วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิราศอัมพวา (๒): แรมร้างรักห่างเรื้อ, เถือมีดกรีดสะเก็ดแผลแห้งผากเพื่อตามหากระแสทรงจำที่สาบสูญ

(๑)

โครมคลื่นครืนคลั่งซัดฝั่งฝัน
เศษซากรักเคยเร่ร้างอยู่อย่างนั้น
ก็พลันแหลกสลายหายไป

ชั่วเพียงกระพริบตาผ่านมากระพริบ
แววหวังเคยวาบวิบก็วูบไหว
ตราบที่คนใจหายยังหายใจ
ดวงฤทัยก็ถูกคลื่นค่อยกลืนกิน

เพราะสายน้ำนิ่งงันคือฝันนิ่ง
ที่ทุกสิ่งค่อยค่อยตายหายไปสิ้น
ปีกฝันเคยโบยบินก็หยุดบิน
ใจจึงค่อยชาชินจนชินชา

ระลอกน้ำกระเพื่อมมาสักคราหนึ่ง
ใจเคยซึ้งก็หวั่นเล่ห์สิเหน่หา
ยิ่งกระเพื่อมไหวกระทบค่อยทบมา
ระลอกคลื่นน้ำตาก็มาเยือน

ค่อยกลั่นกรุ่นอุ่นอุ่นหยดรดร่องแก้ม
แต่งแต้มใบหน้าน้ำตาเปื้อน
แต่ความมืดก็กลบพรางให้รางเลือน
เป็นเสมือนซอกหลืบใจ, ใครเคยจำ

นั่นแหละรัก, คนย่อมฝืนคลื่นน้ำนิ่ง
เมื่อเรือวิ่งวุ่นวนจนใจถลำ
หลงลืมว่าทะเลเห่คลื่นดำ
คลื่นลวงหอบความเจ็บช้ำมาซ้ำใจ

ตามหาความทรงจำที่สาบสูญ
ด้วยโศกาอาดูรเกินทนได้
เกลื่อนรอยยิ้มแห้งผากกลบซากฤทัย
ตามหาสิ่งที่หายไปในอัมพวา

(๒)

แล้วจึงปลุกหลับใหลในโลกเศร้า
เร่งเร้าอักขระตามประสา
เช็ดคราบความหลังและน้ำตา
เป็นรอยยิ้มขมปร่าเมื่อลาร้าง

คือภาพคนเคยปลื้มไม่ลืมเลือน
ที่ลอยเกลื่อนปลิวไปไกลห่าง
ระยะใจใช่วัดรอยระยะทาง
แต่คือความอ้างว้างในวารวัน

คลื่นเห่เร่รักมาริมฝั่ง
แล้วคลื่นคลั่งก็พังฝันในฝั่งฝัน
ระลอกคลื่นระเรื่อยรู้ระยะกัน
แต่คลื่นเธอ-คลื่นฉัน, มันไม่ตรง

ไม่มีคนผิดหรอกในความรัก
ลมเชยชักรักเชยชมคือลมหลง
ใยต้องเสียเศษน้ำตาพาพะวง
ให้ความช้ำมาผจงจุมพิตรัก

เป็นเพียงการหวนกลับของภาพเก่า
เมื่อใจเราหมดทั้งใจไม่ตระหนัก
รักคือลมรำเพยไม่เคยพัก
ใช่ทอถักเป็นสายใยในสัมพันธ์

นั่นแหละ, การสาบสูญของบางสิ่ง
แม้หยุดนิ่งก็หล่นหายคล้ายความฝัน
แล้วเผลอหยิบความว่างเปล่าเข้าแทนกัน
กว่ารู้ตัวก็ถึงวันรักวางวาย

คอยขับเคลื่อนเขยื้อนใจไปข้างหน้า
แต่เหมือนยิ่งตามหายิ่งหล่นหาย
พอหยุดนิ่งตรมตรอมเหมือนยอมตาย
ภาพก็คล้ายจะแจ่มชัด ณ บัดนั้น!

(๓)

รอยยิ้มพิมพ์ใจในครั้งหนึ่ง
ยังหวานซึ้งเต็มใจในภาพฝัน
ทุกทุกความห่วงใยสายสัมพันธ์
จดจำไว้มั่นไม่ลบเลือน

แต่ทุกความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน
หลบเร้นแฝงร่างระหว่างเพื่อน
ความเงียบห่มความเหงาเป็นเจ้าเรือน
กล่นเกลื่อนเต็มช่องว่างระหว่างเรา

ทุกความฝันยังหวั่นไหวในเวิ้งฟ้า
เติมเต็มด้วยน้ำตาแห่งเศร้า-เหงา
ค่อยระบายลมหายใจแผ่วเบา
ให้แก่ความขลาดเขลาของตนเอง

ที่ปกปิดปวดร้าวด้วยรอยยิ้ม
เจ็บจนอิ่ม, จนเกินอิ่มยังอวดเก่ง
คลื่นน้ำตากระทบฝั่งยังครื้นเครง
แล้วดวงใจก็วังเวงไปทั้งใจ

ครั้งหนึ่งสายสัมพันธ์นั้นผิวเผิน
ใครเคยเมินคนเคยมองเมื่อหวั่นไหว
มัวแต่ทอดสายตาสุดฟ้าไกล
มองมิเห็นดวงฤทัยใกล้นิดเดียว

กว่าใจรู้ก็เต็มรักตระหนักรู้
แต่ห่างไกลเกินคงอยู่แม้ส่วนเสี้ยว
แล้วคำ "เพื่อน" ก็ค่อยคมเหมือนคมเคียว
สะกิดเกี่ยวหัวใจในแผลเดิม

(๔)

คลื่นคนเป็นคลื่นคลั่งฝั่งสองข้าง
ความอึกทึกระหว่างทางต่างส่งเสริม
เพียงคลื่นคนหล่นซ้อนก่อนต่อเติม
ใจก็เพิ่มระยะห่างระหว่างใจ

คลื่นคนยังครืนคลั่งไปข้างหน้า
คนใกล้ตาเคยต่อฝันกลับหวั่นไหว
มือที่เคยกุมมือมาหายไป
ยิ่งเอื้อมมือคว้าไขว่ยิ่งไม่พบ

ฝังตัวเองในความเงียบเย็นเฉียบนัก
แล้วเห่กล่อมด้วยความรักไม่รู้จบ
ปล่อยวิญญาณโศกเศร้าเซาซบ
แล้วจะหลบเร้นร่างอยู่อย่างไร

ตึกเก่าเก่าฤาข้ามผ่านกาลเวลา
เพียงพริบตาก็ต่อเติมเป็นตึกใหม่
แล้วหัวใจของบางคน, ในหัวใจ
จะเก็บบางสิ่งไว้, หรือไม่จำ

ฉันตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
แต่คล้ายคล้ายเป็นหลุมพรางจนร่างถลำ
ทั้งสองฟากฝั่งยังมืดดำ
และรอยช้ำก็ซ้ำใจในรอยทาง

รอยยิ้มเคยพิมพ์ใจในวันก่อน
แววตาเคยอาวรณ์ไม่เว้นว่าง
กลัวเหลือเกิน, กลัวใจจะจืดจาง
วันที่เราไกลห่างลาร้างไกล

เมื่อมองผ่านประตูใจไม่พบฝั่ง
ขอกอดเธอสักครั้งได้ไหม
ถ้าฉันรู้ว่าบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป
ฉันจะได้ไม่ตามหาคำว่า "รัก"

(๕)

แล้วดวงดาวก็หล่นฟ้ามาอยู่ใกล้
เปล่งแสงระยิบใจให้ประจักษ์
แต่ใยชีวิตนี้จึงสั้นนัก
มิพาพักให้รักชวนรัญจวนฤดี

เกิดมาเพื่อพบรักเพียงครั้งหนึ่ง
เพื่อหวานซึ้งตามรอยทางระหว่างวิถี
เมื่อพบอีกครึ่งของชีวิตนี้
ก็ยอมพลีชีพมลายสลายไป

หิ่งห้อยหารักแท้ทั้งชีวิต
ทุ่มเดิมพันฤาคิดเป็นอื่นได้
ต่างจากคนขี้ขลาดหวั่นหวาดใจ
มิกล้าแม้คว้าไขว่คนใกล้ตัว

(๖)

เมื่อความรักวูบไหวในอนธกาล
แผ่ซ่านในหัวใจไปถ้วนทั่ว
หากต้องเสียเธอไป, ใจฉันกลัว
แล้วความรักก็เร้ารัวเต็มหัวใจ

คนที่เคยเติมฝันจนเต็มฝัน
เคยไกลกันสุดแสนไกลกลับอยู่ใกล้
เพียงเอื้อมมือเท่านั้น, เหมือนฝันไป
ดวงฤทัยจะได้ชิดสนิทเนา

แล้วความรักก็หนักล้นจนอกตื้อ
แม้แต่มือจะกุมมือยังขลาดเขลา
ได้แต่กระซิบเสียงเพียงแผ่วเบา
เจือความเศร้าที่บอกกัน, หลับฝันดี

(๗)

แล้วอรุณก็อุ่นไอให้ฉันตื่น
ปลุกฟื้นเศษซากใจในวิถี
เพื่อจ่อมจมตรมเศร้าเหงาทบทวี
ในห้วงอเวจีแห่งหัวใจ

แล้วจึงเขียนบทกวีเพื่อปลอบปลุก
บันทึกห้วงทนทุกข์และหวั่นไหว
จะเอ่ยปากก็มิอยากจะเอ่ยไป
น้ำตาท่วมฤทัยได้แต่ทน

เมื่อนาบุญผ่านมาที่ท่าน้ำ
ใจเจ็บช้ำจึงค่อยคลายความสับสน
ตั้งจิตอธิษฐานถึงหนึ่งคน
เถิดช่วยดลให้ดวงใจได้รักกัน

หากชาติก่อนเคยร่วมบาตรเหมือนชาตินี้
ดวงฤดีคงสมหวังเหมือนดั่งฝัน
หากดอกไม้ร่วมต้นหล่นลงพลัน
ใจฉันคงหล่นลงตรงใจเธอ

แสงเช้าพราวแพรวเป็นพรมอุ่น
ทอดทางพราวพร่างละมุนมาเสมอ
หวังเพียงทางระหว่างใจได้พบเจอ
มิใช่ความฝันเพ้อเพียงข้างเดียว

จึงค่อยเก็บความเจ็บไว้ให้มิดชิด
ปกปิดมิให้ใครได้เฉลียว
ให้ความสนิทสนมกลมเกลียว
คอยกำบังคมเคียวความปวดร้าว

แล้วคลื่นคนก็ครืนคลั่งเต็มฝั่งใจ
อยู่ชิดใกล้กลับเจ็บเหน็บหนาว
มองฟ้าวันนี้ไม่มีดาว
เคยสุกสกาวสดใสแม้ไม่มอง

เรือแจวแล่นลัดตัดหน้า
เรือใจแล่นเนิบช้าหม่นหมอง
ปล่อยดวงใจว่ายน้ำตามครรลอง
มนต์แม่กลองแสนกว้างเกินหยั่งใจ

รอยยิ้มแสนหวานยังหวานซึ้ง
โมงยามความคะนึงนับหนึ่งใหม่
ฉันตามหาบางสิ่งที่หายไป
แต่ตามหาอะไรยังไม่รู้?

(๘)

สงบนิ่งหน้าองค์พระปฏิมา
ภาวนาให้หัวใจได้ไปสู่
ห้วงทะเลแห่งความฝันอันตราตรู
เคียงคู่คนไกลเคยใกล้กัน

ค่อยค่อยประนมกรแล้วก้มกราบ
กำซาบกลิ่นบุญกรุ่นความฝัน
ก่อนจะไปนิพพานสุขศานต์อนันต์
ขอสุขสันต์ในเพลงเห่ชเลรัก

เจ้าชายสิทธัตถะพระพุทธองค์
ยังทรงมีคู่บุญแน่นหนัก
พระนางยโสธราพิมพาพักตร์
บุญย่อมชักชวนใจชมมาห่มใจ

หากถามฉัน, รักอะไรมากกว่า
นิพพานกับสังขาร์ที่เสื่อมได้
ฉันตอบว่ารักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด
เกินตัดรักหักฤทัยไม่เหลียวแล

ตัวกูใช่ของกูเป็นแม่นมั่น
ตัวฉันใช่ของฉันเป็นของแน่
แต่ใจฉันเป็นของเธอไม่เปลี่ยนแปร
ไม่เปลี่ยนแม้จะผันผ่านกี่กาลเวลา

รอยยิ้มเศร้าเศร้ายังส่งให้
กับเศษซากหัวใจอันไร้ค่า
อาจไม่มีความหมายในสายตา
หวังเพียงเธอจะมองมาสักคราครั้ง

ท่ามกลางมหรรณพแห่งความเหงา
แล้วเรือความเศร้าก็เข้าฝั่ง
คลื่นกระทบตลิ่งใจจนเริ่มพัง
ทุกทุกภาพความหลังยังฝังใจ

(๙)

แล้วทุกสิ่งก็มาถึงจุดจบ
จุดที่เราอาจไม่พบแม้ชิดใกล้
แม้ฉันรู้, วันนี้อาจสายไป
แต่ขอบันทึกไว้ในห้วงคะนึง

ว่าเคยหาบางสิ่งที่สูญไป
ว่าเคยตามหาใครในครั้งหนึ่ง
ว่าเคยตามหารักเคยหวานซึ้ง
ภาพความหลังยังติดตรึงอยู่เต็มใจ

ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนา
ชาตินี้, ชาติหน้าหรือชาติไหน
หากมีบุญร่วมกันร่วมฝันไกล
ขอให้สุขสมหวังดังใจคิด

การตามหาบางสิ่งที่สูญหาย
สุดท้ายไม่พานพบแม้ถูกผิด
จึงปล่อยตัวปล่อยใจให้สองชีวิต
เถิดพบกันตามลิขิตของครรลอง

(๑๐)

จบนิราศอัมพวาแต่ครานี้
ด้วยฤกษ์ดีปีนักขัตต์ครบรอบสอง
กลางเดือนหกกระต่ายป่ามาหลงคลอง
ได้แต่มองรักลอยหายในสายลม

กระต่ายป่าเร่เนื้อให้เสือคาบ
กลับซึ้งซาบความทุกข์เป็นสุขสม
ยินดีกับความเศร้าเหงาระทม
ดิ่งจมความหลังอย่างเดียวดาย

เขียนนิราศรำพันมิรู้จบ
มิรู้พบสิ่งตามหาหรือหล่นหาย
แต่งแต้มรักต่างดวงดาวอันพราวพราย
มาเรียงรายประดับไว้ในใจเอย ๚ะ๛


"หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย"
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ ๒๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น