมาจากดวงตาคู่นั้นไม่ขาดสาย

“หนิง” ผมพูดได้เพียงเท่านั้น ความสงสารหนิงแล่นเข้ามาจับหัวใจ ผมเดินไปกอดเธอแน่น

“ไผ่...” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นขาดเป็นห้วงๆ “พงษ์ทิ้งหนิงไปแล้ว พงษ์ไปจากชีวิตหนิงแล้ว”

ผมถอนหายใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสินะ น้ำตาร้อนๆ ของผมไหลออกมาผะผ่าว ผมเสียใจ...ผมเสียใจที่เพื่อนรักของผมทั้งคู่ต้องแยกทางกัน ผมเสียใจที่เห็นหนิงร้องไห้...

“ไม่เอานะ...อย่าร้องไห้...”

“หนิงไม่เหลือใครแล้ว...หนิงไม่มีใครอีกแล้ว”

“หนิงยังมีเราอยู่ทั้งคนนะ...เราจะดูแลหนิงเอง”

“ไผ่...ขอบใจนะ...ไผ่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหนิงเลยรู้มั้ย”

ผมดีใจที่หนิงรู้สึกกับผมเช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงความรู้สึกแค่เพื่อนสนิทเท่านั้นก็ตามที ผมดีใจที่ได้ทำอะไรๆ เพื่อเธอ ผมดีใจที่เห็นรอยยิ้มของเธอ เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วสำหรับชีวิตน้อยๆ ของผมที่ไม่เคยมีค่าสำหรับใคร ผมนึกเสียใจที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ เป็นเพราะผมหรือ...เพราะนายโปสการ์ดที่ริมีความรัก สร้างความหวังให้หนิงจนทำให้ชีวิตของเธอต้องสับสนว้าวุ่นเช่นนี้ วินาทีนั้นผมอยากจะสารภาพทุกอย่าง อยากบอกหนิงว่าผมรักเธอเพียงใด อยากปลอบโยน อยากเป็นคนรักษาแผลใจที่หนิงได้รับจากพงษ์ อยากบอกคำๆ หนึ่งที่ผมเก็บมันไว้ในใจมาหลายปี

“หนิง...”

“ไผ่...หนิงต้องไปแล้วนะ”

หนิงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอผลักผมสุดแรงจนผมล้มลงต่อหน้าเธอ ตกใจและสับสน ผมเหลียวมองโปสการ์ดในมือเธอ...มันคือโปสการ์ดใบที่ผมเพิ่งนำไปให้เธอ

“หนิงรักบทกวีที่พงษ์เขียน รักโปสการ์ดทุกใบที่พงษ์ส่งให้” เสียงหนิงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาลัย

“...หนิงจะไปอยู่กับพงษ์...ตลอดไป”

คำพูดสุดท้ายออกมาจากริมฝีปากของหนิง ก่อนที่เธอจะทิ้งร่างลงจากตึก หายลงไปในความมืดมนอนธกาลเบื้องล่าง

..................................................

กว่าผมจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เลยมาจนรุ่งเช้าหลังจากวิ่งวุ่นพาร่างที่ไร้วิญญาณของหนิงไปส่งโรงพยาบาล

พงษ์และหนิงตายแล้ว

ผมร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องมากมายขนาดนี้มาก่อน เพียงแค่การสูญเสียหนิงยังไม่โหดร้ายพอสำหรับชีวิตของผมอีกหรือ? ผมต้องสูญเสียเพื่อนรักไปพร้อมกันสองคน ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมากดทับผมไว้จนหายใจไม่ออก

ผมมารู้ในภายหลังว่าหลังจากหนิงได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของผมในคืนนั้น สักพักเธอก็ออกมาพบโปสการ์ดของผม พงษ์ที่ขี่รถออกไปก็โทรศัพท์หาหนิงเพื่อนัดมาปรับความเข้าใจที่โรงเรียน ที่ถนนหลังโรงเรียนเกิดอุบัติเหตุ พงษ์เพื่อนรักของผมนอนสิ้นลมหายใจตรงนั้นเอง โทรศัพท์ปรากฏชื่อหนิงเป็นเบอร์สุดท้ายที่พงษ์โทรหา

ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน แต่ชีวิตของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? ได้แต่ปล่อยให้มืออันแข็งแรงของชะตากรรมจับเราเหวี่ยงโยนไปมา ...เรามีสิทธิเพียงแค่ร้องไห้หรือหัวเราะให้กับผลของมันเท่านั้นเอง

............................................................

ทุกวันนี้ผมยังเก็บโปสการ์ดเหล่านั้นไว้เป็นอย่างดีในกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง โปสการ์ดทุกใบที่ผมส่งให้หนิงนอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลายครั้งทีเดียวที่ผมอยากจะทิ้งมันเสียให้พ้นหูพ้นตา ก็เป็นเพราะโปสการ์ดของผมมิใช่หรือที่ทำให้หนิงต้องจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ทุกครั้งที่ผมจะยกกล่องไปทิ้ง เสียงของหนิงก็ยังแว่วมาเตือนความทรงจำเสมอ

“...ไผ่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหนิงเลยรู้มั้ย”

“...รักบทกวีที่พงษ์เขียน รักโปสการ์ดทุกใบที่พงษ์ส่งให้”

โปสการ์ดเหล่านั้นเป็นตัวแทนของความรัก ความทรงจำอันงดงามที่พวกเราทั้งสามคนมีต่อกัน มิตรภาพอันบริสุทธิ์ถูกบรรจุลงไว้เต็มกล่องใบเล็กนี้ ผมหยิบโปสการ์ดมาอ่านทีละใบ ตั้งแต่ใบแรกที่หนิงประทับใจหนักหนา จนถึงใบเกือบสุดท้าย...เป็นบทกวีอ่อนหวานและคำขอโทษของพงษ์...ที่ผมพิมพ์ให้เช่นทุกครั้ง สักพักผมจึงเก็บโปสการ์ดลงในกล่อง

หนิงรักบทกวี รักโปสการ์ดของผม...บางทีผมอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโชคชะตาที่ทำให้ทั้งสองคนมาพบกันก็เป็นได้...

น้ำตาของผมรินไหลออกมาเงียบๆ

...........................................................

เวลาล่วงเลยมาหลายปี ผมไม่เคยเห็นโปสการ์ดใบสุดท้ายอีกเลยนับตั้งแต่คืนที่หนิงจากผมไป มันอันตรธานไปราวกับหนิงเก็บมันไว้ในอีกโลกหนึ่ง ผมเพียรพยายามตามหาโปสการ์ดใบนั้นทุกวัน จะด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่แน่ใจนัก อาจจะเป็นเพราะมันคือสายใยเส้นสุดท้ายที่จะโยงให้เราทั้งสามคนมาพบกันอีกครั้ง แต่ทุกวันที่ผ่านไปก็เหมือนกันกับวันนี้...คือไม่พบแม้แต่เงาของมัน

บางที...ผมอาจจะต้องตามหาโปสการ์ดใบสุดท้ายไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ...


ตีพิมพ์ครั้งแรก : สกุลไทยรายสัปดาห์ ฉบับที่ 2844 ประจำวันที่ 21 เมษายน 2552
ตีพิมพ์ครั้งที่สอง : หนังสือ "เช้า สาย บ่าย เย็น" ของกลุ่ม YoungThai

*ขอบคุณภาพประกอบจาก www.fotosearch.com

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

น้ำใจนาง


กาพย์สุรางคนางค์

๏ ความเศร้าเร้ารุม เหมือนไฟเข้าสุม ร้อนรุ่มภายใน
ดังต้องคมมีด มุ่งกรีดกลางใจ เมื่อเจ้าจากไป
กับใครอีกคน

๏ น้ำตารินหลั่ง เมื่อย้อนยามหลัง ช่างแสนสุขล้น
เจ้าลืมสิ้นแล้ว แม่แก้วโกมล ผีใดมันดล
ให้คนเปลี่ยนไป

๏ เสียแรงพี่รัก ดวงแดแน่หนัก ทุกห้องหัวใจ
ทั้งสี่ห้องหอ ไม่รอผู้ใด เป็นสิทธิทรามวัย
ที่ได้ครอบครอง

๏ เจ้ากลับลืมพี่ ลืมคู่ชีวี เคยคู่สู่สอง
เมื่อพบคนใหม่ หัวใจเจ้าปอง ชาติเชื้อวันทอง
ย่อมต้องสองใจ

๏ เสียแรงเกิดมา เป็นชาติอาชา กลับต้องร้องไห้
น้ำตารินหลั่ง คับคั่งความนัย เถิดหักห้ามไว้
อย่าได้จาบัลย์

๏ น้ำใจนารี หารักแท้มี เพียงภาพในฝัน
จักหักใจห้าม สิ้นความผูกพัน จากนี้ขาดกัน
จนวันสิ้นลม ๚ะ๛

*ขอบคุณภาพประกอบจาก imageshack.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

อนิจจาน่าเสียดาย (ฉบับพิสดาร)


๏ อนิจจาน่าเสียดาย
ฉันทำรองเท้าหายไปข้างหนึ่ง
ข้างนั้นสลักคำรักซึ้ง-ซึ้ง
มีกลิ่นหึ่งของขี้หมา..เหยียบมาเมื่อวาน

๏ ครึ่งหนึ่งหลงเหลือติดเท้านี้
สั่นฤดีเสียสะเทือนสะท้าน
ปล่อยเท้าเปล่าเปลือยเหยียบดินดาน
ทรมานปานนางทาสจะขาดใจ(แต่ก็มิได้นำพา)

๏ อีกครึ่งอยู่ที่น้องแก้ว
จิ๊กของพี่ไปแล้วจะทำไฉน
หาใกล้ๆ แต่น้องก็หนีไกล
แถมซ่อนอย่างไวไม่เห็นกัน

๏ เสียแรงเก็บตังค์ซื้อ
ควรหรือนางเอาไปล้างเสียอย่างนั้น
ทิ้งให้พี่ ดม หา แทบจาบัลย์
ที่ไหนนั่นมิ่งขวัญจะให้คืน

๏ โดนจิ๊กโก๋ฝากรอยเท้าไว้กะอก
แถมยังตกในมือของเขาอื่น
แสนเจ็บเล็บขบปูนปืน
โดนเกย์เสียบเสียววิญญาณ(บรึ๋ย!)

๏ ใจนางอย่างน้ำแข็งขายกลางดึก
พอคึกคึกลงแก้วใสเมรัยสะท้าน
ชั่วครู่ก็เมาเป็นอันธพาล
แล้วจึงคลานอย่างอนาถมิอาจยืน

๏ บุราณว่าพรากจากไนกี้
ลับลี้โดนขายให้คนอื่น
เสียแรงโศกเศร้าทุกวันคืน
ฝืนหาตามตลาดเย็นขุกเข็ญใจ

๏ รักหญิงปิ๊งปั๊งไปทั้งโลก
หายทุกข์โศกจากไนกี้แล้วฤาไฉน
มิเสียแรงเป็นบุรุษอาชาไนย
มาหลงใหลลูกสาวมหากวี

๏ เชิญนางเอารองเท้าคืนเถิดหนอ
ไม่ต้องรอเปลี่ยนยี่ห้อเป็นไนกี้
ขอเพียงแต่ให้รองเท้านี้
สวมพอดีกับใจของสองเรา ๚ะ๛

แด่..ลูกสาวท่านมหากวี ด้วยความเคารพรัก*ขอบคุณภาพประกอบจาก www.soccersuck.com

ผึ้งกับดอกไม้

กาลครั้งหนึ่งไม่นานนัก มีผึ้งหนุ่มตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในสวนดอกไม้เล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดมาดูแล จึงดูราวกับว่าผึ้งหนุ่มตัวนั้นเป็นเจ้าของสวนดอกไม้เสียเอง ทุกวันเขาจะเก็บกินน้ำหวานจากสวนดอกไม้แห่งนี้เพื่อเลี้ยงชีวิต จนเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นจึงสังเกตเห็นว่าดอกไม้บางดอกนั้นเริ่มแห้งเฉา ผึ้งหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเองเบา ๆ

“อนิจจา! ใยดอกไม้บางดอกจึงเหี่ยวแห้งเช่นนี้ ชะรอยจะเป็นเพราะเราเก็บกินน้ำหวานจากดอกไม้มากเกินไป หากเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป ดอกไม้จักเหี่ยวแห้งไปทั้งสวน อย่ากระนั้นเลย เราควรจะหยุดเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ในสวนน้อยแห่งนี้ และไปจากที่นี่เสีย เพื่อให้ดอกไม้ยังคงเบ่งบานอยู่ต่อไปได้”

รวดเร็วเท่าความคิดราวกามนิตหนุ่ม ผึ้งน้อยบินจรหลีกหนีจากสวนดอกไม้น้อยไปแสนไกล เขาได้พบกับฝูงผึ้งผองเพื่อน จึงปักหลักอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข ไม่กลับมายังสวนดอกไม้อีกเลย

สวนดอกไม้น้อยนับวันกลับยิ่งเหี่ยวเฉา และหากดอกไม้สามารถพูดได้ ผึ้งหนุ่มอาจจะได้ยินคำรำพันจากดอกไม้ “เธอกำลังเข้าใจผิด ผึ้งน้อย ฉันมิได้เหี่ยวแห้งเพราะเธอดื่มน้ำหวานจากฉันมากเกินไปหรอก ฉันกลับดีใจที่เธอชื่นชมรสน้ำหวานของฉัน แม้ดอกไม้บางดอกอาจเหี่ยวแห้งไป แต่นั่นก็เป็นเพราะเงื่อนไขของธรรมชาติและกาลเวลา จะมีดอกไม้ดอกใดหรือที่สามารถยืนยงอยู่ชั่วกาล

“เธอไม่เห็นหรอกหรือว่าในความเหี่ยวเฉานั้น ยังมีดอกไม้เล็ก ๆ ที่แอบซุกตัวอยู่ข้างหลังรอวันเบ่งบาน หาใช่ฝีมือใครอื่น หากเป็นเธอนั่นแหละที่ช่วยผสมเกสรจากการดื่มน้ำหวานของเธอ ฉันมิได้เบ่งบานเพื่อเธอ แต่ฉันเบ่งบานเพราะเธอ”

แต่คำรำพันของดอกไม้ไม่มีเสียง มันจึงไหวหวิวและเงียบงันในธารเวลา นานชั่วลมเหมันต์ผ่านพ้น มวลบุปผาในสวนน้อยก็เหี่ยวแห้งลงทั้งหมด เหลือเพียงเศษซากดอกไม้ที่รอวันย่อยเป็นปุ๋ยดิน ผึ้งหนุ่มเคยบินผ่านที่แห่งนี้ครั้งหรือสองครั้ง แต่ไม่อาจระลึกได้แม้สักเสี้ยววินาทีว่าที่นี่คือสวนดอกไม้น้อยที่ตนเคยอาศัย

*ขอบคุณภาพประกอบจาก www.fotosearch.com

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

วิจารณ์วรรณกรรม : ความเหงา...ของกะทิ


คงเป็นเรื่องน่าอายหากจะสารภาพว่า ผมเพิ่งจะอ่าน "ความสุขของกะทิ" นวนิยายซีไรต์ชื่อดังคับฟ้าของวงการวรรณกรรมไทยจบลงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งที่ตั้งใจจะอ่านให้จบตั้งแต่เมื่อปีที่เล่มนี้ได้ซีไรต์ ด้วยอยากรู้ว่านวนิยายเล่มนี้ "มีของ" อย่างไรถึงเอาชนะวรรณกรรมเนื้อหาหนัก ๆ ที่ฟาดฟันกันในปีนั้นอย่างดุเดือดได้ และยังได้รับความนิยมจนจะพิมพ์เป็นครั้งที่หนึ่งร้อยอยู่แล้ว แถมยังนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย

หลังอ่านหนังสือ "มีของ" เล่มนี้จบ ผมมีความรู้สึกสองประการ

ประการแรก ความเห็นเดิมที่ผมเคยมองว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นวนิยาย แต่เป็นวรรณกรรมเยาวชน ได้เปลี่ยนแปลงไป จริงอยู่ นวนิยายก็อาจเป็นวรรณกรรมเยาวชน วรรณกรรมเยาวชนก็เป็นนวนิยายได้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่ามีเส้นคั่นบาง ๆ ระหว่างนวนิยายกับวรรณกรรมเยาวชน แม้จะดูคล้าย แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว


สิ่งที่แตกต่างประการหนึ่งคือ กลุ่มผู้อ่าน


กะทิไม่ได้มุ่งหมายจะบอกเล่าเรื่องราวของเธอให้เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันฟังเท่านั้น แต่เธอกำลังเล่าเรื่องของเธอให้ผู้ใหญ่ที่กำลังสับสนว้าวุ่นในชีวิตได้เห็นหนทางการแก้ไขปัญหาของเธอ เล่าให้คนเมืองผู้คลุกคลีกับมลพิษทางอากาศและทางเสียงได้เห็นความสงบงดงามของชนบทที่หล่อหลอมให้หัวใจของเด็กน้อยเข้มแข็ง เล่าบรรยากาศการทำครัวย้อนยุค โรงเรียนวัด การทำบุญ และบ้านริมน้ำให้คนแก่ฟังเพื่อให้เกิดอาการ Nostalgia เล็ก ๆ และ... ฯลฯ ทั้งหมดคือส่วนผสมที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ยกระดับตัวเองจากวรรณกรรมเยาวชนมาเป็นนวนิยายที่สามารถอ่านได้ทุกเพศทุกวัย จับใจ “ไร้จริต” อย่างที่ อัวร์ซูล่า เฮกเคล โปรยไว้หลังปก (จริง ๆ อาจจะไร้จริตมากกว่านี้หากกะทิดูเป็นเด็กธรรมดามากกว่านี้สักหน่อย)

พอเพียงและเพียงพอ คือสิ่งที่กะทิพยายามบอกทุกคน

ประการที่สอง กะทิได้ตอบคำถามที่คาใจผมมาตั้งแต่ได้ยินข่าวรางวัลซีไรต์ปี ๔๙ ว่า หนังสือเล่มนี้สมศักดิ์ศรีรางวัลสูงสุดของวงการวรรณกรรมไทย (ในสายตาสำนักพิมพ์และผู้อ่านกลุ่มใหญ่) หรือไม่


คำตอบก็คือ มั้ง!?


ที่ต้องแทงกั๊กไว้แบบนี้ เพราะผมไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความรู้มากพอที่จะวิจารณ์กะทิในทางลบหรือไม่ เกิดฟันธงไปว่า “ไม่” ประเดี๋ยวจะโดน “กูรู” ทั้ง “ของจริง” และพวก “กูรู้” สับเอาเสียเปล่า ๆ

เอาเป็นว่า ผมขอเสนอความคิดเห็นบางประการทิ้งไว้ก็แล้วกัน

ในเรื่องของเนื้อหา ถือว่ากะทิสอบผ่านความเป็นวรรณกรรมอมตะนิรันดร์กาลของมนุษยชาติ คือจับเอาเรื่องราวความสุข ความทุกข์ อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มาถ่ายทอดโดยไม่อิงบริบททางสังคมมากเท่าใดนัก ทำให้ไม่กลายเป็น “วรรณกรรมฤดูกาล” (คำของ ลาว คำหอม) คือวรรณกรรมที่จะ “อิน” อยู่ซักระยะหนึ่งจนกว่ากระแสจะหายไป เช่นวรรณกรรมเกี่ยวกับสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ที่กำลังเป็นกระแสหลักในขณะนั้นและต่างก็เข้าชิงรางวัลนี้กันพรึ่บพรั่บ


เนื้อหาความสุขและความทุกข์ของมนุษย์อันเป็นอมตะในเรื่องกะทิ อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ได้ใจกรรมการไปเต็มที่


ส่วนในด้านกลวิธีก็ถือว่าสอบผ่าน อย่างที่พูดไปแล้วในความคิดเห็นประการแรก คือเรียบง่าย ไร้จริต แม้จะมีบางช่วงบางตอนที่ดูแปลก ๆ และจงใจไปนิด เช่น ตอนเจอกับน้องพิ้งค์ ตอนที่หลวงลุงรับนิมนต์ข้ามประเทศและพี่ทองจะไปอเมริกาซึ่งผมรู้สึกติดใจว่าต้องมีลูกเล่นอะไรตอนจบแน่ (แล้วก็จริง ๆ ด้วย) แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องบอกว่า คุณงามพรรณเขียนถึงกะทิได้อย่าง “เข้าไปนั่งในใจเด็ก” ได้ คืออ่านแล้วรู้สึกเหมือนอ่านไดอารี่ของเด็กมากกว่านวนิยาย นอกจากนั้นยังมีวิธีเล่าที่ “เนียน” ในสิ่งที่เด็กไม่น่าจะพูดออกมาได้ เช่น การให้ผู้ใหญ่พูดแทนเด็กแล้วกะทิตอบรับว่า “พูดแทนใจ” แทน หรือนึกคำพูด “คำใหญ่” ของคนนั้นคนนี้แล้วลงท้ายว่า “กะทิเห็นด้วย”


เรื่องภาษา อันนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง คุณงามพรรณใช้ภาษา “กินขาด” และ “กินใจ” อย่างที่คนที่เรียกตัวเองว่า “นักเขียน” ในปัจจุบันบางคนยังทำไม่ได้ ยกตัวอย่างประโยคที่กินใจผมมาให้ดูสักสองตัวอย่าง


ยิ้มของพี่ทองเหมือนโรคติดต่อ ยิ้มที่ส่งมาจากหัวใจระรื่น ต่อสายตรงถึงปากและแววตา แผ่รัศมีเป็นคลื่นรอบ ๆ เหมือนเวลาโยนก้อนหินลงในน้ำจนคนรอบข้างรู้สึกได้
(น.๑๔)


หรือ สีหน้าของตาขณะมองตรงมาที่กะทิดูเหนื่อยล้าและโรยแรง ไม่ต่างจากศาลาริมน้ำหลังนี้ ที่ผ่านแดด ผ่านฝน ผ่านโลกมานานจนทุกอณูเนื้อไม้อาบอิ่มด้วยอดีต และไม่ปรารถนาใดในอนาคตอีกแล้ว (น.๒๗ – ๒๘)


อ้าว ก็ดีไปหมดนี่ แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน
ปัญหาใหญ่ที่ผมมองอยู่ที่ตัวละคร คือ ด.ญ. ณกมล หรือหนูกะทินี่แหละ
ผมรู้สึกว่ากะทิเหมือนนางฟ้าที่ลอยมาจากสรวงสวรรค์

พูดให้ชัดขึ้นไปอีก ผมยังไม่เชื่อว่าหนูกะทิจะสามารถมีตัวตนอยู่จริงในโลกนี้ได้!


เด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ เหตุใดจึงสามารถมองโลก มองชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง ยอมรับกฎไตรลักษณ์ได้หน้าตาเฉย ทำใจยอมรับเรื่องร้ายที่สุดในชีวิตได้อย่างมีความสุข แม้จะบอกว่ากะทิ “ไม่เข้าใจ” ความตาย แล้วก็ใช้ความ “แอ๊บแบ๊ว” แบบเด็ก ๆ จบความไม่เข้าใจไปดื้อ ๆ จึงไม่เสียใจ แต่ที่จริงแล้วถึงกะทิจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจกฎไตรลักษณ์ อย่างน้อยด้วยความเป็นปุถุชนก็น่าจะโศกเศร้าบ้างสักนิด ผมจำได้ว่ามีฉากหนึ่งที่กินใจผมมาก และเป็นฉากที่ผมเห็นว่ากะทิมีตัวตนมากที่สุดในเรื่อง คือฉากที่กะทิวิ่งบนหาดทรายและร้องไห้


สายลมปนไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจากพื้นทรายกระทบใบหน้า กะทิวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ วิ่งไปให้ถึงขอบฟ้า เท้าสัมผัสทรายเนื้อละเอียดอย่างที่แม่ทำไม่ได้...อย่างที่แม่เคยทำได้ สองมือกำเข้าหากัน ขยับขึ้นลงตามจังหวะการวิ่งอย่างที่แม่ทำไม่ได้...อย่างที่แม่เคยทำได้ กะทิยกมือขึ้นปาดน้ำตา กิริยาง่าย ๆ แบบนี้แม่ก็ทำไม่ได้...ทั้ง ๆ ที่เคยทำได้

กะทิเห็นประตูโรงแรมแวบผ่านปลายตา แต่ขาเหมือนหยุดไม่ได้ กะทิยังคงทะยานไปข้างหน้า และภาวนาให้หาดทรายทอดยาวอย่ารู้จบ
จวบจนเมื่อเข่าอ่อนทรุดลงบนพื้นทราย กะทิจึงรู้ว่าเหงื่อไหลโซมกาย ขาสั่นระริก เหมือน ๆ กันกับไหลที่สั่นตามแรงสะอื้น กะทิร้องไห้อย่างไม่อายใคร อย่างทำนบพัง อย่างที่ไม่เคยมาก่อน (น.๕๑)

นี่คือครั้งเดียวที่กะทิร้องไห้ เป็นการร้องไห้อย่างสมเหตุสมผลและสะเทือนอารมณ์มาก ไม่พร่ำเพ้อ ไม่ฟูมฟาย แต่แน่นหนักในความรู้สึกตามสไตล์คนที่ชอบเก็บงำอารมณ์ เป็นการร้องไห้ในแบบฉบับของกะทิจริง ๆ แต่เมื่อถึงตอนที่แม่ของกะทิตาย ทั้งที่เป็นเรื่องหนักหนากว่าตอนป่วยแต่น้ำหนักอารมณ์ของกะทิกลับดูล่องลอยพิกล และยอมรับได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน


แต่วันนี้ชีวิตก็มีความสุขดีตรงที่มีพี่ทองมายืนชมทะเลอยู่ด้วยกัน แม้ว่ากะทิเพิ่งสูญเสียคนที่กะทิรักมากที่สุดไป
(น.๘๐)


ง่าย ๆ อย่างนั้น?


แม้จะบอกว่ากะทิเป็นเด็กหญิงที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากตาและยายเพียงพอทำให้หัวใจเข้มแข็ง แต่ตาและยายยังไงก็ไม่เหมือนพ่อแม่ เมื่อไปที่โรงเรียน มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เพื่อนไม่ถามหรือไม่ล้อบ้างหรือ? กะทิไม่น้อยเนื้อต่ำใจบ้างหรือ? ไม่ถามถึงพ่อแม่บ้างหรือ? การได้พบกับแม่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะจากกันอีกครั้งชั่วนิรันดร์ ไม่ทำให้หัวใจของกะทิสั่นไหวบ้างหรือ?


ถ้าจะบอกว่าบรรยากาศธรรมชาติอันแสนอบอุ่นของบ้านริมคลองทำให้กะทิเข้มแข็ง น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะคนที่จะ “อิน” กับบรรยากาศสุขสงบของ “บ้านนอก” ก็คือคนที่เติบโตและประสบแต่ความวุ่นวายในเมืองหลวงเท่านั้นเอง จึงจะมีมโนทัศน์สุขสงบของบ้านนอกอยู่ในใจแบบนั้น สำหรับกะทิที่เติบโตมาจากบ้านนอก บรรยากาศอันคุ้นชินยังไงก็คงไม่ “อิน” จนทำให้เข้มแข็งได้ขนาดนั้น


นอกจากนั้นความรักที่จะทำให้กะทิตัดสินใจจะอยู่ที่บ้านริมคลองกับตายายต่อไปนั้นน่าจะเป็นความรักที่มากพอ จนมากกว่าความผูกพันทางสายเลือดกับพ่อ นั่นหมายถึงเป็นความรักนอกเหนือจากที่ได้รับจากตากับยาย เช่น ความผูกพันกับเพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนเล่นข้างบ้าน ฯลฯ เท่าที่เห็น เพื่อนของกะทิมีแต่ “พี่ทอง” ที่เป็นเหมือน Puppy Love ของกะทิ


ภาพลักษณ์ของกะทิที่ผมเห็น คือเด็กเหงา ๆ คนหนึ่งที่อาศัยอยู่กับตายายบริเวณบ้านริมคลองที่มีธรรมชาติสุขสงบร่มรื่น ตัวของกะทิเองไม่มีปฏิสัมพันธ์มากนักกับเพื่อนบ้านหรือคนรอบข้าง และดูเหมือนเหินห่างจากเพื่อนวัยเดียวกันอยู่บ้างด้วยความที่เป็น “คนมีระดับ” ที่อาศัยอยู่บ้านนอก (ตากับยายเป็นอดีตไฮโซที่มาอาศัยอยู่บ้านนอก จึงน่าจะทำให้ภาพลักษณ์ “ไฮโซ” ติดอยู่กับกะทิพอสมควร)


ถ้ากะทิเป็นเด็กเหงา ๆ (ตามที่ผมเห็น) เช่นนั้นความเหงาก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เธอไขว่คว้าหาความอบอุ่น หาหลักยึดของชีวิตที่มั่นคงพอจะทำให้ตนเองเข้มแข็งขึ้น


ความรักจากตายาย บรรยากาศอันแสนอบอุ่นที่บ้านริมคลอง และเพื่อนใจหนึ่งคน นั่นจะมากพอหรือสำหรับการหล่อหลอมให้เด็กน้อยคนหนึ่งเข้มแข็งได้ถึงขนาดนั้น?

มิพักต้องพูดถึงความ ไม่สมจริงอื่น ๆ ซึ่งผมไม่อยากพูดถึงมาก อาทิ การตัดสินใจ "ทิ้งลูก" ของแม่กะทิ ด้วยเหตุผล? การให้ลูกกลับมาพบอีกครั้ง? การ ฯลฯ
อาจจะเป็นข้อจำกัดเรื่องความยาวของ Novella ที่ไม่สามารถปูพื้นหลังของตัวละครให้ละเอียดลึกซึ้งได้มากกว่านี้ หรือเป็นความจงใจของผู้เขียนที่จะเขียนเรื่อง “ความสุข” ของกะทิ จึงไม่วาง sub-plot เกี่ยวกับชีวิต เพื่อนบ้าน โรงเรียน ฯลฯ ของกะทิ ไม่งั้นนวนิยายอาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็น “ชีวิตของกะทิ”


หรืออาจจะเป็นความจงใจของผู้เขียนที่ต้องการให้ “กะทิ” มีบทบาทอันโดดเด่นผิดจากคนธรรมดา คือต้องการให้เป็น “นางฟ้าตัวน้อย” แต่แรกเริ่ม อาจจะเพื่อสั่งสอน เพื่อแสดงนามธรรมของชีวิตให้ออกมาเป็นรูปธรรมผ่านเด็กหญิงคนหนึ่ง –ก็เป็นได้


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความเห็นเชิงลบของผมที่มีต่อนวนิยายเรื่องนี้คือจุดบอดในตัวละครนี่แหละ เมื่อเทียบกันแล้ว ด.ญ. พิงค์ในตอน “ดินสอสี” ยังดูสมจริงกว่ากะทิเยอะ


ด.ญ. กะทิ ที่ผมรู้จัก ก็เป็นเพียงเด็กหญิงเหงา ๆ ที่ไม่น่าจะมีตัวตนคนหนึ่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ เด็กหญิงณกมล ก็ทำยอดขายไปแล้วเป็นล้านเล่ม ซึ่งผมอนุมานเอาเองว่า มีคนได้รู้จักกะทิแล้วมากมายหลายสิบล้านคน

แต่พวกเขาจะรู้จักกะทิในแง่มุมใด รู้จักมากน้อยแค่ไหน ผมก็ไม่อาจทราบได้

แต่อย่างน้อย กะทิก็ขึ้นชื่อว่ามีคนหลายสิบล้านคนรู้จัก แม้จะไม่เคยได้พูดคุยกับเธอจริง ๆ ก็ตามที


บางที...นั่นอาจจะเป็นความเหงาที่แท้จริงของกะทิ...ก็เป็นได้
*ขอบคุณภาพประกอบจาก www.amarinpocketbook.com