วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

(เรื่องเล่าของ) ดินสอของนักเขียนหน้าใหม่คนหนึ่ง

ฉันเป็นดินสอของนักเขียนหน้าใหม่คนหนึ่ง

เดิมทีเรา... หมายถึงฉันกับมนุษย์ที่อ้างตัวเป็นนักเขียนคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเราเคยทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันมาหรืออย่างไร จึงได้มาพบกันในชาตินี้

สถานที่รักแรกพบของสองเราคือร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่ง (ไม่สิ จะว่าเป็นสถานที่รักแรกพบก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะฉันไม่ได้พิศวาสอะไรเขา และเขาก็คงไม่ได้รักใคร่ใหลหลงในตัวฉันมากนัก ฉันคิดว่าอย่างนั้น ถ้าเพื่อนฉันที่วางทับฉันไว้ไม่หายไปเสียก่อน เขาก็อาจจะไม่เลือกฉันก็เป็นได้) ที่เขาเลือกฉันเพราะฉันเป็นดินสอกดที่ใช้วาดรูป รูปร่างและวิธีการทำงานของฉันก็ไม่ต่างไปจากดินสอกดธรรมดาหรอก เพียงแต่ไส้ของฉันจะใหญ่กว่าดินสอทั่วไป ซึ่งสามารถเหลาให้แหลมหรือทู่ได้ เขาคงคิดว่าน่าจะเท่มากหากนำมาใช้เขียนหนังสือ (ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าความทรมานของการเหลาไส้ทุกสองย่อหน้าเป็นอย่างไร บางทีเวลาเขาเขียนไม่ออก เขาก็เฉไฉเหลาไส้ของฉันทั้งที่ตอนนั้นมันก็แหลมคมยิ่งกว่าเข็มอยู่แล้ว เขาชอบพูดอยู่เสมอว่า การเหลาไส้คือการลับสมองเชิงสัญลักษณ์ เขาทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นแหละ เวลาเขาเขียนไม่ออก เขาเหลาไส้ฉันแหลมคมจนแทบจะเจาะสมุดหนาทะลุเป็นรูได้ เขาก็เขียนไม่ออกอยู่ดี)

บนโต๊ะของเขามีหนังสือวางทับถมกันเป็นหย่อมใหญ่ เขาเป็นคนที่มีหนังสือค่อนข้างเยอะ และส่วนมากจะมีตราอะไรประทับอยู่บนปก ฉันพยายามอ่านได้ความว่าเป็นรางวัลโนเบิล รางวัลซีไรต์ และรางวัลนู้นรางวัลนี้ที่ชื่อค่อนข้างยาวจนฉันอ่านไม่ออก เวลาเพื่อนมาเยี่ยมเขาที่ห้อง ทุกคนจะทำตาโต อ้าปากหวอ ร้องอุทานว่ามีแต่หนังสือดี ๆ เขาเองก็ชอบคุยโม้โอ้อวดว่าเขาอ่านมาก อ่านมาหมดแล้ว รพินทรนาฏ ฐากูร เออร์เนส เฮมิงเวย์ จอห์น สไตน์เบค อัลแบร์ การ์มูร์ หรือไล่ไปชื่อไทยอย่าง อัศศิริ ธรรมโชติ ชาติ กอบจิตติ กนกพงษ์ สงสมพันธุ์ เดือนวาด พิมวนา วินทร์ เลียววาริณ ปราบดา หยุ่น และอื่น ๆ อีกมากมายที่ฉันสาธยายไปอีกสามวันก็ไม่หมด เขาชอบโม้ให้เพื่อนฟังอย่างนั้น (แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ฉันแอบเห็นว่าเวลาว่างของเขาหมดไปกับอย่างอื่นมากกว่าอ่านหนังสือเสียอีก ทั้งดูโทรทัศน์ ไม่ก็เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต ส่วนวรรณกรรมระดับโลกหรือระดับประเทศที่เขาอวดอ้างว่าอ่านแล้ว ฉันเห็นมันใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยมีใครเปิดอ่าน หรือบางเล่มก็คั่นไว้ที่ครึ่งเล่มเป็นปี) บางครั้งเขาก็อ่านแล้วหยิบฉันไปขีดเส้นอะไรสักอย่างในหนังสือ และทำท่าเหมือนจะบันทึกความคิดอะไรลงไป แต่พอหมุนควงฉันไปสักสองสามรอบ เขาก็โยนฉันทิ้งบนที่นอน ก่อนจะโยนหนังสือไว้ที่หัวเตียงแล้วหลับ (ฉันคิดว่าเขาคงเก็บไปคิดต่อในความฝันกระมัง)

เขาเป็นคนชอบเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ฉันพอจะจับใจความเรื่องที่เขาเขียนได้ว่าเป็นเรื่องราวของผู้ทุกข์ยากหลากหลายมุมมอง นอกจากที่เขาจะใช้ฉันเขียนเรื่องแต่งจิปาถะของเขาแล้ว เขายังใช้ฉันบันทึกไดอารีส่วนตัวของเขาอีกด้วย ฉันเลยพอจะรู้เรื่องของเขาบ้าง เขาเขียนไว้ว่าเขาเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวชนชั้นกลางที่อ่านหนังสือมาเยอะ (เขาเขียนว่าอย่างนั้นนะ ทั้งที่ฉันแทบจะนับเล่มที่เขาอ่านได้) เลยอยากถ่ายทอดเรื่องราวความยากไร้ ความทุกข์ ชีวิต จิตวิญญาณ ความลำบากของผู้ถูกกดขี่ให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้ และด้วยความที่เขาเป็นนักเขียนสดใหม่ กลวิธีการเล่าเรื่องของเขาก็ต้องแตกต่างจากคนอื่น ๆ (แต่เขานั่งอยู่ในห้องแอร์เวลาเขียน ดูเขาสบายดี ฉันเลยไม่รู้ว่าเขาจะเก็บเกี่ยวความทุกข์ยากจากไหนมาถ่ายทอดในงาน ส่วนกลวิธีแหวกแนวของเขานั้น เขาบันทึกไว้ว่าขอให้แปลกประหลาดเป็นใช้ได้ ยิ่งดูเหมือนเล่าเรื่องแบบเฉลียวฉลาดกว่านักเขียนรุ่นก่อนได้ยิ่งดี ถ้าเกิดมันเข้าทีคงจะไปโดนใจบรรณาธิการสักแห่งหนึ่ง แต่ฉันว่ายิ่งทำยิ่งเลอะมากกว่า) ฉันได้รับรู้ตามที่บันทึกประจำวันของเขาสาธยายไว้ก็รู้สึกภูมิใจว่าฉันช่างมีบุญที่ได้เกิดมาเป็นดินสอของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ (และฉันคงภูมิใจอีกนานเนิ่น ถ้าเขาไม่บังเอิญบันทึกไว้ในซอกมุมของไดอารีว่า แท้ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนไปกับมวลชนผู้ทุกข์ยากอะไรมากมายหรอก ติดจะรำคาญด้วยซ้ำหากมาทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่ที่เขายอมเขียนแบบนั้นก็เพราะต้องการให้วงวรรณกรรมยอมรับในตัวเขาว่าช่างมีฝีไม้ลายมือและจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมเหลือเกิน อยากมีชื่อเสียง อยากให้นักเขียนที่เขาชื่นชอบยอมรับในฝีมือ ฉันรู้แบบนี้แล้วก็อดเศร้าใจไม่ได้ แต่จะทำยังไงล่ะ ก็เขาซื้อฉันมาเป็นดินสอของเขาแล้วนี่นา)

.............................................................

หลายวันมานี้เขาดูเครียด ๆ พิกล ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาเครียดเรื่องอะไร เขาเอาฉันไปวงเลขบนปฏิทินไว้ แล้วเขียนว่าเป็นวันหมดเขตส่งรางวัลอะไรสักรางวัลหนึ่ง เขาเขียนไว้ในไดอารีว่ารางวัลนี้น่าจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่การเป็นนักเขียนเต็มตัว (เขาแอบบันทึกไว้ในซอกมุมหนึ่งของไดอารีอีกแล้วว่า วงการนักเขียนนั้นแจ้งเกิดกันด้วยรางวัล จะเขียนได้ดีให้ตายยังไง ถ้าไม่มีรางวัลห้อยท้ายก็อย่าหวังว่าใครจะรู้จักหรือยอมเสียเงินซื้อหนังสือ ) ดูเขามุ่งมั่นทุ่มเทกับการเขียนเรื่องส่งรางวัลนี้มาก บางวันเขาเอาฉันไปขีด ๆ เขียน ๆ เส้นระโยงระยางบนกระดาษ เขาเขียนว่า การเปิดเรื่อง การปิดเรื่อง ความขัดแย้ง แล้วลากเส้นมั่ว ๆ ไปมา เขียนอย่างนั้นไปสักสองสามแผ่นก่อนจะขยำทิ้งไปทั้งหมด สักพักเขาก็โยนฉันไว้ที่ซอกมุมหนึ่งของโต๊ะ และหลบลี้ไปอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ขยับเมาส์กริ๊ก ๆ ทั้งวัน

รุ่งเช้าเขามานั่งหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ หมุนเก้าอี้ไปมา ถอนหายใจยาวพลางเหม่อมองไปยังปฏิทิน พึมพำเบา ๆ ว่าจวนจะหมดเขตแล้ว เขาหยิบข่าววรรณกรรมที่เพิ่งปริ้นท์ออกมา คงจะเป็นข่าวที่เขาไปหามาตั้งแต่เมื่อคืน เขาพยายามกวาดสายตาไปมาขณะที่จับฉันหมุนควงจนเวียนหัว เขาขีดชื่อแปลก ๆ สองสามชื่อ ดูเหมือนเป็นชื่อของคน แล้วก็วงตรงหัวเรื่อง เป็นชื่อของการประกวดอะไรสักอย่าง (ฉันคิดว่าชื่อคนคงจะเป็นชื่อของกรรมการที่จะตัดสินรางวัลการประกวดของเขา) นอกจากนั้นยังเป็นชื่อหนังสือที่คุ้นตา "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" ระหว่างที่เขาขีดก็พึมพำว่าจะอ่านทันหรือเปล่า (ฉันจำได้ว่าฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่บนโต๊ะของเขามานานแล้ว) เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกไปจากห้อง ก่อนจะหายไปประมาณสองวัน (ฉันได้แต่สงสัยว่า เขาไปทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือหรือเปล่า)

เขากลับมาในเย็นของวันที่สองพร้อมกับหอบหนังสือมาเป็นตั้ง เขาหยิบฉันมาขีดเขียนอะไรลงในหนังสือให้วุ่นวายไปหมด ฉันเห็นหน้าปกแวบ ๆ ว่าเป็นหนังสือของกนกพงษ์ สงสมพันธุ์ ปราบดา หยุ่น กับการ์เบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นอกจากนั้นยังมีหนังสืออธิบายศัพท์วรรณกรรมอีกด้วย เขาเอาฉันไปขีดเส้นคำว่า Magical Realism สองสามรอบ วงคำว่า Post-modern Anti-plot และวงคำอื่นอีกสองสามคำแต่ฉันจำไม่ได้ จากนั้นเขาใช้ฉันขีดคำขีดเส้นโยงใยวุ่นวายไปหมด แผ่นกระดาษสองใบแรกเขาขยำทิ้งเช่นเดิม แต่ใบที่สามซึ่งเป็นใบที่ดูยุ่งเหยิงวุ่นวายมากที่สุด เขากลับทำทีท่าพออกพอใจและออกปากชื่นชมตัวเอง จากนั้นเขาจึงหยิบกระดาษเปล่าที่มีเส้นบรรทัดมาวางตรงหน้า จับฉันมาหมุนควงจนเวียนหัวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดควงและจ่อฉันไว้นิ่งนานตรงหน้ากระดาษ เขาขยับฉันครั้งสองครั้งเหมือนจะเขียนอะไรลงไป แต่สักพักก็หยุดเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง เขาอยู่ในกริยานี้สักครู่หนึ่งก็วางฉันไว้บนกระดาษ ผละออกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปเปิดโทรทัศน์ดู ฉันคิดว่าเขาแค่ไปพักสมองเพียงคราวครู่ แต่เขากลับจมอยู่กับกิจกรรมอื่นทั้งวัน ฉันรออยู่นานจนถอดใจว่าเขาคงไม่กลับมาใช้ฉันเขียนอะไรแล้ว จึงแอบพักผ่อนเสียเลย (คงไม่มีใครรู้ว่าดินสออย่างฉันก็ขี้เกียจเป็นและอยากพักผ่อนบ้างเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะหลังจากถูกหมุนควงและขีดเส้นจนลายตา)

ฉันพักผ่อนไปนานเท่าไรก็จำไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกเขาปลุกอย่างรีบเร่งและร้อนรนในเย็นวันหนึ่ง เขาพูดกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ก็หมดเขตแล้ว ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ต่อเมื่อเขาหยิบกระดาษยุ่งเหยิงใบนั้นมาดู ฉันจึงระลึกได้ว่าเขาคงหมายถึงการประกวดอะไรสักอย่างของเขา คืนนั้นเขาจับฉันเขียนบนกระดาษอย่างบ้าคลั่ง ธารอักษรไหลหลั่งออกมาราวกับน้ำป่าที่ซัดทลายเขื่อนในฤดูกาลฝนตกชุก ฉันพยายามจะเก็บความสิ่งที่เขาเขียนแต่ก็แทบจะอ่านไม่ทัน (อีกอย่างฉันก็มัวแต่เป็นห่วงเขา กลัวเขาจะเสียจริตไปก่อนเพราะใบหน้าของเขาดูซีดเซียว ทั้งยังชอบทำท่ากุมขมับ บางทีก็เดินไปเดินมาสีหน้าคร่ำเครียด ฉันคิดว่าท่าทีเขาดูแปลกไป ไม่เหมือนตอนที่ใช้ฉันเขียนเรื่องแต่งจิปาถะหรือบันทึกไดอารี ตอนนั้นใบหน้าเขาดูสดใส สีหน้าแช่มชื่น ดูมีความสุขดี)

เขาเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนตีสี่ ใบหน้าของเขาดูอิดโรยน่าสงสาร ดูคล้ายกับตัวละครในเรื่องแต่งของเขาที่สิ้นชีวิตลงอย่างน่าอนาถใจในตอนจบ ฉันไม่รู้ว่าเขาเองก็จะสิ้นชีวิตในตอนจบหรือเปล่าเพราะสภาพของเขาขณะเขียนตอนจบดูราวกับผีตายซาก ฉันนึกว่าเขาหมดเวรหมดกรรมกับต้นฉบับปึกนี้แล้ว แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ลากสังขารไปปักหลักตรงหน้าคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเริ่มเคาะคีย์บอร์ดเสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ฉันฟังเพลินจนเผลอพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์

...................................................................

ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเขาจับฉันขยับไปยังซอกโต๊ะ ด้วยความที่เผลอพักผ่อนนานไปหน่อย ฉันจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว สิ่งที่ฉันรู้ก็คือรอบโต๊ะเขียนหนังสือดูแปลกตาไป หนังสือวรรณกรรมที่เคยกองสุม ๆ กันอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะ ตอนนี้จรลีขึ้นไปอยู่บนตู้เสื้อผ้า ส่วนสิ่งที่มาแทนที่ก็คือกองหนังสือเรียนหลากหลายวิชา พร้อมกับดินสอกดไส้ธรรมดาใหม่เอี่ยมวางอวดโฉมอยู่บนโต๊ะหนึ่งแท่ง นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก แต่ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเขาหยิบฉันมาใช้น้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดฉันก็เหลือหน้าที่เพียงแค่เป็นดินสอบันทึกไดอารีของเขาเท่านั้น (ฉันมารู้ความจริงจากไดอารีเขาว่า เวลาที่เขาใช้ฉันเขียน เขาจะรู้สึกเกิดอารมณ์ศิลปิน ซึ่งนับแต่นี้อารมณ์แบบนั้นไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว เขาใช้ดินสอกดธรรมดาสะดวกกว่ากันเยอะ แล้วเขายังบันทึกในทำนองว่า เขาควรจะเลิกฟุ้งฝันแล้วกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียที ฉันไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร? และเกิดอะไรขึ้นตอนที่ฉันเผลอพักผ่อนไปนาน? แล้วการประกวดครั้งนั้นผลเป็นอย่างไร? ทำไมเขาไม่บันทึกไว้ ฉันจะได้รู้ ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันจะได้รู้ว่าต่อไปฉันจะมีชะตากรรมเช่นไร แต่ดูท่าทางเขาจะเก็บงำอะไรบางอย่างอยู่)

...................................................................

และแล้ววันหนึ่งเขาก็หยิบฉันหมุนควงไปมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้จะเวียนหัวบ้าง แต่ฉันก็ดีใจว่าเขากลับมาทำอะไรอย่างเดิมแล้ว ขณะที่กำลังถูกหมุนควงก็ได้แต่หวังว่าเขาจะกลับมาใช้ฉันเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยดังเดิม แต่ความรู้สึกที่กำลังเบ่งบานนี้ก็ถูกทำลายลงในพริบตาเมื่อเขาหยุดหมุนและขว้างฉันไปยังมุมห้อง ฉันรับรู้ได้ในวินาทีนั้นเองว่า เขาจะไม่ใช้ฉันในการเขียนอีกต่อไปแล้ว ฉันกระเด็นไปกระแทกขอบเตียง ก่อนจะกลิ้งหลุน ๆ ตกลงไปใต้เตียงอันมืดมิด ความรู้สึกทั้งมวลวูบดับลงฉับพลัน

ตอนนี้ฉันอยู่กับความมืดจนคุ้นชิน ไม่เคยนับเวลาว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว (เพราะมันนานจนกระทั่งฉันแทบจะลืมไปว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขาจะลืมฉันไปแล้วหรือยัง? ตอนนี้เขาใช้ดินสออะไรเขียน? แล้วยังเขียนเรื่องแต่งหรือบันทึกไดอารีอยู่หรือเปล่า?) หากมองในแง่ดี ฉันก็ยังคงพอจะมีความสุขอยู่บ้าง เพราะการได้พักผ่อนเป็นเรื่องที่ฉันปรารถนา แต่ครั้งนี้นานเกินไปจนฉันอยากให้เขาหยิบฉันไปเขียนอะไรสักอย่างอีกครั้ง (ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาได้รับรางวัลจากการประกวดอะไรสักอย่าง เขาจะได้มีชื่อเสียง ผู้คนยอมรับในผลงาน ไฟในการเขียนจะได้กลับมาคุโชนอีกครั้ง บางที... เขาอาจจะยังจำได้ว่ามีดินสอแท่งหนึ่งที่เขาเคยหลงใหลหลบเร้นอยู่ใต้เตียงนอนอันมืดสนิทนี้)




ตีพิมพ์ครั้งแรก : คอลัมน์จุดประกายวรรณกรรม นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 เมษายน 2552

1 ความคิดเห็น:

  1. ... บางทีคนเราก็ลืม ดินสอแท่งเดิม ที่เคยใช้นะคะ พอมีแท่งใหม่
    มันแย่ซะยิ่งกว่า ทำดินสอแท่งนั้นหายไปซะอีก
    เพราะบางทีถ้าหายไปเราอาจ จะรู้สึกถวิลหา มันมากกว่า ...

    ปล. พี่กอล์ฟเป็นไงบ้าง สบายดีไหมเอ่ย

    ...กระต่าย

    ตอบลบ