วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องราวของฉันกับนักหยุดเวลาผู้ไม่เคยหยุดเวลา

(1.)

แล้วฉันก็พบบางสิ่งบางอย่างในลิ้นชักดิจิตอล

ใครบางคนหยุดเวลาของสองเราไว้ตรงนั้น

ฉันคิดว่าเธออาจจะจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เธอเชื่อไหม ฉันจำมันได้ทั้งหมด ทั้งอารมณ์ความรู้สึก ช่วงเวลาที่เกิดขึ้น บทสนทนาอันบางเบา ใครเป็นคนที่อยู่หลังกล้องนั้น

แต่ฉันไม่เคยบันทึกมันไว้, ไม่สิ ตอนนั้นฉันอาจไม่จำเป็นต้องบันทึกมัน เพราะฉันไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องสูญเสียเธอไป เปล่า, ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีทางสูญเสียเธอไป ฉันแค่รู้สึกว่าฉันจะไม่สูญเสีย อาจเป็นเพราะฉันวางระยะห่างของเราให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมเสมอ นับแต่แรกเริ่มและตลอดมา

ฉันไม่เคยใกล้เธอมากพอที่จะรู้ถึงบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

(2.)

ฉันดีใจนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รับรู้ว่าเธอเป็น "นักหยุดเวลา"

นักหยุดเวลาในความหมายของฉัน พวกเขามีพลังพิเศษที่จะหยุดเสี้ยวเวลาหนึ่งให้เป็นอมตะ เก็บเสี้ยววินาทีที่อาจไร้ค่า หรือเป็นเสี้ยววินาทีที่อาจจะไม่พบในเสี้ยววินาทีไหนอีกแล้ว

วินาทีที่เสียง "แชะ" ดังขึ้น เธอก็หยุดเสี้ยววินาทีหนึ่งของโลกใบนี้ไว้, วินาทีที่เสียง "แชะ" ดังขึ้น เธอก็หยุดเสี้ยววินาทีของรอยยิ้มใครคนหนึ่งไว้ยาวนานนับนิรันดร์ เสี้ยววินาทีนั้นยาวนานจนกว่าเธอเองปรารถนาจะลบเลือน

แน่นอน, ฉันดีใจที่เธอเป็นนักหยุดเวลา

แต่บางครั้ง, บางเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ฉันรู้สึกเสียใจ, เธอเป็นนักหยุดเวลาช้าเกินไป...

(3.)

ฉันไม่เคยเป็นนักหยุดเวลา

สิ่งดีที่สุดที่ฉันทำได้คือการสะกดห้วงเวลาให้อยู่นิ่ง ฉันไม่อาจหยุดเวลาได้อย่างสัมบูรณ์เช่นเธอ หากกรงสะกดเวลาของเธอคือเสี้ยววินาที กรงของฉันใหญ่กว่านั้นมาก

นั่นทำให้ฉันเก็บได้เพียงห้วงเวลาบางส่วน มันอาจเชื่อมโยงได้ในระยะเวลาที่สัมพัทธ์กัน แต่ที่สุดแล้ว แต่ละห้วงเวลาต่างก็เป็นเอกเทศต่อกัน

แม้ว่าทุกห้วงเวลา มีเรื่องราวของเธอบรรจุอยู่เต็ม แต่มันก็จะเป็นเพียงความทรงจำขาดวิ่นไม่ปะติดปะต่อ ยกเว้นแต่ฉันที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน ต่อเนื่องกัน และเป็นนิรันดร์ในใจฉัน

ฉันเสียใจที่ฉันไม่ใช่นักหยุดเวลา ทั้งที่ความคิดและความรู้สึกทั้งหมดของฉันหยุดอยู่ที่ตรงนั้น จุดที่กาลเวลาไม่อาจหวนกลับ หากฉันเป็นนักหยุดเวลา ฉันอาจจะสะกดเสี้ยววินาทีนั้นไว้ได้ ฉันอาจจะพบว่าในเสี้ยววินาทีนั้นฉันมีความรู้สึกมากเพียงใด

แต่ฉันไม่ใช่นักหยุดเวลา ดังนั้นห้วงเวลาที่ฉันพยายามสะกดไว้ มันกลับค่อย ๆ ขยายขึ้น และความรู้สึกก็ทบทวีรุนแรง บางครั้งเวลาที่ฉันคิดถึงห้วงเวลานั้น ฉันเสียน้ำตา

(4.)

เธอเป็นนักหยุดเวลาในวันที่เสี้ยววินาทีนั้นเลยผ่านไปนานแล้ว มันจึงไม่มีหลักฐานในเสี้ยววินาทีนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา

เฉพาะเรื่องของเราสองคน เวลาสำหรับเธอจึงเดินไปข้างหน้า เธอมีภาระที่ต้องหยุดเวลารออยู่ข้างหน้ามากมาย สำหรับนักหยุดเวลา เสี้ยววินาทีที่รออยู่ข้างหน้ามีความหมายกว่าการหวนกลับไปบันทึกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปแล้ว เพราะมันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

มีก็แต่นักสะกดห้วงเวลาอย่างฉันที่ยังจมจ่อมอยู่กับเรื่องเก่า ๆ นักสะกดห้วงเวลาอย่างฉันยังคงเขียนถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านไปแล้ว มันอาจออกมาเป็นบทกวีนับร้อยบท เรื่องสั้นนับพันเรื่อง หรือนวนิยายนับหมื่นเล่ม เพียงเพราะฉันหยุดเวลาเสี้ยววินาทีนั้นไม่ได้

(5.)

อีกครั้งที่ฉันมองบางสิ่งในลิ้นชักดิจิตอล

ใครบางคนหยุดเวลาของสองเราไว้ตรงนั้น

มีเพียงเราสองคน, ฉันยิ้ม, เธอยิ้ม, ใครบางคนหยุดเวลานั้นไว้ ใครบางคนที่ไม่รู้ว่าเสี้ยววินาทีที่เขาหยุดเวลานั้นไว้ เมื่อผ่านมาห้าปี มันจะทำให้หนึ่งในสองคนในภาพต้องเสียน้ำตา

เราสองคนนั่งห่างกันพอสมควร นั่นแหละ, ฉันวางระยะห่างของเราให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมเสมอ ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าฉันจะสูญเสียเธอ นับตั้งแต่เสี้ยววินาทีนั้นจนถึงวินาทีนี้ แต่ฉันก็หาเหตุผลไม่ได้เลยว่า ทำไมวันนี้ฉันต้องมีน้ำตา

หรือเป็นเพราะครั้งหนึ่ง, เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ฉันสูญเสียระยะห่างนั้นอย่างไม่ตั้งใจ จึงทำให้ฉันรับรู้ถึงบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต นึกย้อนกลับไปยังเสี้ยววินาทีที่ใครบางคนหยุดเวลาของสองเราไว้ตรงนั้น บางทีเสี้ยววินาทีที่ไม่อาจหวนกลับ ฉันอาจจะคิดผิด เสี้ยววินาทีนั้นอาจเป็นเสี้ยววินาทีที่มีความหมายที่สุดในชีวิตฉัน เพียงแค่ฉันขยับเข้าใกล้เธออีกเพียงนิดเดียว

ใกล้เธอมากพอที่จะรับรู้เสียงของหัวใจตนเองว่า นอกจากเธอ, นักหยุดเวลาผู้ไม่เคยหยุดเวลาของสองเรา, ฉันรักใครมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว


วุฒินันท์ ชัยศรี
11 กันยายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น