วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

นายข้าวมันไก่กับยัยข้าวหมูแดง: บทที่ 1 แรกพบ

“ว้าย!”

โครม!

เสียงโครมครามปลุกเขาตื่นจากภวังค์ ปรือตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ดูเหมือนว่าทุกสายตากำลังจ้องมองมาที่เขา ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจว่ามองอะไรกันวะ ขณะที่ความสงสัยกำลังวิ่งวุ่นอยู่ในใจ เขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องโอดโอยอยู่ข้างหลังเสียก่อน หันไปตามต้นเสียง พบใครคนหนึ่งล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า หนังสือเรียน เครื่องอัดเสียง สมุดปากกาหล่นพื้นกระจัดกระจาย

“โอ้ย เจ็บจัง”

“เป็นอะไรมั้ยอ้อ”

“ไม่เป็นอะไรได้ไงล่ะ อู้ย แขนขาหักรึเปล่าก็ไม่รู้”

ชายหนุ่มหันมามองสองสาว ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็ถูกสายตาอาฆาตของหญิงสาวที่นอนกองอยู่กับพื้นจ้องมาที่เขาเสียก่อน “นี่นายตั้งใจแกล้งฉันใช่ไหม”

“ผม?---ผมเนี่ยนะแกล้งคุณ” เขาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ขมวดคิ้วผูกโบด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครล่ะ ทำไมต้องมาแกล้งขัดขาฉัน” เธอลุกขึ้นมานั่ง ยิงเสียงแหลมแว้ด ๆ กระแทกรูหูเขาด้วยความโมโหสุดขีด ขณะที่เพื่อนของเธอกำลังเก็บเครื่องเขียนที่ตกหล่นบนพื้น

แกล้งขัดขา? ชายหนุ่มมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามเรียกสติคืนมา จำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายของเขาคือเสียงหนืด ๆ เย็น ๆ ของอาจารย์สอนวิชากฎหมายปกครองที่ชวนให้หลับดีแท้ จากนั้นเขาก็นึกอะไรไม่ออกอีก จนกระทั่งตื่นด้วยเสียงโครมคราม อาจจะเป็นสาเหตุนั้นก็ได้---ภาพแรกที่เขามองเห็นตัวเองหลังตื่นนอนคือขาที่กางออกมากกว่าปกติ เขาคงเอนหลังมากไปหน่อย ขาเลยกางออกไปเป็นอุปสรรคให้คนเดินมาสะดุด แต่นั่นก็คงเพราะหญิงสาวไม่มองทางด้วยกระมัง มีแต่คนซุ่มซ่ามเท่านั้นแหละที่จะเดินสะดุดนั่นสะดุดนี่

“เงียบอยู่นั่นแหละ นี่จะไม่ขอโทษสักคำเลยใช่ไหม” หญิงสาวเจ้าของเสียงร้อยแปดสิบเดซิเบลยิงระเบิดกัมปนาทใส่เขาอีกครั้ง

“เอ่อ---โอเค ผมขอโทษ ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำอะไรคุณไปก็เถอะ มาเดี๋ยวผมช่วยเก็บ” เขาลุกขึ้นมาหมายจะช่วยเก็บของที่หล่นพื้น แต่โดนอาวุธเสียงของเจ้าหล่อนแว๊ดขึ้นมาอีกรอบซะก่อน

“ไม่ต้อง ฉันเก็บเองได้ คนอะไรผิดแล้วไม่ยอมรับผิด” เธอสะบัดหน้าหนี ก่อนจะหันไปเก็บของที่หล่นบนพื้น

“เอ้า ผมผิดอะไรคุณ นี่ผมหลับ ๆ อยู่ ตื่นมาก็เห็นคุณล้มตึงไปแล้ว ผมจะละเมอเตะขาคุณรึไงเล่า ผมว่าคุณนั่นแหละที่เดินมาสะดุดขาผมเอง มัวแต่คุยกับเพื่อนล่ะสิ”

“เอ๊ะนายนี่---ทำเค้าเจ็บแล้วยังมาว่าเค้าผิดอีกเหรอ นายนี่มันไม่แมนเอาซะเลย”

“ผมก็พูดไปตามเนื้อผ้า จริงไม่จริงคุณเองก็คงรู้”

“หนอย ตาบ้า---”

“พอเถอะอ้อ ไปกันเถอะ” หญิงสาวอีกคนปราม ขณะที่หอบหนังสือและเอกสารทั้งของตัวเองและของเพื่อนไว้เต็มมือ

หญิงสาวชื่ออ้อทำหน้าเง้า พ่นลมหายใจฟึดฟัดแล้วบ่นเบา ๆ “จำไว้เลยนะ”

ชายหนุ่มยักคิ้ว ร้องเพลงเขย่าลูกคอล้อเลียน “ม่ายยยลืมมมม---”

“นายนี่มัน---”

“ไปเถอะน่าอ้อ” เพื่อนสาวของของเธอรีบลากหญิงสาวออกไป ก่อนที่คนในห้องเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนจะจับจ้องสายตามาที่การทะเลาะของทั้งสองไปมากกว่านี้ ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนยิ้มระรื่นอยู่ข้างหลัง

-------------------------------------------

“เธอจะรีบดึงฉันออกมาทำไม”

“ไม่เห็นเหรอว่าคนมองกันใหญ่แล้ว”

“มองก็มองไปสิ ฉันสนที่ไหนล่ะ คนอะไรน่าตบชะมัด”

“ตบแล้วจะจูบด้วยมั้ย” เพื่อนสาวหัวเราะคิก

“บ้าสิ ใครจะไปจูบลง หน้าตาท่าทางกวนเท้าซะขนาดนั้น แถมยังผมยาวกระเซอะกระเซิง ไว้หนวดเคราอย่างกะโจร”

“ฉันว่าเขาเซอร์ดีออก สเปคเธอเลยไม่ใช่เหรอ”

“เซอร์ถุลน่ะสิ หนอย ผู้ชายอะไรปากจัดเถียงผู้หญิงฉอด ๆ สงสัยเลี้ยงหมาไว้ในปาก”

“เขาก็ไม่ได้เถียงอะไรเธอนี่ เธอนั่นแหละไปแว้ด ๆ ใส่เค้าก่อน”

“นี่ยัยจ๋อม ทำไมเธอถึงไปเข้าข้างนายคนนั้นนักนะ แอบชอบเค้ารึไง”

“จะบ้าเหรอ เพิ่งเคยเจอกันเนี่ยนะ” จ๋อมรีบซ่อนสีหน้ามิดชิด

“ฮึ อย่างนายคนนี้น่ะ ต่อให้ทั้งโลกเหลือแค่ฉันกับเค้า ฉันก็ไม่เอาเค้าหรอก”

“เธอน่ะนะเห็นบอกเกลียดใครทีไรก็ตกหลุมรักทุกทีแหละ”

“ยกเว้นตาคนนี้---แน่นอน!” อ้อย้ำเสียงหนักแน่นในสองพยางค์สุดท้าย

“ให้มันจริงเถอะ” จ๋อมยิ้มให้อ้อ ขณะที่หญิงสาวอารมณ์ฉุนเฉียวยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ โดยไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของเพื่อนตนเริ่มแดงซ่านด้วยความสะเทิ้นเขินอาย

-------------------------------------------

สนธยาเดินทางมาถึงอย่างเนิบช้า ดวงตะวันทิ้งแสงสุดท้ายไว้ที่เส้นขอบฟ้า ชายหนุ่มหน้าตาระดับที่พอจะจัดได้ว่าหล่อ แต่ความยาวของผมและหนวดเครานั้นทำให้น้ำหนักความเซอร์มากกว่าความหล่อแบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น เขานั่งอยู่คนเดียวในมุมหนึ่งของร้านอาหาร ชื่อตามบัตรประชาชนว่านายรัฐกรณ์ ดูเข้าทีกับการเป็นนักศึกษารัฐศาสตร์ เรียกกันเล่น ๆ ว่าก้อง เขากำลังนั่งอมยิ้มคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเลิกเรียน ขณะที่ปากเคี้ยวข้าวหมุบหมับ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้เจอเหตุการณ์ที่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงแบบนี้ อันที่จริงพ่อสอนเขามาว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำถูกต้องเสมอ ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็อย่าไปขัดใจเธอ ตอนนี้เขาอยากจะกลับไปเถียงพ่อว่าผู้หญิงบางคนก็น่าขัดใจมากกว่าน่าตามใจ เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ ๆ ก็มาโยนระเบิดใส่เขาตูม ๆ หน้าตารึก็---ก็น่ารักดีนะ เมื่อนึกถึงตอนนี้เขาก็อมยิ้มอีกครั้ง แต่ก็นึกถึงเสียงแว้ด ๆ ขึ้นมาพร้อมกัน ไอ้ตอนไม่โมโหก็คงน่ารักดี แต่ตอนโมโหน่ากลัวชะมัด อย่างกับนางยักษ์ขมูขี ดีที่มีเพื่อนมาห้ามไว้ ไม่งั้นคงได้เถียงกันยาว ก้องคิดพลางกวาดข้าวคำสุดท้ายตักเข้าปาก ร้านข้าวมันไก่เจ้าประจำยังอร่อยเช่นเคย หากใครได้มากินเหมือนเขาคงติดใจ แต่จะได้มีโอกาสมากินก็คงยากหากไม่เสาะแสวงหาสักหน่อย เพราะร้านนี้อยู่ค่อนข้างลึกจากหลังมหาวิทยาลัย เป็นร้านที่ขายทั้งข้าวมันไก่และข้าวหมูแดง ว่ากันว่าอร่อยทั้งสองเมนู แต่สำหรับเขาที่ชื่นชอบข้าวมันไก่แล้ว ยังไงเมนูสุดยอดประจำร้านก็ต้องเป็นข้าวมันไก่แน่นอน

ขณะที่กำลังเดินไปจ่ายเงิน เท้าของเขาก็สะดุดกับของบางอย่างที่หล่นอยู่บนพื้น ก้มลงมองก็พบกระเป๋าสตางค์สีชมพูหวานแหววใบหนึ่ง เขาเก็บขึ้นมาเปิดดูว่าเป็นของใคร แวบแรกที่เห็นบัตรนักศึกษาก็จำได้ทันที ยัยผู้หญิงซุ่มซ่าม! เขาแทบจะได้ยินเสียงแปดหลอดของเธอลอยมาตามรูป ทั้งที่รูปนั้นเป็นรูปนักศึกษาธรรมดาเรียบ ๆ เธอชื่อณกมล รหัสนักศึกษาของเธอทำให้เขารู้ว่าเธอเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ปีเดียวกัน ในกระเป๋ามีบัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็มและเงินอีกเล็กน้อย เขาพลิกกระเป๋าดูทุกซอกมุมเผื่อจะมีที่อยู่ให้ติดต่อส่งคืนบ้าง กลับมีรูปชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งหล่นออกมาจากกระเป๋า สงสัยจะเป็นแฟน หล่อใช้ได้เลยนะ เขาคิดในใจ เมื่อไม่เจออะไรอื่นก็จนปัญญา ไม่รู้จะติดต่อเธอยังไง ป่านนี้คงกำลังร้องห่มร้องไห้ตามหากระเป๋าสตางค์อยู่แน่ ๆ แต่หน้าตาอย่างนั้นน่ะเรอะจะร้องไห้เป็นด้วย คิดแล้วก็ยักไหล่ เขาจึงลองถามลุงเจ้าของร้านดูเผื่อว่าจะรู้จักเธอ ยังไงเธอก็คงต้องมากินข้าวที่ร้านนี้แหละ ไม่งั้นกระเป๋าจะมาหล่นไกลถึงที่นี่เลยหรือ

“ลุงครับ รู้จักคนนี้ไหม” เขาหยิบบัตรนักศึกษาให้ลุงเจ้าของร้านดู

“อ่อ รู้จัก ๆ เค้าเป็นลูกค้าประจำของลุงเลยล่ะ เค้ามากินข้าวที่นี่บ่อย ๆ”

“จริงเหรอครับ” เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเธอหรือเปล่า เพราะเขาเองก็
เป็นลูกค้าประจำของลุงเหมือนกัน “แล้วลุงติดต่อเธอได้ไหม เธอทำกระเป๋าตังค์หล่นไว้”

“เหรอ เอ้อ เดี๋ยวนะรู้สึกว่าลุงจะมีเบอร์อยู่” ลุงเจ้าของร้านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ “บางทีเธอก็โทรมาสั่งข้าวน่ะ ลุงก็ให้เด็กในร้านเอาไปส่งให้ นี่ไง เบอร์นี้แหละ”

ก้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์แล้วโทรไปหาเจ้าของเบอร์ เสียงเพลงรอสายดังนานเอาเรื่อง ก่อนจะได้ยินเสียงหวานใสที่ปลายสาย

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ คุณณกมลใช่ไหมครับ”

“ค่ะ” เขานึกในใจว่าเสียงเธอหวานจนไม่คิดว่าเป็นเสียงเดียวกับที่แว้ด ๆ ใส่เขา นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วเขาก็อยากจะแกล้งเธอเล่นสักหน่อย

“คุณณกมลที่เดินสะดุดขาผมวันนี้ใช่ไหมครับ”

“นาย---นายผู้ชายปากจัด”

“อ๊ะ อ๊ะ อย่าด่าผมนะ ตอนนี้ผมมีตัวประกันอยู่ในมือ”

“ตัวประกันอะไรของนาย”

“ตัวประกันสีชมพูหวานแหวว ข้างในบรรจุเงินสี่ห้าร้อย พร้อมบัตรนักศึกษา บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม และรูปแฟนหนุ่มสุดหล่อ”

“กระเป๋าตังค์ฉัน! ไปอยู่กับนายได้ไง”

“ผมขโมยมาจากกระเป๋าคุณมั้ง”

“นายนี่มัน---ฉันจะฟ้องนาย หน้าเหมือนโจรแล้วยังจะทำตัวเหมือนโจรอีก ฟังนะ ความผิดฐานลักทรัพย์น่ะ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ติดคุกสามปี ปรับหกพันบาท นายติดคุกหัวโตแน่”

“โห แม่นเชียวคุณนักศึกษากฎหมาย นี่ถ้าอยากเอากระเป๋าตังค์คุณคืน คุณเอาเงินมาไถ่ผมสักสามพันสิ ผมอาจจะเปลี่ยนใจยอมคืนให้ ไม่งั้นผมอาจจะโยนลงท่อน้ำนะ”

“นายอยากโดนฟ้องฐานกรรโชกทรัพย์ด้วยใช่ไหม ฟังนะ กรรโชกทรัพย์น่ะจำคุกห้าปี ปรับ---”

“โอ้ย พอ ๆ พอเถอะคุณ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน “ผมล้อเล่นน่า ผมก็แค่เก็บกระเป๋าตังค์คุณได้เท่านั้นเอง นี่จะโทรมาให้คุณมาเอาคืน”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ เมื่อกี้ผมแค่หยอกเล่น”

“นายอยู่ไหน”

“อยู่ตรงที่ที่คุณทำกระเป๋าตังค์ตกนั่นแหละ”

“อย่ามากวนนะ ถ้าฉันรู้ว่าฉันทำกระเป๋าตังค์ตกที่ไหนก็คงเจอเองแล้ว”

“อยู่ที่ร้านเฮียเหน่ง ร้านข้าวมันไก่น่ะ”

“ร้านข้าวหมูแดงต่างหาก”

“ข้าวมันไก่สิคุณ อร่อยกว่า”

“แหวะ ข้าวหมูแดงอร่อยกว่าตั้งเยอะ ฉันเกลียดข้าวมันไก่ เออช่างเถอะไม่ใช่เวลาเถียง เดี๋ยวฉันจะรีบไปนะ คุณรอฉันสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม”

“โห ปกติของอย่างนี้มันต้องรีบมาในห้านาทีไม่ใช่เหรอคุณ ผมไม่ได้ว่างทั้งวันนะ”

“ก็ฉันยังไม่ได้แต่งตัว นี่ฉันหากระเป๋าตังค์จนกระเซอะกระเซิงไปหมดแล้วเนี่ย”

“สิบนาทีขาดตัว มาไม่ทันผมก็กลับล่ะ โยนกระเป๋าทิ้งท่อระบายน้ำด้วย”

“นี่ เดี๋ยวสิ---” ก้องรีบวางหูก่อนที่เธอจะได้ต่อรองอะไรอีก นั่งยิ้มรออยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม

สิบห้านาทีผ่าน หญิงสาววิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้าน เขาได้แต่ยิ้มกับท่าทางร้อนรนของเธอ อ้อพูดด้วยเสียงเหนื่อย ๆ

“นึกว่านายจะไปซะแล้ว” แล้วตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววโมโห “ขำอะไรยะ”

“ก็แหม---ไม่คิดว่าคุณจะเชื่อผมขนาดนี้ ถึงกับรีบแจ้นมาเลยเหรอ ไกลมากไหม ดูสิผมยังฟูเป็นสิงโตอยู่เลย” เขาคิดในใจว่าหน้าตาเธอตอนยังไม่แต่งหน้าก็น่ารักดี น่ารักแบบธรรมชาติ---ลงโทษ!

“นายนี่มัน---”

ก่อนที่เธอจะพูดอะไรมากกว่านี้ ก้องรีบยื่นกระเป๋าสตางค์ให้หญิงสาว “เอ้า ของคุณ ตรวจดูสิว่าของครบรึเปล่า”

อ้อรีบคว้ากระเป๋าสตางค์ของเธอมาไว้ในมือ คลี่ออกตรวจดูของทุกอย่าง เมื่อยังอยู่ครบก็ยิ้มโล่งใจ “โชคดีจัง” รอยยิ้มที่กำลังหวาน ๆ หุบลงทันทีที่เห็นมือของชายหนุ่มแบมาตรงหน้า

“นายนี่มันงกจริง ๆ น้า เอ้า ค่าตอบแทนที่เก็บของไว้ให้” เธอกำลังจะควักธนบัตรใบสีแดงออกมาจากกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขัดคอเสียก่อน

“จะบ้าเหรอ เห็นผมเป็นขอทานรึไงคุณ ที่แบมือเนี่ยจะขอคำว่า ขอบคุณค่ะ สักคำ”

“ฮึ ขอบคุณค่ะ” อ้อพูดเสียงสะบัด ทำปากเบะ

“ไม่ไพเราะเสนาะหูเลย ขอหวาน ๆ ได้ไหม” ก้องทำเมินเหมือนไม่ได้ยิน

กำลังจะเหวี่ยงใส่ชายหนุ่ม แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าอย่างน้อยเขาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณ จึงเก็บความไม่พอใจที่ถูกยียวนกวนประสาทไว้ในใจ แกล้งยิ้มหวาน พูดด้วยน้ำเสียงใส “ขอบคุณค่ะ”

ก้องยิ้มด้วยมุมปาก “พอบอกให้หวานนี่จัดเต็มมาเลยเชียว”

“นายจะเอายังไง” สองมือของหญิงสาวเลื่อนมาเท้าสะเอว

“อ่ะ ๆ ๆ ผมล้อเล่น โอเค คุณได้กระเป๋าตังค์คืนแล้วก็หมดหน้าที่ผมล่ะ” เขาลุกจากเก้าอี้ เดินย่ำเท้าไปทางทิศตะวันตก

อ้อกัดริมฝีปาก จากกันได้ก็ดีเหมือนกัน เธอไม่อยากอยู่ใกล้นายคนนี้เลย ไม่งั้นประสาทจะกินเอา คนอะไรไม่รู้กวนชะมัด แต่ใจหนึ่งก็บอกเธอว่าควรจะต้องตอบแทนบุญคุณเขาบ้าง เพราะเขาอุตส่าห์เก็บกระเป๋าสตางค์เธอเอาไว้ ไม่เอาเงินไปไหนสักบาท ความรู้สึกระหว่างอยากให้เขาไปไกล ๆ กับการต้องตอบแทนบุญคุณตีกันวุ่น ในที่สุดฝ่ายหลังก็ปล่อยหมัดน็อคชนะ

“นี่คุณ คุณ---”

“ครับคุณณกมล จะตามมาฟ้องผมเหรอครับ”

“ฉันอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ”

“โอ้ย ไม่ต้องหรอก ผมไม่ถือเป็นบุญคุณอะไร”

“ไม่ได้” เธอเท้าสะเอว “สำหรับฉันมันถือเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน ถ้าคุณไม่เอาเงิน อย่างน้อยก็ให้ฉันเลี้ยงข้าว หรืออะไรก็ได้” เธอไม่ได้พูดความคิดที่ดังอยู่ในใจว่า ถ้าวันนี้ไม่เลี้ยงตอบแทนให้จบไป จะต้องติดหนี้บุญคุณตานี่แน่ ๆ แล้วอาจจะต้องไปชดใช้กันในชาติหน้า จะให้ไปเจอตาคนนี้ในชาติหน้าอีกเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ!

“ไม่เอาล่ะ ผมเพิ่งกินข้าวอิ่ม ๆ จะให้กินอะไรอีกคงไม่ไหว”

“ไม่ได้ ๆ ให้ฉันเลี้ยงคุณเถอะนะ เอางี้ ฉันรู้จักร้านกาแฟอร่อย ๆ ร้านนึง เราไปกินด้วยกันสักแก้วละกันนะ”

“โอ้ย ไม่เอาล่ะ ผมกลับไปห้องก็จะนอนเลย ขืนกินกาแฟอีกได้ตาค้าง”

“เถอะน่า นะ กินแก้วเดียวไม่เป็นไรหรอก” แม้ว่าในใจอยากจะกระโดดถีบผู้ชายเรื่องมากคนนี้สักป๊าป แต่เธอก็โปรยยิ้มหวานทำนองว่ากลัวเขาจะไม่ตามมา

พอเวลายิ้มหวานก็น่ารักดีเหมือนกันนี่นา ก้องยิ้มในใจขณะกำลังเดินตามหลังหญิงสาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น