“แม่งจะจอดให้ตรงป้ายก็ไม่ได้“ อานนท์ส่งสบถไล่หลังรถเมล์ตีนผีที่พาเขาวิ่งเลยป้ายมาประมาณสามสิบสามก้าว เพียงเพื่อจะแซงรถเมล์ร่วมเส้นทางให้ได้โดยเมินเฉยต่อสิทธิของประชาชนคนธรรมดาผู้จ่ายค่าโดยสารครบทั้งแปดบาทไม่มีขาดสักสตางค์แดง ต่อเมื่อเดินจงกรมครบสามสิบสามก้าวถึงจุดที่ควรได้ลงแล้ว ชายหนุ่มจึงระลึกได้ว่าไม่ควรโกรธคนขับรถเมล์แม้แต่น้อย เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีเขาเลือกใช้บริการรถสาธารณะด้วยจิตอันเป็นกุศลเพื่อมวลมหาชน ยอมเสียสละความสะดวกสบายจากรถยนต์ส่วนตัวเพื่อให้ถนนมีที่ว่างขึ้นอีกนิด จิตกุศลนี้ไม่ควรมัวหมองด้วยใจหยาบคายของคนขับรถเมล์ อีกประการหนึ่ง หากอานนท์ยืนยันจะลงตรงป้าย ใจของคนขับรถเมล์คงจะยิ่งเปี่ยมโทสะ เพราะถูกรถเมล์ร่วมเส้นทางเบียดตัดหน้าแย่งชิงผู้โดยสารป้ายถัดไป จากนั้นจะเกิดอะไรกับผู้โดยสารที่เหลืออยู่เล่า ลำพังแค่แซงทันแต่ติดไฟแดง คนขับก็ถีบพวงมาลัยระบายอารมณ์เสียแล้ว ลีลาการขับนรกแตกแบบนั้น แค่เขาได้สัมผัสเพียงสิบนาทีก็เกินพอ การได้ทรมานชายหนุ่มไร้พิษสงอย่างเขาสักสามสิบสามก้าวคงพอให้คนขับใจเย็นลงได้บ้าง ผู้โดยสารที่เหลือจะได้ปลอดภัยตลอดการเดินทาง เมื่อระลึกว่าตนบำเพ็ญกุศลกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ พลันเขารู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว ความมืดค่อยระเหิดหายด้วยแสงพิสุทธิ์ที่ส่องสว่างจากทุกรูขุมขน สองเท้าค่อยลอยขึ้นเหนือพื้น อานนท์กลายเป็นเทวดาล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงลูกกรงแน่นหนาที่ซ่อนร่างอยู่ในกลีบเมฆ
๑๗ ก.ค. ๕๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น