วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 4

(ขออภัยที่ทำให้การสนทนาของเราเกิดช่องว่างเป็นรูโหว่ไปเสียหลายวัน เนื่องมาจากความป่วยไข้ทางการเงิน และมิติเวลาแห่งความเร่งร้อน ทำให้ผมต้องรีบใช้จ่ายเวลาทั้งหมดเท่าที่มี รวมถึงสงกรานต์วัยหนุ่มเพื่อ "ปิดจ๊อบ" งานอันน่าเหนื่อยหน่ายชิ้นนึงลง พร้อมกับการเชียร์ทีมรักจนตัวโก่งให้คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ซึ่งจบลงด้วยความเศร้าเหมือนละครน้ำเน่าเล่นผิดคิว)

1. ความสุขจากการแสวงหา

บังเอิญจังที่วันนั้นผมเองก็ดูช่องนกน้อยสีส้ม แถมยังดูหนังเรื่องเดียวกับคุณเสียด้วย (ในห้วงเวลาเดียวกัน ช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณกำลังฉาย "วงศ์คำเหลา" คงไม่ต้องเดานะว่าเรตติ้งเรื่องไหนกระฉูดกว่า)

วิล สมิธ เหมาะกับบทดราม่า เพราะหน้าตาแกเหมือนคนมีบาดแผลอันแสนเศร้าในอดีต แถมดูท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ใครจะจับแกไปเล่นแอ็คชั่นเลือดสาด แกก็ยังทำหน้าตาให้คนดูคิดว่าตัวละครนี้ซ่อนความปวดร้าวบางสิ่งไว้ในใจ

Pursuit of happyness -ใครหนอเอามาแปลแบบไทย-ไทย เหลือเกินว่า ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้- หนังดราม่าสู้ชีวิตสไตล์อเมริกันชนที่สู้ปากกัดตีนถีบจนประสบความสำเร็จ แบบไม่มีเทวดามาประทานแก้วเจ็ดประการตามสี่มุมเมืองเหมือนนิทานชาดก

"Happyness" -ถึงผมจะสอบ CU-เทพ ได้คะแนนแกรมม่าแค่ 6/30 แต่ก็รู้ว่ามันสะกดผิดตามหลักแกรมม่า - แต่เราก็ยังเข้าใจเหมือนกันว่า มันคือความสุข แม้มันอาจจะเป็นความสุขที่บิดเบี้ยวไปหน่อย - แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็คือความสุข กระนั้น ตัวละครคงไม่สุขด้วยกระมัง จึงต้องออกตามหา Happiness ของจริงไปตลอดเรื่อง

ขณะที่ดู ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา เหมือนโดนดูดเข้าไปในโฆษณาขายตรงสักแวบหนึ่งว่า ต้องมีเงินสิ คุณถึงจะมีความสุข อันเป็นเหตุผลที่พระเอกสมัครเป็นโบรกเกอร์ ต่อสู้ฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ ได้พบกับ "Happiness" ตามแบบอเมริกันชน หรือภาษาขายตรงว่า "อิสรภาพทางการเงิน"

แต่ผมว่า Happyness ที่อยู่กับเขา -ลูกชายที่คอยให้กำลังใจ-เป็นแรงบันดาลใจ- ระหว่างทางเดินไปหา Happiness ต่างหากที่เป็นความสุขของเขา, เพียงแต่เขาไม่รู้ตัว, เพียงแต่เรื่องนี้มันดันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เราก็เลยคิดว่าเขาได้พบความสุขในตอนจบ

การที่เรารู้ว่าวันนี้เราจะทำอะไร-เพื่อใคร ต่างหากที่เป็นความสุขที่หลบซ่อนอยู่ในหน้ากากของการดิ้นรน

คิดเล่น ๆ ว่า หากเขาล้มเหลว ไม่ได้เป็นโบรกเกอร์ชื่อดัง อย่างน้อยเขาก็คงมีความสุขเมื่อเหลียวมองข้างกายแล้วพบว่ายังมีใครคนหนึ่งที่คอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้เขาสู้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้

Pursuit ที่อยู่ข้างหน้า จึงสำคัญกว่า Happyness ที่อยู่ข้างหลัง เราอาจแสวงหาจนพบ Happiness (ในความหมายที่ถูกต้องของคนรอบข้าง) หรือพบ Happyness (ความสุขผิดเพี้ยน แต่ก็เป็นแบบของเราเอง)

ความสำคัญของมันอยู่ที่ว่า ระหว่างทางไปสู่ Happyness เราได้ Pursuit มันอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง

(นี่มันความคิดแบบอเมริกันชน ผู้ปรารถนาปลดแอกจากสหราชอาณาจักรและผืนดินยุโรปอันเกรียงไกรชัด ๆ)

2. ความสุขจากโศกนาฏกรรม

เช้าวันปิดจ๊อบ ผมบังเอิญได้ชมภาพยนตร์อีกเรื่อง-แต่ไม่รู้จะเรียกมันว่าภาพยนตร์ได้หรือเปล่านะ

"สาระแนห้าวเป้ง"

(ผมไม่รู้ว่าผมเข้าใจเรื่องถูกต้องหรือเปล่านะ เพราะผมไม่ได้ดูอย่างจริงจัง เปิดแวบ ๆ อาบน้ำบ้าง หมักครีมนวดผมบ้าง แปรงฟันบ้าง หุงข้าว-ทำกับข้าวพลางเงยหน้าดูเป็นระยะ ๆ - แต่ก็พอเข้าใจได้กระมัง เหมือนละครช่องเจ็ดที่สร้างมาเพื่อให้แม่ค้าได้ดูระหว่างขายของ แม้จะง่วนอยู่กับการดูของ จ่ายเงิน ทอนเงินเป็นสิบนาที แต่หันกลับมาดูอีกทีก็ต่อเรื่องติด เพราะเนื้อเรื่องไม่ไปไหนเลย)

แน่นอนว่าเรื่องหลักของมันคือการแอบแกล้งแอบอำดาราเอาฮา แต่เบื้องหลังของมันคือเรื่องราวโศกนาฏกรรมระยำตำบอนของเด็กฝึกงานสองคน ที่ซุกซ่อนอยู่แวบ ๆ แอบ ๆ อยู่หลังฉากการแกล้งอำดารานักแสดงให้อับอายเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้ชาวประชา

สุดท้ายแกล้งหนักมือไปหน่อย ทำเอาพี่หม่ำผู้ร่ำรวยอารมณ์ขันเกิดขำไม่ออก นำมาสู่การยื่นคำขาดของทีมงานแก่เด็กฝึกงานทั้งสองว่า เลือกเอาละกันว่าใครจะอยู่ ใครจะลาออกแสดงความรับผิดชอบ

"ถ้ามันไม่อยู่ ผมก็ไม่อยู่"

สรุปว่าออกไปทั้งสองคนตามสไตล์กูไม่ทิ้งมึง เร้าหัวจิตหัวใจด้วยคำพูดดราม่าของเพื่อนตาย ผสมกับเพลงทำนองว่า เราจะไม่ทิ้งกัน ต่อสู้ชีวิตด้วยกัน ทำเอาคนดูหนังงงว่า ทำไมอารมณ์เรื่องมันเปลี่ยนเร็วจังวะ

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกเมื่อรถจักรยานยนต์คู่ชีพถูกขโมย ไอ้หายไม่เท่าไหร่ แต่โจรดันทิ้งกลางทาง แล้วก็มีรถแบ็คโฮวิ่งมาเหยียบฉิบ (ใครคิดวะเนี่ย) มอเตอร์ไซค์เพื่อนยากก็เละสิครับ

ตกงาน มอ'ไซค์เละ โอ้... ความหวังและความฝันของเราทำไมมันถึงถูกบีบอัดด้วยภาวะโศกนาฏกรรมเยี่ยงนี้ แล้วขณะที่กำลังไหว้ผีเพื่อหาทางออกอยู่ดี ๆ ทีมงานสาระแนก็โผล่มา "อำกันเล่นน้าาาา"

ถ้าผมเป็นตัวละครเอก (ซึ่งกำลังซีเรียสกับชีวิต) ผมคงยันพี่เขาสักดอกแล้วบอกว่า "กูไม่ขำ!"

แต่ก็นั่นแหละ เพื่อให้เรื่องจบด้วยสุขนาฏกรรมแบบที่คนไทยชอบ (ทำนองเดียวกันกับที่ดัดแปลงตอนจบโศกนาฏกรรมของรามะ-สีดาในรามายณะที่ต้องพรากจากเพราะหน้าที่กษัตริย์ เป็นแฮปปี้เอนดิ้งแบบไทย-ไทย ให้พระรามกับนางสีดาได้ครองคู่) พระเอกของเราก็หัวเราะ กอดคอเพื่อนอย่างเบิกบานยินดีที่โศกนาฏกรรมที่มาซ้ำซัดเป็นเรื่องอำเล่น

โดยไม่ตั้งใจ ผมกลับคิดถึงอีกเรื่องซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยคือ กระแสทำเสื้อเพื่อระดมทุนบริจาค

ไอ้ตอนแรกผมก็ไม่ตะขิดตะขวงใจอันใดดอก เพราะการลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยผู้เดือดร้อนย่อมเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ ดีกว่าการนอนเกาพุงเล่นอยู่บ้านแบบไม่รู้ร้อนเหมือนผม

แต่วันดีคืนดี ผมก็เปิดไปเจอรายการหนึ่งที่ทำเสื้อสวยงาม สกรีนคำให้รำลึกถึงภัยพิบัติน้ำท่วมใต้ขายดิบขายดีหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำเอารายการอื่นที่ออกอากาศทีหลังทำตามอย่างจนเป็นแฟชั่นกลาย ๆ

เปิดสลับมาอีกช่องหนึ่ง ถ่ายทอดชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่งที่พ่อแม่ถูกพัดหายไปต่อหน้าต่อตา ตัวเองต้องว่ายน้ำเพื่อช่วยน้องคนเล็กที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายของครอบครัว

สองภาพที่มา contrast ชวนให้โรควิตกจริต ฟุ้งซ่าน มองโลกแง่ร้ายแบบไร้สาระ คิดมากไปเรื่อยเริ่มกำเริบ

เอาภาพของเสื้อระลึกถึงเหตุการณ์ มาปะไว้บนตัวน้องคนนั้น แล้วผมก็พบว่าเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก - หากเป็นผม ผมคงไม่อยากจะจดจำเหตุการณ์ที่พ่อแม่ถูกพัดหายไปต่อหน้าต่อตาสักเท่าไร หรือถ้าจะเก็บไว้ ผมก็คงเก็บไว้เป็นบทเรียน แต่คงไม่ใช่สกรีนไว้บนอกเสื้อ

เปล่า-ผมไม่ได้จะปรักปรำว่า คนที่ซื้อเสื้อเพื่อบริจาคเป็นคนใจร้ายโหดอำมหิตที่คอยตอกย้ำให้ผู้ประสบภัยระลึกถึงโศกนาฏกรรมตลอดเวลา

มันคงเป็นเรื่อง misplace หรือ misconcept อะไรสักอย่าง (ขออภัยที่ต้องใช้ภาษาปะกิด เพราะภาษาไทยกระท่อนกระแท่นเท่าที่ผมนึกออกว่า "ผิดที่ผิดทาง" กับ "เข้าใจผิด" มันสื่อความสิ่งที่ผมคิดออกมาไม่หมด ครั้นจะใช้คำว่า "ผิดกาละเทศะ" ก็รุนแรงเกินกว่าที่ผมอยากจะสื่อ เอาเป็นว่าระดับความหมายมันอยู่ใกล้เคียงกับผิดที่ผิดทางมากกว่าละกัน) ที่คนเกิดนิยมซื้อของที่ระลึกเพื่อเก็บไว้เป็นใบประกาศว่าเราได้บริจาคเงินแล้ว ก่อนจะสวมใส่อย่างภาคภูมิ

ขอให้เป็นความวิตกจริตเกินกว่าเหตุของผมคนเดียวเถิดว่าเรากำลังเสพติด "การบริจาค" -อาจจะเพื่อชดเชยอะไรบางอย่างในใจ ชดเชยความรู้สึกผิดที่ว่า เราดูดกลืนทรัพยากรของท้องถิ่นมาเพื่อบำรุงความสะดวกสบายมากเกินไปแล้ว, ชดเชยสำหรับการสร้างเขื่อน การวางท่อก๊าซที่ประท้วง ๆ กันอยู่ หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อให้ประเทศไทยมีกระแสไฟฟ้ามากพอที่เราจะเดินเล่นเย็นสบายในสยามพารากอน จนมันนำมาสู่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่นี้

การบริจาคจึงเป็นช่องทางบำบัดความป่วยไข้ในต่อมรู้สึกผิดของชนชั้นกลางอย่างเรา ๆ เพื่อลดทอนความซับซ้อนของกระบวนการรับผิดชอบร่วมกัน และเพื่อให้ความสบายใจเป็นเครื่องนำทางให้ชีวิตผ่านพ้นไปอีกวันดังที่เป็นมา

(ขออภัยหากผมไปสะกิดต่อมของท่านที่ตั้งใจบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยหัวใจอันแท้จริง น้ำใจของท่านประเสริฐน่าสรรเสริญอยู่แล้ว - ผมเพียงแต่ตั้งคำถามกับตรรกะของบางคนที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้)

การสกรีนเสื้อไว้เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรม สำหรับคนสวมใส่นอกพื้นที่แล้วคงเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่สำหรับคนในพื้นที่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรหากต้องใส่เสื้อที่สกรีนถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

คงจะเหมือนกับเรื่องราวในสาระแนห้าวเป้งที่เราหัวเราะให้กับชีวิตบัดซบของเด็กฝึกงาน โดยไม่ได้คิดว่า หากเราเป็นเด็กฝึกงานคนนั้น เราจะขำออกไหม

โศกนาฏกรรมเป็นเรื่องรื่นรมย์เสมอ ตราบเท่าที่เราไม่ได้แสดงเป็นตัวละครเอก


วุฒินันท์ ชัยศรี
18/04/2554

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ถ้าไม่รัก

๏ ขอทีเถิด, ถ้าไม่รักอย่าผลักไส
อย่าผลักฉันกลับไปที่เก่า
ซึ้งแล้ว, กับความเงียบที่ไร้เงา
ที่ที่คำว่าเราเป็นภาพลวง

๏ ฉันขอนะ, ถ้าไม่รักอย่าผลักไส
ผลักฉันไปที่ที่เคยเลยล่วง
กลับไปทนเจ็บช้ำระกำทรวง
กับความหวงห่วงใยไม่มีจริง

๏ ถ้าไม่รักก็ผลักไสให้พ้นหน้า
ให้ห่างตาห่างใจไกลทุกสิ่ง
อย่าผลักฉันไปอยู่ใกล้ให้แอบอิง
คนเคยทิ้งเคยทำร้ายทำลายใจ

๏ ถ้าไม่รักก็ผลักไสไปที่อื่น
อย่าให้กลับไปกล้ำกลืนเกินทนไหว
เพราะฉันเปราะบางเกินไป
เกินกว่าจะชิดใกล้ใครบางคน

๏ ขอทีเถิด, ถ้าไม่รักอย่าผลักไส
ฉันอ่อนแอเกินกลับไปอีกหน
อย่าผลักฉันกลับไปในวังวน
ฉันเคยทนมากมากพอ, เกินพอแล้ว! ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๕/๐๔/๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 3

1. ช่องว่างและท่าที

บางครั้ง ช่องว่างระหว่างการสนทนา ก็เป็นมิติเวลาที่จำเป็นสำหรับการสนทนาเหมือนกันนะ อย่างมากที่สุด มันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้ความคิดที่กระจายเป็นฝุ่นฟุ้งได้ตกตะกอนจับตัวกันเป็นก้อนหิวพอปาหัวคนแตก หรืออย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านพ้น

ในช่วงเวลาที่ความเงียบเข้าครอบคลุมการสนทนาของเรา ผมพบว่า ท่าทีในการเขียนจดหมายถึงคุณในฉบับแรกและสองดูจะเป็นท่าทีหนักหน่วงไปหน่อย อย่างที่คุณเคยเปรียบเปรยว่าเป็นทางระนาดแบบลูกขยี้ อันที่จริงแล้วผมชอบทางระนาดคาบลูกคาบดอกแบบคุณมากกว่า เพราะบางครั้งเวลาผมฟังระนาดแนวขุนอิน มันไม่เสนาะเท่าระนาดพริ้วของเจ้าศร นึกเหน็บทางระนาดหนักหน่วงในใจเสียด้วยซ้ำว่า "จะโชว์พาวไปไหน" คิดว่าผู้อ่านหลายคนคงคิดเหมือนกัน (ฮา)

อาจเป็นเพราะหลายเดือนที่ผ่านมานี้ผมไม่ได้เขียนข้อเขียนเกี่ยวแก่การเมืองเลย ทั้งที่มีเรื่องมากมายอัดอั้นตันใจอยากเขียน แต่เมื่อผมยังไม่หายเบื่อบางอย่าง และอุทิศให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ "อิอิ หุหุ งุงิ" ของผม เมื่อเผลอตัวเขียนการเมืองจึงจัดเต็ม-จัดหนักไปหน่อย ต้องขออภัย

จากนี้ไป คิดว่าจะพยายามให้การสนทนาของเรามีท่าทีสบาย ๆ มากขึ้น แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น-ทัศนะต่อบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น แทนที่จะเป็นการยกคัมภีร์มาย่อความบังหน้าความโง่เขลาของตน, เช่นที่ผมเคยทำมา

2. แก่นสารของนักเขียนหนุ่ม

ผมเองเคยคิดว่า คงจะมีมนุษย์โลกไม่กี่คนที่กำลังประสบสิ่งที่ผมประสบอยู่ เอาล่ะ, ตอนนี้ผมก็อุ่นใจว่า อย่างน้อยก็มีคุณคนหนึ่งที่กำลังหลงทางสายชีวิตเหมือนผม ทั้งที่เราต่างก็มองเห็นป้ายบอกทางชัดเจน

เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน หรือหยุดเดิน หรือเดินถอยหลัง หรือ ฯลฯ

ผมซาบซึ้งในปรัชญาว่าชีวิตคือก้อนเมฆของเซ็น แต่ผมก็ยังไม่กล้าเป็นก้อนเมฆอยู่ดี

ผมกลับมาพยายามคิดถึงภูมิหลัง หรือปมปัญหาในวัยเด็กที่หล่อหลอมให้ผม, รวมถึงเพื่อนหลายคนที่ผมรู้จักกลายเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองไร้แก่นสารเช่นนี้ พบจุดร่วมข้อหนึ่งว่า เราต่างก็เป็นเด็กวิทย์-เรียนศิลป์ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเหมือนกัน

ผมเรียนเรื่องแรง G แต่กลับสนใจมันในแง่ของการนำมาคำนวณว่า คนเราใช้เวลากี่วินาทีในการตกหลุมรักใครคนหนึ่ง

ผมเรียนเรื่องการจับตัวกันของโมเลกุล แต่กลับสนใจมันในแง่ที่ว่าหัวใจของคนสองคนจะเกาะเกี่ยวกันด้วยเหตุผลกลใด

ในแง่หนึ่ง เด็กวิทย์เรียนศิลป์อย่างผม คือคนที่ไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่วัยที่ต้องเตรียมตัวสู่การเป็นผู้ใหญ่ บาดแผลในใจนั้นได้ส่งผลมาถึงปัจจุบัน, 3 ปีที่ไม่ได้เติมเต็มสู่การเตรียมตัวในศาสตร์ทางศิลป์ทำให้เรารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าเด็กศิลป์พันธุ์แท้อยู่ในใจ และรู้สึกว่าแก่นสารของชีวิตนั้นหายไปในช่วงเวลาที่ตัดสินใจผิด

ผมคือการเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรโดยไม่เคยประนีประนอมกันระหว่างมหาอำนาจฝ่ายวิทย์และฝ่ายศิลป์

ผมคือชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลวในชั่วข้ามคืนของคู่บ่าวสาววิทย์-ศิลป์

เคยคิดว่าจะออกไปเป็นศิลปินเต็มตัว วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ - เขียนหนังสือ แต่ก็นึกกลัวความจริงของชีวิตที่ประจักษ์แก่ใจดีจากการสัมผัสชีวิตแบบวิทย์-วิทย์ มาแรมปีจะเข้ามาบดขยี้ความฝันจนแหลกสลาย

เพราะผมชื่นชมบทเพลงหลายบท แต่ผมแต่งเพลงแบบนั้นไม่ได้

เพราะผมชื่นชมภาพเขียนชดช้อยทรงพลัง แต่ผมวาดรูปไม่เป็น

เพราะผมตกตะลึงในพลังตัวอักษรของนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี แต่ผมไม่เคยเค้นพลังมันออกมาได้แม้แต่ในระดับอย่างน้อยที่สุดที่ควรจะเป็น

เพราะผมเชื่อฝังใจว่าผมไม่ใช่ศิลปินพันธุ์แท้ ทั้งที่ผมพยายามเป็น พยายามฝึกฝน แต่ไม่เคยเติมเต็มความเชื่อของตนเองได้เลย

เมื่อความเชื่อหลุดลอย แล้วใยแก่นสารของชีวิตที่เป็นคู่สมรสกับความเชื่อจะยอมจดทะเบียนมาอยู่กินด้วยกัน

คุณเคยรู้สึกแบบเดียวกับผมหรือเปล่า?

3. ความรักมักทำให้คนเป็นกวี

เพลโตก็กล่าวไว้ทำนองนั้น และลุงเนาว์ก็ชอบนำคำของเพลโตมากล่าวไว้เช่นนั้นเหมือนกัน

ผมคิดว่า คนทุกคนมีประตูกวีเหมือนกัน ต่างกันก็เพียงว่า ใครจะมีกุญแจที่จะไขประตูกวีนี้ออก

กุญแจกวี คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างผัสสะอารมณ์กับความสะเทือนใจ, และความสะเทือนใจที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์คือความรัก

อา... ความรัก

สมหวัง, ผิดหวัง, แอบรัก, อกหัก, มันทำให้หัวใจเราวูบไหวในระนาบที่ไม่ปกติ, เป็นจังหวะเดียวกับท่วงทำนองในบทกวี จังหวะขึ้นก็ดึงเราขึ้นไปสูดหมอกหยอกเมฆอย่างสดชื่น จังหวะลงก็ดึงเราลงไปคลุกเคล้ากับไฟนรกในห้วงอเวจี

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้, อารมณ์เมื่อไปถึงที่สุดย่อมถึงที่ตาย สุขมาก ความสุขก็ตายกลายเป็นทุกข์ ทุกข์มากจนถึงที่สุดก็จะพบกับความสุข อารมณ์เหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงให้คนหลง จึงควรปล่อยวางไม่ยินดียินร้ายในปีติหรือน้ำตา

แต่ผม, ผู้ยังอิ่มเอมในรสลวงของกิเลสตัณหายังคงยินยอมพร้อมใจซุกตัวในอ้อมกอดของความรักที่เลือนรางราวภาพฝัน แม้บางครั้งหนามแหลมของความเจ็บปวดจะทิ่มแทง แต่มันก็แฝงด้วยรสสุข คงเช่นเดียวกันกับบทกวีของผม (ในภาคของ "หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย") ที่แฝงน้ำตาไว้ในกลอนรัก และแฝงรอยยิ้มในกลอนอกหัก เวียนว่ายในห้วงมหรรณพทางอารมณ์เช่นนี้นิจนิรันดร์

ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก
เผลอรู้จักคำอ่อนหวานวันอ่อนไหว
เผลอเขียนกวีรักจากหัวใจ
และหลงใหลในลำนำคำกวี

คือบทกลอนเต็ม ๆ ที่เป็นที่มาของชื่อหนังสือ อันที่จริงหนุ่มอักษรฯ บอกว่า มาจากบทกวีเอาฮาที่เขียนจากชีวิตจริงว่า "ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก เผลอรู้จักคำอ่อนหวานวันอ่อนไหว เผลอเขียนกวีรักจากหัวใจ เผลอมอบให้คนไม่อ่านงานกวี" แต่อ่านไปอ่านมารู้สึกเลี่ยนมากกว่าฮา จึงเปลี่ยนวรรคส่งเสียใหม่

ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก จริงหรือ?

เป็นอย่างที่ธนาคารกล่าวไว้ว่าเป็น "สภาวะบางอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ทว่ารู้ตัวเป็นอย่างดี" จำได้ดี, มัธยมปลาย, ผมถูกความรักจู่โจม แต่ไม่นึกว่ามันจะมาพร้อมถ้อยคำอ่อนหวานเพื่อเป็นบรรณาการต่างแหวนหมั้นวันวิวาห์ ก่อนที่ภาพรักลวงจะเดินสะบัดตูดดุ๊กดิ๊กจากไป ทิ้งไว้แค่การเรียงร้อยถ้อยคำอันเปล่ากลวงเป็นบทกวี ต่อมาผมจึงเติมเต็มความไร้ค่าของมันให้เต็มแน่นด้วยความผิดหวัง ก่อนจะมาพบความรักและความผิดหวังอีกครั้ง และอีกครั้ง

โดยไม่รู้ตัว ความรักเป็นต้นธารของกุญแจกวีให้หนุ่มอักษรฯ ผู้หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องรัก (โดยไม่เคยสนใจว่า ม็อบสีไหนไล่ใคร หรือน้ำมันปาล์มจะขึ้นราคาเท่าไหร่) ได้นำมาเปิดประตูกวีของตนเอง

มีคนกล่าวว่า การเป็นกวี มีองค์ประกอบอยู่ 2 อย่าง คือ เรียกตัวเองว่ากวี และคนอื่นยอมรับว่าเป็นกวี, ผมในภาคของวุฒินันท์ ชัยศรี ไม่เคยยอมรับตัวเองว่าเป็นกวี วุฒินันท์ จึงไม่ได้เป็นกวี, ส่วนผมในภาคของ "หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย" ตัวเขาเองพูดว่าเขาเขียนบทกวีรักอยู่เต็มปาก และอย่างน้อยก็มีคนยอมรับว่าเขาเป็นกวี คือผมในภาคของวุฒินันท์ (เล่นเอง ชงเอง กินเอง 55) อีตาหนุ่มอักษรฯ จึงได้เป็นกวีสมใจ

แน่ล่ะ, โดยนัยนี้, ความรักทำให้คนเป็นกวี อย่างน้อยก็อีตาหนุ่มอักษรฯ คนหนึ่ง

4. กวีต้องแสวงหาความผิดหวัง

ผมกลับมานึกย้อนถึงคำว่า แสวงหาความผิดหวัง แล้วผมก็นึกขำ

จำได้ว่า นิยายกำลังภายในของกิมย้ง ตอน จอมยุทธอินทรีเอี้ยก้วย มีตัวละครนามว่า มารกระบี่แสวงพ่าย หมายความว่า เป็นจอมยุทธผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ใคร จึงต้องแสวงหาความพ่ายแพ้ และไม่เคยพบจนตลอดชีวิตของเขา

แต่ผม, น่าจะกลับกันมากกว่า, ผมแสวงหาความผิดหวัง แต่อันที่จริงผมก็พบกับความผิดหวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ, ควรจะต้องเปลี่ยนเป็น แสวงหาความสมหวังมากกว่า จริงไหม?

อันที่จริงผมไม่ได้แสวงหาความผิดหวังหรอก, แต่เมื่อความผิดหวังมาจับจองเป็นเจ้าของห้องหัวใจ แล้วจ่ายค่าเช่าเป็นความเหงา ผมก็ได้แต่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยดุษณี

ความเหงา, เป็นเพื่อนที่แสนดี และเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ, สำหรับผู้ที่เสพติดมันจนงอมแงมอย่างเรา ๆ

อาจเพราะมันรู้ใจเรายิ่งกว่าเพื่อนสนิทคนใดในโลก จึงรู้ดีว่าจะปลอบใจเราด้วยวิธีใดเราถึงจะยิ้มได้ และจะทำร้ายเราด้วยอาวุธอย่างไหนเราถึงจะเจ็บปวดที่สุด, วันดีคืนดี เราจึงยินยอมให้มันกระหน่ำมีดสู่ร่างจนเลือดไหลหมดตัว ก่อนจะเผลอนอนตักฟังคำปลอบประโลมแล้วหลับฝันดีในอ้อมกอดที่บีบรัดเราแน่นจนขาดอากาศหายใจเป็นห้วง ๆ

สำหรับเรา, ผู้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงร่านไปกับความเหงา และความผิดหวังมีแบงก์ชื่อความเหงาอยู่ในกระเป๋าไม่อั้น เรา, ผู้หลงงมงายในความเหงาเหมือนหญิงสาวกับรักแรกจึงยินยอมพร้อมใจรับความผิดหวังเข้ามานอนอืดเต็มพื้นที่สี่ห้อง

มีคนเคยบอกผมว่า ความรักตั้งแต่ครั้งที่สองเป็นต้นไป คือการกรอภาพย้อนกลับของรักแรก ยิ่งความรักครั้งแรกฝากบาดแผลไว้มากเท่าใด รักครั้งต่อไปย่อมเป็นการเวียนว่ายอยู่กับการกรีดซ้ำแผลเดิม ความร้าวรานที่ซ่อนลึกในใจเกิดจากส่วนผสมที่ไม่ลงตัวระหว่างความสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ที่คนผิดหวังคนหนึ่งพยายามผสมขึ้นมาจากอีกคนเพื่อเยียวยาตัวเอง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นยาพิษที่ซ่านในกระแสเลือด จนถึงวันหนึ่งเราจึงพบว่าไม่อยากให้คนที่เราเคยรักมีตัวตน เราจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

ความเหงาจึงเป็นของวิเศษชิ้นสุดท้ายที่ช่วยห่มคลุมใบหน้าของคนที่เคยรักให้มิดชิดในความทรงจำ ก่อนที่มันจะแสยะยิ้มแล้วจ้วงแทงคว้านเอาเลือดเนื้อในหัวใจมาลิ้มรส ท่ามกลางรอยยิ้มยินดีของตัวเราเอง, รอยยิ้มยินดีในความผิดหวังซ้ำซากจนหัวใจแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี

ความผิดหวัง คงจะเป็นคำสาปอย่างหนึ่งกระมังสำหรับเรา, นักเขียนหนุ่มผู้เสพติดความเหงา


วุฒินันท์ ชัยศรี
04/04/2011