(๑๑)
เราต้องการความว่างเปล่า
มาเติมเต็ม
ชีวิตที่แสนอึดอัด
๐๓/๐๒/๒๕๕๔
(๑๒)
ฉันขอสารภาพจากใจว่า
ฉันรักเธอ
เด็กเลี้ยงแกะพูดเป็นครั้งที่สี่
๑๐/๐๒/๒๕๕๔
(๑๓)
เสียงขู่ฟ่อ ฟ่อ
คือคำว่ารัก
ในวันที่ฉันกลายร่างเป็นอสรพิษร้าย
๑๓/๐๒/๒๕๕๔
(๑๔)
กุหลาบยอมหยุดเติบโต
เพื่อให้ความรัก
เติบโต
๑๔/๐๒/๒๕๕๔
(๑๕)
เกือบลืมว่าเคยรัก
เกือบลืมว่ายังรัก
ล้วนเจ็บปวด
๒๓/๐๒/๒๕๕๔
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
:: พื้นที่รวบรวมงานเขียนเก็บเล็กผสมน้อยเป็นไทม์แมชชีนความรู้สึกของวันวาน ::
วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
โศกนาฏกรรมของนักรบพระเจ้าบนเขากระโจม
1.
ตีห้ากว่า ๆ ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ รอชมพระอาทิตย์ขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวอีกหลายสิบชีวิต บ้างก็เพิ่งจะขึ้นมา บ้างก็ตั้งเต้นท์นอนรอตั้งแต่เมื่อคืน บรรยากาศของเขากระโจมในขณะนี้ดูครึกครื้น จนผมลืมไปว่าที่ที่ผมยืนอยู่นี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน...
เป็นเส้นทางลำเลียงไม้จากฝั่งพม่า ทั้งที่ผิดกฎหมายและถูกกฏหมาย
เป็นเขตชายแดนอันตรายที่เกิดการปะทะระหว่าง ตชด. ไทยและพม่าหลายครั้ง
เป็นหลุมศพของ ตชด. สิบกว่าชีวิต ในการผลักดันชนกลุ่มน้อยออกไปจากยอดเขาแห่งนี้
เป็นฐานที่มั่นสำคัญ และเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองกำลังกระเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยที่ถูกผลักดันจากดินแดนนักรบอย่างพม่าซึ่งมีอยู่มากมายหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่ชาวไทยรู้จักกันดีอย่าง "นักรบของพระเจ้า" หริอ ก็อดอาร์มี่ (God's Army)
กลุ่มนักรบที่เพื่อนสาวคนหนึ่งของข้าพเจ้านำไปต่อท้ายไว้ในคำขวัญของจังหวัดราชบุรีว่า "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี ก็อดอาร์มี่บุกโรง'บาล" จากเหตุการณ์ที่พวกเขาบุกยึดโรงพยาบาลราชบุรีในปี 2543
ตีห้ากว่า ๆ ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ
ไม่แน่ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน นักรบของพระเจ้าอาจกำลังยืนอยู่ตรงที่เดียวกับผม แต่เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเช่นเดียวกับผมหรือไม่ ผมไม่อาจรู้ได้
2.
ประเทศพม่าเป็นชาติแห่งนักรบมาแต่บรรพกาล การรวมประเทศของพม่าจึงเป็นไปในลักษณะโจมตีเอาพื้นที่ของชนกลุ่มอื่นเป็นเมืองขึ้น ภายหลังความคิดแบบรัฐชาติจึงค่อยเข้ามาพร้อมกับการล่าอาณานิคม การจากไปของประเทศอังกฤษจึงทิ้งรอยแตกร้าวรอยใหญ่ไว้กับประเทศพม่า การพยายามรวมชาติโดยที่คนในชาติไม่มีสำนึกร่วม จึงทำให้การปกครองเป็นไปในลักษณะรัฐทหารใช้กำลังในการปกครอง ส่งผลให้ประชาชนแตกแยกออกเป็นชนกลุ่มน้อยมากมาย โดยเฉพาะชาวกระเหรี่ยงซึ่งเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของทหารพม่า เพราะเคยทำหน้าที่นายพรานนำทางทหารอังกฤษมาตีกองทัพพม่า ทำให้พวกเขาถูกทหารพม่าโจมตีหนักที่สุด นำมาสู่การรวมกลุ่มของชาวกระเหรี่ยงและการแตกแยกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยตามกระแสประวัติศาสตร์
ก็อดอาร์มี่เป็นหนึ่งในนั้น
ก็อดอาร์มี่เป็นกระเหรี่ยงอิสระที่แยกตัวออกมาจากกองทัพกระเหรี่ยงกู้ชาติ (Karen National Union - KNU) มีกำลังประมาณ 200 คน พวกเขามีผู้นำเป็นเด็กอายุเพียง 12 ปี (ในปี 2543) คือ ลูเซอร์ กับ จอห์นนี่ ฝาแฝดลิ้นดำที่สร้างชื่อจากการรบชนะทหารพม่าหลายครั้ง จนกองทหารที่ติดตามพวกเขาทั้งสองคนเชื่อว่า พระเจ้าได้ให้พลังแก่เด็กแฝดและทหารทุกนายในบังคับบัญชาเพื่อต่อสู้กับศัตรู จึงเป็นที่มาของชื่อ "นักรบของพระเจ้า" หรือก็อดอาร์มี่
3.
นับเวลามาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้สองฝาแฝดคงจะอายุไล่เลี่ยกับผม คือ 23 ปี
ก่อนหน้านี้สิบปี ผมยังเตะบอลลั้นลากับเพื่อนอยู่ที่บ้าน ฤาจะรู้ร้อนหนาวกับเหตุการณ์บ้านเมือง ความคิดของผมไม่มีอะไรมากไปกว่าหาความสนุกไปวัน ๆ
แล้วก่อนหน้านี้สิบปี ความคิดของฝาแฝดอายุ 12 ปี และนักรบพระเจ้าคนอื่นเป็นอย่างไร เหตุใดจึงตัดสินใจอุกอาจบุกเข้ายึดโรงพยาบาล ทั้งที่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะถูกเด็ดหัวเรียบจากหน่วยรบฝีมือฉกาจของไทย
พี่กวาง ไกด์หนุ่มของเราเล่าว่า สาเหตุหนึ่งที่ก็อดอาร์มี่ตัดสินใจบุกยึดโรงพยาบาล เป็นเพราะพวกเขาขาดเวชภัณฑ์ในการรักษากลุ่มทหารที่บาดเจ็บจากการปะทะกับทหารพม่า
เพราะห่วงใยเพื่อนร่วมสมรภูมิในป่า จึงตัดสินใจเอาตัวเข้าไปเสี่ยงสมรภูมิในเมือง
แต่ไม่ใช่ว่าคิดปุ๊บจะบุกยึดโรงพยาบาลปั๊บ - นักรบของพระเจ้าได้พยายามอย่างยิ่งแล้วที่จะเสาะหาเวชภัณฑ์จากที่อื่น เช่น สถานีอนามัย สถานพยาบาลท้องถิ่น แต่ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือนักรบพระเจ้าผู้ไร้สัญชาติไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไทยหรือพม่า
ผมไม่คิดกล่าวโทษใคร เพราะหากเป็นผม ผมเองก็คงไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วย เนื่องจากในขณะนั้นปัญหาการปะทะกันของทหารพม่าและชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บชายแดนเป็นเรื่องที่ทหารและประชาชนไทยวางตัวลำบาก เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมากล่าวหาว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไร้มนุษยธรรม
ประกอบกับความไม่พอใจที่ทหารไทยให้ความช่วยเหลือทหารพม่าชิงตัวประกันในเหตุการณ์ก็อดอาร์มี่บุกยึดสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยในปีก่อนทำให้พวกเขาทำใจลำบากที่จะเชื่อถือหรือรับความช่วยเหลือจากทหารไทยอีก
เมื่อสิ้นหนทางเหมือนหมาจนตรอก จากเรื่องราวเล็ก ๆ อย่างการขอเวชภัณฑ์จึงนำมาสู่การก่อการครั้งใหญ่ แน่นอนว่าตามด้วยเงื่อนไขหลายข้อเพื่อให้พวกเขาอยู่รอดต่อไป ซึ่งทางการไทยไม่สามารถยอมรับได้
และการก่อการครั้งใหญ่ ก็นำมาสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ของนักรบพระเจ้า เมื่อก็อดอาร์มี่ที่บุกยึดโรงพยาบาลทั้งสิบคนถูกหน่วยคอมมานโดของไทยปลิดชีพทั้งหมด
4.
16 มกราคม 2544 สองแฝดลิ้นดำพร้อมลูกน้องเข้ามอบตัวต่อทางการไทย ปิดฉากนักรบของพระเจ้าในดินแดนไทยลง
สิบปีต่อมา ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของนักรบพระเจ้า มาวันนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้คนมาเที่ยวชม เฝ้ารอเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเพื่อดื่มด่ำกับความสวยงามยามอรุณรุ่ง
สงครามไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์ การก่อการร้ายก็ไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน ผมลองคิดเล่น ๆ ว่า หากพวกเขาได้รับเวชภัณฑ์พอรักษาเพื่อนร่วมสมรภูมิได้ เหตุการณ์บุกยึดโรงพยาบาลอาจไม่เกิดขึ้น ลองนึกย้อนกลับไปนานกว่านั้น หากรัฐบาลทหารของพม่ายอมผ่อนปรนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อยที่เรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มี KNU ไม่มีก็อดอาร์มี่คอยเป็นเสี้ยนหนาม
การประนีประนอมย่อมทำให้ไม่เกิดสงคราม เมื่อไม่มีสงครามก็ไม่มีโศกนาฏกรรม แต่โลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ก็มีคนอยู่หลายจำพวก บางจำพวกก็ไม่อยากประนีประนอมกับใคร เช่นรัฐบาลทหารพม่า หรือม็อบบางสีที่ร้องแรกแหกกระเชอหาสงครามอยู่ไม่ขาดปาก
หกโมงกว่า ๆ ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม พระอาทิตย์กำลังทอแสงสวยงาม นักท่องเที่ยวหลายสิบคนพากันลั่นชัตเตอร์เสียงระงมเพื่อเก็บภาพความทรงจำอันแสนประทับใจนี้ไว้
สิบกว่าปีก่อน เสียงปืนจากการปะทะกันของทหารพม่าและนักรบพระเจ้า อาจจะกำลังดังระงมเหมือนเสียงชัตเตอร์ในขณะนี้
ผมได้แต่สงสัยว่า ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น สองแฝดลิ้นดำได้ชมความงามของอรุณรุ่งเหมือนอย่างที่ผมกำลังชมอยู่ในตอนนี้หรือเปล่า
วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๓/๐๒/๒๕๕๔
ตีห้ากว่า ๆ ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ รอชมพระอาทิตย์ขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวอีกหลายสิบชีวิต บ้างก็เพิ่งจะขึ้นมา บ้างก็ตั้งเต้นท์นอนรอตั้งแต่เมื่อคืน บรรยากาศของเขากระโจมในขณะนี้ดูครึกครื้น จนผมลืมไปว่าที่ที่ผมยืนอยู่นี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน...
เป็นเส้นทางลำเลียงไม้จากฝั่งพม่า ทั้งที่ผิดกฎหมายและถูกกฏหมาย
เป็นเขตชายแดนอันตรายที่เกิดการปะทะระหว่าง ตชด. ไทยและพม่าหลายครั้ง
เป็นหลุมศพของ ตชด. สิบกว่าชีวิต ในการผลักดันชนกลุ่มน้อยออกไปจากยอดเขาแห่งนี้
เป็นฐานที่มั่นสำคัญ และเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองกำลังกระเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยที่ถูกผลักดันจากดินแดนนักรบอย่างพม่าซึ่งมีอยู่มากมายหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่ชาวไทยรู้จักกันดีอย่าง "นักรบของพระเจ้า" หริอ ก็อดอาร์มี่ (God's Army)
กลุ่มนักรบที่เพื่อนสาวคนหนึ่งของข้าพเจ้านำไปต่อท้ายไว้ในคำขวัญของจังหวัดราชบุรีว่า "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี ก็อดอาร์มี่บุกโรง'บาล" จากเหตุการณ์ที่พวกเขาบุกยึดโรงพยาบาลราชบุรีในปี 2543
ตีห้ากว่า ๆ ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ
ไม่แน่ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน นักรบของพระเจ้าอาจกำลังยืนอยู่ตรงที่เดียวกับผม แต่เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเช่นเดียวกับผมหรือไม่ ผมไม่อาจรู้ได้
2.
ประเทศพม่าเป็นชาติแห่งนักรบมาแต่บรรพกาล การรวมประเทศของพม่าจึงเป็นไปในลักษณะโจมตีเอาพื้นที่ของชนกลุ่มอื่นเป็นเมืองขึ้น ภายหลังความคิดแบบรัฐชาติจึงค่อยเข้ามาพร้อมกับการล่าอาณานิคม การจากไปของประเทศอังกฤษจึงทิ้งรอยแตกร้าวรอยใหญ่ไว้กับประเทศพม่า การพยายามรวมชาติโดยที่คนในชาติไม่มีสำนึกร่วม จึงทำให้การปกครองเป็นไปในลักษณะรัฐทหารใช้กำลังในการปกครอง ส่งผลให้ประชาชนแตกแยกออกเป็นชนกลุ่มน้อยมากมาย โดยเฉพาะชาวกระเหรี่ยงซึ่งเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของทหารพม่า เพราะเคยทำหน้าที่นายพรานนำทางทหารอังกฤษมาตีกองทัพพม่า ทำให้พวกเขาถูกทหารพม่าโจมตีหนักที่สุด นำมาสู่การรวมกลุ่มของชาวกระเหรี่ยงและการแตกแยกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยตามกระแสประวัติศาสตร์
ก็อดอาร์มี่เป็นหนึ่งในนั้น
ก็อดอาร์มี่เป็นกระเหรี่ยงอิสระที่แยกตัวออกมาจากกองทัพกระเหรี่ยงกู้ชาติ (Karen National Union - KNU) มีกำลังประมาณ 200 คน พวกเขามีผู้นำเป็นเด็กอายุเพียง 12 ปี (ในปี 2543) คือ ลูเซอร์ กับ จอห์นนี่ ฝาแฝดลิ้นดำที่สร้างชื่อจากการรบชนะทหารพม่าหลายครั้ง จนกองทหารที่ติดตามพวกเขาทั้งสองคนเชื่อว่า พระเจ้าได้ให้พลังแก่เด็กแฝดและทหารทุกนายในบังคับบัญชาเพื่อต่อสู้กับศัตรู จึงเป็นที่มาของชื่อ "นักรบของพระเจ้า" หรือก็อดอาร์มี่
3.
นับเวลามาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้สองฝาแฝดคงจะอายุไล่เลี่ยกับผม คือ 23 ปี
ก่อนหน้านี้สิบปี ผมยังเตะบอลลั้นลากับเพื่อนอยู่ที่บ้าน ฤาจะรู้ร้อนหนาวกับเหตุการณ์บ้านเมือง ความคิดของผมไม่มีอะไรมากไปกว่าหาความสนุกไปวัน ๆ
แล้วก่อนหน้านี้สิบปี ความคิดของฝาแฝดอายุ 12 ปี และนักรบพระเจ้าคนอื่นเป็นอย่างไร เหตุใดจึงตัดสินใจอุกอาจบุกเข้ายึดโรงพยาบาล ทั้งที่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะถูกเด็ดหัวเรียบจากหน่วยรบฝีมือฉกาจของไทย
พี่กวาง ไกด์หนุ่มของเราเล่าว่า สาเหตุหนึ่งที่ก็อดอาร์มี่ตัดสินใจบุกยึดโรงพยาบาล เป็นเพราะพวกเขาขาดเวชภัณฑ์ในการรักษากลุ่มทหารที่บาดเจ็บจากการปะทะกับทหารพม่า
เพราะห่วงใยเพื่อนร่วมสมรภูมิในป่า จึงตัดสินใจเอาตัวเข้าไปเสี่ยงสมรภูมิในเมือง
แต่ไม่ใช่ว่าคิดปุ๊บจะบุกยึดโรงพยาบาลปั๊บ - นักรบของพระเจ้าได้พยายามอย่างยิ่งแล้วที่จะเสาะหาเวชภัณฑ์จากที่อื่น เช่น สถานีอนามัย สถานพยาบาลท้องถิ่น แต่ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือนักรบพระเจ้าผู้ไร้สัญชาติไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไทยหรือพม่า
ผมไม่คิดกล่าวโทษใคร เพราะหากเป็นผม ผมเองก็คงไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วย เนื่องจากในขณะนั้นปัญหาการปะทะกันของทหารพม่าและชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บชายแดนเป็นเรื่องที่ทหารและประชาชนไทยวางตัวลำบาก เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมากล่าวหาว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไร้มนุษยธรรม
ประกอบกับความไม่พอใจที่ทหารไทยให้ความช่วยเหลือทหารพม่าชิงตัวประกันในเหตุการณ์ก็อดอาร์มี่บุกยึดสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยในปีก่อนทำให้พวกเขาทำใจลำบากที่จะเชื่อถือหรือรับความช่วยเหลือจากทหารไทยอีก
เมื่อสิ้นหนทางเหมือนหมาจนตรอก จากเรื่องราวเล็ก ๆ อย่างการขอเวชภัณฑ์จึงนำมาสู่การก่อการครั้งใหญ่ แน่นอนว่าตามด้วยเงื่อนไขหลายข้อเพื่อให้พวกเขาอยู่รอดต่อไป ซึ่งทางการไทยไม่สามารถยอมรับได้
และการก่อการครั้งใหญ่ ก็นำมาสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ของนักรบพระเจ้า เมื่อก็อดอาร์มี่ที่บุกยึดโรงพยาบาลทั้งสิบคนถูกหน่วยคอมมานโดของไทยปลิดชีพทั้งหมด
4.
16 มกราคม 2544 สองแฝดลิ้นดำพร้อมลูกน้องเข้ามอบตัวต่อทางการไทย ปิดฉากนักรบของพระเจ้าในดินแดนไทยลง
สิบปีต่อมา ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของนักรบพระเจ้า มาวันนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้คนมาเที่ยวชม เฝ้ารอเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเพื่อดื่มด่ำกับความสวยงามยามอรุณรุ่ง
สงครามไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์ การก่อการร้ายก็ไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน ผมลองคิดเล่น ๆ ว่า หากพวกเขาได้รับเวชภัณฑ์พอรักษาเพื่อนร่วมสมรภูมิได้ เหตุการณ์บุกยึดโรงพยาบาลอาจไม่เกิดขึ้น ลองนึกย้อนกลับไปนานกว่านั้น หากรัฐบาลทหารของพม่ายอมผ่อนปรนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อยที่เรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มี KNU ไม่มีก็อดอาร์มี่คอยเป็นเสี้ยนหนาม
การประนีประนอมย่อมทำให้ไม่เกิดสงคราม เมื่อไม่มีสงครามก็ไม่มีโศกนาฏกรรม แต่โลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ก็มีคนอยู่หลายจำพวก บางจำพวกก็ไม่อยากประนีประนอมกับใคร เช่นรัฐบาลทหารพม่า หรือม็อบบางสีที่ร้องแรกแหกกระเชอหาสงครามอยู่ไม่ขาดปาก
หกโมงกว่า ๆ ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผมยืนอยู่บนยอดเขากระโจม พระอาทิตย์กำลังทอแสงสวยงาม นักท่องเที่ยวหลายสิบคนพากันลั่นชัตเตอร์เสียงระงมเพื่อเก็บภาพความทรงจำอันแสนประทับใจนี้ไว้
สิบกว่าปีก่อน เสียงปืนจากการปะทะกันของทหารพม่าและนักรบพระเจ้า อาจจะกำลังดังระงมเหมือนเสียงชัตเตอร์ในขณะนี้
ผมได้แต่สงสัยว่า ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น สองแฝดลิ้นดำได้ชมความงามของอรุณรุ่งเหมือนอย่างที่ผมกำลังชมอยู่ในตอนนี้หรือเปล่า
วุฒินันท์ ชัยศรี
๒๓/๐๒/๒๕๕๔
ไม่อาจรัก
๏ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร
แต่โปรดอย่าคิดไกลไปกว่านี้
เธอมีคนเคียงคู่, เธอรู้ดี
โปรดอย่าย่ำยีหัวใจใคร
๏ สำหรับอ้อมแขนแสนอบอุ่น
และคำรักหวานละมุนที่มอบให้
ฉันซาบซึ้ง, และขอตอบว่าขอบใจ
แต่อย่าเกินเลยไปกว่านี้เลย
๏ โปรดรักษาระยะห่างระหว่างเรา
ให้ไกลห่างอย่างวันเก่าเถิดใจเอ๋ย
อย่ามอบความเคยคุ้นกว่าคุ้นเคย
อย่าเฉลยความในใจในแววตา
๏ เส้นปมสัมพันธ์ผิดทาง
โปรดเก็บซ่อนให้ไกลห่างความห่วงหา
หักห้ามใจไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมา
ให้เวลาช่วยฝังกลบลบเลือนลง
๏ หากความรักทำลายใคร, มิใช่รัก
เถิดแน่นหนักในหัวใจไม่ลุ่มหลง
รีบดับไฟปรารถนาพาพะวง
และซื่อตรงต่อหัวใจไร้ราคี
๏ ไม่ว่าเธอคิดอะไรกับฉัน
ขอให้มันจบลงตรงนี้
ต้องรักษาระยะห่าง, ต่างรู้ดี
อย่าย่ำยีหัวใจใครเลย ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓/๐๒/๒๕๕๔
แต่โปรดอย่าคิดไกลไปกว่านี้
เธอมีคนเคียงคู่, เธอรู้ดี
โปรดอย่าย่ำยีหัวใจใคร
๏ สำหรับอ้อมแขนแสนอบอุ่น
และคำรักหวานละมุนที่มอบให้
ฉันซาบซึ้ง, และขอตอบว่าขอบใจ
แต่อย่าเกินเลยไปกว่านี้เลย
๏ โปรดรักษาระยะห่างระหว่างเรา
ให้ไกลห่างอย่างวันเก่าเถิดใจเอ๋ย
อย่ามอบความเคยคุ้นกว่าคุ้นเคย
อย่าเฉลยความในใจในแววตา
๏ เส้นปมสัมพันธ์ผิดทาง
โปรดเก็บซ่อนให้ไกลห่างความห่วงหา
หักห้ามใจไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมา
ให้เวลาช่วยฝังกลบลบเลือนลง
๏ หากความรักทำลายใคร, มิใช่รัก
เถิดแน่นหนักในหัวใจไม่ลุ่มหลง
รีบดับไฟปรารถนาพาพะวง
และซื่อตรงต่อหัวใจไร้ราคี
๏ ไม่ว่าเธอคิดอะไรกับฉัน
ขอให้มันจบลงตรงนี้
ต้องรักษาระยะห่าง, ต่างรู้ดี
อย่าย่ำยีหัวใจใครเลย ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๒๓/๐๒/๒๕๕๔
วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
กวีสาวแว่นสุดยอด!!
1.
มีเหตุผลอยู่ 2 ประการที่ผมไม่อยากจีบกวีสาวมาเป็นแฟน
(1.) กวีสาว หรือที่คุณเพ็ญ ภัคตะ มอบคำเรียกขานอันแสนไพเราะเพราะพริ้งไว้ว่า "กวิณี" ในความหมายอันเคร่งครัดของผมเอง คือกวีที่มีเพศสภาพเป็นหญิง โดยจะมีเพศสภาวะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่นับรวมกวีเพศชายที่มีเพศสภาวะเป็นหญิงแต่อย่างใด เท่าที่ผมรู้จักนั้นมีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับกวีหนุ่มที่ผมรู้จัก ปริมาณของกวีสาวที่มีน้อยเช่นนี้จึงทำให้ผมรู้สึกเทิดทูนกวีสาวประหนึ่งเป็นเพชรยอดมงกุฎทศกัณฐ์ และเต็มใจจะยกเธอไว้น้อมก้มประนมกรกราบวันละสามเวลาหลังอาหาร บวกเช้าและก่อนนอนมากกว่าจะจับจองถือครองเป็นสมบัติส่วนตัว
(2.) แม้ผมจะยังไม่อาจเรียกตัวเองว่ากวี หรือแม้แต่เฉียดใกล้สภาวะของกวี เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือเป็นได้แค่ไส้ติ่งของกวี ("หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย" สำทับไล่หลังมาว่า- อย่างแกก็ทำได้แค่เขียนกลอนด่าคนอื่นไปวัน ๆ ล่ะว้า) แต่ในแง่ของคำเปรียบเปรยที่ว่า "กวีไส้แห้ง" (ในความหมายที่แฝงนัยถึงปริมาณเงินในกระเป๋า มิใช่หุ่นทรงองค์เอว) นั้นผมรับมาเต็ม ๆ ครั้นจะเปิดรับกวีสาวเข้ามาร่วมสำมะโนครัว ก็เกรงว่าอัตราความไส้แห้งของครัวเรือนจะทบทวีไปมากกว่านี้
เหตุนี้เอง ไส้ติ่งกวีกระเป๋าตังค์แห้งหย็องกรอด ผู้ไม่เคยเข้าถึงสภาวะทิพย์ และไม่อาจอิ่มทิพย์อย่างผมจึงต้องซ่อนเร้นความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจให้ไกลห่างกวีสาวให้มากที่สุด และผันตัวเองไปเกาะ... เอ่อ พึ่งใบบุญหญิงสาวที่ปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีเยี่ยงพระเวสสันดรได้รับผมไปอุปการะเป็นสวนบุญเล็ก ๆ พอเป็นกระษัยเหมือนพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ เผื่อว่าวันหนึ่งผมจะจับพลัดจับผลูได้เฉียดกรายสภาวะของกวีบ้าง
แต่แล้วเหตุผลทุกข้อ คติประจำใจทุกอย่าง วันนี้กลับมลายหายไปเมื่อผมได้พบกับ "กวีสาวแว่นสุดยอด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" (อนุญาตให้ใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ซ้ำได้อีกเท่าที่ท่านต้องการ)
2.
หากเธอตัดสินคนจากการพบกันครั้งแรก ผมก็คงเป็นแค่ไอ้หนุ่มอ้วนเงื่องหงอยและบ้าการ์ตูนคนหนึ่งในห้อง Mind Room ของ TK park เพราะผมปรากฏตัวในฉากที่รายล้อมด้วยการ์ตูนวางอยู่เต็มที่นั่ง ในมือกำลังนั่งอ่าน Bakuman เล่ม 6 อย่างเนือย ๆ ส่วนหน้าตาที่ดูเงื่องหงอยเป็นเพราะเมื่อคืนวันก่อนใช้พลังแช่งหงส์ให้ตกรอบยูโรป้ามากเกินไปจนหลับไม่ลง 55
อันที่จริงผมก็พกอะไรที่ดูวิชาการอย่างชีทเรื่องชาดกไว้ในกระเป๋า แต่เมื่อพิจารณาจากสภาวะแวดล้อม อาทิ การรอเขียนงานโดยไม่มีเป้าหมายเวลาชัดเจน ประกอบกับการไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน ครั้นจะฝืนอ่านชาดกก็คงสัปหงกดูไม่งาม แต่หากจะหลบไปงีบบนออฟฟิศ TK นอกจากพี่ ๆ จะเฉดหัวลงมาที่เดิมแล้ว ยังอาจจะพลาดงานที่ต้องรับผิดชอบในวันนี้อีกต่างหาก ดังนั้นเพื่อไม่ให้หลับ และไม่ต้องรอคอยอย่างสูญเปล่า เลยตัดสินใจว่า เอาวะ อย่างน้อยก็อ่านการ์ตูนละกัน เผื่อได้พล็อตเรื่องดี ๆ ไปเขียนเรื่องสั้นบ้าง
แวบเดียวที่เราสบตา เธอก็เฉไฉสายตาไปทางอื่น
กลับมามองผ่านสายตาผม, หากผมตัดสินคนจากการพบกันครั้งแรก ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นกวีสาว รู้แค่เธอเป็นสาวแว่นสุดยอด, ขี้อาย, เก็บตัวพอสมควร สองข้อนี้ผมเดาจากลักษณะการกอดสมุด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เธอจะต้องเป็นคน "มีของ" อย่างแน่นอน ดูไม่ยากเลยในเมื่อแววตาเธอแฝงด้วยความเชื่อมั่นตัวเองจนผมสัมผัสได้ไม่ยาก คงเป็นคนประเภทดื้อเงียบ มั่นใจตัวเองแต่ก็ไม่ชอบเถียงกับใคร ผมอยากจะพิจารณาเธอให้นานกว่านี้ แต่เพื่อรักษามารยาทที่ดีในการพบกันครั้งแรก ในเมื่อเธออุตส่าห์เฉไฉสายตาไปทางอื่น ผมจะส่งสายตาหื่นต่อไปก็คงไม่งาม เราจึงหยุดการทักทายกันด้วยสายตาไว้เพียงเท่านั้น
แล้วเธอก็หายไปจากสายตาผม ส่วนผมนั้นคงหายไปจากสายตาเธอนานแล้ว
กลับมาสนใจการ์ตูนเพียงครู่เดียว ใจผมก็ไขว้เขวไปหาเธอในทันใด หันมองข้างตัวอีกที เธอไม่ปรากฏแม้เพียงปลายเล็บนิ้วก้อยให้ผมเห็น ผมหมุนตัวเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการมอง เห็นกระเป๋าเธอวางอยู่แวบ ๆ และขาเหยียดยาว- เธอนั่งพิงเสาต้นเดียวกับที่ผมนั่งพิงอยู่
ลองแพนกล้องออกมุมกว้าง -หากไม่มีเสาต้นนั้นกั้น เราก็นั่งพิงหลังกันอยู่
3.
ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเธอเป็นกวี
ทุกสิ่งที่ผมรู้ในนาทีนี้คือ เธอเป็นสาวแว่นสุดยอด, ขี้อาย, เก็บตัวพอสมควร, มีของ แต่ไม่รู้ว่าของนั้นคืออะไร, และเรานั่งพิงกันโดยมีเสากั้นอยู่
จนถึงเวลาที่กิจกรรมบนเวทีเริ่มขึ้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมต้องออกไปทำงาน นั่นแหละผมถึงได้รู้
เก็บการ์ตูน เช็คของในกระเป๋า ลุกขึ้น เดินออกไปจากห้อง Mind Room และอาศัยจังหวะเลี้ยวเพื่อแอบมองเธอก่อนไปแบบเนียน ๆ และไม่ให้เธอรู้สึกว่า ผมหื่นเกินไป (ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งที่เธอรู้สึกอาจจะน้อยเกินไป?)
น่าเสียดายที่กว่าจะถึงจังหวะเลี้ยว เราอยู่ไกลกันเกินไป สิ่งที่ผมเห็นจึงเป็นเพียงภาพไกล ๆ และนาทีนี้ไม่มีใครช่วยซูมกล้องเหมือนในหนัง
สมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ จดข้อความแบ่งวรรคอย่างเป็นระเบียบ การแบ่งวรรคตอนเรียงกันลงมาไม่น่าจะเป็นการเขียนเรียงความ น่าเสียดายที่ผมไม่เห็นถึงขนาดว่าเธอเขียนอะไร กลอนสุภาพ? กาพย์ยานี? กลอนเปล่า?
พื้นที่ว่างในหน้ากระดาษ เธอกำลังเขียนภาพประกอบเล็ก ๆ
นี่มัน... กวีสาวแว่นสุดยอด!!
"กอล์ฟ งานเริ่มแล้วจ้า"
เสียงพี่เจ้าของกิจกรรมเร่งอยู่ที่ประตู หากเธออยู่จนถึงงานจบ ผมอาจจะมีโอกาสได้คุยกับเธอบ้าง แต่ลางสังหรณ์เยาะเย้ยผมว่า "แกมีวาสนาแค่นี้แหละ"
4.
เธอหายไปไหนใครจะรู้ เพราะไม่มีใครมัดเธอไว้กับเสา จิตวิญญาณของกวีณีย่อมเป็นอิสระ พร้อมจะลิ่วโลดไปทั่วจักรวาล จิตวิญญาณผมก็เป็นอิสระเช่นกัน แต่ร่างกายผมมันดันมีพันธะให้วิ่งหัวปั่นกว่างานจะจบ
ห้อง Mind Room ในยามเย็นว่างเปล่า จิตวิญญาณคงสั่งให้ร่างกายเธอไปหาสถานที่เงียบสงัดเพื่อบ่มเพาะบทกวีให้งดงามกว่านี้ หรือไม่เช่นนั้นก็สั่งให้เธอไปเดินดูสินค้าทุนนิยมสามานย์เพื่อมาเขียนต่อต้านเป็นบทกวี หรือไม่เช่นนั้นก็ไปเดินดูเสื้อผ้าสวย ๆ ที่แพลตตินั่มตามประสาหญิงสาวธรรมดา
กวีสาว หาได้ยากยิ่ง กวีสาวแว่นสุดยอด ยิ่งหาได้ยาก ฤาเราจะได้พบกันเพียงเพื่อพรากจาก นี่อาจเป็นตำนานการผ่านพบไม่ผูกพันของ (ไส้ติ่ง) กวีหนุ่ม และกวีสาวแว่นสุดยอด หรืออาจเป็นแค่ภาพเลือนรางของน้ำค้างในพลบค่ำ
เธอหายไปไหนใครจะรู้ เพราะจิตวิญญาณของกวีณีย่อมเป็นอิสระ พร้อมจะลิ่วโลดไปทั่วจักรวาล ผมได้แต่หวังว่า สักวันผมจะได้เป็นกวีกับเขาบ้าง จะได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาล เผื่อว่าสักวันจิตวิญญาณกวีของสองเราอาจจะบังเอิญได้พบกันในซอกมุมใดซอกมุมหนึ่งของทางช้างเผือก
เฉกเช่นเดียวกับที่เราได้พบกันในวันนี้
๑๘/๐๒/๒๕๕๔
มีเหตุผลอยู่ 2 ประการที่ผมไม่อยากจีบกวีสาวมาเป็นแฟน
(1.) กวีสาว หรือที่คุณเพ็ญ ภัคตะ มอบคำเรียกขานอันแสนไพเราะเพราะพริ้งไว้ว่า "กวิณี" ในความหมายอันเคร่งครัดของผมเอง คือกวีที่มีเพศสภาพเป็นหญิง โดยจะมีเพศสภาวะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่นับรวมกวีเพศชายที่มีเพศสภาวะเป็นหญิงแต่อย่างใด เท่าที่ผมรู้จักนั้นมีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับกวีหนุ่มที่ผมรู้จัก ปริมาณของกวีสาวที่มีน้อยเช่นนี้จึงทำให้ผมรู้สึกเทิดทูนกวีสาวประหนึ่งเป็นเพชรยอดมงกุฎทศกัณฐ์ และเต็มใจจะยกเธอไว้น้อมก้มประนมกรกราบวันละสามเวลาหลังอาหาร บวกเช้าและก่อนนอนมากกว่าจะจับจองถือครองเป็นสมบัติส่วนตัว
(2.) แม้ผมจะยังไม่อาจเรียกตัวเองว่ากวี หรือแม้แต่เฉียดใกล้สภาวะของกวี เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือเป็นได้แค่ไส้ติ่งของกวี ("หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย" สำทับไล่หลังมาว่า- อย่างแกก็ทำได้แค่เขียนกลอนด่าคนอื่นไปวัน ๆ ล่ะว้า) แต่ในแง่ของคำเปรียบเปรยที่ว่า "กวีไส้แห้ง" (ในความหมายที่แฝงนัยถึงปริมาณเงินในกระเป๋า มิใช่หุ่นทรงองค์เอว) นั้นผมรับมาเต็ม ๆ ครั้นจะเปิดรับกวีสาวเข้ามาร่วมสำมะโนครัว ก็เกรงว่าอัตราความไส้แห้งของครัวเรือนจะทบทวีไปมากกว่านี้
เหตุนี้เอง ไส้ติ่งกวีกระเป๋าตังค์แห้งหย็องกรอด ผู้ไม่เคยเข้าถึงสภาวะทิพย์ และไม่อาจอิ่มทิพย์อย่างผมจึงต้องซ่อนเร้นความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจให้ไกลห่างกวีสาวให้มากที่สุด และผันตัวเองไปเกาะ... เอ่อ พึ่งใบบุญหญิงสาวที่ปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีเยี่ยงพระเวสสันดรได้รับผมไปอุปการะเป็นสวนบุญเล็ก ๆ พอเป็นกระษัยเหมือนพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ เผื่อว่าวันหนึ่งผมจะจับพลัดจับผลูได้เฉียดกรายสภาวะของกวีบ้าง
แต่แล้วเหตุผลทุกข้อ คติประจำใจทุกอย่าง วันนี้กลับมลายหายไปเมื่อผมได้พบกับ "กวีสาวแว่นสุดยอด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" (อนุญาตให้ใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ซ้ำได้อีกเท่าที่ท่านต้องการ)
2.
หากเธอตัดสินคนจากการพบกันครั้งแรก ผมก็คงเป็นแค่ไอ้หนุ่มอ้วนเงื่องหงอยและบ้าการ์ตูนคนหนึ่งในห้อง Mind Room ของ TK park เพราะผมปรากฏตัวในฉากที่รายล้อมด้วยการ์ตูนวางอยู่เต็มที่นั่ง ในมือกำลังนั่งอ่าน Bakuman เล่ม 6 อย่างเนือย ๆ ส่วนหน้าตาที่ดูเงื่องหงอยเป็นเพราะเมื่อคืนวันก่อนใช้พลังแช่งหงส์ให้ตกรอบยูโรป้ามากเกินไปจนหลับไม่ลง 55
อันที่จริงผมก็พกอะไรที่ดูวิชาการอย่างชีทเรื่องชาดกไว้ในกระเป๋า แต่เมื่อพิจารณาจากสภาวะแวดล้อม อาทิ การรอเขียนงานโดยไม่มีเป้าหมายเวลาชัดเจน ประกอบกับการไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน ครั้นจะฝืนอ่านชาดกก็คงสัปหงกดูไม่งาม แต่หากจะหลบไปงีบบนออฟฟิศ TK นอกจากพี่ ๆ จะเฉดหัวลงมาที่เดิมแล้ว ยังอาจจะพลาดงานที่ต้องรับผิดชอบในวันนี้อีกต่างหาก ดังนั้นเพื่อไม่ให้หลับ และไม่ต้องรอคอยอย่างสูญเปล่า เลยตัดสินใจว่า เอาวะ อย่างน้อยก็อ่านการ์ตูนละกัน เผื่อได้พล็อตเรื่องดี ๆ ไปเขียนเรื่องสั้นบ้าง
แวบเดียวที่เราสบตา เธอก็เฉไฉสายตาไปทางอื่น
กลับมามองผ่านสายตาผม, หากผมตัดสินคนจากการพบกันครั้งแรก ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นกวีสาว รู้แค่เธอเป็นสาวแว่นสุดยอด, ขี้อาย, เก็บตัวพอสมควร สองข้อนี้ผมเดาจากลักษณะการกอดสมุด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เธอจะต้องเป็นคน "มีของ" อย่างแน่นอน ดูไม่ยากเลยในเมื่อแววตาเธอแฝงด้วยความเชื่อมั่นตัวเองจนผมสัมผัสได้ไม่ยาก คงเป็นคนประเภทดื้อเงียบ มั่นใจตัวเองแต่ก็ไม่ชอบเถียงกับใคร ผมอยากจะพิจารณาเธอให้นานกว่านี้ แต่เพื่อรักษามารยาทที่ดีในการพบกันครั้งแรก ในเมื่อเธออุตส่าห์เฉไฉสายตาไปทางอื่น ผมจะส่งสายตาหื่นต่อไปก็คงไม่งาม เราจึงหยุดการทักทายกันด้วยสายตาไว้เพียงเท่านั้น
แล้วเธอก็หายไปจากสายตาผม ส่วนผมนั้นคงหายไปจากสายตาเธอนานแล้ว
กลับมาสนใจการ์ตูนเพียงครู่เดียว ใจผมก็ไขว้เขวไปหาเธอในทันใด หันมองข้างตัวอีกที เธอไม่ปรากฏแม้เพียงปลายเล็บนิ้วก้อยให้ผมเห็น ผมหมุนตัวเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการมอง เห็นกระเป๋าเธอวางอยู่แวบ ๆ และขาเหยียดยาว- เธอนั่งพิงเสาต้นเดียวกับที่ผมนั่งพิงอยู่
ลองแพนกล้องออกมุมกว้าง -หากไม่มีเสาต้นนั้นกั้น เราก็นั่งพิงหลังกันอยู่
3.
ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเธอเป็นกวี
ทุกสิ่งที่ผมรู้ในนาทีนี้คือ เธอเป็นสาวแว่นสุดยอด, ขี้อาย, เก็บตัวพอสมควร, มีของ แต่ไม่รู้ว่าของนั้นคืออะไร, และเรานั่งพิงกันโดยมีเสากั้นอยู่
จนถึงเวลาที่กิจกรรมบนเวทีเริ่มขึ้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมต้องออกไปทำงาน นั่นแหละผมถึงได้รู้
เก็บการ์ตูน เช็คของในกระเป๋า ลุกขึ้น เดินออกไปจากห้อง Mind Room และอาศัยจังหวะเลี้ยวเพื่อแอบมองเธอก่อนไปแบบเนียน ๆ และไม่ให้เธอรู้สึกว่า ผมหื่นเกินไป (ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งที่เธอรู้สึกอาจจะน้อยเกินไป?)
น่าเสียดายที่กว่าจะถึงจังหวะเลี้ยว เราอยู่ไกลกันเกินไป สิ่งที่ผมเห็นจึงเป็นเพียงภาพไกล ๆ และนาทีนี้ไม่มีใครช่วยซูมกล้องเหมือนในหนัง
สมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ จดข้อความแบ่งวรรคอย่างเป็นระเบียบ การแบ่งวรรคตอนเรียงกันลงมาไม่น่าจะเป็นการเขียนเรียงความ น่าเสียดายที่ผมไม่เห็นถึงขนาดว่าเธอเขียนอะไร กลอนสุภาพ? กาพย์ยานี? กลอนเปล่า?
พื้นที่ว่างในหน้ากระดาษ เธอกำลังเขียนภาพประกอบเล็ก ๆ
นี่มัน... กวีสาวแว่นสุดยอด!!
"กอล์ฟ งานเริ่มแล้วจ้า"
เสียงพี่เจ้าของกิจกรรมเร่งอยู่ที่ประตู หากเธออยู่จนถึงงานจบ ผมอาจจะมีโอกาสได้คุยกับเธอบ้าง แต่ลางสังหรณ์เยาะเย้ยผมว่า "แกมีวาสนาแค่นี้แหละ"
4.
เธอหายไปไหนใครจะรู้ เพราะไม่มีใครมัดเธอไว้กับเสา จิตวิญญาณของกวีณีย่อมเป็นอิสระ พร้อมจะลิ่วโลดไปทั่วจักรวาล จิตวิญญาณผมก็เป็นอิสระเช่นกัน แต่ร่างกายผมมันดันมีพันธะให้วิ่งหัวปั่นกว่างานจะจบ
ห้อง Mind Room ในยามเย็นว่างเปล่า จิตวิญญาณคงสั่งให้ร่างกายเธอไปหาสถานที่เงียบสงัดเพื่อบ่มเพาะบทกวีให้งดงามกว่านี้ หรือไม่เช่นนั้นก็สั่งให้เธอไปเดินดูสินค้าทุนนิยมสามานย์เพื่อมาเขียนต่อต้านเป็นบทกวี หรือไม่เช่นนั้นก็ไปเดินดูเสื้อผ้าสวย ๆ ที่แพลตตินั่มตามประสาหญิงสาวธรรมดา
กวีสาว หาได้ยากยิ่ง กวีสาวแว่นสุดยอด ยิ่งหาได้ยาก ฤาเราจะได้พบกันเพียงเพื่อพรากจาก นี่อาจเป็นตำนานการผ่านพบไม่ผูกพันของ (ไส้ติ่ง) กวีหนุ่ม และกวีสาวแว่นสุดยอด หรืออาจเป็นแค่ภาพเลือนรางของน้ำค้างในพลบค่ำ
เธอหายไปไหนใครจะรู้ เพราะจิตวิญญาณของกวีณีย่อมเป็นอิสระ พร้อมจะลิ่วโลดไปทั่วจักรวาล ผมได้แต่หวังว่า สักวันผมจะได้เป็นกวีกับเขาบ้าง จะได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาล เผื่อว่าสักวันจิตวิญญาณกวีของสองเราอาจจะบังเอิญได้พบกันในซอกมุมใดซอกมุมหนึ่งของทางช้างเผือก
เฉกเช่นเดียวกับที่เราได้พบกันในวันนี้
๑๘/๐๒/๒๕๕๔
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ที่เดิม
๏ แล้วเราก็กลับไปที่เดิม
วันแรกที่เราเริ่มรู้จัก
วันที่เธอยิ้มอายก่อนทายทัก
และวันแรกที่เผลอรักหมดใจ
๏ วันที่มองห่างห่างอยู่อย่างนั้น
วันที่แค่คิดฝันก็หวั่นไหว
วันที่มองฟ้ากว้างไกลแสนไกล
กลับเห็นรอยยิ้มใครอยู่ใกล้ตา
๏ ไม่เคยคิดว่าจะรู้จัก
ทำได้แค่แอบรักและหลบหน้า
แต่แล้วพรหมลิขิตก็ขีดมา
เพื่อนำพาให้รู้จักและรักกัน
๏ แม้วันนี้จะเหลือแค่ความอ้างว้าง
แม้ทุกอย่างจางหายคล้ายภาพฝัน
แต่เธอก็จะเป็นคนสำคัญ
อยู่ในใจฉันตลอดไป
๏ แล้วฉันก็กลับมาที่เดิม
กลับมาเริ่มเรียนรู้รักครั้งใหม่
กลับมาลบล้างรอยแผลใจ
และกลับมาร้องไห้... เพียงลำพัง ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๔/๐๒/๒๕๕๔
วันแรกที่เราเริ่มรู้จัก
วันที่เธอยิ้มอายก่อนทายทัก
และวันแรกที่เผลอรักหมดใจ
๏ วันที่มองห่างห่างอยู่อย่างนั้น
วันที่แค่คิดฝันก็หวั่นไหว
วันที่มองฟ้ากว้างไกลแสนไกล
กลับเห็นรอยยิ้มใครอยู่ใกล้ตา
๏ ไม่เคยคิดว่าจะรู้จัก
ทำได้แค่แอบรักและหลบหน้า
แต่แล้วพรหมลิขิตก็ขีดมา
เพื่อนำพาให้รู้จักและรักกัน
๏ แม้วันนี้จะเหลือแค่ความอ้างว้าง
แม้ทุกอย่างจางหายคล้ายภาพฝัน
แต่เธอก็จะเป็นคนสำคัญ
อยู่ในใจฉันตลอดไป
๏ แล้วฉันก็กลับมาที่เดิม
กลับมาเริ่มเรียนรู้รักครั้งใหม่
กลับมาลบล้างรอยแผลใจ
และกลับมาร้องไห้... เพียงลำพัง ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๔/๐๒/๒๕๕๔
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เรื่องของคนรักชาติ
๏ ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
ความผิดของความผิดคือถูกต้อง
ใครจะสนความชอบธรรมตามทำนอง
มันต้องไหลตามครรลองของการเมือง
๏ ผลประโยชน์เมื่อสุกงอมก็พูดง่าย
ไม่สนหรอกจะขวาซ้ายหรือแดงเหลือง
น้ำลายเคยพ่นไปก็เปล่าเปลือง
ลืมคนเคยขุ่นเคือง, เรื่องชิว-ชิว
๏ ใครจะรบก็รบไปใครจะสน
ตายล้านคนก็ยิ่งดีเรื่องขี้ประติ๋ว
ระเบิดลงคนร่ำไห้ไปตามคิว
(แค่อย่าปลิวลงบ้านฉันแค่นั้นพอ)
๏ แล้วสงครามก็เริ่มตามการกำกับ
หลังรับทรัพย์เข้ากระเป๋าเอาละพ่อ
เอ้าพี่น้องรวมพลังอย่ารั้งรอ
อย่าเพิ่งท้อแม้ไทยตายไปหลายคน
๏ ถึงใครจะไร้บ้านก็ช่างมัน
ใครจะนอนหนาวสั่นก็อย่าสน
เสียดินแดนมันเจ็บนะใครจะทน
เรามันคนรักชาติ (ปาดน้ำลาย)
๏ รวมพลังกู้ชาติไทย (ยังไม่ล่ม)
มาร่วมจมนาวาไทยให้ฉิบหาย
เผื่อฟลุกมีเก้าอี้ว่างนั่งสบาย
แร้งกระหายในอำนาจปราดเข้าทึ้ง
๏ เอ้า! ได้ทีก็ขอเชิญเดินเกมรุก
ถ้าหมดมุกก็ถอยไปใจไม่ถึง
(แต่อย่าเผลอพลาดมาเชียวนะมึง
เดี๋ยวรถถังจะทะลึ่งมายึดเมือง!) ๚ะ๛
วุฒินันท์ ชัยศรี
๐๘/๐๒/๒๕๕๔
ความผิดของความผิดคือถูกต้อง
ใครจะสนความชอบธรรมตามทำนอง
มันต้องไหลตามครรลองของการเมือง
๏ ผลประโยชน์เมื่อสุกงอมก็พูดง่าย
ไม่สนหรอกจะขวาซ้ายหรือแดงเหลือง
น้ำลายเคยพ่นไปก็เปล่าเปลือง
ลืมคนเคยขุ่นเคือง, เรื่องชิว-ชิว
๏ ใครจะรบก็รบไปใครจะสน
ตายล้านคนก็ยิ่งดีเรื่องขี้ประติ๋ว
ระเบิดลงคนร่ำไห้ไปตามคิว
(แค่อย่าปลิวลงบ้านฉันแค่นั้นพอ)
๏ แล้วสงครามก็เริ่มตามการกำกับ
หลังรับทรัพย์เข้ากระเป๋าเอาละพ่อ
เอ้าพี่น้องรวมพลังอย่ารั้งรอ
อย่าเพิ่งท้อแม้ไทยตายไปหลายคน
๏ ถึงใครจะไร้บ้านก็ช่างมัน
ใครจะนอนหนาวสั่นก็อย่าสน
เสียดินแดนมันเจ็บนะใครจะทน
เรามันคนรักชาติ (ปาดน้ำลาย)
๏ รวมพลังกู้ชาติไทย (ยังไม่ล่ม)
มาร่วมจมนาวาไทยให้ฉิบหาย
เผื่อฟลุกมีเก้าอี้ว่างนั่งสบาย
แร้งกระหายในอำนาจปราดเข้าทึ้ง
๏ เอ้า! ได้ทีก็ขอเชิญเดินเกมรุก
ถ้าหมดมุกก็ถอยไปใจไม่ถึง
(แต่อย่าเผลอพลาดมาเชียวนะมึง
เดี๋ยวรถถังจะทะลึ่งมายึดเมือง!) ๚ะ๛
วุฒินันท์ ชัยศรี
๐๘/๐๒/๒๕๕๔
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
แด่... ยอดดรุณี (๒)
๏ งามราวกับเจ้าหญิง
เจ้างามยิ่งทุกสิ่งงาม
ดวงใจจึงไหววาม
ในความหวานของแววตา
๏ รอยยิ้มราวแรกแย้ม
แตะแต้มเล่ห์สิเหน่หา
ใจเอยเคยเฉยชา
กลับร้อนจิตด้วยพิษรัก
๏ งามผ่องพิสุทธิ์ใส
พิสุทธิ์ใจได้ประจักษ์
ผิวน้ำนมนุ่มเนียนนัก
ซ้ำพ่ายพักตร์เมื่อเพ่งพิศ
๏ หัวใจจึงไหวอ่อน
เมื่อรักร้อนรัญจวนจิต
ซึมลึกและออกฤทธิ์
ถูกพิษดิ้นระด่าวใจ
๏ หรือเธอคือนางฟ้า
หล่นลงมาจากฟ้าใด
หรือมุ่งมาแกล้งให้
เหล่าเม็ดดินได้ชื่นชม
๏ เพื่อดินจะได้ร้อน
ใจไหวรอนทนทุกข์ระทม
แม้ทราบไม่ควรสม
กลับยากถอนซึ่งศรรัก
๏ นางฟ้านะนางฟ้า
ใยลงมาลงทัณฑ์หนัก
ดินทนทุกข์ใจนัก
เฝ้าครวญคร่ำรำพันรำพึง
๏ ฝากรักถึงนางฟ้า
แม้รู้ว่าจะไม่ถึง
ดวงใจไหวคะนึง
ถึงนางฟ้ากว่าสิ้นลม ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๘/๐๒/๒๕๕๔
เจ้างามยิ่งทุกสิ่งงาม
ดวงใจจึงไหววาม
ในความหวานของแววตา
๏ รอยยิ้มราวแรกแย้ม
แตะแต้มเล่ห์สิเหน่หา
ใจเอยเคยเฉยชา
กลับร้อนจิตด้วยพิษรัก
๏ งามผ่องพิสุทธิ์ใส
พิสุทธิ์ใจได้ประจักษ์
ผิวน้ำนมนุ่มเนียนนัก
ซ้ำพ่ายพักตร์เมื่อเพ่งพิศ
๏ หัวใจจึงไหวอ่อน
เมื่อรักร้อนรัญจวนจิต
ซึมลึกและออกฤทธิ์
ถูกพิษดิ้นระด่าวใจ
๏ หรือเธอคือนางฟ้า
หล่นลงมาจากฟ้าใด
หรือมุ่งมาแกล้งให้
เหล่าเม็ดดินได้ชื่นชม
๏ เพื่อดินจะได้ร้อน
ใจไหวรอนทนทุกข์ระทม
แม้ทราบไม่ควรสม
กลับยากถอนซึ่งศรรัก
๏ นางฟ้านะนางฟ้า
ใยลงมาลงทัณฑ์หนัก
ดินทนทุกข์ใจนัก
เฝ้าครวญคร่ำรำพันรำพึง
๏ ฝากรักถึงนางฟ้า
แม้รู้ว่าจะไม่ถึง
ดวงใจไหวคะนึง
ถึงนางฟ้ากว่าสิ้นลม ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๘/๐๒/๒๕๕๔
วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันนี้ "ผี" และ "ผม" จมลงหลุม!
๏ ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน
ลูกบอลลูกกลมกลมก็กลมกลิ้ง
จะนำอยู่กี่ลูกก็ถูกยิง
แล้วความจริงก็ไล่ล่าจนปราชัย
๏ ดูซิ! สถิติหรูผู้ไร้พ่าย
แล้วก็แพ้ง่ายง่ายฉิบหายไหม
เปลี่ยนสโคลล์ลงคุมเกมยังห่างไกล
แล้วทีมบ๊วยก็ดีใจได้ล้มแชมป์!
๏ (มันอะไรกันนักหนานะวันนี้
ปืนนำตั้งสี่แค่แบ่งแต้ม)
พรุ่งนี้คงไม่พ้นโดนเหน็บแนม
"อุ้ย ทีมแชมป์ แพ้ทีมบ๊วย เล่นห่วยจัง"
๏ ไอ้เรื่องเหน็บให้เจ็บท้อพอทนได้
ถึงทีใครก็ทีใครดีใจมั่ง
แต่ที่ทนไม่ไหวมัน "หลายตังค์"
เกจิดังเซียนบอลเด็ดเสร็จทุกราย
๏ หมดตูดถึงหูรูดสะอาดเรี่ยม
เจ้าหนี้ทวงยังทำเหนียมไม่ยอมจ่าย
กระเป๋าตังค์ช่างปลอดโปร่งโล่งสบาย
เงินบินหายลาลับไม่กลับมา
๏ ผีแดงถูกหมาป่าถองเป็นของหวาน
เจ้าของโต๊ะก็หน้าบานกันถ้วนหน้า
ส่วนฉันเหลือแต่ตัวกับน้ำตา
หยิบมาม่ามาต้มกินจนสิ้นเดือน ๚ะ๛
๐๖/๐๒/๒๕๕๔
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
จูบ
๏ นี่สินะ "ปากนิด จมูกหน่อย"
ก็ยังน้อยเกินถ้อยนั้นบรรยายได้
ริมฝีปากจิ้มลิ้มดูอิ่มใจ
ราวดอกไม้แรกแย้มแต้มโลกงาม
๏ อยากประทับจุมพิตลงตรงโอษฐ์นั้น
แค่คิดฝันก็หวั่นไหวใจวาบหวาม
รู้ทั้งรู้ว่าอุกอาจมารยาททราม
แต่เกินห้ามมิให้ใจได้ชื่นเชย
๏ ใจหนอใจไฉนเป็นเช่นฉะนี้
ยกโทษให้พี่เถิดน้องเอ๋ย
ขอสาบานว่าหัวใจพี่ไม่เคย
คิดเกินเลยอื่นไกลไปกว่านี้
๏ เจ้าโอษฐ์อิ่มพริ้มชวนรัญจวนจิต
ได้จุมพิตสักครั้งคงสุขี
ขอฝากรอยจุมพิตรักไว้สักที
นะคนดี, จูบในฝัน... แค่นั้นพอ ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๑/๐๒/๒๕๕๔
ก็ยังน้อยเกินถ้อยนั้นบรรยายได้
ริมฝีปากจิ้มลิ้มดูอิ่มใจ
ราวดอกไม้แรกแย้มแต้มโลกงาม
๏ อยากประทับจุมพิตลงตรงโอษฐ์นั้น
แค่คิดฝันก็หวั่นไหวใจวาบหวาม
รู้ทั้งรู้ว่าอุกอาจมารยาททราม
แต่เกินห้ามมิให้ใจได้ชื่นเชย
๏ ใจหนอใจไฉนเป็นเช่นฉะนี้
ยกโทษให้พี่เถิดน้องเอ๋ย
ขอสาบานว่าหัวใจพี่ไม่เคย
คิดเกินเลยอื่นไกลไปกว่านี้
๏ เจ้าโอษฐ์อิ่มพริ้มชวนรัญจวนจิต
ได้จุมพิตสักครั้งคงสุขี
ขอฝากรอยจุมพิตรักไว้สักที
นะคนดี, จูบในฝัน... แค่นั้นพอ ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๐๑/๐๒/๒๕๕๔
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)