วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก



(๑)

หัวใจผมหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่ได้ยินว่าเธอป่วยเป็นธาลัสซีเมีย (โรคโลหิตจาง)

"นี่เป็นโรคเดียวกับนางเอกหนังเกาหลีเรอะ" พูดพลางนึกภาพหญิงสาวจากทิศตะวันตกหน้าซีดนอนซมอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง ไอแค่ก ๆ พูดด้วยเสียงแหบแห้งฟังไม่ได้ศัพท์---

"นั่นมันลูคีเมียค่ะ" เธอตอบกลั้วหัวเราะ

แม้อาการจะไม่หนักหนาเท่าโรคนางเอกหนังเกาหลี แต่ผลข้างเคียงของโรคนี้ก็ทำให้ร่างกายเธออ่อนแอกว่าปกติ ป่วยเป็นโรคอะไรสักครั้งหนึ่งก็มักจะอาการหนักถึงขั้นนอนซมในโรงพยาบาล บางครั้งถึงกับต้องให้เลือด ผมฟังเรื่องของเธอแล้วนึกถึงแม่ซึ่งป่วยอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน

ผมเป็นคนค่อนข้างโชคดีที่เกิดมาโดยไม่พกโรคอะไรติดตัวมาด้วย โดยเฉพาะไอ้พวกลงท้ายด้วยคำว่าเอีย ๆ จะมีก็แต่นิสัยเอี้ย ๆ และอาการฮิสทีเรียซึ่งเป็นบ้างหายบ้าง นอกจากนั้นก็ยังมีอาการอยากได้มือถือโซนี่เอ็กซ์พีเรียรุ่นใหม่ล่าสุดไม่ก็โนเกียลูเมียอยู่เป็นพัก ๆ ซึ่งไม่เคยบำบัดได้เพราะไม่มีเงินซื้อ (อาจจะบำบัดได้หลังแต่งงานโดยการขอเิงินเมีย)

เราโบกมือลาจากกัน อาการป่วยของหญิงสาวจากทิศตะวันตกยังค้างคาอยู่ในใจ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เรียนหมอ ไม่เช่นนั้นจะเสนอตัวขอเป็นนายแพทย์ประจำตัวตลอดชีวิต รักษาฟรีทุกโรคจนกว่าผมจะตายจาก (แต่อาจไม่จำเป็นเพราะว่าเธอเองก็รวยอยู่แล้ว) จะมีอะไรที่ผมพอจะทำให้เธอได้ไหมนะ

มองร่างกายอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์เกินขนาดของตัวเองในกระจก แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้

(๒)

เกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยบริจาคเลือด ครั้งล่าสุดคงเป็นช่วงกลางปีหลังจากส่งวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ใช่ที่สภากาชาด พยายามค้นหาบัตรเก่าของตัวเองแต่หาไม่เจอ เข้าใจว่าทำหายไปเสียแล้ว แต่เมื่อสอบถามเพื่อนแล้วก็ได้ความว่าเริ่มบริจาคใหม่ได้เลยเพราะแต่ละที่ไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน ต้องเก็บประวัติใหม่อยู่แล้ว

แม้การบริจาคเลือดถือเป็นการทำบุญกุศล แต่หญิงสาวจากทิศตะวันตกก็คงรู้ว่าเมื่อก่อนการบริจาคเลือดของผมมีฮิดเด้นอาเจนด้า ไม่ได้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การทำกุศลกรรม ทว่าในครั้งนี้ผมมาสภากาชาดโดยมีเป้าหมายคืออยากสร้างบุญกุศลอย่างแท้จริง

เปล่า, ผมไม่ได้อยากจะขึ้นสวรรค์ สำหรับคนบาปหนาห่างไกลวัดอย่างผมแล้ว ด้วยกุศลกรรมเพียงเท่านี้จะให้ขึ้นสวรรค์คงยากเสียยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก (ซึ่งยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอย่างเทียบกันไม่ได้)

อาการป่วยของหญิงสาวจากทิศตะวันตก และข่าวว่าเลือดในคลังของสภากาชาดหมดแล้ว คือเหตุผลที่ผมกลับมาบริจาคเลือดอีกครั้ง แม้ว่าหากเธอป่วย เธอก็จะไม่ได้รับเลือดจากผมอยู่ดี เพราะเลือดเราคนละกรุ๊ปกัน (เธอรับเลือดจากกรุ๊ปผมไม่ได้) แต่อย่างน้อยก็ถือว่าคนบาปหนาอย่างผมได้มีโอกาสทำกุศลกรรมอยู่บ้าง และผมจะมอบทั้งหมดให้เธอ---

"ให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี
เท่าที่ชีพนี้จะมีได้
มีใจก็จะให้หัวใจ
ไม่มีก็จะให้เท่าที่มี"

ในเมื่อหัวใจทั้งดวง ผมให้เธอไปหมดแล้ว เหลือก็แต่เลือดเนื้อสังขารที่รอวันแตกดับ หากมันจะทำประโยชน์ให้เธอได้แม้เพียงน้อยนิดหรือในทางอ้อมแค่ไหนก็ตาม ผมก็ยินดีจะมอบให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี

(๓)

ตั้งใจไว้ว่าปีหน้าที่จะถึงนี้ ผมจะบริจาคเลือดให้ครบทั้ง ๔ ครั้ง และบริจาคเกล็ดเลือดหรือพลาสม่าบ้างในแต่ละเดือนหากมีโอกาส หรือร่างกายยังพอบริจาคไหว

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำรัสว่า

"ผู้บริจาคโลหิตทุกท่านเป็นผู้บำเพ็ญกุศลอันสูงยิ่ง เพราะได้ต่อชีวิตอันเป็นสิ่งที่รักและหวงแหนที่สุดของมนุษย์ โดยไม่คำนึงว่าผู้รับจะเป็นใคร และให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"

แต่ผมบริจาคโดยหวังสิ่งตอบแทนดังนี้---

ขอให้บุญกุศลนี้เป็นของขวัญอีกหนึ่งอย่างที่ผมจะมอบให้ผู้หญิงที่ผมรักทั้งสองคน --แม่ และหญิงสาวจากทิศตะวันตก-- ขอให้กุศลกรรมทั้งหมดที่ผมจะได้รับจากการบริจาคเลือดตลอดปีนี้ถึงปีหน้าส่งผลให้ทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรงตลอดปี ปีหน้าขอให้แม่ไม่มีโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน ปีหน้าขอให้เป็นปีที่หญิงสาวจากทิศตะวันตกไม่ป่วยเลยแม้เพียงครั้งเดียว

นี่คงจะเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ เท่าที่ผู้ชายตัวเล็ก ๆ อย่างผมจะทำให้คนที่ผมรักได้


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น