วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 7

เสี้ยวชีวิตเบาบางระหว่างสถานี

(1.)

ตอนสายของวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ผมพบตัวเองนั่งอยู่ในซอกมุมหนึ่งของสนามบินสุวรรณภูมิ ในมือมีข้าวกล่องเซเว่นอุ่นร้อน ๆ และกำลังรอคอยการเรียกเช็คอิน ผมไม่ชอบการรอคอยนานนับชั่วโมง เช่นเดียวกับที่ไม่ชอบข้าวกล่องเซเว่น พูดให้ถึงที่สุดแล้วคือผมไม่ชอบเดินทางไปยังที่ไกล ๆ แต่ชีวิตคนเราต้องมีสักครั้ง หรือหลายครั้งที่ไม่อาจปฏิเสธการเดินทางได้ และในทุกครั้ง การเคลื่อนที่ของหัวใจจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งก็ย่อมทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอ อย่างน้อยวันนี้การเดินทางก็ทำให้ผมที่ไม่ชอบการเดินทาง ไม่ชอบรอคอยนาน ๆ ไม่ชอบข้าวกล่องเซเว่น ต้องมานั่งกินข้าวกล่องเซเว่น รอคอยเวลาเช็คอินนานนับชั่วโมง เพื่อที่จะเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

เงยหน้าขึ้นมองป้ายไฟแสดงข้อมูลการบิน ขณะที่ปากเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ เที่ยวบินของผมปรากฏอยู่บนสุด เข้าใจว่าเครื่องบินมาถึงแล้วและกำลังเช็คสภาพ  คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกัน ต่างคนต่างก็จดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ตนเองต้องการจะไปถึง โชคดีที่เป้าหมายของผมมาปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้ว ขณะที่เป้าหมายของบางคนอาจจะยังไม่มา หรืออีกนานมากกว่าจะมาถึง เก้าอี้ชุดบางตัวจึงถูกจับจองเป็นที่นอน กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใช้ต่างหมอน

การรอคอยที่สถานีของบางคนอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วเคี้ยวข้าวหมดกล่อง แต่สำหรับบางคนอาจจะใช้เวลาทั้งวัน หรืออาจเป็นอาทิตย์ แต่ไม่มีใครที่ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในสถานี เพราะทุกการเดินทางของทุกคนล้วนมีเป้าหมาย ส่วนสถานีเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เขาจะใช้เป็นทางผ่าน เป้าหมายที่จะไปต่างหากเป็นสถานที่ที่เขาจะพำนักอยู่อย่างถาวร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชีวิตไม่เคยเกิดขึ้นที่สถานี ทุกสถานีเป็นเพืยงสถานที่ผ่านพบไม่ผูกพันเท่านั้นเอง

หรืออันที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น?

(2.)

"ถ้าเป็นไปได้ เราไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยกันนะ"

ใครบางคนทิ้งตะกอนความฝัน ทิ้งบางร่องรอยของความทรงจำเอาไว้ สำหรับเธอแล้วมันอาจเป็นเพียงฝุ่นผง เพียงลมแผ่วผ่านก็จางหาย แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือการจารึกถ้อยคำลงป้ายหินซึ่งคงอยู่ยาวนานกว่าชั่วชีวิตของใครบางคน

"ฝรั่งเศสมีอะไรน่าเที่ยว"

"จะไปดูลูฟว์" เธอหมายถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดัง ไม่รู้ว่าเธออยากจะไปดูลูฟว์เพราะอยากดูโมนาลิซ่า หรือแค่เพราะเธอชอบอ่านดาวินชีโค้ด

"ไม่อยากไปดูหอไอเฟลเหรอ"

"มีแต่โครงเหล็ก ไม่เห็นน่าสนใจ"

เธอว่าผู้ชายส่วนใหญ่ก็เหมือนหอไอเฟล กระด้าง ไร้ความรู้สึก ไม่ละเอียดอ่อนละเมียดละไม อวดกร่างว่าใหญ่แต่ข้างในกลวงเปล่า ส่วนลูฟว์เหมือนผู้ชายที่ดูน่าค้นหา มีความงามและความลับซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด แต่เธอไม่ได้บอกว่าผมเหมือนลูฟว์ ผมได้แต่คิดไปเอง คาดเดาเอาเองทั้งนั้น

ตอนนี้เธอคบหาอยู่กับผู้ชายที่เหมือนหอไอเฟล

สำหรับเธอแล้ว เขาคือปารีส เขาคือปลายทางที่เธออยากจะไป แม้ว่าสิ่งที่เธอต้องพบพานทุกวันคือหอไอเฟล แต่เธอก็ยังคงหวังว่าเขาคงจะพาไปดูลูฟว์ในสักวัน ส่วนผมเป็นเพียงสถานีหนึ่งที่เธอบังเอิญเดินผ่านมาเท่านั้นเอง

(3.)

ข้าวหมดกล่อง อีกประมาณสิบนาทีถึงเวลาเช็คอิน ผมโยนกล่องข้าวลงถังขยะ ล้างมือในห้องน้ำ พนักงานทำความสะอาดกระเตงลูกเดินเข้ามาทำความสะอาดห้องน้ำ ผมยิ้มบาง ๆ ให้ เธอยิ้มตอบ และดูเหมือนเจ้าหนูที่อยู่หลังเธอก็ยิ้มให้ผมด้วย

เดินผ่านร้านอาหาร ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมเดาว่าเป็นแม่กำลังซับน้ำตา ขณะที่พ่อกำลังให้โอวาทลูกสาวผู้มีกระเป๋าใบใหญ่วางอยู่ข้าง ๆ เธออาจจะกำลังเดินทางไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ไกลแสนไกล และความคิดถึงอย่างเป็นรูปธรรมของพ่อแม่อาจเดินทางไปไม่ถึง

เดินผ่านร้านกาแฟ ผู้หญิงคนหนึ่งหันหน้าออกมานอกร้าน ทำเหมือนไม่สนใจคนร่วมโต๊ะ ขณะที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำทีท่าพยายามงอนง้อขอคืนดี ผมได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ยกเลิกเที่ยวบินราคาแพงเพียงเพราะโกรธคนที่กำลังจะร่วมเดินทางไปกับเธอในอีกไม่กี่ชั่วโมง

เสียงกรี๊ดกร๊าดของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ผมหันกลับไปมอง เธอกำลังหมุนวนในอากาศเหมือนใบพัด โดยมีอ้อมกอดของแฟนหนุ่มเป็นแกนกลางหมุนเธอไปรอบ ๆ ท่ามกลางสายตาแห่งความยินดีของคนรอบข้าง และสายตาปนอิจฉาเล็ก ๆ ของผม

คุณตาจูงมือคุณยายเดินผ่านตรงหน้าผม ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ๆ ติดตัว ทั้งสองอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรือเพิ่งกลับมาจากสถานที่นั้น และกำลังจะกลับไปยังบ้านของตนซึ่งเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของชีวิต

ทุกเสี้ยวชีวิตของคนอื่น ทำให้ผมนึกถึงเสี้ยวชีวิตเบาบางระหว่างสถานีของตนเอง

แม้ว่าชีวิตอาจไม่เกิดขึ้นที่สถานี แต่สถานีก็เป็นสถานที่สำหรับการชุมนุมกันของเสี้ยวชีวิตที่สำคัญของแต่ละคน เป็นเสี้ยวชีวิตที่มีทั้งความดีใจ ความเสียใจ เศร้าใจ การพานพบ การพลัดพราก และการเริ่มต้น ทั้งหมดล้วนเป็นเสี้ยวชีวิตหนึ่งที่น่าประทับใจในช่วงชีวิตของมนุษย์เราทั้งนั้น เพียงแค่เราลืมไปว่าเสี้ยวชีวิตนั้นเกิดขึ้นที่สถานี เกิดขึ้นในระหว่างรอยต่อของการเดินทาง

รอยจุมพิตแรกเมื่อพบพาน และรอยจุมพิตสุดท้ายเมื่อพรากจาก ล้วนเกิดขึ้นในสถานีหนึ่งซึ่งเราหลงลืมไว้ในซอกมุมของความทรงจำ

(4.)

ขณะที่ผมกำลังจะเปลี่ยนสัญญาณมือถือเป็น Flight Mode ก่อนขึ้นเครื่อง ก็มีข้อความสั้น ๆ ส่งเข้ามาเสียก่อน

"เดินทางปลอดภัยนะคะ"

เธออาจจะเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังคงจำได้ว่า มีเศษเสี้ยวชีวิตที่น่าประทับใจตกค้างอยู่ระหว่างรอยต่อของการเดินทาง มีหลายความทรงจำที่เธออาจจะเผลอหลงลืมไว้ในซอกมุมหนึ่งของความทรงจำ แต่ไม่เคยหล่นหาย

ผมไม่ชอบการเดินทาง ไม่ชอบรอคอยนาน ๆ ไม่ชอบข้าวกล่องเซเว่น แต่วันนี้ผมเพิ่งจะนั่งกินข้าวกล่องเซเว่น รอคอยเวลาเช็คอินนานนับชั่วโมง และกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลหลายพันกิโลเมตร ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้พร้อมกับคิดถึงเธอ โหยหาอ้อมกอดที่ไม่มีวันจะหวนกลับมาอีกแล้ว ทั้งหมดอาจเป็นเพียงเพราะการเดินทางของเราทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้เธออาจยังคงเดินทางอยู่ ส่วนผมกลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม

บางที เสี้ยวชีวิตเบาบางระหว่างสถานีที่ตกค้างอยู่ในใจผม อาจเป็นเพราะผมยังไม่กล้าเดินทางออกจากสถานีของตนเอง

ปิดสัญญาณโทรศัพท์ ก้าวขึ้นเครื่องบิน ล็อกเข็มขัดพร้อมเดินทาง ชีวิตคนเราต้องมีสักครั้งที่ไม่อาจปฏิเสธการเดินทาง และในทุกครั้ง การเคลื่อนที่ของหัวใจจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งก็ย่อมทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอ ผมได้แต่หวังว่าคำพูดนี้จะจริงมากพอสำหรับลมหายใจที่ยังเหลืออยู่ และหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่อย่างแผ่วเบา

วุฒินันท์ ชัยศรี

2 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น