วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บางบทบันทึกในวัสสานฤดู (จากนักอุดอู้ในมหานคร)

(๑)

พลันที่น้ำตาฟ้าหยดแรกถลาลงสู่พื้น เสียงถอนหายใจของบางกอกเกี้ยนกว่าหกล้านชีวิตก็มาชุมนุมบนรูจมูกของแต่ละคนโดยมิได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่พวกไร้วาสนาจะหย่อนก้นลงบนเบาะหนังเทียมของก้อนหนี้สินเคลื่อนที่ซึ่งรัฐบาลลดราคาให้หนึ่งแสนบาท

ฝนเหมือนยางยืด หยดแหมะก็เหนียวหนับ ผสานกับกลิ่นอับใต้วงแขนซึ่งต้องเสนอหน้าผึ่งผายยามแสดงกายกรรมบนรถเมล์ ราวกับเอาขยะเน่าบูดยัดเยียดทวารหายใจแทนยาดม

ซื้ด...ซื้ด

หากหลีกหนีไม่ได้ ก็จงเริงใจกับการถูกข่มขืน ทุภาษิตจากปากสปอนเซอร์ตัวยงของโรงกลั่นสุราได้กล่าวไว้ นึกขึ้นพอให้อาการถูกข่มขืนทางรูจมูกด้วยกลิ่นเหม็นเน่าได้ทุเลาลงบ้าง อย่างน้อยก็ได้เจริญอานาปานสติ เพราะรับรู้ได้ถึงทุกลมหายใจเข้าซึ่งพ่วงช้างเน่าครั้งละสิบตัว

อาการเคลื่อนที่ของรถเมล์เนิบช้า คล้ายกับความพยายามของหอยทากเมื่อจะเต้นมูนวอร์ค

บางกอกทราฟฟิคแยม เหมือนแยมหมดอายุข้นเหนียว โรยไว้ทุกฟันเฟืองเครื่องสี่ล้อ ประดับประดาด้วยไฟแดงระบัดใบอยู่ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมกับการเกิดขึ้นของมหกรรมมอเตอร์โชว์บนถนนทุกสายในมหานคร มาตรวัดระยะทางซึ่งเคยนับเป็นกิโลเมตร พลันกลายเป็นการนับชั่วโมงซึ่งยาวนานกว่าอสงไขย ความเท่าเทียมของเข็มไมล์เกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตราคาระยับหรือรถญี่ปุ่นซึ่งทำด้วยกระป๋องโค้กและค้างค่าผ่อนอีกสิบปี

ร่องรอยเม็ดฝนชำระคราบไคลของพาหนะและสังขารคน เหมือนน้ำตาเปื้อนมาสคาร่าของหญิงสาวช้ำรัก

เม็ดฝนในมหานคร ไม่เคยทำให้อะไรงอกงามนอกจากเสียงแช่งด่า

(๒)

ห้ากิโลเมตรด้วยแรงตีน นับแล้วว่าเหนื่อยอ่อน แต่คาดว่าเร็วกว่าการแน่นิ่งของสองพันแรงม้าบนถนนตายซาก จึงสละการบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยกลิ่นเหม็นบูดมารองรับแรงอารมณ์ของเมฆฝนเอาแต่ใจ และเม็ดฝนดำมะเมี่ยมเพราะมีมลพิษยี่สิบชั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องกรองบนท้องฟ้า ต่างอะไรกับเล่นกรีฑาในคลองแสนแสบ

เรียมเอ๋ย, พี่หนาวสั่น และไม่ได้อยากจะเป็นพระเอกเอ็มวี แต่มึงบีบให้กูทำ

เมตาฟอร์แห่งการงอกงามและการกำเนิดใหม่ ไฉนเมื่อปรากฏร่างในเมืองฟ้าอมรจึงกลายเป็นความขื่นขม? กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เมืองท่าดินดำน้ำดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว กลับงอกงามด้วยตึกอันใหญ่อันรามซึ่งไม่ต้องการหยดน้ำจากฟากฟ้าเพื่อเติบโต

ธรรมชาติของต้นไม้นั้นอ่อนน้อม มันจึงค้อมตัวอยู่ใต้คอนกรีต และไม่เคยงอกงามนับแต่ถูกถมทับด้วยศิวิไลซ์เซชั่น

ฝีเท้าก้าวช้าลง จะเร่งหรือจะย่องกูก็เปียกเท่ากัน สู้ถนอมพลังงานให้เผาผลาญช้าลงน่าจะดีกว่า ทัศนียภาพซึ่งชุมนุมอยู่รอบระยะมองเห็นของดวงตาจึงค่อยเผยตัวมากขึ้น

หยดฝนมหานครแตกร้าวไร้อ้อมกอด กลิ้งเกลือกทุรนทุรายใต้น้ำครำน่าเวทนา

สุนทรียรสอย่างหนึ่งของเด็กบ้านนอกหลังฝนหมาดคือการเฝ้ามองหยดน้ำกลิ้งกลอกหยอกเย้าอย่างเริงใจบนใบบอน มิผิดแผกจากชายชำนาญรักหยอกเย้าดรุณีแรกรู้รสซ่านสุข

ทว่าสำหรับสุนทรียรสของที่นี่ ปรากฏเพียงหยดน้ำเสือกไสร่างไปตามพื้นถนนซึ่งฉาบทาด้วยความหยาบคายของคอนกรีต แว่วเสียงผู้รับเหมาซึ่งฝังคำสาปแช่งเอาไว้เนื่องจากได้รับเงินไม่เต็มจำนวน

อากาศร้อนไหววูบเพียงเสี้ยววินาที ท่ามกลางความหนาวยะเยือกของห่าฝน, เมืองนรก!

(๓)

ราวกับปาฏิหาริย์, ใบไม้อ่อนระบัดใบในซอกคอนกรีตปริร้าว พ้นรอยบดทับของก้อนยางทั้งสองล้อและสี่ล้อ งดงามเหมือนแก้มเด็กขวยเขิน

ฉันหยุดมองด้วยความชื่นชมล้นพ้น, ราวจะระเหิดในฉับพลัน

ฝนหยุดแล้ว

อย่างน้อยก็ยังมีอีกลมหายใจหนึ่งที่ปีติกับม่านน้ำแห่งความคิดถึงจากฟากฟ้า และใช้ประโยชน์จากมันมากกว่าเมตาฟอร์หรือเสียงแช่งด่า

แม้จะเป็นช่วงสั้นจนน่าใจหาย

เพราะฉันรู้แก่ใจว่า อีกไม่นานคงต้องมีก้อนยางไร้หัวใจสักล้อหนึ่งบดขยี้มันให้กลับไปจมดินเหมือนเดิม พร้อมกับการซ่อมแซมรอยแตกร้าว เพื่อให้คอนกรีตหยาบกระด้างสถิตอยู่ชั่วกัลปาวสาน

นั่นคือวิถีธรรมดาของมหานครซึ่งเซ็งแซ่ด้วยเสียงสาปแช่งยามท้องฟ้าให้พร


วุฒินันท์ ชัยศรี
๖ สิงหาคม ๒๕๕๖

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น