วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

The Chaser : ไล่ล่ามนุษย์หรือปิศาจ



(เปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์)

เอาไปเลย 12/10 กะโหลกสำหรับ The Chaser ผลงานการกำกับของนา ฮอง จิน ภาพยนตร์ที่พี่โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับพันล้านคัดสรรมาให้ชมในเทศกาลภาพยนตร์คัดสรร Cinema Diverse: Director's Choice. ของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จะว่าไปครั้งนี้ก็ทิ้งช่วงจากครั้งที่แล้วตอนไปดู Synedoche, New York อยู่นานเหมือนกัน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปหลายอย่าง ที่น่าตื่นเต้นคือมีคนเข้าร่วมกิจกรรมเยอะมากจนต้องมีเก้าอี้เสริม ต่างจากครั้งแรกที่เข้าไปเลือกที่นั่งได้เลย ส่วนที่ขัดใจคือครั้งนี้ไม่มีอาหารและเครื่องดื่มฟรี (ฮา) แต่ที่เหมือนกันทั้งสองครั้งที่ไปเข้าร่วมคือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาก ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ในดวงใจได้ทั้งสองเรื่องเลย

ว่ากันด้วยเนื้อหนังก็สมราคาคุยว่าเป็น "หนึ่งในภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้" ประเทศที่สร้างหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ได้ "โหดสัส" (คำของพี่โต้ง) ทั้งเรื่องก็มีพล็อตสั้น ๆ ว่าพ่อเล้าอดีตตำรวจต้องมาไล่ล่าฆาตกรโรคจิต ชิงไหวชิงพริบเพื่อตามหาหญิงสาวที่หายไป (เรื่องย่อยาวกว่านี้ก็ไปหาอ่านตามเว็บเอาก็แล้วกันนะ) บรรยากาศก็เป็นทริลเลอร์เข้ม ๆ สืบสวนสอบสวนประมาณนึง ตามหาร่องรอยคนหายและหาแรงจูงใจของฆาตกรแบบมึน ๆ นิดนึงเพราะผู้กำกับหลอกเราหลงไปหลายทางเอาเรื่อง มีแอ็คชั่นวิ่งหนีหรือวิ่งไล่ล่าทั้งมันทั้งฮาอยู่หลายฉาก มีปมดราม่าแม่ลูกมาเรียกน้ำตาแถมท้าย สรุปคือเข้มข้นคุ้มค่าทุกนาทีที่ได้ดู ไม่รู้ว่าฉบับที่ฮอลลีวูดเอาไปรีเมกนี่เข้มข้นเท่าต้นฉบับรึเปล่า

สิ่งที่รู้สึกตอนดูหนังเรื่องนี้คือทำไมเรารู้สึกว่ามันจริ๊งจริงจังวะ หรือจะเป็นเหมือนที่เค้าบอกว่าหนังทริลเลอร์ของฝรั่งมันเป็นหนังของอีกชนชั้นหนึ่ง พอเวลาดูก็เหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่เราตื่นเต้นสนุกสนานไปกับการไล่ล่าสืบสวนของตัวเอก ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย แต่กับเรื่องนี้เราทั้งลุ้นทั้งด่าตัวละครเหมือนว่ามันเป็นคนข้างบ้านเรา แม่งเอ๊ย อีกนิดเดียวจะได้ตัวละ แม่งอีกนิดจะรอดแล้ว หรือเป็นเพราะตัวละครในเรื่องมีแต่คนที่เป็นมนุษย์แท้ ๆ คือเป็นคนที่มีรักโลภโกรธหลงคละเคล้ากันไปหมด มีพระเอกที่แม่งเหี้ยมาก ตำรวจดีบ้างเลวบ้าง เอาหน้าห่วงชื่อเสียงบ้าง จะจับฆาตกรเพราะจะเอามากลบข่าวผู้ว่าฯ โดนปาขี้บ้าง สืบสวนหาแรงจูงใจของฆาตกรเพราะจะได้เอาไปฟ้อง ไม่ได้สนใจสืบหาแบบจริงจังบ้าง เป็นพวก "คนสีเทา ๆ" กันทั้งเรื่อง เลยรู้สึกว่าโลกในภาพยนตร์มันขับเคลื่อนด้วยความจริงและคนจริง ๆ ชิบหาย (หรือเหตุผลมันมีง่าย ๆ แค่ว่าหน้าคนเกาหลีมันคล้าย ๆ คนไทยเท่านั้นเอง 555)

ต้องสารภาพว่าเรามัวแต่ไปตื่นเต้นกับส่วนที่เป็นการไล่ล่ากับลุ้นว่านางเอกจะรอดไหม เรื่องจะจบยังไง เลยไม่ได้ตามเก็บพวกสัญลักษณ์ รายละเอียดหนัง แรงจูงใจอะไรต่าง ๆ โชคดีที่หลังจากหนังจบ น้องมะม่วงคนชวนมาดูสะกิดให้เรานึกถึงพวกสัญลักษณ์ทางศาสนาหรือปรัชญาที่ผู้กำกับทิ้งรอยเอาไว้ในเรื่อง แต่เพราะเราไม่ได้ตั้งใจเก็บรายละเอียดเลยเบลอ ๆ ไปบ้าง อย่างรอยลิ่มที่หัวของหลานชายน้องบอกว่าเป็นเหมือนรอยไม้กางเขน แต่ทำไมเรามองเป็นรอยมงกุฎหนามของพระเยซูไปได้หว่า ไอ้ที่บอกน้องว่าพี่ยังงง ๆ กับเรื่องอยู่นี่เรื่องจริงนะไม่ได้แกล้ง (ฮา)

นึกแล้วก็คุ้น ๆ อยู่ว่าหลังหนังจบมีการเสวนา มีผู้ชมคนหนึ่งก็พยายามตีความแรงจูงใจของฆาตกรว่าเป็นเรื่องทางศาสนา เพราะมันมีการตอกลิ่ม การจับศพแขวนเหมือนห้อยไม้กางเขน ฆาตกรแม่งยังเป็นช่างแกะสลักพระเยซูที่หน้าโบสถ์อีก พระเอกก็สืบไปจนเห็นภาพส่วนต่าง ๆ ของพระเยซูในห้องที่ฆาตกรเคยอยู่ ก็เข้าเค้า ติดอยู่นิดเดียวว่าทำไมถึงมีปากคำของผู้หญิงขายตัวคนหนึ่งบอกว่าเพราะฆาตกรมันหมดสมรรถภาพทางเพศแล้ว พวกตำรวจสืบสวนก็เลยตีความว่ามันหันมาฟินกับการเจาะกระโหลกผู้หญิงแทน เหตุผลนี้แม่งก็เข้าเค้าอีกแหละ ผู้กำกับก็ไซโคมาอีกว่า "ทุกสิ่งที่ผมใส่ในหนังมีความหมาย" ฮ่วย

เรากลับมานั่งตกผลึกอยู่วันนึงเลยนึกถึงอีกคำพูดนึงของผู้กำกับที่เค้าพูดหลังเสวนาจบประมาณว่า เค้าไม่ได้สนใจเรื่องแรงจูงใจหรือภูมิหลังของตัวละคร สิ่งที่เค้าสนใจคือมนุษย์คนหนึ่งจะตัดสินใจยังไงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า (ประมาณนี้มั้ง) แบบนี้ก็พอเข้าใจโครงสร้างที่ผู้กำกับทำกับหนังเรื่องนี้ให้มีแต่ตัวละครสีเทา ๆ สถานการณ์ที่มันโคตรจะจริง และแรงจูงใจที่คลุมเครือ แท้จริงแล้วเค้าคงต้องการปอกเปลือกความเป็นมนุษย์ออกมา และแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ต่างจากปิศาจตรงไหน

จุงโฮ พระเอกที่ไม่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นพระเอกเลยเพราะไม่หล่อแล้วยังทำตัวเหี้ยมากทั้งเรื่อง (ฮา) ภูมิหลังเป็นอดีตตำรวจที่รับส่วยโดนไล่ออกเลยผันตัวมาเป็นพ่อเล้าจัดหาเด็กบริการ แต่ถึงจะเหี้ยยังไงหมอนี่ก็คงมีความเป็นมนุษย์แบบเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ รักโลภโกรธหลงประสาปุถุชน รักผลประโยชน์ตัวเองที่สุด ตอนแรกมันยังคิดอยู่ตลอดเลยว่าฆาตกรมันหลอกเด็กบริการเอาไปขายต่อ พอสืบไปสักครึ่งเรื่องถึงรู้ว่าไอ้นี่มันฆาตกรโรคจิตจริง แต่ก็ช่วยนางเอกไว้ไม่ทันแล้วเพราะหาหลักฐานไม่ทัน อัยการสั่งไม่ฟ้อง ฆาตกรมาจัดการงานที่ทำค้างไว้จนสำเร็จ

หลังจากนั้นพระเอกแม่งก็พระเอกจริง ๆ ทั้งที่มีเส้นสายกับเพื่อนตำรวจเก่า ๆ จะขอแรงมาช่วยสืบต่อหรือเป็นกองหนุนก็ได้เพราะเพื่อนมันก็อยากจับฆาตกรทั้งนั้น แต่มันก็หนีไปสืบต่อคนเดียวไปจนถึงบ้านฆาตกรพร้อมไปดวลเดี่ยวอย่างไม่กลัวถูกฆ่า เพราะคราวนี้จุงโฮไม่ได้ไปในฐานะผู้เสียผลประโยชน์เพราะเสียเด็กในเล้าเหมือนเดิม แต่ไปในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่อยากทวงความยุติธรรมให้ผู้หญิงคนหนึ่งโดยไม่เกี่ยงวิธีการ ฉากบีบคั้นหัวใจที่สุดคือฉากที่จุงโฮกำลังยกค้อนขึ้นเตรียมฟาดหัวคนร้ายให้สาสมกับความผิดแม้ตัวเองอาจต้องมีความผิดข้อหาฆ่าคนตาย แต่นั่นก็คือการทวงคืนความยุติธรรมในแบบของปุถุชนคนหนึ่ง พอเพื่อนตำรวจมาห้ามไว้ทัน เขาจึงมองเห็นมีจินที่เหลือแต่หัวมีน้ำไหลออกมาจากดวงตาไร้แววด้วยความรู้สึกผิดที่แก้แค้นให้ไม่ได้

ส่วนตัวฆาตกรโรคจิต หนังทิ้งปมไว้สองทางว่าแรงจูงใจคืออะไร แต่ดูจะหนักไปทางศาสนามากกว่าเพราะค่อนข้างเน้นหลายฉาก แต่ที่สุดแล้วเราว่าไม่สำคัญเท่าไรนัก เพราะไม่ว่าจะฆ่าคนด้วยเหตุผลสูงส่งเช่นการคลั่งลัทธิศาสนา หรือจะฆ่าด้วยเหตุผลต่ำ ๆ อย่างจู๋ไม่แข็งเลยเครียด ที่สุดแล้วมันก็คือการกระทำของคนที่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปแล้วนั่นเอง หรือก็คือปิศาจในคราบมนุษย์ที่ต้องการฆ่าคนโดยยกสารพัดเหตุผลมาบังหน้า

The Chaser จึงเป็นหนังที่น่าจะเป็นการพาผู้ชมเข้าไปไล่ล่าสำรวจแก่นกลางความเป็นมนุษย์ของตนเองว่าท่ามกลางความรักโลภโกรธหลงอย่างปุถุชนของเรา เราค้นพบความเป็นมนุษย์หรือเป็นปิศาจที่ไล่ล่าคนอื่นด้วยสารพัดข้ออ้างที่เรียกว่าเหตุผล ไม่ว่าเปลือกนอกเราจะเป็นคนเหี้ย ๆ อย่างไร แต่ถ้าแก่นกลางในใจเราพร้อมจะจับมือน้อย ๆ ไร้ที่พึ่งในคืนฝนพรำอย่างที่พระเอกทำในตอนจบ เราก็คงยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราอยากจะตอกลิ่มใส่คนอื่น ไม่ว่าจะมีเหตุผลสูงส่งเพียงใดหรือแม้แต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ เราก็คงกลายเป็นปิศาจไปแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นผลงานเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ หรือถ้าเป็นผลงานเรื่องแรกจริง ผู้กำกับก็คงได้เรียนรู้มนุษย์มาไม่น้อยเลยจึงถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ออกมาได้เข้มข้นแบบนี้ทั้งที่ไม่ใช่หนังดราม่า แต่จะว่าเป็นผลงานเรื่องแรกก็น่าเชื่ออยู่เพราะมีบางจุดที่ดูจะบังเอิญและจงใจหลายส่วนเพื่อให้เรื่องกระชับและไปต่อได้เร็ว ๆ หรือเพิ่มความดราม่า อย่างจู่ ๆ สองตัวเอกก็ขับรถมาชนกันเลยไม่ต้องหาตัวละ นางเอกหลบมาอยู่ร้านสะดวกซื้อดันเจอเจ้าของร้านปากเปราะซวยอีกกู หรือลูกสาวนางเอกเดินหลงไปโดนใครฟาดหัวก็ไม่รู้ คงเพื่อให้พระเอกเซ็นรับเป็นลูกเพิ่มความดราม่าเข้าไปอีกหน่อยมั้ง (ฮา) แต่ชีวิตเราแม่งก็อาจจะมีแต่เรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นจริงก็ได้ ชีวิตถึงมีเรื่องราวให้เล่าได้

ส่วนเรื่องความเป็นทริลเลอร์ การมีภูมิหลังและแรงจูงใจของตัวละครไม่ชัดเจนนักไม่รู้ว่าจะเป็นข้อดีหรือข้อเสีย แต่ก็อย่างว่า ถ้ามีภูมิหลังและแรงจูงใจให้เห็นมากไป มันจะกลายเป็นตัวละครในหนังทริลเลอร์ฝรั่งซึ่งจบแล้วก็จบเลย ไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ แบบที่เรายังติดค้างและขบคิดกับมันมาจนถึงวันนี้

๘ กันยายน ๒๕๕๘

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น