วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน (Lexington Ghosts) / Haruki Murakami


รวมเรื่องสั้นชุดสุดท้ายในโปรเจคท์ "แฟนมูราคามิรวมหัว" ซึ่งมีทั้งหมด 3 เล่ม ถ้าเล่มแรก (เส้นแสงที่สูญหายฯ) คือบันทึกวัยเยาว์อันแหว่งวิ่นเว้าโหวง เล่มสอง (คำสาปร้านเบเกอรี่) เป็นการตะโกนอย่างเงียบงันของปัจเจก เล่มสามก็คงเป็นงานแนวทดลองที่พยายามขยายพื้นที่ประวัติศาสตร์และความทรงจำของปัจเจกเพื่อให้ตัวตนของเราดำรงอยู่ได้ในวันที่ทุกสิ่งรอบตัวกำลังล่มสลายลงอย่างช้า ๆ อย่างที่เฮียแกว่า "ผมอยากสร้างสรรค์อดีตขึ้นใหม่อีกครั้ง (re-create the past) มากกว่าจะผลิตซ้ำอดีต (re-produce the past)"

น่าแปลกว่าคราวนี้ผมกลับติดใจเรื่องที่เล่าเรียบ ๆ ตัวละครก็เรียบ ๆ อย่าง "เงียบงัน" ที่กลับรู้สึกสั่นไหวรุนแรงทันทีที่อ่านจบ ขณะที่บางเรื่องอย่าง "ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน" "มนุษย์น้ำแข็ง" หรือ "ชายคนที่เจ็ด" รู้สึกแวบแรกว่าน่าจะดีเพราะแปลกดี แต่พอปล่อยเวลาตกตะกอนสักพักก็พบว่าเรื่องนั้นไม่ได้เขย่าให้เราสั่นสะเทือนมากนัก อีกเรื่องที่คิดว่าดีก็คือ "โทนี ทะกิทะนิ" เรื่องเล่าถึงการพลัดพรากจากความทรงจำแบบที่มูราคามิถนัด แม้จะเคยรู้สึกแบบนี้กับนิยายมูราคามิเล่มอื่น ๆ บ่อยแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกถึงความแปร่งปร่าของความเหงาที่เกิดจากการถูกตัวตนในอดีตของตัวเองทอดทิ้งได้ในอีกรสชาติหนึ่ง ส่วน "การมาถึงของปีศาจเขียว" เป็นเรื่องที่ถ้าเป็นนักเขียนใหม่เขียนมาจะถามว่า แกเขียนอะไรของแก๊ แต่ในเมื่อเป็นเฮียมู เราก็ได้แต่ย้อนกลับไปอ่านอีกรอบก่อนจะได้ข้อสรุปคล้าย ๆ กับที่คนแปลเขียนไว้ท้ายเรื่องนั่นแหละ (ฮา)

โดยภาพรวม นี่คงเป็นเล่มที่ชอบน้อยที่สุดในชุดแฟนรวมหัว เพราะรู้สึกว่าบางเรื่องคอนเซปต์มันใหญ่เกินจะเล่าด้วยเรื่องสั้น อย่าง "การมาถึงของปีศาจเขียว" หรือ "ชายคนที่เจ็ด" หรือบางเรื่องแนว ๆ เดียวกันก็รู้สึกว่าเล่มคำสาปร้านเบเกอรี่ทำได้ดีกว่า แต่ก็อย่างว่าแหละ นักเขียนระดับเฮียมูก็คงรู้ว่าทำอะไรอยู่ แฟนานุแฟนเฮียก็คงต้องตามอ่านกันต่อไป จะชอบหรือจะชังอย่างไร อย่างน้อยก็คงอดคิดไม่ได้ว่าเฮียแกเขียนหนังสือได้ "กล้าและบ้าบิ่น" จริง ๆ นั่นแหละ

------------------------------------------
Quotations:

"น่าจะสักสองอาทิตย์ได้ที่ผมได้แต่นอนหลับไป หลับจนกระทั่งเวลากร่อนสลายและละลายหายไปราวกับไม่มีอยู่ และไม่ว่าผมจะหลับไปนานสักเท่าไร มันก็เหมือนไม่เคยจะเพียงพอเลย ตอนนั้น โลกแห่งนิทรารมณ์กลับกลายเป็นโลกแห่งความจริง ชีวิตประจำวันเริ่มเป็นสิ่งไร้ค่า เป็นความไร้สาระและสถานที่ชั่วคราว เป็นโลกที่มีอยู่เพียงผิวเผินและขาดแคลนสีสันแห่งชีวิต ผมไม่อยากจะอยู่ในโลกแบบนั้นอีกต่อไป พอเวลาค่อย ๆ ผ่านไป ผมชักเริ่มเข้าใจแล้วว่าพ่อรู้สึกอย่างไรตอนที่แม่ตาย คุณรู้ใช่ไหมว่า ผมกำลังหมายความว่าอะไร หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งเดิมมันก็อยู่ไม่ได้"

เคซีย์เงียบไปชั่วขณะ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ช่วงเวลานี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว บางครั้งบางคราวเสียงลูกโอ๊กที่ตกกระทบพื้นก็แว่วเข้ามากระทบหูของผม
"สรุปว่า มีแค่อย่างเดียวที่ผมพอจะพูดได้" เคซีย์ยกศีรษะของเขาขึ้นหน่อย และรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ก็หวนคืนสูริมฝีปากของเขา "ถ้าผมตาย ก็คงไม่มีใครในโลกนี้ที่จะดำดิ่งหลับใหลลึกยาวนานปานนั้นอีกแล้ว"
(ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน: หน้า 36)

ในตอนแรกอะโอะกิมันเลยมองเอาด้วยสายตาเหมือนยิ้มเยาะผม ราวกับจะพูดว่า "เป็นไงล่ะ" ผมรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของอะโอะกิ เขาเองก็รู้ว่าผมรู้เรื่องนั้น เราจ้องกันเขม็งอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่ระหว่างที่ผมมองคนคนนี้ จู่ ๆ ผมก็เริ่มมีความรู้สึกประหลาด ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นความรู้สึกชนิดที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน แน่นอนผมโกรธอะโอะกิ บางทีผมแค้นมันจนอยากฆ่าให้ตาย แต่ในรถไฟที่คนแน่นขนัดขบวนนั้น แทนที่จะรู้สึกโกรธหรือแค้น สิ่งที่ผมรู้สึกกลับใกล้เคียงกับความเศร้าหรือสงสารมากกว่า "คนเราวัดความเก่งหรือภูมิใจในชัยชนะกันได้ด้วยเรื่องแค่นี้จริง ๆ หรือ ผู้ชายคนนี้พอใจและมีความสุขได้ด้วยเรื่องแค่นี้จริง ๆ หรือ" พอคิดอย่างนี้แล้ว ผมกลับรู้สึกเศร้าอยู่ลึก ๆ ในใจมากกว่า ผู้ชายคนนี้คงไม่อาจเข้าใจในความสุขหรือความภูมิใจอันแท้จริงไปได้ตลอดกาล จนกระทั่งเขาตาย ผู้ชายคนนี้คงไม่อาจรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอันสงบเงียบที่พวยพุ่งมาจากส่วนลึกของร่างกายได้สักครั้ง

มนุษย์บางประเภทก็ขาดความลึกซึ้งโดยสิ้นเชิง ผมไม่ได้กำลังบอกว่าตัวเองมีความลึกซึ้งหรอกนะครับ สิ่งที่ผมอยากจะพูดคือ เรามีความสามารถที่จะเข้าถึงความลึกซึ้งนั้นได้หรือไม่ต่างหาก แต่คนอย่างพวกเขาไม่มีความสามารถแบบนั้นเลย นั่นคือชีวิตที่แบนราบและกลางกลวง จะดึงดูดสายตาให้คนมองได้สักเท่าไร จะภูมิใจในชัยชนะของตนเองออกนอกหน้าแค่ไหน ข้างในพวกเขาก็ยังว่างเปล่า
(เงียบงัน: หน้า 76)

ผมไม่เคยสนใจเรื่องอนาคต ผมไม่เคยมีความคิดเรื่องนั้น น้ำแข็งไม่เคยกักขังอนาคต มีเพียงวันวานเท่านั้นที่ถูกผนึกรักษาเอาไว้ ราวกับว่าอดีตยังคงมีชีวิต ทุกเรื่องราวของโลกใบนี้จะถูกเก็บรักษาเอาไว้อยู่ข้างในอย่างแจ่มชัดและห่างไกล น้ำแข็งผนึกเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในลักษณะเช่นนั้น ชัดเจนและใสกระจ่าง นั่นแหละคือแก่นแท้ของน้ำแข็ง
(มนุษย์น้ำแข็ง: หน้า 90)

เขาจะเข้าไปในห้องเป็นบางครั้ง และอยู่ในนั้นราว 1-2 ชั่วโมง ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ปลดปล่อยจิตใจให้ว่างโล่ง เขาจะนั่งลงกับพื้น มองไปบนผนังกำแพงว่างเปล่า มองเงาร่างของเงาภรรยาที่จากไปแล้ว แต่เมื่อหลายเดือนผ่านไป เขาสูญเสียความสามารถในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่เคยอยู่ในห้อง สีสันและกลิ่นของมันเลือนหายไปจากความทรงจำของเขาก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว กระทั่งห้วงอารมณ์กระจ่างชัดที่เขาเฝ้าทะนุถนอมก็หลุดลอยไป ราวกับมันล่าถอยไปจากความทรงจำของเขา คล้ายกับฝุ่นผงในอากาศ ความทรงจำของเขาเปลี่ยนรูปร่าง และการเปลี่ยนแต่ละครั้งมันก็สลัวรางขึ้นเรื่อย ๆ ความทรงจำแต่ละเรื่องในตอนนี้คือเงาร่างของเงาของเงา สิ่งเดียวที่ยังคงแจ่มชัดสำหรับเขาคือความรู้สึกสูญสลาย บางครั้งเขาแทบจะนึกภาพใบหน้าของภรรยาไม่ออก แต่สิ่งที่เขานึกถึงเสมอคือหญิงสาวแปลกหน้าของหยาดน้ำตาเมื่อเธอเห็นเสื้อผ้าที่ภรรยาของเขาทิ้งเอาไว้ภายในห้อง เขานึกถึงใบหน้าธรรมดาสามัญและรองเท้าหนังเก่า ๆ ของเธอ เสียงสะอื้นเบา ๆ ของเธอยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของเขา เขาไม่ได้ต้องการที่จะจดจำเรื่องใด ๆ แต่มันกลับเข้ามาในชีวิตก่อนที่เขาจะรู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น เป็นเวลายาวนานหลังจากที่เขาลืมเรื่องต่าง ๆ จนหมดสิ้น แม้กระทั่งชื่อของหญิงสาวคนนั้น แต่ภาพของเธอกลับมิอาจลืมเลือนได้อย่างน่าประหลาด
(โทนี ทะกิทะนิ: หน้า 136 - 137)

------------------------------------------

[Haruki Murakami, เขียน ; ธนพล เศตะพราหมณ์ ยอดมนุษย์หญิง และคณะ, แปล ; ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง, บรรณาธิการ. ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน Lexington Ghosts. กรุงเทพฯ : กำมะหยี่, 2553.]

1 ความคิดเห็น: