(๑)
๏ โครมคลื่นครืนคลั่งซัดฝั่งฝัน
เศษซากรักเคยเร่ร้างอยู่อย่างนั้น
ก็พลันแหลกสลายหายไป
ชั่วเพียงกระพริบตาผ่านมากระพริบ
แววหวังเคยวาบวิบก็วูบไหว
ตราบที่คนใจหายยังหายใจ
ดวงฤทัยก็ถูกคลื่นค่อยกลืนกิน
เพราะสายน้ำนิ่งงันคือฝันนิ่ง
ที่ทุกสิ่งค่อยค่อยตายหายไปสิ้น
ปีกฝันเคยโบยบินก็หยุดบิน
ใจจึงค่อยชาชินจนชินชา
ระลอกน้ำกระเพื่อมมาสักคราหนึ่ง
ใจเคยซึ้งก็หวั่นเล่ห์สิเหน่หา
ยิ่งกระเพื่อมไหวกระทบค่อยทบมา
ระลอกคลื่นน้ำตาก็มาเยือน
ค่อยกลั่นกรุ่นอุ่นอุ่นหยดรดร่องแก้ม
แต่งแต้มใบหน้าน้ำตาเปื้อน
แต่ความมืดก็กลบพรางให้รางเลือน
เป็นเสมือนซอกหลืบใจ, ใครเคยจำ
๏ นั่นแหละรัก, คนย่อมฝืนคลื่นน้ำนิ่ง
เมื่อเรือวิ่งวุ่นวนจนใจถลำ
หลงลืมว่าทะเลเห่คลื่นดำ
คลื่นลวงหอบความเจ็บช้ำมาซ้ำใจ
ตามหาความทรงจำที่สาบสูญ
ด้วยโศกาอาดูรเกินทนได้
เกลื่อนรอยยิ้มแห้งผากกลบซากฤทัย
ตามหาสิ่งที่หายไปในอัมพวา
(๒)
๏ แล้วจึงปลุกหลับใหลในโลกเศร้า
เร่งเร้าอักขระตามประสา
เช็ดคราบความหลังและน้ำตา
เป็นรอยยิ้มขมปร่าเมื่อลาร้าง
คือภาพคนเคยปลื้มไม่ลืมเลือน
ที่ลอยเกลื่อนปลิวไปไกลห่าง
ระยะใจใช่วัดรอยระยะทาง
แต่คือความอ้างว้างในวารวัน
คลื่นเห่เร่รักมาริมฝั่ง
แล้วคลื่นคลั่งก็พังฝันในฝั่งฝัน
ระลอกคลื่นระเรื่อยรู้ระยะกัน
แต่คลื่นเธอ-คลื่นฉัน, มันไม่ตรง
ไม่มีคนผิดหรอกในความรัก
ลมเชยชักรักเชยชมคือลมหลง
ใยต้องเสียเศษน้ำตาพาพะวง
ให้ความช้ำมาผจงจุมพิตรัก
เป็นเพียงการหวนกลับของภาพเก่า
เมื่อใจเราหมดทั้งใจไม่ตระหนัก
รักคือลมรำเพยไม่เคยพัก
ใช่ทอถักเป็นสายใยในสัมพันธ์
๏ นั่นแหละ, การสาบสูญของบางสิ่ง
แม้หยุดนิ่งก็หล่นหายคล้ายความฝัน
แล้วเผลอหยิบความว่างเปล่าเข้าแทนกัน
กว่ารู้ตัวก็ถึงวันรักวางวาย
คอยขับเคลื่อนเขยื้อนใจไปข้างหน้า
แต่เหมือนยิ่งตามหายิ่งหล่นหาย
พอหยุดนิ่งตรมตรอมเหมือนยอมตาย
ภาพก็คล้ายจะแจ่มชัด ณ บัดนั้น!
(๓)
๏ รอยยิ้มพิมพ์ใจในครั้งหนึ่ง
ยังหวานซึ้งเต็มใจในภาพฝัน
ทุกทุกความห่วงใยสายสัมพันธ์
จดจำไว้มั่นไม่ลบเลือน
แต่ทุกความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน
หลบเร้นแฝงร่างระหว่างเพื่อน
ความเงียบห่มความเหงาเป็นเจ้าเรือน
กล่นเกลื่อนเต็มช่องว่างระหว่างเรา
ทุกความฝันยังหวั่นไหวในเวิ้งฟ้า
เติมเต็มด้วยน้ำตาแห่งเศร้า-เหงา
ค่อยระบายลมหายใจแผ่วเบา
ให้แก่ความขลาดเขลาของตนเอง
ที่ปกปิดปวดร้าวด้วยรอยยิ้ม
เจ็บจนอิ่ม, จนเกินอิ่มยังอวดเก่ง
คลื่นน้ำตากระทบฝั่งยังครื้นเครง
แล้วดวงใจก็วังเวงไปทั้งใจ
๏ ครั้งหนึ่งสายสัมพันธ์นั้นผิวเผิน
ใครเคยเมินคนเคยมองเมื่อหวั่นไหว
มัวแต่ทอดสายตาสุดฟ้าไกล
มองมิเห็นดวงฤทัยใกล้นิดเดียว
กว่าใจรู้ก็เต็มรักตระหนักรู้
แต่ห่างไกลเกินคงอยู่แม้ส่วนเสี้ยว
แล้วคำ "เพื่อน" ก็ค่อยคมเหมือนคมเคียว
สะกิดเกี่ยวหัวใจในแผลเดิม
(๔)
๏ คลื่นคนเป็นคลื่นคลั่งฝั่งสองข้าง
ความอึกทึกระหว่างทางต่างส่งเสริม
เพียงคลื่นคนหล่นซ้อนก่อนต่อเติม
ใจก็เพิ่มระยะห่างระหว่างใจ
คลื่นคนยังครืนคลั่งไปข้างหน้า
คนใกล้ตาเคยต่อฝันกลับหวั่นไหว
มือที่เคยกุมมือมาหายไป
ยิ่งเอื้อมมือคว้าไขว่ยิ่งไม่พบ
ฝังตัวเองในความเงียบเย็นเฉียบนัก
แล้วเห่กล่อมด้วยความรักไม่รู้จบ
ปล่อยวิญญาณโศกเศร้าเซาซบ
แล้วจะหลบเร้นร่างอยู่อย่างไร
๏ ตึกเก่าเก่าฤาข้ามผ่านกาลเวลา
เพียงพริบตาก็ต่อเติมเป็นตึกใหม่
แล้วหัวใจของบางคน, ในหัวใจ
จะเก็บบางสิ่งไว้, หรือไม่จำ
ฉันตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
แต่คล้ายคล้ายเป็นหลุมพรางจนร่างถลำ
ทั้งสองฟากฝั่งยังมืดดำ
และรอยช้ำก็ซ้ำใจในรอยทาง
รอยยิ้มเคยพิมพ์ใจในวันก่อน
แววตาเคยอาวรณ์ไม่เว้นว่าง
กลัวเหลือเกิน, กลัวใจจะจืดจาง
วันที่เราไกลห่างลาร้างไกล
เมื่อมองผ่านประตูใจไม่พบฝั่ง
ขอกอดเธอสักครั้งได้ไหม
ถ้าฉันรู้ว่าบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป
ฉันจะได้ไม่ตามหาคำว่า "รัก"
(๕)
๏ แล้วดวงดาวก็หล่นฟ้ามาอยู่ใกล้
เปล่งแสงระยิบใจให้ประจักษ์
แต่ใยชีวิตนี้จึงสั้นนัก
มิพาพักให้รักชวนรัญจวนฤดี
เกิดมาเพื่อพบรักเพียงครั้งหนึ่ง
เพื่อหวานซึ้งตามรอยทางระหว่างวิถี
เมื่อพบอีกครึ่งของชีวิตนี้
ก็ยอมพลีชีพมลายสลายไป
หิ่งห้อยหารักแท้ทั้งชีวิต
ทุ่มเดิมพันฤาคิดเป็นอื่นได้
ต่างจากคนขี้ขลาดหวั่นหวาดใจ
มิกล้าแม้คว้าไขว่คนใกล้ตัว
(๖)
๏ เมื่อความรักวูบไหวในอนธกาล
แผ่ซ่านในหัวใจไปถ้วนทั่ว
หากต้องเสียเธอไป, ใจฉันกลัว
แล้วความรักก็เร้ารัวเต็มหัวใจ
คนที่เคยเติมฝันจนเต็มฝัน
เคยไกลกันสุดแสนไกลกลับอยู่ใกล้
เพียงเอื้อมมือเท่านั้น, เหมือนฝันไป
ดวงฤทัยจะได้ชิดสนิทเนา
แล้วความรักก็หนักล้นจนอกตื้อ
แม้แต่มือจะกุมมือยังขลาดเขลา
ได้แต่กระซิบเสียงเพียงแผ่วเบา
เจือความเศร้าที่บอกกัน, หลับฝันดี
(๗)
๏ แล้วอรุณก็อุ่นไอให้ฉันตื่น
ปลุกฟื้นเศษซากใจในวิถี
เพื่อจ่อมจมตรมเศร้าเหงาทบทวี
ในห้วงอเวจีแห่งหัวใจ
แล้วจึงเขียนบทกวีเพื่อปลอบปลุก
บันทึกห้วงทนทุกข์และหวั่นไหว
จะเอ่ยปากก็มิอยากจะเอ่ยไป
น้ำตาท่วมฤทัยได้แต่ทน
๏ เมื่อนาบุญผ่านมาที่ท่าน้ำ
ใจเจ็บช้ำจึงค่อยคลายความสับสน
ตั้งจิตอธิษฐานถึงหนึ่งคน
เถิดช่วยดลให้ดวงใจได้รักกัน
หากชาติก่อนเคยร่วมบาตรเหมือนชาตินี้
ดวงฤดีคงสมหวังเหมือนดั่งฝัน
หากดอกไม้ร่วมต้นหล่นลงพลัน
ใจฉันคงหล่นลงตรงใจเธอ
๏ แสงเช้าพราวแพรวเป็นพรมอุ่น
ทอดทางพราวพร่างละมุนมาเสมอ
หวังเพียงทางระหว่างใจได้พบเจอ
มิใช่ความฝันเพ้อเพียงข้างเดียว
จึงค่อยเก็บความเจ็บไว้ให้มิดชิด
ปกปิดมิให้ใครได้เฉลียว
ให้ความสนิทสนมกลมเกลียว
คอยกำบังคมเคียวความปวดร้าว
๏ แล้วคลื่นคนก็ครืนคลั่งเต็มฝั่งใจ
อยู่ชิดใกล้กลับเจ็บเหน็บหนาว
มองฟ้าวันนี้ไม่มีดาว
เคยสุกสกาวสดใสแม้ไม่มอง
เรือแจวแล่นลัดตัดหน้า
เรือใจแล่นเนิบช้าหม่นหมอง
ปล่อยดวงใจว่ายน้ำตามครรลอง
มนต์แม่กลองแสนกว้างเกินหยั่งใจ
รอยยิ้มแสนหวานยังหวานซึ้ง
โมงยามความคะนึงนับหนึ่งใหม่
ฉันตามหาบางสิ่งที่หายไป
แต่ตามหาอะไรยังไม่รู้?
(๘)
๏ สงบนิ่งหน้าองค์พระปฏิมา
ภาวนาให้หัวใจได้ไปสู่
ห้วงทะเลแห่งความฝันอันตราตรู
เคียงคู่คนไกลเคยใกล้กัน
ค่อยค่อยประนมกรแล้วก้มกราบ
กำซาบกลิ่นบุญกรุ่นความฝัน
ก่อนจะไปนิพพานสุขศานต์อนันต์
ขอสุขสันต์ในเพลงเห่ชเลรัก
เจ้าชายสิทธัตถะพระพุทธองค์
ยังทรงมีคู่บุญแน่นหนัก
พระนางยโสธราพิมพาพักตร์
บุญย่อมชักชวนใจชมมาห่มใจ
๏ หากถามฉัน, รักอะไรมากกว่า
นิพพานกับสังขาร์ที่เสื่อมได้
ฉันตอบว่ารักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด
เกินตัดรักหักฤทัยไม่เหลียวแล
ตัวกูใช่ของกูเป็นแม่นมั่น
ตัวฉันใช่ของฉันเป็นของแน่
แต่ใจฉันเป็นของเธอไม่เปลี่ยนแปร
ไม่เปลี่ยนแม้จะผันผ่านกี่กาลเวลา
๏ รอยยิ้มเศร้าเศร้ายังส่งให้
กับเศษซากหัวใจอันไร้ค่า
อาจไม่มีความหมายในสายตา
หวังเพียงเธอจะมองมาสักคราครั้ง
ท่ามกลางมหรรณพแห่งความเหงา
แล้วเรือความเศร้าก็เข้าฝั่ง
คลื่นกระทบตลิ่งใจจนเริ่มพัง
ทุกทุกภาพความหลังยังฝังใจ
(๙)
๏ แล้วทุกสิ่งก็มาถึงจุดจบ
จุดที่เราอาจไม่พบแม้ชิดใกล้
แม้ฉันรู้, วันนี้อาจสายไป
แต่ขอบันทึกไว้ในห้วงคะนึง
ว่าเคยหาบางสิ่งที่สูญไป
ว่าเคยตามหาใครในครั้งหนึ่ง
ว่าเคยตามหารักเคยหวานซึ้ง
ภาพความหลังยังติดตรึงอยู่เต็มใจ
ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนา
ชาตินี้, ชาติหน้าหรือชาติไหน
หากมีบุญร่วมกันร่วมฝันไกล
ขอให้สุขสมหวังดังใจคิด
๏ การตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
สุดท้ายไม่พานพบแม้ถูกผิด
จึงปล่อยตัวปล่อยใจให้สองชีวิต
เถิดพบกันตามลิขิตของครรลอง
(๑๐)
๏ จบนิราศอัมพวาแต่ครานี้
ด้วยฤกษ์ดีปีนักขัตต์ครบรอบสอง
กลางเดือนหกกระต่ายป่ามาหลงคลอง
ได้แต่มองรักลอยหายในสายลม
กระต่ายป่าเร่เนื้อให้เสือคาบ
กลับซึ้งซาบความทุกข์เป็นสุขสม
ยินดีกับความเศร้าเหงาระทม
ดิ่งจมความหลังอย่างเดียวดาย
๏ เขียนนิราศรำพันมิรู้จบ
มิรู้พบสิ่งตามหาหรือหล่นหาย
แต่งแต้มรักต่างดวงดาวอันพราวพราย
มาเรียงรายประดับไว้ในใจเอย ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ ๒๔
๏ โครมคลื่นครืนคลั่งซัดฝั่งฝัน
เศษซากรักเคยเร่ร้างอยู่อย่างนั้น
ก็พลันแหลกสลายหายไป
ชั่วเพียงกระพริบตาผ่านมากระพริบ
แววหวังเคยวาบวิบก็วูบไหว
ตราบที่คนใจหายยังหายใจ
ดวงฤทัยก็ถูกคลื่นค่อยกลืนกิน
เพราะสายน้ำนิ่งงันคือฝันนิ่ง
ที่ทุกสิ่งค่อยค่อยตายหายไปสิ้น
ปีกฝันเคยโบยบินก็หยุดบิน
ใจจึงค่อยชาชินจนชินชา
ระลอกน้ำกระเพื่อมมาสักคราหนึ่ง
ใจเคยซึ้งก็หวั่นเล่ห์สิเหน่หา
ยิ่งกระเพื่อมไหวกระทบค่อยทบมา
ระลอกคลื่นน้ำตาก็มาเยือน
ค่อยกลั่นกรุ่นอุ่นอุ่นหยดรดร่องแก้ม
แต่งแต้มใบหน้าน้ำตาเปื้อน
แต่ความมืดก็กลบพรางให้รางเลือน
เป็นเสมือนซอกหลืบใจ, ใครเคยจำ
๏ นั่นแหละรัก, คนย่อมฝืนคลื่นน้ำนิ่ง
เมื่อเรือวิ่งวุ่นวนจนใจถลำ
หลงลืมว่าทะเลเห่คลื่นดำ
คลื่นลวงหอบความเจ็บช้ำมาซ้ำใจ
ตามหาความทรงจำที่สาบสูญ
ด้วยโศกาอาดูรเกินทนได้
เกลื่อนรอยยิ้มแห้งผากกลบซากฤทัย
ตามหาสิ่งที่หายไปในอัมพวา
(๒)
๏ แล้วจึงปลุกหลับใหลในโลกเศร้า
เร่งเร้าอักขระตามประสา
เช็ดคราบความหลังและน้ำตา
เป็นรอยยิ้มขมปร่าเมื่อลาร้าง
คือภาพคนเคยปลื้มไม่ลืมเลือน
ที่ลอยเกลื่อนปลิวไปไกลห่าง
ระยะใจใช่วัดรอยระยะทาง
แต่คือความอ้างว้างในวารวัน
คลื่นเห่เร่รักมาริมฝั่ง
แล้วคลื่นคลั่งก็พังฝันในฝั่งฝัน
ระลอกคลื่นระเรื่อยรู้ระยะกัน
แต่คลื่นเธอ-คลื่นฉัน, มันไม่ตรง
ไม่มีคนผิดหรอกในความรัก
ลมเชยชักรักเชยชมคือลมหลง
ใยต้องเสียเศษน้ำตาพาพะวง
ให้ความช้ำมาผจงจุมพิตรัก
เป็นเพียงการหวนกลับของภาพเก่า
เมื่อใจเราหมดทั้งใจไม่ตระหนัก
รักคือลมรำเพยไม่เคยพัก
ใช่ทอถักเป็นสายใยในสัมพันธ์
๏ นั่นแหละ, การสาบสูญของบางสิ่ง
แม้หยุดนิ่งก็หล่นหายคล้ายความฝัน
แล้วเผลอหยิบความว่างเปล่าเข้าแทนกัน
กว่ารู้ตัวก็ถึงวันรักวางวาย
คอยขับเคลื่อนเขยื้อนใจไปข้างหน้า
แต่เหมือนยิ่งตามหายิ่งหล่นหาย
พอหยุดนิ่งตรมตรอมเหมือนยอมตาย
ภาพก็คล้ายจะแจ่มชัด ณ บัดนั้น!
(๓)
๏ รอยยิ้มพิมพ์ใจในครั้งหนึ่ง
ยังหวานซึ้งเต็มใจในภาพฝัน
ทุกทุกความห่วงใยสายสัมพันธ์
จดจำไว้มั่นไม่ลบเลือน
แต่ทุกความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน
หลบเร้นแฝงร่างระหว่างเพื่อน
ความเงียบห่มความเหงาเป็นเจ้าเรือน
กล่นเกลื่อนเต็มช่องว่างระหว่างเรา
ทุกความฝันยังหวั่นไหวในเวิ้งฟ้า
เติมเต็มด้วยน้ำตาแห่งเศร้า-เหงา
ค่อยระบายลมหายใจแผ่วเบา
ให้แก่ความขลาดเขลาของตนเอง
ที่ปกปิดปวดร้าวด้วยรอยยิ้ม
เจ็บจนอิ่ม, จนเกินอิ่มยังอวดเก่ง
คลื่นน้ำตากระทบฝั่งยังครื้นเครง
แล้วดวงใจก็วังเวงไปทั้งใจ
๏ ครั้งหนึ่งสายสัมพันธ์นั้นผิวเผิน
ใครเคยเมินคนเคยมองเมื่อหวั่นไหว
มัวแต่ทอดสายตาสุดฟ้าไกล
มองมิเห็นดวงฤทัยใกล้นิดเดียว
กว่าใจรู้ก็เต็มรักตระหนักรู้
แต่ห่างไกลเกินคงอยู่แม้ส่วนเสี้ยว
แล้วคำ "เพื่อน" ก็ค่อยคมเหมือนคมเคียว
สะกิดเกี่ยวหัวใจในแผลเดิม
(๔)
๏ คลื่นคนเป็นคลื่นคลั่งฝั่งสองข้าง
ความอึกทึกระหว่างทางต่างส่งเสริม
เพียงคลื่นคนหล่นซ้อนก่อนต่อเติม
ใจก็เพิ่มระยะห่างระหว่างใจ
คลื่นคนยังครืนคลั่งไปข้างหน้า
คนใกล้ตาเคยต่อฝันกลับหวั่นไหว
มือที่เคยกุมมือมาหายไป
ยิ่งเอื้อมมือคว้าไขว่ยิ่งไม่พบ
ฝังตัวเองในความเงียบเย็นเฉียบนัก
แล้วเห่กล่อมด้วยความรักไม่รู้จบ
ปล่อยวิญญาณโศกเศร้าเซาซบ
แล้วจะหลบเร้นร่างอยู่อย่างไร
๏ ตึกเก่าเก่าฤาข้ามผ่านกาลเวลา
เพียงพริบตาก็ต่อเติมเป็นตึกใหม่
แล้วหัวใจของบางคน, ในหัวใจ
จะเก็บบางสิ่งไว้, หรือไม่จำ
ฉันตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
แต่คล้ายคล้ายเป็นหลุมพรางจนร่างถลำ
ทั้งสองฟากฝั่งยังมืดดำ
และรอยช้ำก็ซ้ำใจในรอยทาง
รอยยิ้มเคยพิมพ์ใจในวันก่อน
แววตาเคยอาวรณ์ไม่เว้นว่าง
กลัวเหลือเกิน, กลัวใจจะจืดจาง
วันที่เราไกลห่างลาร้างไกล
เมื่อมองผ่านประตูใจไม่พบฝั่ง
ขอกอดเธอสักครั้งได้ไหม
ถ้าฉันรู้ว่าบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป
ฉันจะได้ไม่ตามหาคำว่า "รัก"
(๕)
๏ แล้วดวงดาวก็หล่นฟ้ามาอยู่ใกล้
เปล่งแสงระยิบใจให้ประจักษ์
แต่ใยชีวิตนี้จึงสั้นนัก
มิพาพักให้รักชวนรัญจวนฤดี
เกิดมาเพื่อพบรักเพียงครั้งหนึ่ง
เพื่อหวานซึ้งตามรอยทางระหว่างวิถี
เมื่อพบอีกครึ่งของชีวิตนี้
ก็ยอมพลีชีพมลายสลายไป
หิ่งห้อยหารักแท้ทั้งชีวิต
ทุ่มเดิมพันฤาคิดเป็นอื่นได้
ต่างจากคนขี้ขลาดหวั่นหวาดใจ
มิกล้าแม้คว้าไขว่คนใกล้ตัว
(๖)
๏ เมื่อความรักวูบไหวในอนธกาล
แผ่ซ่านในหัวใจไปถ้วนทั่ว
หากต้องเสียเธอไป, ใจฉันกลัว
แล้วความรักก็เร้ารัวเต็มหัวใจ
คนที่เคยเติมฝันจนเต็มฝัน
เคยไกลกันสุดแสนไกลกลับอยู่ใกล้
เพียงเอื้อมมือเท่านั้น, เหมือนฝันไป
ดวงฤทัยจะได้ชิดสนิทเนา
แล้วความรักก็หนักล้นจนอกตื้อ
แม้แต่มือจะกุมมือยังขลาดเขลา
ได้แต่กระซิบเสียงเพียงแผ่วเบา
เจือความเศร้าที่บอกกัน, หลับฝันดี
(๗)
๏ แล้วอรุณก็อุ่นไอให้ฉันตื่น
ปลุกฟื้นเศษซากใจในวิถี
เพื่อจ่อมจมตรมเศร้าเหงาทบทวี
ในห้วงอเวจีแห่งหัวใจ
แล้วจึงเขียนบทกวีเพื่อปลอบปลุก
บันทึกห้วงทนทุกข์และหวั่นไหว
จะเอ่ยปากก็มิอยากจะเอ่ยไป
น้ำตาท่วมฤทัยได้แต่ทน
๏ เมื่อนาบุญผ่านมาที่ท่าน้ำ
ใจเจ็บช้ำจึงค่อยคลายความสับสน
ตั้งจิตอธิษฐานถึงหนึ่งคน
เถิดช่วยดลให้ดวงใจได้รักกัน
หากชาติก่อนเคยร่วมบาตรเหมือนชาตินี้
ดวงฤดีคงสมหวังเหมือนดั่งฝัน
หากดอกไม้ร่วมต้นหล่นลงพลัน
ใจฉันคงหล่นลงตรงใจเธอ
๏ แสงเช้าพราวแพรวเป็นพรมอุ่น
ทอดทางพราวพร่างละมุนมาเสมอ
หวังเพียงทางระหว่างใจได้พบเจอ
มิใช่ความฝันเพ้อเพียงข้างเดียว
จึงค่อยเก็บความเจ็บไว้ให้มิดชิด
ปกปิดมิให้ใครได้เฉลียว
ให้ความสนิทสนมกลมเกลียว
คอยกำบังคมเคียวความปวดร้าว
๏ แล้วคลื่นคนก็ครืนคลั่งเต็มฝั่งใจ
อยู่ชิดใกล้กลับเจ็บเหน็บหนาว
มองฟ้าวันนี้ไม่มีดาว
เคยสุกสกาวสดใสแม้ไม่มอง
เรือแจวแล่นลัดตัดหน้า
เรือใจแล่นเนิบช้าหม่นหมอง
ปล่อยดวงใจว่ายน้ำตามครรลอง
มนต์แม่กลองแสนกว้างเกินหยั่งใจ
รอยยิ้มแสนหวานยังหวานซึ้ง
โมงยามความคะนึงนับหนึ่งใหม่
ฉันตามหาบางสิ่งที่หายไป
แต่ตามหาอะไรยังไม่รู้?
(๘)
๏ สงบนิ่งหน้าองค์พระปฏิมา
ภาวนาให้หัวใจได้ไปสู่
ห้วงทะเลแห่งความฝันอันตราตรู
เคียงคู่คนไกลเคยใกล้กัน
ค่อยค่อยประนมกรแล้วก้มกราบ
กำซาบกลิ่นบุญกรุ่นความฝัน
ก่อนจะไปนิพพานสุขศานต์อนันต์
ขอสุขสันต์ในเพลงเห่ชเลรัก
เจ้าชายสิทธัตถะพระพุทธองค์
ยังทรงมีคู่บุญแน่นหนัก
พระนางยโสธราพิมพาพักตร์
บุญย่อมชักชวนใจชมมาห่มใจ
๏ หากถามฉัน, รักอะไรมากกว่า
นิพพานกับสังขาร์ที่เสื่อมได้
ฉันตอบว่ารักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด
เกินตัดรักหักฤทัยไม่เหลียวแล
ตัวกูใช่ของกูเป็นแม่นมั่น
ตัวฉันใช่ของฉันเป็นของแน่
แต่ใจฉันเป็นของเธอไม่เปลี่ยนแปร
ไม่เปลี่ยนแม้จะผันผ่านกี่กาลเวลา
๏ รอยยิ้มเศร้าเศร้ายังส่งให้
กับเศษซากหัวใจอันไร้ค่า
อาจไม่มีความหมายในสายตา
หวังเพียงเธอจะมองมาสักคราครั้ง
ท่ามกลางมหรรณพแห่งความเหงา
แล้วเรือความเศร้าก็เข้าฝั่ง
คลื่นกระทบตลิ่งใจจนเริ่มพัง
ทุกทุกภาพความหลังยังฝังใจ
(๙)
๏ แล้วทุกสิ่งก็มาถึงจุดจบ
จุดที่เราอาจไม่พบแม้ชิดใกล้
แม้ฉันรู้, วันนี้อาจสายไป
แต่ขอบันทึกไว้ในห้วงคะนึง
ว่าเคยหาบางสิ่งที่สูญไป
ว่าเคยตามหาใครในครั้งหนึ่ง
ว่าเคยตามหารักเคยหวานซึ้ง
ภาพความหลังยังติดตรึงอยู่เต็มใจ
ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนา
ชาตินี้, ชาติหน้าหรือชาติไหน
หากมีบุญร่วมกันร่วมฝันไกล
ขอให้สุขสมหวังดังใจคิด
๏ การตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
สุดท้ายไม่พานพบแม้ถูกผิด
จึงปล่อยตัวปล่อยใจให้สองชีวิต
เถิดพบกันตามลิขิตของครรลอง
(๑๐)
๏ จบนิราศอัมพวาแต่ครานี้
ด้วยฤกษ์ดีปีนักขัตต์ครบรอบสอง
กลางเดือนหกกระต่ายป่ามาหลงคลอง
ได้แต่มองรักลอยหายในสายลม
กระต่ายป่าเร่เนื้อให้เสือคาบ
กลับซึ้งซาบความทุกข์เป็นสุขสม
ยินดีกับความเศร้าเหงาระทม
ดิ่งจมความหลังอย่างเดียวดาย
๏ เขียนนิราศรำพันมิรู้จบ
มิรู้พบสิ่งตามหาหรือหล่นหาย
แต่งแต้มรักต่างดวงดาวอันพราวพราย
มาเรียงรายประดับไว้ในใจเอย ๚ะ๛
"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ ๒๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น