วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเด็กอ้วนเอ่ยคำรัก (เสมือนหนึ่งนิทานในร่องรอยร้าวรานของกาลเวลา)

(๑.)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังแบนราบเหมือนแผ่นกระดาษ หากใครเดินไปถึงสุดขอบโลกก็อาจจะพลัดตกไปจากโลกเอาง่าย ๆ มีเด็กอ้วนคนหนึ่งในดินแดนอันไกลโพ้น เขาเป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับไขมันอัดแน่นอยู่ในทุกอณูเนื้อของร่างกาย มันมากเสียจนหัวใจของเขาถูกเบียดบังเหลือเพียงก้อนเนื้อเล็ก ๆ หลบซ่อนอยู่ในอกอวบ ๆ เด็กอ้วนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีหัวใจที่ใหญ่โต เพราะเรื่องที่เขาสนใจมีแค่เรื่องกินและเรื่องกินเท่านั้น ขอแค่มีฟันอันแข็งแรงไว้เคี้ยวอาหาร มีลิ้นที่พรั่งพร้อมด้วยประสาทรับรส และกระเพาะที่พร้อมจะย่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารับประทานเข้าไปให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของชีวิตครั้งที่สิบห้าเดินทางมาถึง เขาจึงเพิ่งจะรับรู้ว่า เพียงแค่อวัยวะย่อยอาหารนั้นไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับชีวิตเล็ก ๆ ของเด็กอ้วน

เด็กอ้วนหลงรักเด็กสาวหมู่บ้านข้าง ๆ

เด็กอ้วนพบเธอครั้งแรกขณะที่เธอมาร้องเพลงในงานรื่นเริงของหมู่บ้าน เด็กสาวร้องเพลงไพเราะจับใจ เสียงเธอหวานใสเหมือนระฆังแก้วจากสรวงสวรรค์ เด็กอ้วนนึกถึงเสียงนกกางเขนที่ชอบมาร้องเพลงข้างหน้าต่างห้องของเด็กอ้วนตอนเช้า ๆ เด็กอ้วนชอบฟังเพลงของนกกางเขนก็จริง แต่ความรู้สึกตอนที่ฟังนกกางเขนร้องเพลงกับฟังเสียงหวานใสของเด็กสาวนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คำว่าหลงรักลอยมาอัดแน่นในอกอวบ ๆ ของเขา คำว่าหลงรักเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของเด็กอ้วน เขาคิดว่าการหลงรักก็คล้าย ๆ เวลาที่เขาหิวและต้องการจะกินอาหารเพื่อเติมกระเพาะให้เต็ม แต่การหลงรักก็ไม่เหมือนความหิวอยู่ดี เพราะเขาไม่ได้อยากจะกินเด็กสาว เพียงแค่เขาได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะของเธอ ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาที่เคยบกพร่องหรือหล่นหายไปนั้นได้รับการเติมเต็ม เต็มจนล้นออกมาด้วยซ้ำ ล้นออกมาจนเด็กอ้วนอยากจะบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างแก่เด็กสาวเพื่อให้เธอได้รับการเติมเต็มเหมือนเด็กอ้วนบ้าง

แต่เด็กอ้วนจะบอกรักเธอได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเขามันเล็กเพียงนิดเดียว

(๒.)

เด็กอ้วนเก็บงำความลับไว้ในใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบรักเด็กสาวนอกจากนกกางเขนที่ชอบมาร้องเพลงข้างหน้าต่าง เด็กอ้วนคุยกับนกกางเขนถึงเรื่องของเด็กสาว นกกางเขนเสนอว่าถ้าเด็กอ้วนไม่อาจบอกรักได้ก็ควรร้องเพลงเพื่อสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกและความในใจที่มีต่อเด็กสาว เช่นเดียวกับที่เขาได้รับการเติมเต็มจากเสียงเพลงของเธอ เจ้านกกางเขนรับปากจะเป็นครูสอนร้องเพลงให้เด็กอ้วน เด็กอ้วนหวังว่าเมื่อเขาโตขึ้นมากกว่านี้ อวัยวะที่จำเป็นสำหรับการร้องเพลงจะใหญ่โตขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้โตมากพอที่จะร้องเพลงด้วยสำเนียงอันไพเราะสักครึ่งหนึ่งของเจ้านกกางเขน เมื่อถึงวันนั้นเขาจะร้องเพลงเพื่อสื่อความในใจให้เด็กสาวได้ฟัง

แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร เด็กอ้วนก็ร้องเพลงไม่ได้เรื่อง เพราะปอดของเขาก็เล็กพอ ๆ กับหัวใจ ซ้ำร้ายกว่านั้น ยิ่งเขาโตขึ้น ไขมันในร่างกายก็ยิ่งพอกพูน อวัยวะที่จำเป็นในการร้องเพลงรวมทั้งหัวใจก็ยิ่งเล็กลงไปอีก

เจ้านกกางเขนเพียรพยายามสอนเด็กอ้วนทุกวิถีทาง แต่เสียงของเด็กอ้วนก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย นอกจากเสียงจะแย่แล้ว เด็กอ้วนยังจดจำทำนองและจังหวะจะโคนของเพลงไม่ได้เลยสักนิด นานวันเข้านกกางเขนจึงหมดความอดทน และบอกเด็กอ้วนอย่างสิ้นหวังว่า เด็กอ้วนจะไม่มีทางร้องเพลงให้ไพเราะได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่อาจร้องเพลงเพื่อสื่อความในใจให้เด็กสาวฟังได้

แม้ว่าเด็กอ้วนยอมจำนนต่อความจริงที่เจ้านกกางเขนได้แจ้งต่อเขาแล้ว แต่เด็กอ้วนก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งเด็กสาวจะได้รับรู้ความในใจจากเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้ว่าความหวังของเขาจะริบหรี่เหมือนหิ่งห้อยอ่อนแสงในคืนเดือนมืด

ผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งนกกางเขนคาบข่าวร้ายมาบอก (นกกางเขนคิดว่าข่าวร้ายนี้ร้ายพอ ๆ กับความจริงที่ว่า เด็กอ้วนไม่มีวันร้องเพลงให้ไพเราะได้) นกกางเขนบอกว่า มีเด็กหนุ่มจากอีกหมู่บ้านหนึ่งมาติดพันเด็กสาว เขาเป็นคนที่หล่อเหลา มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี แต่นกกางเขนแอบกระซิบว่า อันที่จริงเขาเป็นคนใจร้าย เขาเคยปาก้อนหินใส่นกกางเขนเพราะรำคาญที่นกกางเขนไปร้องเพลงให้เขาฟัง เด็กอ้วนร้อนใจเพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะปาก้อนหินใส่เด็กสาวที่ตนรักเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงของเธอ

ทางเลือกสุดท้ายที่เด็กอ้วนจะทำได้คือทำให้หัวใจโตขึ้นเพื่อให้เขามีความกล้ามากพอจะบอกรักเด็กสาว เขาจึงออกเดินทางเพื่อหาวิธีทำให้หัวใจโตขึ้น เขาจะได้บอกรักเด็กสาวและคุ้มครองเธอก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะบอกรักเธอ

(๓.)
เด็กอ้วนดั้นด้นไปจนถึงบ้านของนักปราชญ์ผู้รอบรู้เพื่อถามถึงวิธีที่จะทำให้หัวใจโตขึ้น แรกเริ่มเดิมทีนักปราชญ์ไม่ยอมปริปาก แม้เด็กอ้วนจะขอร้องอย่างไรก็ทำทีอิดออดไม่ยอมพูดอะไร ราวกับว่าวิธีที่ทำให้หัวใจโตขึ้นนั้นเป็นความลับสำคัญที่สุดที่จะแพร่งพรายให้ใครรู้ไม่ได้ แต่ในที่สุดนักปราชญ์ก็ทนการรบเร้าจากเด็กอ้วนไม่ไหว เพราะเด็กอ้วนพูดทั้งน้ำตาว่า หากเขาไม่รู้วิธีทำให้หัวใจโตขึ้น จนไม่อาจบอกรักและคุ้มครองเด็กสาวได้ เมื่อนั้นหัวใจของเขาคงแหลกสลายเป็นผงธุลีเฉกเช่นเม็ดทรายริมหาด

นักปราชญ์จึงกระซิบกระซาบแก่เด็กอ้วนว่า ที่ท้ายหมู่บ้านมีแม่มดชราอาศัยอยู่ ขอให้เด็กอ้วนไปปรึกษานาง เด็กอ้วนแย้งขึ้นมาเพราะได้ยินมาว่านางเป็นคนไม่มีหัวใจ นักปราชญ์ชราจึงเปิดเผยความลับว่า ในสมัยที่แม่มดยังสาว เล่าลือกันว่านางเคยเป็นผู้ที่มีหัวใจดวงโตที่สุด แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมวันนี้แม่มดจึงกลับกลายเป็นคนไม่มีหัวใจ บางทีนางอาจมีวิธีช่วยให้หัวใจของเด็กอ้วนโตขึ้นเหมือนอย่างหัวใจนางในสมัยก่อน

เด็กอ้วนเดินทางไปหาแม่มดชรา นางนั่งยิ้มเย็นอยู่หน้ากระท่อมราวกับรอคอยเด็กอ้วนมาทั้งชีวิต ยังไม่ทันที่เด็กอ้วนจะเอ่ยปากถาม นางก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า---หากหัวใจพองโตถึงขีดสุด ตอนนั้นเจ้าจะสูญเสียหัวใจ เจ้ายังจะคิดเรื่องทำให้หัวใจพองโตอยู่อีกไหม เด็กอ้วนพยักหน้าไม่รีรอ พูดชัดถ้อยชัดคำ ขอเพียงให้หัวใจโตขึ้นมากพอที่จะบอกรักเด็กสาว เขายอมทำทุกอย่าง

แม่มดยิ้มเยาะ เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเหมือนประชดประชันอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้นมาลอย ๆ เหมือนไม่ได้พูดกับเด็กอ้วนว่า ที่สุดขอบโลกมีดอกไม้ประหลาด เพียงแค่สูดกลิ่นสักครั้ง หัวใจก็จะพองโตมากพอที่จะบอกรักใครสักคน เด็กอ้วนละล่ำละลักขอบคุณแม่มดชรา แล้วรีบวิ่งแจ้นไม่หยุดพักไปยังสุดขอบโลก

(๔.)

ผ่านไปเกือบปี ในที่สุดเด็กอ้วนก็เดินทางมาถึงสุดขอบโลก ที่นั่นมีหมอกหนาจัด แต่ท่ามกลางหมอกนั้น เขาเห็นดอกไม้เหี่ยวเฉาใกล้ตายดอกหนึ่งอยู่ริมหน้าผา นั่นน่าจะเป็นดอกไม้ที่แม่มดพูดถึง เด็กอ้วนรีบเข้าไปใกล้ดอกไม้แล้วสูดดมเต็มปอด มีเพียงกลิ่นกลีบใบที่เริ่มเน่าเท่านั้นที่ลอยเข้าจมูกเขา เด็กอ้วนเอามือลูบคลำหน้าอกที่เต็มไปด้วยไขมัน รู้สึกว่าหัวใจเขายังเล็กนิดเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เขาสูดลมหายใจซ้ำห้าหกครั้ง แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม

เด็กอ้วนไม่รู้ว่าต้องมีพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าในการสูดกลิ่นดอกไม้ประหลาด ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานไหมกว่าฤทธิ์ของดอกไม้ประหลาดจะทำให้หัวใจเขาพองโต เขาคิดจะกลับไปถามแม่มดชราแต่ก็กลัวจะสายเกินไป เขาจึงได้แต่รี ๆ รอ ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่สุดขอบโลกนานนับเดือน ความหวังที่เคยมีเต็มเปี่ยมเริ่มเหี่ยวเฉาเช่นเดียวกับดอกไม้ประหลาดที่เริ่มเหี่ยวแห้งลงทุกที ๆ เขาได้แต่รอปาฏิหาริย์อยู่ตรงนั้น รอจนกว่าจะถึงวันที่หัวใจของเขาพองโต

แล้วเด็กอ้วนก็เห็นเงาใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้

เขาหันกลับไปมอง แม้จะอยู่ในหมอกหนา แต่เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเด็กสาวคนที่เขาแอบรัก ไม่น่าเชื่อว่าเธอเองก็เดินทางมายังสุดขอบโลกเช่นกัน เด็กอ้วนไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาหรือไม่ แต่เธอก็โอภาปราศรัยกับเขาด้วยไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่เธอปฏิบัติต่อทุกคน เด็กอ้วนถามเธอว่าเธอเองก็มาตามหาดอกไม้ที่ทำให้หัวใจพองโตหรือ เธอยิ้มแย้มพลางพยักหน้า พูดด้วยเสียงหวานว่าเธอหลงรักเด็กหนุ่มหมู่บ้านข้าง ๆ ที่มาติดพันเธอ เขาเป็นคนที่หล่อเหลา มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี แต่หัวใจเธอไม่โตพอจะบอกรักเขา เธอจึงเดินทางมายังสุดขอบโลกเพื่อตามหาดอกไม้ประหลาดที่ทำให้หัวใจพองโตตามคำแนะนำของแม่มด

หัวใจที่เล็กนิดเดียวของเด็กอ้วนกลับยิ่งถูกบีบรัดให้เล็กลงไปอีกจากคำพูดเหล่านั้นของเด็กสาว

เมื่อเธอถามถึงดอกไม้ประหลาด เด็กอ้วนจึงผายมือไปยังดอกไม้ที่งอกอยู่ริมหน้าผานั้น เด็กสาวทำหน้าตื่นเต้นดีใจ หันมายิ้มหวานให้เด็กอ้วน วินาทีที่เด็กอ้วนเห็นรอยยิ้มหวานของเด็กสาว เขาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหน้าอกที่เต็มไปด้วยไขมัน เด็กอ้วนรู้สึกว่าหัวใจเขากำลังพองอย่างลูกโป่งที่ถูกเป่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลมอัดแน่นข้างในจวนปริแตก ร่างของเขาลอยขึ้นพ้นหน้าผาเหมือนบอลลูน ที่แท้ไม่ใช่ดอกไม้ประหลาดหรอกที่ทำให้หัวใจของเขาพองโต แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เขารักต่างหาก วินาทีนั้นเขาไม่ได้ยินคำขอบคุณของเด็กสาวด้วยซ้ำ เขารู้แค่ว่าจะต้องบอกคำ ๆ หนึ่งที่เขาเก็บงำไว้นานหลายปี

คำ ๆ นั้นคือคำว่า---ฉันรักเธอ

(๕.)

แล้วเด็กอ้วนก็รู้สึกเหมือนบางสิ่งวูบหายไปจากร่าง แวบนั้นเขานึกถึงคำพูดของแม่มด

---หากหัวใจพองโตถึงขีดสุด ตอนนั้นเจ้าจะสูญเสียหัวใจ---

หัวใจของเด็กอ้วนหลุดลอยไปพร้อมกับคำรักที่บอกเด็กสาวท่ามกลางหมอกหนา และแล้วหัวใจของเขาก็กลายเป็นสมบัติของเด็กสาวไปชั่วนิรันดร์ ร่างที่กำลังลอยอยู่ริมหน้าผาตกลงมาทันที เด็กอ้วนพลัดตกจากสุดขอบโลก เขาหล่นลงไปในโลกอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับโลกที่เขาเคยอยู่ โลกฝั่งนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมิดและเหน็บหนาว

จากวันนั้น เด็กอ้วนก็กลายเป็นคนที่ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้คือหัวใจของตนที่อยู่อีกฟากฝั่งของโลก หัวใจของเขาอยู่กับเด็กสาวคนที่เขาแอบรัก เด็กอ้วนรับรู้ได้ว่าหัวใจดวงนั้นพองโตด้วยความรักอยู่ตลอดเวลา ทุกวันเขาจะเดินตามร่องรอยของหัวใจตัวเองไปเรื่อย ๆ เมือรู้สึกว่าอยู่ใกล้ ๆ เด็กสาวในฟากฝั่งตรงข้ามของโลก เขาก็จะร้องเพลงเพียงเพื่อบอกเด็กสาวให้รู้ว่า เจ้าของหัวใจที่เด็กสาวครอบครองอยู่ยังคงมีลมหายใจ และยังคงรักเธอตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แม้จะอยู่ห่างไกลจนไม่มีวันได้พบพานกันอีกแล้วก็ตามที

(๖.)

เด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเด็กอ้วนจึงหายตัวไปท่ามกลางหมอกหนาทันทีที่เธอขอบคุณเขา อันที่จริงต้องบอกว่าเธอลืมเรื่องที่ได้พบเด็กอ้วนไปเสียสนิท เพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่สำคัญมากเท่าเรื่องที่เธอได้สูดดมกลิ่นดอกไม้ประหลาด แม้จะมีเพียงกลิ่นกลีบใบที่เริ่มเน่าเท่านั้นที่ลอยเข้าจมูกเธอ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าหัวใจเธอพองโตขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลมอัดแน่นข้างในจวนปริแตก คำว่ารักเอ่อล้นออกมาจากข้างในจนเธออดใจไม่ไหวอีกต่อไป เด็กสาวรีบวิ่งกลับไปบอกรักเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยหัวใจที่พองโต ทั้งสองตกลงหมั้นหมายกัน ผ่านไปไม่นาน งานแต่งงานระหว่างเขากับเธอก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

กาลเวลาหมุนผ่านไปหลายสิบปี เด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวผู้มีหน้ามีตาในสังคม สามีของเธอบันดาลความสุขให้ทุกอย่างในข้อแม้ที่ว่า ห้ามเธอร้องเพลงอีกต่อไป เพราะมันทำให้เขารำคาญ เธอห่างเหินจากการร้องเพลงนานมากจนกระทั่งว่าเธอรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินเสียงเพลงเช่นเดียวกับสามีของเธอ ทุกวันนี้เธอมีความสุขดี เว้นแต่บางคืนที่เธอรู้สึกรำคาญอยู่บ้างเมื่อเธอแว่วยินเสียงเพลงมาจากที่ไกล ๆ มันทำให้หัวใจที่พองโตด้วยความรักอยู่ตลอดเวลานั้นปวดตุบ ๆ เสียงเพลงที่เธอได้ยินนั้นโหยหวนแหบแห้งขัดหู ไม่มีจังหวะจะโคนเหมือนคนที่ร้องเพลงไม่เป็น เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้องเพลง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงนั้นชื่อเพลงอะไร สิ่งเดียวที่เธอรู้คือเพลงนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยของเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักโต


วุฒินันท์ ชัยศรี

13 ธันวาคม 2554
ตีพิมพ์ครั้งแรก: คอลัมน์จุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น