วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม ฉบับที่ 1

---------------------------------

*หมายเหตุก่อนเขียน เพื่อความเข้าใจตรงกัน

สืบเนื่องจากธนาคาร จันทิมา นักเขียนหนุ่มผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาโทที่จุฬาฯ และเป็นเพื่อนร่วมเส้นทางการค้นหาความหมายของชีวิตท่ามกลางการเดินทางสั้น ๆ แต่เป็นนิรันดร์บนเส้นบรรทัด ชักชวนข้าพเจ้าให้มาร่วมค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ระหว่างรอยปริแตกของตัวอักษรที่ไม่อาจส่งผ่านเข้าไปในเรตินาของมนุษย์ผู้คร่ำเคร่งอยู่กับความฉาบฉวยของชีวิต, บางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นผ่านการเขียนโต้ตอบกัน อาจเป็นพุทธิปัญญา, ความตระหนักรู้, ความเปล่าโหวงของชีวิต, การออกกำลังกายยืดแข้งยืดขาของอักขระ, หรืออาจไม่มีอะไรเลยนอกจากความสิ้นเปลืองของน้ำหมึกและกระดาษ (เมื่อเขียนผ่านโลกไซเบอร์ สิ่งที่สูญเสียก็คือค่าไฟฟ้าและความสึกหรอของอุปกรณ์คณิตกรณ์)

แน่ล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของสองเราว่า การละเล่นครั้งนี้อาจจะกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวให้ตื่นขึ้น หรืออาจเป็นเพียงความเปล่ากลวงไร้สาระในระหว่างที่ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปสู่อีกหนึ่งวัยที่เราจะต้องกลับมาโอดครวญว่า เราทำบางสิ่งหล่นหายไปขณะที่เดินทาง แม้จะรู้อยู่เต็มอกและพยายามยื้อไว้สุดชีวิต

สุดท้ายนี้ หากมันทำประโยชน์อื่นใดแก่ผู้อื่นได้นอกจากที่กล่าวมา เราจะยินดีอย่างยิ่ง

---------------------------------

1. ที่เก็บเงิน

ธนาคาร น. นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย บริษัทจํากัด หรือ บริษัทมหาชนจํากัด ที่ใช้ชื่อหรือคําแสดงชื่อว่า ธนาคาร ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเงินและธุรกิจหลักทรัพย์. (ป. ธน + อคาร).

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้คำแปลชื่อของคุณไว้เช่นนั้น

ผมแปลสั้น ๆ ละกันว่า ที่เก็บเงิน

ชื่อจริง ธนาคาร ชื่อเล่น แบงค์ ดูเป็นชายหนุ่มทุนนิยมมาก น่าจะไปได้ดีกับการเรียนเกี่ยวแก่เงิน ๆ ทอง ๆ จบไปแล้วทำงานสถานที่เดียวกับชื่อ

ไม่รู้ว่าเกี่ยวแก่ความคาดหวังของใคร หรือบังเอิญตกฟากโชคงามยามดี คำว่า "ธนาคาร" จึงได้รับเลือกเป็นถ้อยคำแทนตัวของคุณ เอาล่ะ, ผมไม่ถามเรื่องนั้นหรอก เพียงแต่ชื่อของคุณมันชวนให้นึกถึงความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ใคร ๆ ก็คงอยากให้ลูกหลานของตนเองเป็น "ที่เก็บเงิน" โตขึ้นจะได้ไม่ลำบาก

ใคร ๆ ก็อยากมีเงิน เพราะเงินคือสิ่งเดียวที่จะบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างมาเติมเต็มชีวิตอันเว้าแหว่งของมนุษย์

ไม่รู้ว่าเจ้าธาตุเงิน, ธาตุที่ผมไม่เคยได้ยินว่าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ กลับมามีอิทธิพลเหนือชีวิตมนุษย์เมื่อใด, กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็ตกเป็นเหยื่อการดิ้นรนแสวงหามันเสียแล้ว ทั้งด้วยความเต็มใจและไม่เต็มใจ

2. รถยนต์

ตั้งแต่หัดนั่งยันคันถีบบนสองล้อแล้วไม่ล้ม ผมปั่นจักรยานมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม้จะโตจนบรรลุนิติภาวะไปสี่ปีแล้ว, แต่งงานโดยไม่ต้องปรึกษาพ่อแม่ได้แล้ว, ปล้ำผู้หญิงเมื่อไหร่ติดคุกแน่แล้ว, แต่สองเท้าผมยังยันคันถีบขึ้น - ลงเพื่อไปถึงที่หมายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ขณะที่เท้าของเพื่อนหลายต่อหลายคน ตอนนี้แช่อยู่ที่คันเร่ง เบรก คลัชท์, ใคร ๆ ก็มีรถยนต์เป็นสมบัติของตัวเอง

เปรียบเทียบย้อนกลับไปสมัยมัธยม, ขณะที่สองมือผมกำแน่นบนแฮนด์ สองมือของเพื่อนก็กำอยู่ที่แฮนด์เช่นกัน แต่เป็นแฮนด์ที่บิดเร่งความเร็วได้, ใคร ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์

เทียบพัฒนาการของผมกับมนุษย์ปกติทั่วไป

ผม --> ประถม จักรยาน - มัธยม จักรยาน - มหาวิทยาลัย จักรยาน - บรรลุนิติภาวะ จักรยาน

มนุษย์ปกติทั่วไป --> ประถม จักรยาน - มัธยม มอเตอร์ไซค์ - มหาวิทยาลัย มอเตอร์ไซค์ หรือ รถยนต์ - บรรลุนิติภาวะ รถยนต์

อย่างไรก็ดี สำหรับผม, มนุษย์ผู้ไม่สนใจโลกภายนอกเท่าใดนัก จึงไม่คิดจะสนใจเรื่องหยุมหยิมในสายตาตัวเอง แต่บางครั้ง เรื่องหยุมหยิมก็เป็นเรื่องหนักหนาเหลือเกินสำหรับคนข้างบ้าน และอาจจะส่งผลกระทบบางประการต่อครอบครัวผมเอง

วันที่เพิ่งกลับไปงานแต่งงานเพื่อนที่บ้านเกิด ผมกลับไปพร้อมพาหนะสี่ล้อของเพื่อนผู้ล่ำซำคนหนึ่ง รถเก๋งคันงามจอดเทียบหน้าประตูบ้าน คนข้างบ้านดูจะฮือฮาเมื่อเห็นผมเดินลงมาจากรถ นั่นแหละ, ผมเดินลงมา หยิบกระเป๋าจากท้ายรถ โบกมือลาเพื่อน แล้วพาหนะคันงามก็วิ่งหายไป, อาจจะทำให้ใครหลายคนที่คอยติดตามเรื่องชายหนุ่มผู้ไปหมกตัวอยู่กรุงเทพฯ เป็นแรมปีจนได้ดีมีรถเก๋งขับกลับมาผิดหวังไปบ้าง

ผม ครอบครัว และคนข้างบ้าน มานั่งคุยกันสนุก ๆ หลังจากที่ผมไม่ได้กลับบ้านมานาน หนึ่งในคำถามที่ไถ่ถามกันก็คงไม่พ้นรถคันงามที่มาส่งถึงบ้าน ตบท้ายด้วยคำถามเชิงหยอกเอินว่า เมื่อไหร่ผมจะซื้อรถกับเขาบ้างล่ะ ผมได้แต่ยิ้มไม่ตอบคำ พร้อมกับจ้องมองเข้าไปในแววตาของคนพูดอย่างเดาความคิดไม่ออก

จนกว่ามนุษย์เราจะหลุดพ้นจากการหมุนเหวี่ยงไปมาของโลก นั่นแหละเราจึงจะทำตามใจตัวเองได้อย่างแท้จริง

รุ่นน้องคนหนึ่งกล่าวกับผมอย่างติดตลกว่า

"ชีวิตก็แบบนี้แหละ รีบเรียนให้จบ หางาน ทำงาน หาเงิน ซื้อบ้าน ซื้อรถ เพื่อเอาใจคนข้างบ้าน"

ผมหัวเราะขื่น ๆ เมื่อตระหนักรู้ความเป็นไปของโลกอันแสนปวดร้าวจากคำพูดทีเล่นทีจริง

3. เกม

บางครั้งผมมองเด็ก ๆ เล่นเกมพ่อ แม่ ลูก หรือเกมเปิดร้านอาหารอย่างขบขัน

อาหารชื่อหรูหรารึก็มีแต่ดินกับหิน บางครั้งกรอกน้ำใส่จนเหลวเป๋วเป็นขี้โคลน เงินที่เอามาแลกนั้นเล่าก็เพียงใบไม้ที่ใครจะปลิดออกมาจากต้นไม้เท่าไหร่ก็ได้ แบบนี้จะชี้วัดอย่างไรว่าใครรวย ใครจน เพราะถ้าใครอยากได้อะไร ก็แค่ไปปลิดใบไม้ เผลอ ๆ คนทำอาหารขี้เกียจ ก็ไปปลิดใบไม้มา มีเงินใช้สบายแฮ

ด้วยสายตาเดียวกัน ผมมองผู้ใหญ่อย่างครุ่นคำนึง

บางทีโลกใบนี้ก็เหมือนเกมที่เด็ก ๆ เล่น เงินที่ใคร ๆ ปรารถนาจะมี ก็ทำมาจากกระดาษ สืบค้นต้นตอลงไปก็ทำมาจากไม้ สิ่งที่พวกเขาซื้อขายกันนั้นก็ล้วนทำมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันในสัดส่วนที่แตกต่างกันเท่านั้น คอนโดห้องเล็ก ๆ ราคาหลายล้านนั้นเล่าก็มาจากอิฐ ปูน ต้นตอก็คือหินจากภูเขา รถยนต์สุดหรูนั่นก็มาจากเหล็ก อาหารหรูหราโอชะก็มาจากดินและน้ำที่ทำให้เกิดพืช สัตว์ ฯลฯ

แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนกำลังเล่นเกมของเด็ก ๆ

ต่างกันแค่กรรมวิธีและกติกาที่ซับซ้อนขึ้น

ต่างกันที่เด็กเล่นกันด้วยเสียงหัวเราะ ไม่มีคนแพ้ชนะ จบเกมก็โยนใบไม้และดินหินทิ้งทั้งหมด ส่วนผู้ใหญ่ดิ้นรนสุดชีวิต ทนทุกข์ทรมาน ยอมสูญเสียน้ำตาหรือแม้กระทั่งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเช่นมิตรภาพและความรัก เพียงเพื่อเอาชนะคนอื่น มีมากกว่าคนอื่น แม้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยังกอดกำใบไม้และหินดินแนบแน่นในอก

แต่ผมจะสมเพชพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อหันกลับมามองตัวเอง ผมไม่พบว่าจะมีอะไรแตกต่างจากพวกเขา

บางครั้ง เกมอันไร้สาระนี้ เด็กเองก็รู้ว่าเล่นไปก็ไม่มีค่าอันใดนอกจากความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วคราว ส่วนเราก็เล่นไปโดยที่รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีค่าอันใดนอกจากความทุกข์ทรมานและหยดน้ำตา, แต่เราทั้งหลายก็ยังคงเล่นมันต่อไปเรื่อย ๆ

บางครั้ง การมองด้วยสายตาเท่าทัน ก็ไม่ได้ทำให้อะไรบนโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิดเดียว

วุฒินันท์ ชัยศรี
24/03/2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น