วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

บางมุมมองจากนอกกรง?

(1.)
เสียงแกว๊ก แกว๊ก ของนกแก้วแสบหูน่ารำคาญ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเดอะมอลล์ บางกะปิ ห้างสรรพสินค้าที่มีคนเคยให้สมญาว่าเป็นห้างที่หนวกหูที่สุดในสยามประเทศ กระนั้นก็เป็นห้างซึ่งข้าพเจ้าผู้พิสมัยความเงียบมาเดินบ่อยที่สุด เพราะอยู่ใกล้หอพักที่สุดนั่นเอง (ในกรณีนี้ ระบบ Noise Cancelling ของหูฟัง Sony อาจช่วยท่านได้นิดหน่อย)

นกแก้วตัวอ้วน ไม่รู้จะบินไปไหนได้รึเปล่า ผมแอบเชียร์อยู่เงียบ ๆ ว่าแกบินออกไปทางประตูที่อยู่ใกล้ ๆ สิ (ประตูทางเข้าใกล้ประมาณ 10 เมตร) แต่ถึงแอบสบตาส่งโทรจิตให้มันหลายร้อยครั้งในรอบปีแล้ว มันก็ยังแหกปาก แกว๊ก แกว๊ก อย่างไม่รู้สึกรู้สา

นิยายเรื่อง พาย พาเทล ได้บอก (หลอก?) ความจริงข้อหนึ่งของสัตว์ที่อยู่ในกรงว่า คนชอบคิดไปเองว่ามันต้องการอิสระ อันที่จริงสัตว์มันไม่คิดซับซ้อน สถานที่ซึ่งมันเกิด หรืออยู่มาระยะหนึ่ง หากมีอาหารพร้อม มีที่ให้นอนหลับพักผ่อนสบาย ๆ ไม่ต้องหวาดระแวงผู้ล่าตัวอื่น ๆ มันก็ยินดีที่จะอยู่หลังกรงไปจนกว่าจะตาย

คงจะเหมือนเจ้านกแก้วที่เกาะคอนอยู่ในห้างนี้ แม้ว่าจะไม่มีกรงคอยคุมขัง (แม้ว่าพื้นที่ในห้างก็เป็นกรงชนิดหนึ่ง) แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะบินไปไหน ยืนเกาะคอนส่งเสียงหนวกหูได้ทั้งวัน

(2.)
ตามประสาคนชอบเขียน ผมก็หยิบเรื่องราวรอบตัวมาใส่สีตีพล็อตไปเรื่อย ถ้าผมยังอายุน้อยกว่านี้สักสามสี่ปี คงจะเขียนเรื่องประมาณว่านกที่ยอมอยู่ในห้างที่คุมขังมันอยู่ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ยอมอยู่ในกรงขังทุนนิยม ยินยอมถูกหลอกด้วยวาทกรรม "ไลฟ์สไตล์อิสระในแบบของคุณ" ดูเหมือนไม่ได้ถูกขัง แต่ที่จริงกรงทุนนิยมแม่งใหญ่จนเกินกว่าสายตาของนกน้อยในกรงทุนนิยมจะมองเห็น

แน่นอนว่าเรื่องสั้นนี้ต้องถูกเขียนขึ้นโดยผมเองซึ่งเชื่อว่าตนเองเป็นคนนอกกรง มองเห็นทุกระบบที่ชักใยคนในกรงให้หลงใหลในอิสระจอมปลอม ยักไหล่ในความกระหยิ่มผยอง เราช่างเป็นนักเขียนผู้มีทัศนวิสัยอ่านเกมส์ขาดแท้!

แต่ในวัยที่อายุเฉียดเบญจเพส พล็อตทำนองนี้ถูกตั้งคำถามไว้สองสามข้อในใจ 1) มึงเข้าใจคำว่ากรงจริง ๆ เหรอวะ? 2) มึงอยู่นอกกรงจริง ๆ เหรอวะ? และ 3) อยู่นอกกรงแล้วมันเท่ตรงไหนวะ?

สโคปสองคำถามแรกให้อยู่ในทางโลก (เพราะถ้ากินความไปทางพุทธธรรมก็จะต้องตีความทำนองว่า กรงคือกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท อยากอยู่นอกกรงมึงก็ต้องตัดอวิชชา เข้าสู่นิพพาน อะไรทำนองนั้น) สมมติว่าให้กรงคือวงจรทุนนิยม คนที่ปฏิเสธทุนนิยมแม่งเท่ เป็นคนนอกกรง แต่จะทำอย่างนั้นได้ไปเป็นโจน จันได ก่อนเถอะพ่อคุณ คำถามที่สองจึงตอบได้ไม่ยากเลยว่า ไอ้นักเขียนตัวอ้วน ๆ ที่กำลังผูกเรื่องอยู่นี่แม่งก็อยู่ในวงจรทุนนิยม จะผูกเรื่องไปส่งตีพิมพ์เอาเงินหรือเอารางวัล พิมพ์เป็นวรรณกรรมต่อต้านทุนนิยมที่ไม่มีใครรู้สึกรู้สา นักเขียนอย่างผมได้เงินจากวรรณกรรมต่อต้านทุนนิยมไปก็เอาไปซื้อโทรศัพท์แพงไว้อวดชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง ถุด!

สุดท้ายไอ้คำว่ากรงก็เป็นไปตามข้อสรุปที่ว่า "ที่จริงกรงทุนนิยมแม่งใหญ่จนเกินกว่าสายตาของนกน้อยในกรงทุนนิยมจะมองเห็น" และผมเองก็เป็นนกน้อยตัวนั้นเช่นกันกับคนอื่น ๆ ที่ผมมองอย่างเย้ยหยัน

(3.)

คำถามที่สาม อยู่นอกกรงแล้วมันเท่ตรงไหนวะ ถ้าหนุ่มกว่านี้สักสามสี่ปี ตอบแบบไม่คิดเลยว่ากูเท่ กูอินดี้ เป็นตัวของตัวเอง กอดอกพลางยักคิ้วหงึก ๆ สมมติว่าการอยู่นอกกรงคือปฏิเสธการทำงานในระบบ ไม่เป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานงก ๆ เก็บเงินเก็บทอง ซื้อบ้านซื้อรถ มีลูกมีเมีย บลา ๆ มีชีวิตอิสระแบบเท่ ๆ

ตอนนี้แก่ตัวหน่อย ก็เริ่มคิดแล้วว่า บางทีไอ้เจ้านกแก้วที่เดอะมอลล์บางกะปิแม่งฉลาดกว่านกตัวอื่น เอาล่ะมันอาจไม่ได้รับอภิสิทธิ์ที่จะบินไปบนฟ้ากว้างไกล แต่ชีวิตมันก็ปลอดภัยยิ่งกว่าซื้อประกัน มันไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในการใช้ชีวิต ไม่ต้องคอยระวังภัยจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอ รวมถึงลูกหินจากหนังสติ๊กของเด็กเกเร หรือตาข่ายดักนกในสนามหลวง

ชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วไงวะ อย่างน้อยเค้าก็มีความสุขดี มีเงินใช้ทุกเดือน ตื่นมาด้วยความหวาดผวาว่าจะไปทำงานไม่ทัน คงดีกว่าตื่นมาด้วยความหวาดผวาว่าวันนี้กูจะเอาอะไรกิน แต่ละเดือนแต่ละปีก็มีหยุดยาวให้ไปเที่ยวแบบชิลล์ ๆ ตอนที่ไปดูสินค้าทางวัฒนธรรมก็ไม่ต้องคิดมากอย่างนักเขียนที่ชอบตัดพ้อว่า "โธ่ นี่ศิลปวัฒนธรรมอันสวยงามของชนเผ่าถูกทำให้เป็นสินค้าซะแล้วหรือนี่ ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริง ๆ"

อยู่นอกกรงมันอาจจะอินดี้ แต่บางทีไม่มีจะแดก แถมยังต้องจ่ายราคาความเสี่ยงในการมีชีวิตมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ใช่ว่าคนประสบความสำเร็จในแนวทางอินดี้จะไม่มี แต่มีน้อยแทบนับหัวได้

นึกถึงเรื่องสั้น "อิสรภาพ" ของประชาคม ลุนาชัย (มั้ง?) ที่เป็นเรื่องของลิงที่ถูกจับมาล่ามโซ่ คนที่จับมาหวังจะเลี้ยงให้เชื่อง ตอนจบลิงกัดขาตัวเองขาดเพื่อที่จะหนี โอเค สามสี่ปีก่อนที่อ่าน มองในแง่สัญลักษณ์มันเท่ มันฟิน มันโอ้โฮ คนเราแม่งต้องยอมเสียสละตัวเองเพื่ออิสรภาพ แต่พออายุเท่านี้ มองในแง่เรียลลิสติกส์ อดคิดต่อไม่ได้ว่าแล้วชีวิตลิงตัวนั้นแม่งจะดำเนินต่อไปยังไง ลิงขาขาดคงปีนต้นไม้ไม่สะดวก มันจะอดตายไหม ลิงจะมาเสียใจทีหลังไหมว่า กูไม่น่ากัดขาตัวเองเล้ย ยอมอยู่ให้คนเลี้ยงคงสบายไปแล้ว

เสียงแกว๊ก แกว๊ก ของนกแก้วปลุกผมให้ตื่นจากห้วงความคิด ผมมองนกแก้วพลางสบถใส่ตัวเองเบา ๆ

อีห่า คิดเยอะไป พล็อตเรื่องสั้นหายหมด-อดเขียน!


วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๕ เมษายน ๒๕๕๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น