(เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนในภาพยนตร์-ซึ่งคาดว่าพวกคุณรู้กันอยู่แล้ว)
คนที่ผมเห็นว่าจะเกิดความรู้สึกไม่คุ้มค่าตั๋วหลังจากได้ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้คือ พวกศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองแบบฮาร์ดคอร์อยู่แล้ว พวกคนเกลียดขี้หน้า ส.ศิวรักษ์ อ.ปริญญา หรือ บก.ลายจุด (เพราะโผล่บ่อย) รวมถึงแฟนคลับอาจารย์บางคนที่โผล่มาน้อยไปหน่อย เช่น แฟนคลับไชยันต์ หรือแฟนคลับวรเจตน์ (ที่โผล่ออกมามากกว่าหนุ่มผมยาวนิดหน่อย แต่โดนเซ็นเซอร์ไปกว่าครึ่ง-ฮา) นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ความคาดหวังของแต่ละคน
การเปิดตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับผมแล้วไม่ใช่ประกาศคณะราษฎร แต่เป็นสัญลักษณ์เรทภาพยนตร์ "ทั่วไป" เพราะสำหรับบ้านนี้เมืองนี้แล้ว อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองน่าจะได้เรทที่น่ากลัวกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ด้วยเนื้อหาที่พยายามเล่าเรื่องการเมืองไทยนับแต่ 2475 ยาวมาจนถึงการขึ้นครองอำนาจของทักษิณ ภายในเวลาชั่วโมงกว่า ๆ (เข้าใจว่าอาจจะมีภาคต่อ) ทำให้ประเด็นต่าง ๆ ของการต่อสู้ประชาธิปไตยอันยาวนานไม่ได้ลงลึกมากนัก ยังไม่นับการเซ็นเซอร์ที่ดูแล้วโคตรเท่และตลกฉิบหายในเวลาเดียวกัน
เส้นเรื่องว่าด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของบรรดาอีลีทได้แก่ เจ้า-คณะราษฎร / คณะราษฎรสายพลเรือน-สายทหาร ประชาธิปไตยในช่วงแรกจึงดูเหมือนก้อนขนมอำนาจหรืออะไรสักอย่างที่ถูกแย่งชิงไปมา ไม่มีเรื่องรัฐสภาหรือการต่อสู้นอกเหนือจากนี้ในช่วงเวลานั้น ไม่มีประชาชนหรือคนชั้นกลางโผล่มาแจมกับเกมชิงอำนาจแม้แต่ประชาชนในพระนคร แล้วพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาก็โผล่มาพอให้ชื่นใจใน 14 ตุลา ในการต่อสู้ของทหาร-ปัญญาชน ก่อนจะหายไปใน 6 ตุลาโดยไม่ต้องการคำอธิบายมากไปกว่าปัญญาชนหนีเข้าป่าแล้วไปเจอ พคท. เหี้ย ๆ จึงออกป่ามา แล้ว...?
ตัวละครที่ตกหล่นในหน้าประวัติศาสตร์หลายตัวไม่ได้รับการขยายความมากนัก เช่นเดียวกับบางคำถามที่ค้างในใจยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจน เช่นว่า movement ของ พคท. มีบ้างไหม / ทำไม พคท. ถึงเหี้ย / จอมพล ป. สฤษดิ์ ถนอม ต่างกันอย่างไร ทำไมบางคนถึงพิทักษ์อำนาจตัวเองไม่สำเร็จ / ตัวละครเจ้าที่สำคัญหลายคนหายไปไหน (ไม่ใช่แค่องค์กษัตริย์เท่านั้น แต่เจ้าที่มีบทบาททางการเมืองในยุคหลังอย่างเสนีย์ คึกฤทธิ์ ก็แทบไม่พูดถึงเท่าไหร่) / นักศึกษาโดดเดี่ยวตัวเองหลัง 14 ตุลา คืออะไร / ทำไมถึงเรียก 14 ตุลาว่าชัยชนะ ขณะที่ 6 ตุลาคือความพ่ายแพ้ ฯลฯ ตัวละครที่ผู้กำกับคัดเลือกให้มาพูดบางคนก็เป็นปริศนา เช่น จิระนันท์ แทนที่จะเป็นเสกสรรค์ ซึ่งน่าจะดีกว่าทั้งในแง่การพูดถึง movement นักศึกษาช่วง 14 ตุลา และทัศนะทางการเมืองในเชิงวิชาการ แต่ก็แน่นอนล่ะ อาจจะด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาหรืออะไรอื่น ๆ อีกมากมายในประเทศนี้ ก็คงไม่มีพื้นที่ (รวมทั้งพื้นที่ในแง่การคัดเลือกตัวละครนำแสดง) และเวลามากพอสำหรับพูดถึงทุกเรื่องให้สิ้นสงสัยภายในชั่วโมงกว่า ๆ
สิ่งหนึ่งที่พอจะจับต้องได้นอกจากเส้นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของพวกอีลีทก็คงเหมือนชื่อเรื่องภาษาอังกฤษที่ว่า Paradoxocracy เรื่องราวการต่อสู้ทั้งหลายมันช่างย้อนแย้งและบ้าบอ ปรีดีผู้ก่อการโค่นอำนาจเจ้าต้องร่วมมือกับเจ้าก่อตั้งเสรีไทยเพื่อต่อสู้กับคณะราษฎรสายทหารที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น / การเลี้ยงสองสายอำนาจไว้กัดกันเองของจอมพล ป. เพื่อให้ตัวเองได้เสวยอำนาจต่อไปนาน ๆ สุดท้ายก็ถูกสฤษดิ์แว้งกัดยึดอำนาจไป / ผู้ก่อการปฏิวัติเพื่อมวลชนสุดท้ายกลับกลายเป็นอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จเพราะต้องการพิทักษ์การปฏิวัติ ฯลฯ การยึดมั่นในอุดมการณ์แบบสุดโต่งจึงดูไร้เดียงสา เพราะโลกนี้ไม่มีสีขาวหรือสีดำที่แท้จริง
หากความคาดหวังของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้อยู่ที่การเป็นสารคดีฉายในฟรีทีวี ซึ่งเป็นความตั้งใจแรกของผู้กำกับ ก็อาจนับว่าประสบความสำเร็จตามสมควร แต่ในเมื่อภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มาพร้อมกับความยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่งในโรงภาพยนตร์ และค่าตั๋วอีกนิดหน่อย ความคาดหวังจึงน่าจะมีมากกว่าที่หนังเล่าออกมาได้ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่คำถามสำคัญของสารคดีเปลี่ยนไปจาก "สิ่งนี้คืออะไร" กลายเป็น "ทำไมจึงต้องมี/ต้องเป็นสิ่งนี้" ทว่าภาพยนตร์สารคดีเรื่องประชาธิป'ไทยยังอยู่ที่การตอบคำถามข้อแรกเป็นส่วนใหญ่ซึ่งออกจะเชยไปนิด (หวังว่าในภาคต่อคงจะตอบคำถามข้อหลังมากกว่าเดิม) แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็ไม่คิดว่าคนระดับเป็นเอกจะไร้เดียงสาในสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่หลายคนบอกไว้ว่า สิ่งสำคัญของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาที่เล่าออกมา แต่อยู่ในเนื้อหาที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงต่างหาก
๑ ก.ค. ๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น