วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Joker : เราจะเป็นคนปกติได้นานแค่ไหนในโลกที่ป่วยไข้แสนสาหัส

(บันทึกความรู้สึกหลังชมภาพยนตร์ ไม่เปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์)

หาก The Killing Joke คือคอมิคส์ระดับตำนานที่เปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องตัวละครวายร้าย Joker ไปตลอดกาล ภาพยนตร์ Joker (2019) ก็น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องในระดับเดียวกัน

Joker ตีความตัวละครคู่ปรับตลอดกาลของอัศวินรัตติกาลออกมาใหม่อีกครั้ง ลงลึกในจิตใจที่เจ็บปวดรวดร้าวแหลกสลายของใครคนหนึ่ง ให้รายละเอียดว่าเพื่อนมนุษย์และสังคมฟอนเฟะแบบไหนกันที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา

หนังใช้เวลาในองก์แรกอย่างเนิ่นนานและเนิบช้า (จนรู้สึกว่าน่าเบื่อ) คงเพื่อให้รู้สึกว่าท่ามกลางมรสุมร้ายยังมีประกายความหวังบางเรื่องให้หัวใจเรายังคงเป็นมนุษย์อยู่ ก่อนที่จะเอาภาพความหวังเหล่านั้นมาเหยียบขยี้ทิ้งทีละเรื่องอย่างไม่ไยดีในองก์ต่อมา เพื่อพาคนดูไปสู่ความบ้าคลั่งในยี่สิบนาทีสุดท้าย แต่เป็นช่วงสุดท้ายที่คนดูคงต้องถามใจตัวเองว่า จริง ๆ แล้วใจเราอยู่ตรงข้ามหรืออยู่ข้างเดียวกับความบ้าคลั่งกันแน่

ในคอมิคส์ The Killing Joke นั้น Joker เคยพูดไว้ว่า "All it takes is one bad day to reduce the sanest man alive to lunacy...Just one bad day." แต่สำหรับเรื่องนี้แม่งไม่ใช่แค่ one bad day แต่เป็น All of your fucking Life เกือบร้อยนาที ซึ่งขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแม้แต่เราเองยังร้องในใจว่า โอ้ย พอแล้วไอ้เหี้ย แค่นี้คนเราก็แหลกสลายมากพอจะบ้าคลั่งได้แล้ว แต่บางที การจะกลายเป็นปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดของเมืองโสมมนี้ อาจจะต้องหล่นลงไปในนรกขุมที่ลึกที่สุดเสียก่อน จึงไม่แปลกที่คนดูหลายคนสงสาร หรือเผลอเอาใจช่วยให้เขาปีนกลับมาจากขุมนรก ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไร ไม่ว่าสิ่งที่ Joker ทำจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

ว่าด้วยพล็อต แทบไม่มีอะไรใหม่หรือความเซอร์ไพรส์ใดเลย เรื่องราวของชนชั้น การถูกกดขี่ สังคมที่บีบคั้นคนให้กลายเป็นบ้า หรือตอนจบที่เฉลยตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วว่าสุดท้ายเขาจะกลายเป็นวายร้าย Joker ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักกันดี แต่ด้วยการแสดงระดับสุดยอดของ Joaquin Phoenix ก็ทำให้หนังเรื่องนี้ยกระดับเป็นผลงานขึ้นหิ้งได้เลย ถ้าอยากรู้ว่าคนคนเดียวตรึงคนทั้งโรงให้จดจ่อกับเขาได้อย่างไรตลอดสองชั่วโมงก็ต้องลองมาดูจากเรื่องนี้กัน

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Joaquin Phoenix ที่เราชอบคือแววตาที่โคตรเศร้า เศร้าระดับชิบหายวายวอด แววตาแบบนี้เป็นอาวุธสำคัญของเขามาตั้งแต่เรื่อง Her คือแค่มึงนั่งทอดสายตาเฉย ๆ กูก็จะร้องไห้ตามมึงแล้วเนี่ย ความขัดแย้งกันระหว่างแววตากับเสียงหัวเราะ (และการพยายามกลั้นหัวเราะในหลายฉาก) ยิ่งทำให้การหัวเราะแต่ละครั้งของ Joker ทรงพลังมากขึ้นไปอีก ชนิดที่ว่าทุกครั้งที่เขาเริ่มหัวเราะ ไม่มีใครกล้าหัวเราะตามเลยแม้แต่คนเดียว

อันที่จริงหนังจบไปตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว แต่นี่ยังไม่ออกจากลานจอดรถเลย (จนยามเดินมาดูสองรอบแล้ว 55) เพราะสิ่งที่ Joker ทิ้งไว้ให้เราคือก้อนความคิดด้านลบที่ทั้งหนัก เหนื่อย กดดัน หดหู่ ดิ่งลงกดทับใจเราจนแทบขยับไม่ได้ ถ้าไม่เขียนอะไรออกมาเสียก่อน กลับไปคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่น่าจะเหมาะกับคนที่อยากดูอะไรสนุก ๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ ส่วนแฟนแบทแมนจะดูหรือไม่ดูก็ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ไปเชื่อมกับจักรวาล DCEU เรื่องใด ๆ แต่ถ้าถามว่าปี 2019 มีหนังเรื่องไหนน่าดูบ้าง เรื่องนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น