วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 3

1. ช่องว่างและท่าที

บางครั้ง ช่องว่างระหว่างการสนทนา ก็เป็นมิติเวลาที่จำเป็นสำหรับการสนทนาเหมือนกันนะ อย่างมากที่สุด มันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้ความคิดที่กระจายเป็นฝุ่นฟุ้งได้ตกตะกอนจับตัวกันเป็นก้อนหิวพอปาหัวคนแตก หรืออย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านพ้น

ในช่วงเวลาที่ความเงียบเข้าครอบคลุมการสนทนาของเรา ผมพบว่า ท่าทีในการเขียนจดหมายถึงคุณในฉบับแรกและสองดูจะเป็นท่าทีหนักหน่วงไปหน่อย อย่างที่คุณเคยเปรียบเปรยว่าเป็นทางระนาดแบบลูกขยี้ อันที่จริงแล้วผมชอบทางระนาดคาบลูกคาบดอกแบบคุณมากกว่า เพราะบางครั้งเวลาผมฟังระนาดแนวขุนอิน มันไม่เสนาะเท่าระนาดพริ้วของเจ้าศร นึกเหน็บทางระนาดหนักหน่วงในใจเสียด้วยซ้ำว่า "จะโชว์พาวไปไหน" คิดว่าผู้อ่านหลายคนคงคิดเหมือนกัน (ฮา)

อาจเป็นเพราะหลายเดือนที่ผ่านมานี้ผมไม่ได้เขียนข้อเขียนเกี่ยวแก่การเมืองเลย ทั้งที่มีเรื่องมากมายอัดอั้นตันใจอยากเขียน แต่เมื่อผมยังไม่หายเบื่อบางอย่าง และอุทิศให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ "อิอิ หุหุ งุงิ" ของผม เมื่อเผลอตัวเขียนการเมืองจึงจัดเต็ม-จัดหนักไปหน่อย ต้องขออภัย

จากนี้ไป คิดว่าจะพยายามให้การสนทนาของเรามีท่าทีสบาย ๆ มากขึ้น แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น-ทัศนะต่อบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น แทนที่จะเป็นการยกคัมภีร์มาย่อความบังหน้าความโง่เขลาของตน, เช่นที่ผมเคยทำมา

2. แก่นสารของนักเขียนหนุ่ม

ผมเองเคยคิดว่า คงจะมีมนุษย์โลกไม่กี่คนที่กำลังประสบสิ่งที่ผมประสบอยู่ เอาล่ะ, ตอนนี้ผมก็อุ่นใจว่า อย่างน้อยก็มีคุณคนหนึ่งที่กำลังหลงทางสายชีวิตเหมือนผม ทั้งที่เราต่างก็มองเห็นป้ายบอกทางชัดเจน

เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน หรือหยุดเดิน หรือเดินถอยหลัง หรือ ฯลฯ

ผมซาบซึ้งในปรัชญาว่าชีวิตคือก้อนเมฆของเซ็น แต่ผมก็ยังไม่กล้าเป็นก้อนเมฆอยู่ดี

ผมกลับมาพยายามคิดถึงภูมิหลัง หรือปมปัญหาในวัยเด็กที่หล่อหลอมให้ผม, รวมถึงเพื่อนหลายคนที่ผมรู้จักกลายเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองไร้แก่นสารเช่นนี้ พบจุดร่วมข้อหนึ่งว่า เราต่างก็เป็นเด็กวิทย์-เรียนศิลป์ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเหมือนกัน

ผมเรียนเรื่องแรง G แต่กลับสนใจมันในแง่ของการนำมาคำนวณว่า คนเราใช้เวลากี่วินาทีในการตกหลุมรักใครคนหนึ่ง

ผมเรียนเรื่องการจับตัวกันของโมเลกุล แต่กลับสนใจมันในแง่ที่ว่าหัวใจของคนสองคนจะเกาะเกี่ยวกันด้วยเหตุผลกลใด

ในแง่หนึ่ง เด็กวิทย์เรียนศิลป์อย่างผม คือคนที่ไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่วัยที่ต้องเตรียมตัวสู่การเป็นผู้ใหญ่ บาดแผลในใจนั้นได้ส่งผลมาถึงปัจจุบัน, 3 ปีที่ไม่ได้เติมเต็มสู่การเตรียมตัวในศาสตร์ทางศิลป์ทำให้เรารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าเด็กศิลป์พันธุ์แท้อยู่ในใจ และรู้สึกว่าแก่นสารของชีวิตนั้นหายไปในช่วงเวลาที่ตัดสินใจผิด

ผมคือการเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรโดยไม่เคยประนีประนอมกันระหว่างมหาอำนาจฝ่ายวิทย์และฝ่ายศิลป์

ผมคือชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลวในชั่วข้ามคืนของคู่บ่าวสาววิทย์-ศิลป์

เคยคิดว่าจะออกไปเป็นศิลปินเต็มตัว วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ - เขียนหนังสือ แต่ก็นึกกลัวความจริงของชีวิตที่ประจักษ์แก่ใจดีจากการสัมผัสชีวิตแบบวิทย์-วิทย์ มาแรมปีจะเข้ามาบดขยี้ความฝันจนแหลกสลาย

เพราะผมชื่นชมบทเพลงหลายบท แต่ผมแต่งเพลงแบบนั้นไม่ได้

เพราะผมชื่นชมภาพเขียนชดช้อยทรงพลัง แต่ผมวาดรูปไม่เป็น

เพราะผมตกตะลึงในพลังตัวอักษรของนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี แต่ผมไม่เคยเค้นพลังมันออกมาได้แม้แต่ในระดับอย่างน้อยที่สุดที่ควรจะเป็น

เพราะผมเชื่อฝังใจว่าผมไม่ใช่ศิลปินพันธุ์แท้ ทั้งที่ผมพยายามเป็น พยายามฝึกฝน แต่ไม่เคยเติมเต็มความเชื่อของตนเองได้เลย

เมื่อความเชื่อหลุดลอย แล้วใยแก่นสารของชีวิตที่เป็นคู่สมรสกับความเชื่อจะยอมจดทะเบียนมาอยู่กินด้วยกัน

คุณเคยรู้สึกแบบเดียวกับผมหรือเปล่า?

3. ความรักมักทำให้คนเป็นกวี

เพลโตก็กล่าวไว้ทำนองนั้น และลุงเนาว์ก็ชอบนำคำของเพลโตมากล่าวไว้เช่นนั้นเหมือนกัน

ผมคิดว่า คนทุกคนมีประตูกวีเหมือนกัน ต่างกันก็เพียงว่า ใครจะมีกุญแจที่จะไขประตูกวีนี้ออก

กุญแจกวี คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างผัสสะอารมณ์กับความสะเทือนใจ, และความสะเทือนใจที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์คือความรัก

อา... ความรัก

สมหวัง, ผิดหวัง, แอบรัก, อกหัก, มันทำให้หัวใจเราวูบไหวในระนาบที่ไม่ปกติ, เป็นจังหวะเดียวกับท่วงทำนองในบทกวี จังหวะขึ้นก็ดึงเราขึ้นไปสูดหมอกหยอกเมฆอย่างสดชื่น จังหวะลงก็ดึงเราลงไปคลุกเคล้ากับไฟนรกในห้วงอเวจี

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้, อารมณ์เมื่อไปถึงที่สุดย่อมถึงที่ตาย สุขมาก ความสุขก็ตายกลายเป็นทุกข์ ทุกข์มากจนถึงที่สุดก็จะพบกับความสุข อารมณ์เหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงให้คนหลง จึงควรปล่อยวางไม่ยินดียินร้ายในปีติหรือน้ำตา

แต่ผม, ผู้ยังอิ่มเอมในรสลวงของกิเลสตัณหายังคงยินยอมพร้อมใจซุกตัวในอ้อมกอดของความรักที่เลือนรางราวภาพฝัน แม้บางครั้งหนามแหลมของความเจ็บปวดจะทิ่มแทง แต่มันก็แฝงด้วยรสสุข คงเช่นเดียวกันกับบทกวีของผม (ในภาคของ "หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย") ที่แฝงน้ำตาไว้ในกลอนรัก และแฝงรอยยิ้มในกลอนอกหัก เวียนว่ายในห้วงมหรรณพทางอารมณ์เช่นนี้นิจนิรันดร์

ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก
เผลอรู้จักคำอ่อนหวานวันอ่อนไหว
เผลอเขียนกวีรักจากหัวใจ
และหลงใหลในลำนำคำกวี

คือบทกลอนเต็ม ๆ ที่เป็นที่มาของชื่อหนังสือ อันที่จริงหนุ่มอักษรฯ บอกว่า มาจากบทกวีเอาฮาที่เขียนจากชีวิตจริงว่า "ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก เผลอรู้จักคำอ่อนหวานวันอ่อนไหว เผลอเขียนกวีรักจากหัวใจ เผลอมอบให้คนไม่อ่านงานกวี" แต่อ่านไปอ่านมารู้สึกเลี่ยนมากกว่าฮา จึงเปลี่ยนวรรคส่งเสียใหม่

ฉันเผลอเป็นกวีเพราะมีรัก จริงหรือ?

เป็นอย่างที่ธนาคารกล่าวไว้ว่าเป็น "สภาวะบางอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ทว่ารู้ตัวเป็นอย่างดี" จำได้ดี, มัธยมปลาย, ผมถูกความรักจู่โจม แต่ไม่นึกว่ามันจะมาพร้อมถ้อยคำอ่อนหวานเพื่อเป็นบรรณาการต่างแหวนหมั้นวันวิวาห์ ก่อนที่ภาพรักลวงจะเดินสะบัดตูดดุ๊กดิ๊กจากไป ทิ้งไว้แค่การเรียงร้อยถ้อยคำอันเปล่ากลวงเป็นบทกวี ต่อมาผมจึงเติมเต็มความไร้ค่าของมันให้เต็มแน่นด้วยความผิดหวัง ก่อนจะมาพบความรักและความผิดหวังอีกครั้ง และอีกครั้ง

โดยไม่รู้ตัว ความรักเป็นต้นธารของกุญแจกวีให้หนุ่มอักษรฯ ผู้หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องรัก (โดยไม่เคยสนใจว่า ม็อบสีไหนไล่ใคร หรือน้ำมันปาล์มจะขึ้นราคาเท่าไหร่) ได้นำมาเปิดประตูกวีของตนเอง

มีคนกล่าวว่า การเป็นกวี มีองค์ประกอบอยู่ 2 อย่าง คือ เรียกตัวเองว่ากวี และคนอื่นยอมรับว่าเป็นกวี, ผมในภาคของวุฒินันท์ ชัยศรี ไม่เคยยอมรับตัวเองว่าเป็นกวี วุฒินันท์ จึงไม่ได้เป็นกวี, ส่วนผมในภาคของ "หนุ่มอักษร... นอนตื่นสาย" ตัวเขาเองพูดว่าเขาเขียนบทกวีรักอยู่เต็มปาก และอย่างน้อยก็มีคนยอมรับว่าเขาเป็นกวี คือผมในภาคของวุฒินันท์ (เล่นเอง ชงเอง กินเอง 55) อีตาหนุ่มอักษรฯ จึงได้เป็นกวีสมใจ

แน่ล่ะ, โดยนัยนี้, ความรักทำให้คนเป็นกวี อย่างน้อยก็อีตาหนุ่มอักษรฯ คนหนึ่ง

4. กวีต้องแสวงหาความผิดหวัง

ผมกลับมานึกย้อนถึงคำว่า แสวงหาความผิดหวัง แล้วผมก็นึกขำ

จำได้ว่า นิยายกำลังภายในของกิมย้ง ตอน จอมยุทธอินทรีเอี้ยก้วย มีตัวละครนามว่า มารกระบี่แสวงพ่าย หมายความว่า เป็นจอมยุทธผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ใคร จึงต้องแสวงหาความพ่ายแพ้ และไม่เคยพบจนตลอดชีวิตของเขา

แต่ผม, น่าจะกลับกันมากกว่า, ผมแสวงหาความผิดหวัง แต่อันที่จริงผมก็พบกับความผิดหวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ, ควรจะต้องเปลี่ยนเป็น แสวงหาความสมหวังมากกว่า จริงไหม?

อันที่จริงผมไม่ได้แสวงหาความผิดหวังหรอก, แต่เมื่อความผิดหวังมาจับจองเป็นเจ้าของห้องหัวใจ แล้วจ่ายค่าเช่าเป็นความเหงา ผมก็ได้แต่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยดุษณี

ความเหงา, เป็นเพื่อนที่แสนดี และเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ, สำหรับผู้ที่เสพติดมันจนงอมแงมอย่างเรา ๆ

อาจเพราะมันรู้ใจเรายิ่งกว่าเพื่อนสนิทคนใดในโลก จึงรู้ดีว่าจะปลอบใจเราด้วยวิธีใดเราถึงจะยิ้มได้ และจะทำร้ายเราด้วยอาวุธอย่างไหนเราถึงจะเจ็บปวดที่สุด, วันดีคืนดี เราจึงยินยอมให้มันกระหน่ำมีดสู่ร่างจนเลือดไหลหมดตัว ก่อนจะเผลอนอนตักฟังคำปลอบประโลมแล้วหลับฝันดีในอ้อมกอดที่บีบรัดเราแน่นจนขาดอากาศหายใจเป็นห้วง ๆ

สำหรับเรา, ผู้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงร่านไปกับความเหงา และความผิดหวังมีแบงก์ชื่อความเหงาอยู่ในกระเป๋าไม่อั้น เรา, ผู้หลงงมงายในความเหงาเหมือนหญิงสาวกับรักแรกจึงยินยอมพร้อมใจรับความผิดหวังเข้ามานอนอืดเต็มพื้นที่สี่ห้อง

มีคนเคยบอกผมว่า ความรักตั้งแต่ครั้งที่สองเป็นต้นไป คือการกรอภาพย้อนกลับของรักแรก ยิ่งความรักครั้งแรกฝากบาดแผลไว้มากเท่าใด รักครั้งต่อไปย่อมเป็นการเวียนว่ายอยู่กับการกรีดซ้ำแผลเดิม ความร้าวรานที่ซ่อนลึกในใจเกิดจากส่วนผสมที่ไม่ลงตัวระหว่างความสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ที่คนผิดหวังคนหนึ่งพยายามผสมขึ้นมาจากอีกคนเพื่อเยียวยาตัวเอง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นยาพิษที่ซ่านในกระแสเลือด จนถึงวันหนึ่งเราจึงพบว่าไม่อยากให้คนที่เราเคยรักมีตัวตน เราจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

ความเหงาจึงเป็นของวิเศษชิ้นสุดท้ายที่ช่วยห่มคลุมใบหน้าของคนที่เคยรักให้มิดชิดในความทรงจำ ก่อนที่มันจะแสยะยิ้มแล้วจ้วงแทงคว้านเอาเลือดเนื้อในหัวใจมาลิ้มรส ท่ามกลางรอยยิ้มยินดีของตัวเราเอง, รอยยิ้มยินดีในความผิดหวังซ้ำซากจนหัวใจแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี

ความผิดหวัง คงจะเป็นคำสาปอย่างหนึ่งกระมังสำหรับเรา, นักเขียนหนุ่มผู้เสพติดความเหงา


วุฒินันท์ ชัยศรี
04/04/2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น